วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 05:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 02:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


คือตอนนี้พลอยได้เจอประสบการณ์โดยตรงบางอย่าง ทำให้ได้คิดและคิดได้ว่า

เราทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น แต่จะช้าหรือเร็ว หรือ ได้รับผลกรรมทางใดเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า อนัตตา บังคับให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการไม่ได้

คือก่อนหน้านี้พลอยได้เคยพยามยาม อดทนทำกรรมดีไว้ แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่เห็นได้ผลดีซักกะที จนเริ่มท้อใจ แต่ก็ทำดีไปเรื่อยๆนะ แต่อาจจะมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังของจิต

แต่อยู่ๆมา ก็ได้รับผลจากกรรมนั้นอย่างคาดไม่ถึง คือ ได้รับในเวลาและวิธีที่คาดไม่ถึง แต่สรุปสุดท้ายก็ให้ผลแบบเดียวกันอ่านะ

สิ่งๆนี้เรียกว่า อนัตตา ได้มั้ยคะ แล้วอนัตตาคืออะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นเรื่องที่ต้องอธิบายยาวครับ
แนะนำให้ลองอ่าน http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/14 ดูนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติทั้งปวง อยู่ภายใต้กฏ ๒ กฏที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คือ ไตรลักษณ์ และกฏของเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตาปกิจจสทุปบาท) สรุปว่า ธรรมชาติ ไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่ มีการเปลี่ยนแปลงภายในตลอดเวลา เดินทางไปสู่การแตกสลาย ตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ เป็นสภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้

อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีตัวตนเป็นของตน ตรงข้ามกับคำว่า อัตตา คือ ยึดถือว่าเป็นเรา ยึดถือว่าเป็นของเรา หลงในสมมุตินิยาม หรือหลงในสิ่งสมมุติตามโวหารของโลก

ส่วนเรื่องของกรรม อธิบายง่ายๆ ได้ ๓ ลักษณะ คือ บุญที่ให้ผลแน่นอน บาปที่ให้ผลแน่นอน และบุญบาปที่ให้ผลไม่แน่นอน

บุญที่ให้ผลแน่นอน ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า คือ มรรค ๔ ผล ๔ เท่านั้น

บาปที่ให้ผลแน่นอน ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า คือ อนันตริยกรรม ๕ ได้แก่ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทธเจ้าฟกช้ำดำเขียว

ที่เหลือ เป็นบุญบาปที่ให้ผลไม่แน่นอน เป็นอจินไตย เกินปัญญาของพวกเราจะประมาณได้ แต่อย่างไรก็ดี วิบากกรรมก็พอจะประมาณได้ คือ ให้ผลชาตินี้ ให้ผลชาติต่อไป ให้ผลชาติต่อๆ ไป และไม่ให้ผล ตามกำลังบุญกำลังบาป แต่ที่นอนก็คือ บุญบาป ให้ผลไม่พร้อมกัน ผัดเปลี่ยนให้ผลตามวาระ และตามกำลังของกรรม

กรรม
viewtopic.php?f=66&t=35837

ทำดี ก็ต้องทำถูกที่ถูกทาง ไปสอนคนกินเหล้าว่าเหล้าไม่ดี ปากแตกได้ ทำนาบนพื้นปูน ข้าวก็ไม่งอก ทำบุญ ไม่รู้จักบุญ ส่วนมากจะได้บาปกลับมา บุญมาก ก็ต้องรู้ว่ามาก บุญน้อยก็ต้องรู้ว่าน้อย ถ้ารู้จักบัญ ทำบุญได้บุญจริงๆ ชีวิตนี้ไม่มีตกต่ำ พระพุทธองค์กำหนดให้พระภิกษุสงฆ์เติมบุญให้ชาวพุทธทุกเช้า โดยการเดินบิณทบาตร เราชาวพุทธ ตื่นเช้าใส่บาตร ข้าวถุงแกงถุง ได้บุญสูงสุดในขณะนี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่าน

"อันตัวตู ตัวสู มิได้มี
แต่พอโง่ โผล่เป็นผี ขึ้นมาได้
พอหายโง่ ตูสู ก็หายไป
พอโง่ใหม่ มันก็มา บ้ากันเอง

โอ้เพื่อนเอ๋ย จงเฝ้าถอน ซึ่งตัวตู
รวมกระทั่ง ตัวสู อย่างเต็มที่
เหลือกันแต่ เมตตา และปราณี
หน้าที่ใคร ทำให้ดี เท่านี้เอย

ดัดแปลงจากบทกลอนท่านพุทธทาส

ขอให้พิจารณา

โกเมศวร์

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตา คือสิ่งที่ตรงข้ามกับอัตตา อนัตตาทำให้เกิดขึ้นมากๆจะเกิดปัญญาเหมือนแสงไฟส่องทางในที่มืดได้
คือเหนความจริงในสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงต้องดับสลายหรือเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก้ทางหนึ่งซึ่งต้องเหนด้วยปัญญา
ของตัวเองเท่านั้น ถึงจะเข้าใจแล้วละอัตตาออกไปได้

เช่นมีคนมาว่าเรา มีเสียงคนด่ามากระทบหู ถ้าเสียงที่มากระทบหากขาดสติไม่กำหนดเสียงที่หูก้จะเกิดอัตตาในเสียง
คนด่าทำให้เราอยากจะด่าคืน แต่ถ้ากำหนดสติไว้ที่หูเราไว้ดีพอ ร้ว่าเสียงที่พูดมาไม่จริง เสียงนั้นจะขาดหายไปจิต
ที่หูไม่ไปรับเสียงด่ามาไว้ที่ใจเราก้ไม่โกรธ การที่เสียงขาดหายไปแล้วเราไม่เก็บมาคิดสิ่งนี้เรียกว่า"อนัตตา"ถือว่า
เกิดปัญญา และเปนปัญญาในระดับวิปัสสนาด้วย

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2010, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b27:
อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรมและคำบริกรรม ใครพิจารณาเห็นจริงจนใจยอมรับ ความสุข มรรค ผล นิพพาน จักเกิดตามมาทันที
วิธีภาวนา อนัตตา มี ๔ ขั้นตอน
๑.บริกรรม อนัตตา ตามลมหายใจเข้าออก จนชำนาญและขึ้นใจ (ขั้นฝึกสติ สมาธิ ชำระนิวรณ์ ๕ )
๒. บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ เช่นเสียง เป็นปัจจุบัน จิตรู้ที่เสียงแล้วบริกรรม อนัตตา ตามทันที อารมณ์ใหม่เกิดขึ้นเช่น เจ็บ จิตรู้ที่เจ็บ บริกรรม อนัตตา ตามทันที คิด นึก จิตรู้ที่ คิด นึก บริกรรม อนัตตา ตามทันที
(ขั้นฝึกสติให้รู้ทันปัจจุบันอารมณ์)
๓.บริกรรม อนัตตา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์แล้ว สังเกต พิจารณาอารมณ์ปัจจุบันนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา หรือความบังคับไม่ได้ของอารมณ์นั้นๆ จนใจยอมรับความจริง
(ขั้นฝึกหัดพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของอารมณ์)
๔. ทิ้งคำบริกรรม นั่งเฉยๆ ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ ให้เห็น เข้าใจ ยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ สะสมความเข้าใจและยอมรับความบังคับไม่ได้ หรือความเป็นอนัตตา ของปัจจุบันอารมณ์ไว้ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส
(ขั้นเจริญวิปัสสนาภาวนาจนใจยอมรับอนัตตา)
เมื่อสะสม พอกพูนความยอมรับอนัตตาจนถึงที่อัน
สมควรแล้ว ความสุข มรรคญาณ ผลญาณ และนิพพาน จักเกิดขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติ
แม่แบบสำคัญที่จะช่วยให้เราเห็น เข้าใจ จนจิตยอมรับ อนัตตา คือ ลมหายใจ เข้า - ออก ของเราทุกคน
ถ้า สงสัยวิธีการปฏิบัติ ให้กลับมาลองฝึกหัด สังเกต พิจารณาลมหายใจของตนเองให้ดี เราจะได้พบ รู้จัก เข้าใจ และยอมรับ ความเป็น อนัตตา ได้จากแบบฝึกหัดตัวอย่าง หรือตันแบบอันสำคัญนี้ หลังจากนั้นก็นำความรู้ความเข้าใจที่ได้ไปประยุกต์ ใช้กับ อารมณ์ ความรู้สึก สัมผัส ความนึกคิดต่างๆ ก็จะได้ผลเช่นเดียวกัน
การ ฝึกหัดภาวนาอนัตตาทั้ง ๔ ขั้นตอนนี้ให้ฝึกหัดไปทีละขั้นตอน จนชำนาญ แล้วจักเกิดผลดีแก่ชีวิต จิตใจ เข้าถึงธรรมได้โดยง่ายและลัดสั้น ขอให้พากันเกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นอนัตตา เข้าถึงธรรม เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ทันปิดประตูอบายได้ในชาตินี้ ทุกท่านทุกคนเทอญ
เหตุผลที่อนัตตาเป็นสุดยอดแห่งธรรม
๑.ในวิปัสสนาปัญญาหรือสามัญลักษณะ ๓ พระพุทธเจ้าทรงสรุปไว้ว่า
สัพเพสังขารา อนิจจา = สังขารความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
สัพเพสังขารา ทุกขา = สังขารความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้
(ต้องเปลี่ยนแปลง)

สัพ เพธัมมา อนัตตา ติ = ธรรมทั้งหมดทั้งปวง(ทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร) เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์
บุคคล ตัวตน เรา เขา บังคับบัญชาไม่ได้
เมื่อ พิจารณาตามสภาวธรรมและการปฏิบัติจริงแล้ว ทั้งอนิจจังและทุกขังนั้น ควบคุม บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไปขมวดยอดรวมลงที่ อนัตตา ทั้งสิ้น
ผู้รู้อนิจจัง อาจไม่รู้ถึง ทุกขังและ อนัตตา
ผู้รู้ ทุกขัง อาจรู้ถึง อนิจจัง แต่ไม่รู้ถึงอนัตตา
ผู้ใดรู้อนัตตา ย่อมจะแทงตลอดถึง อนิจจัง
และทุกขัง
๒.ในธัมมคารวะคาถา เราจะได้สวดกันอยู่เสมอว่า
โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน
พระพุทธเจ้าบรรดาที่ล่วงไปแล้วด้วย, ที่ยังไม่มาตรัสรู้ด้วย,และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ด้วย
สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ,
อะถาปิ วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะ ธัมมะตา
พระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นทุกพระองค์เคารพพระธรรม,ได้เป็นมาแล้วด้วย,
กำลังเป็นอยู่ด้วย, และจักเป็นด้วย, เพราะธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นนั้นเอง
พระธรรมอันเป็นที่สุดที่รวมแห่งธรรมคือ อนัตตาธรรม ดังนั้นจึงได้กล่าวว่า "อนัตตา" เป็นสุดยอดแห่งธรรม ด้วยเหตุนี้

เหตุผลที่ว่า "อนัตตา" เป็นสุดยอดแห่งคำบริกรรม
เพราะ การบริกรรมคำว่า "อนัตตา" ตามลมหายใจเข้าออกไปจนขึ้นใจดีแล้ว หลังจากนั้นก็สามารถบริกรรมคำว่า " อนัตตา"ได้จนทันปัจจุบันอารมณ์ ทุกอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด สัมผัส สติ จะได้รับการฝึกหัดและยกระดับให้เป็น สัมมาสติ คือรู้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ อันเป็นหัวใจสำคัญอันดับที่ ๑ ของการทำวิปัสสนาภาวนา
หลังจากนั้นจะมีสักวันหนึ่งที่อินทรีย์มีความสม่ำเสมอ ได้สมดุลย์ เกิดฉุกใจคิดขึ้นมาด้วยตนเองอย่างเป็นธรรมชาติว่า เอ!
"อนัตตา" นี้มันหมายความว่าอย่างไรหนอ ! มันเป็นอาการอย่างไร?
จากนั้นกระบวนการ สังเกต พิจารณา ค้นหาความจริง โดยธรรมชาติ จักเกิดขึ้น มาค้นหาความหมายและความเป็นจริงของ อนัตตา
หาก เป็นโชคดี บุญกุศลของผู้บริกรรมอนัตตา มาถึงเวลาอันสมควรแล้ว เขาจะ เห็นและเข้าใจ อนัตตา ซาบซึ้งใจใน อนัตตา ยอมรับ อนัตตา ด้วยใจของเขาเอง
ดวงตาเห็นธรรม จักเกิดขึ้น เปิดทางเข้าสู่
มรรคญาณ ผลญาณ นิพพาน ด้วยตัวของผู้เจริญบริกรรมอนัตตาผู้นั้น
ขอให้เป็นเช่นนี้ทุกท่าน ทุกคนเถิด สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกๆท่านนะคะ ที่ช่วยตอบข้อสงสัยของพลอย ^^
อนุโมทนาบุญกับการให้ธรรมเป็นทานด้วยนะคะ

ค่ะ บางทีอาจเป็นกรรมที่พลอยต้องได้รับ แม้บางทีพลอยอาจจะจำไม่ได้ก็ตาม
แต่สิ่งที่ได้พบเจอนี้ก็ทำให้พลอยได้รู้ว่า มนุษย์ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียรนี้ แท้จริงมันเป็นอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่ว่า คน สัตว์ เทวดา พรหม อสูรกาย สัตว์นรก เปรต
เมื่อแยกธาตุ แล้ว ก็มีแค่ขันธ์5
ขันธ์5 สรุปลงเป็น สอง ก็คือ รูป นาม
กายของสัตว์ทั้งหลาย(รวมคน สัตว์ เทวดา เปรต และอื่นๆ) ที่เรามองเห็นกัน หรือบางทีตาเนื้อมองไม่เห็น เป็นที่ประชุมแห่งรูปประมาณ28

นามมีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยพร้อมเพรียง
อธิบายคือ
นามทั้งหลาย เกิดขึ้นพร้อมกัน ตั้งอยู่พร้อมกัน ดับไปพร้อมกัน.....................นี่คือลักษณะของนาม

รูปมีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อม และดับไป โดยลำดับ
รูปเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม ไม่มีการเกิดเดี่ยวๆ
รูปแต่ละกลุ่มเกิดเหลื่อมเวลากัน โดยอิงกับนาม
เช่น
ขณะที่นามเกิดขึ้น ขณะนั้นมีรูปกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมด้วย
ขณะที่นามตั้งอยู่ ขณะนั้นมีรูปอีกกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นสมทบ
ขณะที่นามดับไป ยังมีรูปอีกกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นมาสมทบ

รูปทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ แล้ว ยังไม่ดับไปทันที ยังดำเนินเสื่อมอยู่ อีก 17 ช่วงของนาม

คือนามเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ถึงสิบเจ็ดรอบ จึงจะมีรูปกลุ่มหนึ่งดับไป
ถัดจากนั้น รูปกลุ่มอื่นๆ ก็ทะยอยกันดับไป ตามลำดับเวลา
คือรูปกลุ่มไหนเกิดก่อนก็ย่อมดับก่อน รูปกลุ่มไหนเกิดทีหลัง ก็ดับทีหลัง

นี่คือลักษณะเฉพาะของ รูป และ นาม

การเกิดขึ้นขึ้นของรูป และนาม เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย
เช่น กัมมปัจจัย วิปากปัจจัย และปัจจัยอื่นๆ อีกประมาณ 20 กว่าปัจจัย

กัมมปัจจัย ก็คือ กรรม(ทางใจ วาจา กาย) นี่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดรูป และนาม ในอนาคต
วิบากปัจจัย ก็คือ ผลกรรม(ทางใจ วาจา กาย) นี่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดรูป และนาม ในอนาคต

อนันตรปัจจัย หรือ สหชาตปัจจัย เป็นไปในทำนอง อัตโนมัติ ดุจเครื่องจักร

จะเห็นว่า การมีอยู่ หรือการไม่มีอยู่ แห่งรูป และนามนั้น

ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่อย่างใดทั้งสิ้น

เพราะเป็นไปแบบอัตโนมัติ และ ผลของกรรม ต่างๆ

ไม่มีใครจะสามารถ ไปบังคับบัญชา ใดๆ ได้ทั้งสิ้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

จึงได้ชื่อว่า รูปนาม (ขันธ์5) เป็น .........................อนัตตา

หรือขันธ์ทั้งปวง เป็นอนัตตา

พิจารณาตอนที่ขันธ์ดับ ดับแล้วไม่หลงเหลืออะไรเลย นี่คือความว่างเปล่า หรือสุญญตานั่นเอง
ขันธ์ที่ดับไปแล้ว ไปตามหาที่ไหนก็ไม่เจอ มันหายไปเลย
ขันธ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อย่างรวดเร็ว
ถ้าเทียบเป็นเวลาแล้ว เร็วกว่าความถี่แสง
คือเร็วที่สุด จนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ยังพัฒนาไปไม่ถึง ไม่จับความเร็วนั้นได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2011, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




GEDC1748_resize.JPG
GEDC1748_resize.JPG [ 67.95 KiB | เปิดดู 9207 ครั้ง ]
tongue
อนัตตา เป็นสิ่งที่รองรับธรรมทั้งหมดทั้งปวงไว้ ธรรมทั้งหมดทั้งปวงล้วนไปแล้วที่ อนัตตา ทั้งสิ้น

ที่เราไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจทราบซึ้งในอนัตตา เพราะ อัตตา ความเห็นผิดนี้ปิดบังอยู่

เปลื้องความเห็นผิด หรือ อัตตา หรือ สักกายทิฐิออกเสียได้ เราก็จะได้พบกับสภาวะ อนัตตา

เราไม่สามารถบรรยายความหมายของอนัตตาได้ด้วยภาษาและบัญญัติของมนุษย์ บอกได้เพียงวิธีที่จะไปรู้และสัมผัส อนัตตา


ท่านต้องนั่งลง หลับตา เอาสติ ปัญญา มาเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ รู้ และสังเกตไปให้ตลอดสาย ตั้งแต่เกิด จน ดับไป ของแต่ละอารมณ์ โดยไม่ต้องทำอะไรอื่นอีกกับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ดูดดึง ไม่ผลักต้าน รู้และสังเกตไว้ตั้งแต่เกิด จน ดับไป เท่านั้นเอง
กระบวนการทำเช่นนี้เรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา"
:b53: :b37: :b42: :b43: :b47: :b48: :b54:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว



...รูป นาม สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต เคลื่อนไหวเปลี่ยนเเปลง ตลอดเวลา....

... :b41: viewtopic.php?f=1&t=37876&p=256954#p256954


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 01:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำค่ะ เข้าใจมากขึ้น บ้าง...

เป็นธรรมที่ดูยากพอสมควรดีเดียวที่จะเข้าใจได้ชัดเจน

จริงๆแล้วอนัตตาก็อยู่รอบตัวเรา เพราะทั้งรูปและนามรอบตัวเราล้วนมีอนัตตาเป็นธรรมประกอบในสิ่งนั้นๆ ใช่มั้ยคะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวเรา ความรู้สึกเรา ความจำเรา ความคิดเรา ความรู้เรา ก็เป็นอนัตตาด้วยนะครับ :b1:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2011, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


buddha's student เขียน:
คือตอนนี้พลอยได้เจอประสบการณ์โดยตรงบางอย่าง ทำให้ได้คิดและคิดได้ว่า
เราทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น แต่จะช้าหรือเร็ว หรือ ได้รับผลกรรมทางใดเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า อนัตตา บังคับให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการไม่ได้
คือก่อนหน้านี้พลอยได้เคยพยามยาม อดทนทำกรรมดีไว้ แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่เห็นได้ผลดีซักกะที จนเริ่มท้อใจ แต่ก็ทำดีไปเรื่อยๆนะ แต่อาจจะมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังของจิต
แต่อยู่ๆมา ก็ได้รับผลจากกรรมนั้นอย่างคาดไม่ถึง คือ ได้รับในเวลาและวิธีที่คาดไม่ถึง แต่สรุปสุดท้ายก็ให้ผลแบบเดียวกันอ่านะ

สิ่งๆนี้เรียกว่า อนัตตา ได้มั้ยคะ แล้วอนัตตาคืออะไร


สวัสดี คุณพลอย จขกท.
สิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ ตรงที่ จขกท. ได้พบ นั้นเป็นเรื่อง ของกรรม และวิบากกรรม
คือ กรรม และผลของกรรม นั้นมีจริง อันนำไปสู่ ความเห็นถูกต้องตามธรรมดา เป็นสัมมาทิฏฐิครับ.

ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับ อนัตตา ครับ คนละประเด็นกันครับ

อนัตตา เป็นลักษณะหนึ่งของสามัญลักษณะของ รูปของนาม ซึ่งมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ครับ
สภาวะธรรมใดๆ ก็ตามที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ต่างก็มีสามัญญลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา.

ลักษณะที่ไม่อาจเป็นไปได้ดั่งใจ ของลักษณะความแปรปรวน ของลักษณะความบีบคั้น ของธรรมอันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง คือขันธ์5 นี้คือ อนัตตา.

ส่วนอัตตา เป็นสภาวะธรรม อันสภาพแห่งทุกข์นั้นเข้าไปทรงไว้ยึดมั่นไว้ในขันธ์ทั้ง 5 ว่ามีเรา เป็นเรา เป็นของเรา ครับ

แม้อัตตา ก็ยังมีสามัญญลักษณะ คืออนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ครับ เพราะ อัตตาเกิด ดับตามเหตุปัจจัยครับ.

จขกท. มีสัมมาทิฏฐิ แล้วในเรื่อง กรรม และผลของกรรม ก็พยายามศึกษาต่อไปครับ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ คุณเช่นนั้น

ตอนนี้พลอยเข้าใจแล้วค่ะ ว่าเป็นคนละประเด็นกันอย่างไร

อนัตตาคือ สิ่งที่ตรงข้ามกับ อัตตา

อัตตาคือ ตัวกู ของกู

คือเมื่อมีรูปนามเกิดขึ้นแล้ว เราไปสำคัญผิดว่า รูปนามที่เกิดขึ้นนั้นเกิดแก่เรา เป็นของเรา
เช่น เราร้อนเราเย็น เราสั่นเราไหว เราปวด เราเมื่อย เราทุกข์ เราสุข เรานิ่ง
เราคิด เราสงสัย เรากังวล ฯลฯ

ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถห้ามมิให้รูปนามเกิดขึ้นได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง คือเกิดจากเหตุปัจจัย เมื่อหมดเหตุปัจจัย ผลนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา นี่ต่างหากสิ่งที่เรียกว่า อนัตตา

พลอยเข้าใจถูกมั้ยคะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องนะครัาบบบบบ ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร