วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 11:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:

อทุกขมสุขเวทนา(เฉยโง่) ใช่อัพยากฤตธรรมใช่มั้ย???
แล้วเป็นไปได้หรือที่ พระอรหันตผลจิตเป็นอัพยากฤตจิต ยังเป็นจิตที่ถูกชักจูงโดยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง???
ยังจัดอยู่ในเวทนาขันธ์เท่านั้น ของแบบนี้คิดเองเออเองไม่ได้นะ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์

ท่านพระอรหันตผลจิตนั้นเป็นอกุปปธรรม เป็นจิตที่ไม่กำเริบอีกแล้วพ้นโลกเหนือโลกแล้ว

การที่ท่านพระอรหันต์ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องถ่าย อันเกี่ยวข้องกับสังขารทุกข์ปรกติธรรมดานั้น
เป็นเพียงกิริยาทางกายที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีกิริยาทางจิตอีกแล้ว พ้นแล้วจากเจตนา(กรรม)
มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "เรากล่าวว่า เจตนาคือกรรม(การกระทำ)"
เช่นนั้นยังใจดำให้ท่านพระอรหันต์ท่านมีเจตนาอีกหรือ??? ท่านพ้นเจตนาแล้วนะ

ที่ยังต้องแบกสังขารอยู่ ก็ด้วยเมตตาล้วนๆ เพื่อดำรงขันธ์ไว้เพื่อเมตตาสั่งสอนชาวบ้านเท่านั้น
ในพระสูตรตรงไหน ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ดำรงอยู่ด้วยอัพยากฤตจิต
อย่าเดาสวดเองเองสิ พระพุทธศาสนาเสียหายหมด ก็เพราะยัดเยียดกันลงไปเอง
:b39:


ธรรมภูต ....

อัพยกตจิตของพระอรหันต์ เป็นสสังขาริก ก็มี อสังขาริกก็มี
อัพยกตจิต คือจิตทั้งดวง ไม่ใช่จัดอยู่ในเวทนาขันธ์ แต่มีเวทนาอยู่
อัพยกตจิต ของพระอรหันต์ เสวยโสมนัสเวทนาก็มี อทุกขมสุขเวทนาคืออุเบกขาก็มี แต่ไม่เสวยโทมนัสเวทนา

อรหัตผลจิตเป็นอกุปปธรรม เพราะไม่กำเริบด้วยตัณหาอวิชชา

จิตทุกดวง มีเจตนา แต่เจตนาของพระอรหันต์ ไม่ใช่กรรม แต่เป็นกิริยา เพราะไม่เป็นเหตุให้เกิดในสังสารวัฏฏ์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 01:59, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
ชัดๆนะ เช่นนั้น

จิตตสังขาร คืออาการของจิตที่แสดงออกตามอารมณ์ที่มาปรุงแต่งใช่มั้ย???
เมื่อจิตมีสติตั้งมั่นดีแล้ว ยังจะให้เกิดดับไปตามอารมณ์อีกหรือ???
เมื่ออารมณ์ทั้งหลายต่างๆเข้ามาครอบงำและเจือติดจิตไม่ได้
อะไรหละที่สมควรเกิดดับ??? หัดใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมบ้าง
อย่ามัวเชื่อแบบตามๆกันมาเลย เช่นนั้น

เช่นนั้น เห็นจิตเกิดดับใช่มั้ย อะไรของเช่นนั้นที่เห็นจิตเกิดดับหละ???

เช่นนั้นรู้มั๊ย??? ความที่จิตตั้งมั่นอยู่โดยลำพังตนเอง เป็นอนิมิตตเจโตสมาธิวิหาร
จิตรู้อยู่เห็นอยู่ว่า อารมณ์เกิดดับ แต่จิตไม่ได้เกิดดับไปตามอารมณ์ที่เกิดดับ
:b39:


เวทนา สัญญา สังขาร 3 ตัวนี้เป็นเจตสิกธรรม ที่รวมเรียกว่า จิตตสังขาร ปรุงแต่งให้จิตรู้อย่างไรต่ออารมณ์ ที่มากระทบ.
จิตมีสติตั้งมั่น เพราะไม่หวั่นไหวไปกับกิเลส ย่อมเห็นความเกิดดับตามเหตุปัจจัย

ธรรมภูต ควรพิจารณาการเกิดดับด้วยเหตุปัจจัย อย่ามัวคิดเองเออเองตามทิฏฐิของตน

เช่นนั้น เห็นจิตเกิดดับ ตามเหตุปัจจัย ญาณที่เข้าใจเหตุปัจจัยจึงเห็นจิตเกิดดับ.... :b16:

ความที่จิตตั้งมั่น เพราะอาศัยอนิมิตตสมาธิ จิตอาศัยอนิจจสัญญา จึงเห็นความเกิดดับด้วยความรู้ในอนิมิตตวิโมกข์นั้น

ธรรมภูต ... เล่าเรียนธรรม อย่าเล่าเรียนตามทิฏฐิ ให้พินิจธรรมตามอย่างพระอริยะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 02:19, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 02:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๔๘๖] อัพยากตธรรม เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรม โดยเหตุปัจจัย
คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัพยากตวิบาก และอัพยากตกิริยา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลาย ที่เป็นอัพยากตวิบาก
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย


อัพยากตวิบาก และอัพยากตกิริยา ของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยสัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป โดยเหตุปัจจัย

ประโยคนี้ การกระทำกิจของพระอรหันต์ สำเร็จด้วยอัพยากตจิต ย่อมทำให้รูปอันเป็นอัพยากต (เพราะรูปทั้งหลายเป็นผล คืออัพยากต)โดยเหตุปัจจัย .... เข้าใจซะใหม่ตามนี้นะธรรมภูต

ในปฏิสนธิขณะ เหตุทั้งหลาย ที่เป็นอัพยากตวิบาก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย

ในปฎิสนธิขณะ ของปุถุชนผู้มีจิตเป็นอกุศลวิบาก(อัพยากตจิตอันเป็นอกุศลวิบาก) หรือ กุศลวิบากจิต(อัพยากตจิตอันเป็นกุศลวิบาก)ก็ตาม หรือพระอริยะเสขะบุคคลไม่เกี่ยวกับพระอรหันต์ มีจิตเป็นโลกกุตตรกุศลวิบาก(อัพยากตจิตอันเป็นโลกุตตรกุศลวิบาก) เหตุทั้งหลาย ที่เป็นอัพยากตวิบากในขณะนั้น ย่อมเป็นปัจจัยแก่สัปมยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป โดยเหตุปัจจัย

(สำหรับหัวข้อนี้ ธรรมภูตต้องศึกษาให้ดีนะ จิตตสมุฏฐานรูป และกฏัตตารูป)

เข้าใจตามนี้นะ...ธรรมภูต
ธรรมภูต เขียน:
การกระทำของพระอรหันต์เป็นเพียงกิริยาทางกายที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีกิริยาทางจิตอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะสสังขาริกหรืออสังขาริกวิญญาณย่อมดับไปแล้ว
นั่นคือ จิตของพระอรหันต์ ไม่เกิดกิริยาอาการของจิตแล้ว
ยังคงเหลือเพียงกิริยาที่เกิดทางกายสังขารเท่านั้น ไม่เกิดจิตตสังขารอีกแล้ว


:b19: :b19: :b32: :b32:


คงต้องเลิกสนทนากันแล้วล่ะธรรมภูต
ตามสบายนะ .... ธรรมภูต

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 02:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 02:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระสูตรตรงไหน ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ดำรงอยู่ด้วยอัพยากฤตจิต

พระสูตร แสดงด้วยพยัญชนะและอรรถะอันลึกซึ้ง เหมาะสำหรับผู้มีปัญญามาก
พระอภิธรรม แสดงด้วยพยัญชนะและอรรถที่เป็นบัญญัติต่างๆ มีหัวข้อและรายละเอียด ไม่มีตัวอย่างบุคคลและเรื่องราวประกอบ เหมาะสำหรับสอนผู้มีปัญญาน้อย

ทั้งการศึกษา พระสูตรและพระอภิธรรม สำหรับบุคคลผู้มีปัญญาน้อยกว่านั้นอีกก็ต้องมีครูบาอาจารย์ที่แตกฉานในปฏิสัมภิทา 4 กำกับดูแลอธิบาย ด้วยความเชื่อมโยงกัน ด้วยบัญญัติต่างๆกัน ด้วยอุปมาอุปมัยบ้างตามแต่สติปัญญาของผู้เล่าเรียน

ธรรมภูต น่าจะเล่าเรียนให้ดี อย่าเรียนตามทิฏฐิของตน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 02:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

การตีความหรือการคาดเดา " จิตพระอรหันต์ " แบบนี้ดีนะ เป็นการฝึกพิจรณาอย่างหนึ่ง :b38:


พระอริยะเจ้า ย่อมแสดงธรรมและบันทึกด้วยจิตอริยะ
การศึกษาเกี่ยวกับกิริยาจิตของพระอริยะ ทำได้เพียง ทำความเข้าใจตาม เพื่อเป็นอุปนิสัยในโอกาสต่อไป
ไม่ต้องตีความ หรือคาดเดา ตามทิฏฐิของตน

ทำความเข้าใจตาม สิ่งที่เป็นร่องรอยทิ้งไว้ในพระไตรปิฏก เข้าใจตามได้ชัดเจนมากขึ้นๆ เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติภาวนา

การตีความ หรือการคาดเดา นั้นอาศัยทิฏฐิตนเป็นหลัก .....

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley เรียนท่านธรรมภูต ด้วยความห่วงใย

รูปภาพ
:b13: :b13: :b13:
:b13: ระวังเด้อ..ความรู้ท่วมหัว..เอาตัวไม่รอด smiley


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 03:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 10.55 KiB | เปิดดู 4057 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ลูกชิ้นก่อนต้ม และ ลูกชิ้นต้ม แล้วก็กลับมาเหมือนลูกชิ้นก่อนต้ม

ความเปลี่ยนแปลงของมหาภูตด้วยมหาภูต
^^

.jpg
.jpg [ 8.46 KiB | เปิดดู 4057 ครั้ง ]
ธรรมภูต เขียน:
การกระทำของพระอรหันต์เป็นเพียงกิริยาทางกายที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีกิริยาทางจิตอีกแล้ว


อร..หัน แบบ ธรรมภูต

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
walaiporn เขียน:

การตีความหรือการคาดเดา " จิตพระอรหันต์ " แบบนี้ดีนะ เป็นการฝึกพิจรณาอย่างหนึ่ง :b38:


พระอริยะเจ้า ย่อมแสดงธรรมและบันทึกด้วยจิตอริยะ
การศึกษาเกี่ยวกับกิริยาจิตของพระอริยะ ทำได้เพียง ทำความเข้าใจตาม เพื่อเป็นอุปนิสัยในโอกาสต่อไป
ไม่ต้องตีความ หรือคาดเดา ตามทิฏฐิของตน

ทำความเข้าใจตาม สิ่งที่เป็นร่องรอยทิ้งไว้ในพระไตรปิฏก เข้าใจตามได้ชัดเจนมากขึ้นๆ เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติภาวนา

การตีความ หรือการคาดเดา นั้นอาศัยทิฏฐิตนเป็นหลัก .....




ขออภัยนะ อ่านแล้วฮาจริงๆ ทำไปได้ :b32:

เวลาอ่านน่ะ อ่านแบบตรงๆว่าหมายถึงอะไร ชอบปรุงไปเรื่อย




พระอริยะเจ้า ย่อมแสดงธรรมและบันทึกด้วยจิตอริยะ
การศึกษาเกี่ยวกับกิริยาจิตของพระอริยะ ทำได้เพียง ทำความเข้าใจตาม เพื่อเป็นอุปนิสัยในโอกาสต่อไป
ไม่ต้องตีความ หรือคาดเดา ตามทิฏฐิของตน

ทำความเข้าใจตาม สิ่งที่เป็นร่องรอยทิ้งไว้ในพระไตรปิฏก เข้าใจตามได้ชัดเจนมากขึ้นๆ เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติภาวนา

การตีความ หรือการคาดเดา นั้นอาศัยทิฏฐิตนเป็นหลัก



ถึงบอกไง แค่การคาดเดา แล้วพูดผิดตรงไหนล่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 10:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:



ขออภัยนะ อ่านแล้วฮาจริงๆ ทำไปได้ :b32:

เวลาอ่านน่ะ อ่านแบบตรงๆว่าหมายถึงอะไร ชอบปรุงไปเรื่อย



ถึงบอกไง แค่การคาดเดา แล้วพูดผิดตรงไหนล่ะ


"อ่านแล้ ฮา จริงๆ ...." เห็นมานะ เห็นกิเลส เห็นการปรุงของจิตหรือยัง ว่ายังเต็มร้อย ไม่ได้ลดลงเลย
ถึงพูดไปเรื่อยๆ ตามฟุ้ง ตามตีความไปตามทิฏฐิ และไม่พยายามทำความเข้าใจตามคำสอนของพระอริยะโดยไม่อาศัยทิฏฐิ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
walaiporn เขียน:



ขออภัยนะ อ่านแล้วฮาจริงๆ ทำไปได้ :b32:

เวลาอ่านน่ะ อ่านแบบตรงๆว่าหมายถึงอะไร ชอบปรุงไปเรื่อย



ถึงบอกไง แค่การคาดเดา แล้วพูดผิดตรงไหนล่ะ


"อ่านแล้ ฮา จริงๆ ...." เห็นมานะ เห็นกิเลส เห็นการปรุงของจิตหรือยัง ว่ายังเต็มร้อย ไม่ได้ลดลงเลย
ถึงพูดไปเรื่อยๆ ตามฟุ้ง ตามตีความไปตามทิฏฐิ และไม่พยายามทำความเข้าใจตามคำสอนของพระอริยะโดยไม่อาศัยทิฏฐิ




อย่ามัวถามคนอื่น เธอล่ะ ย้อนกลับไปมองตัวเองบ้างไหม เห็นกิเลสของตัวเองไหม
คงจะเห็นได้ยากนะ เพราะมัวแต่ส่งจิตออกนอกคอยเพ่งโทษผู้อื่น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 11:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

อย่ามัวถามคนอื่น เธอล่ะ ย้อนกลับไปมองตัวเองบ้างไหม เห็นกิเลสของตัวเองไหม
คงจะเห็นได้ยากนะ เพราะมัวแต่ส่งจิตออกนอกคอยเพ่งโทษผู้อื่น


อย่ามัวถามคนอื่น
เธอล่ะ ย้อนกลับไปมองตัวเองบ้างไหม
เห็นกิเลสของตัวเองไหม

คงจะเห็นได้ยากนะ เพราะมัวแต่ส่งจิตออกนอกคอยเพ่งโทษผู้อื่น

เจ๊...ฟุ้งไปเรื่อยๆนะเจ๊ :b17: :b17:
เจ๊...มัวแต่เพ่งโทษผู้อื่นนะเจ๊

เจ๊...เห็นตัวเพ่งโทษหรือเปล่าเจ๊

เจ๊... คงต้องไปเดินต่อ 10 ชั่วโมง แล้วนั่งอีก 5 ชั่วโมงนะเจ๊

เจ๊ถึงจะเข้าใจคำว่า "เข้าใจตาม" และตีความตามทิฏฐิตน นะเจ๊
:b4: :b4:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:

อทุกขมสุขเวทนา(เฉยโง่) ใช่อัพยากฤตธรรมใช่มั้ย???
แล้วเป็นไปได้หรือที่ พระอรหันตผลจิตเป็นอัพยากฤตจิต ยังเป็นจิตที่ถูกชักจูงโดยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง???
ยังจัดอยู่ในเวทนาขันธ์เท่านั้น ของแบบนี้คิดเองเออเองไม่ได้นะ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์

ท่านพระอรหันตผลจิตนั้นเป็นอกุปปธรรม เป็นจิตที่ไม่กำเริบอีกแล้วพ้นโลกเหนือโลกแล้ว

การที่ท่านพระอรหันต์ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องถ่าย อันเกี่ยวข้องกับสังขารทุกข์ปรกติธรรมดานั้น
เป็นเพียงกิริยาทางกายที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีกิริยาทางจิตอีกแล้ว พ้นแล้วจากเจตนา(กรรม)
มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "เรากล่าวว่า เจตนาคือกรรม(การกระทำ)"
เช่นนั้นยังใจดำให้ท่านพระอรหันต์ท่านมีเจตนาอีกหรือ??? ท่านพ้นเจตนาแล้วนะ

ที่ยังต้องแบกสังขารอยู่ ก็ด้วยเมตตาล้วนๆ เพื่อดำรงขันธ์ไว้เพื่อเมตตาสั่งสอนชาวบ้านเท่านั้น
ในพระสูตรตรงไหน ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ดำรงอยู่ด้วยอัพยากฤตจิต
อย่าเดาสวดเองเองสิ พระพุทธศาสนาเสียหายหมด ก็เพราะยัดเยียดกันลงไปเอง
:b39:


เช่นนั้น เขียน:
ธรรมภูต ....

อัพยกตจิตของพระอรหันต์ เป็นสสังขาริก ก็มี อสังขาริกก็มี
อัพยกตจิต คือจิตทั้งดวง ไม่ใช่จัดอยู่ในเวทนาขันธ์ แต่มีเวทนาอยู่
อัพยกตจิต ของพระอรหันต์ เสวยโสมนัสเวทนาก็มี อทุกขมสุขเวทนาคืออุเบกขาก็มี แต่ไม่เสวยโทมนัสเวทนา

อรหัตผลจิตเป็นอกุปปธรรม เพราะไม่กำเริบด้วยตัณหาอวิชชา

จิตทุกดวง มีเจตนา แต่เจตนาของพระอรหันต์ ไม่ใช่กรรม แต่เป็นกิริยา เพราะไม่เป็นเหตุให้เกิดในสังสารวัฏฏ์

ชัดๆนะ เช่นนั้น
ยังจะดื้อโดยขาดเหตุผลอยู่อีกหรือเช่นนั้น

อุเบกขาธรรม คือการปล่อยวางไม่เข้าร่วม หรือที่เรียกว่าวางเฉยด้วยปัญญา
ไม่ใช่เฉยโง่เหมือนอัพยากฤตธรรม ที่ยังมีการสัมปยุตในสมัยใด ชื่อว่าสังขารขันธ์ในสมัยนั้น

อย่าเอาโลกุตตรธรรม มาปนมั่วกับ โลกียธรรมอีกเลย ผู้ใหม่อยู่ไม่รู้เรื่องจะเข้าใจผิดเอา

เช่นนั้น ในเมื่ออัพยากฤตจิตที่เช่นนั้นบอกว่า ยังมีเวทนาอยู่ ยังเสวยโสมนัสเวทนา
เช่นนั้นยังจะยัดเยียดเข้าให้เป็นของพระอรหันตผลจิตอีกหรือ
น่าอายนะ เช่นนั้น ที่กล่าวว่าพระอรหันต์ยังมีเวทนาที่จิตอยู่อีก
และเลือกเสวยเฉพาะโสมนัสเวทนา แต่โทมนัสเวทนาไม่เอา
เช่นนั้นกำลังกล่าวร้ายท่านพระอรหันต์อยู่นะ ว่าเลือกเสวยเฉพาะอารมณ์ที่ถูกใจเท่านั้น

เช่นนั้น อ่านภาษาไม่เข้าใจหรือยังไง คำว่า อทุกขมสุขเวทนานั้น ก็มีความหมายชัดๆอยู่แล้วนะว่า
ในสมัยนั้น ไม่สุขไม่ทุกข์ ชัดๆนะเช่นนั้นว่า ในสมัยนั้นเป็นอัพยากฤตธรรมอยู่
เป็นธรรมที่เป็นเวทนากลางๆ ระหว่าง กุศล(สุข) อกุศล(ทุกข์)ใช่มั้ยครับ
ส่วนอุเบกขาธรรมนั้น สุข(กุศล)ก็ไม่เอา ทุกข์(อกุศล)ก็ไม่เอา ใครก็มาชักจูงไม่ได้ใช่มั้ย???

ชัดๆนะ เช่นนั้น โลกุตตรจิต ยังจะมีเจตนาอีกหรือ???
เจตนาทั้งหลายล้วนเป็นเหตุทั้งสิ้นใช่มั้ย???
มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "เราสิ้นเหตุแห่งทุกข์แล้ว(ละเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว)"
ถ้ายังมีเจตนาอยู่ตราบใด เหตุย่อมมีอยู่ตราบนั้น

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชัดๆนะ เช่นนั้น

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่อกามฉันท์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
อนึ่ง กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
กามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
กามฉันท์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

^
^
เช่นนั้น ยังจะเถียงพระพุทธพจน์อีกหรือ
พระพุทธพจน์กล่าวไว้ชัดๆนะว่า
กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วยใช่มั้ย???
กามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วยใช่มั้ย???
กามฉันท์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วยใช่มั้ย???

อะไรเกิดขึ้นที่จิตก็รู้ชัดใช่มั้ย???
อะไรดับไปจากจิตก็รู้ชัดใช่มั้ย???
ตื่นเสียทีเถอะ อย่าฝันกลางวันอยู่อีกเลย
จะเถียงเพื่อเอาชนะคะคานไปเพื่ออะไร แม้พระพุทธพจน์ยังไม่เว้น

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชัดๆนะเช่นนั้น

คิลานสูตรที่ ๒
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
แม้ในจักษุ ฯลฯ แม้ในสุขเวทนา(กุศล) ทุกขเวทนา(อกุศล) หรืออทุกขมสุขเวทนา(อัพยากฤต)
ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีวิญญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีฉะนี้ ฯ

^
^
ในพระสูตรพระองค์ทรงกล่าวไว้ชัดเจนนะว่า
"อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
แม้ในจักษุ ฯลฯ แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา"

เช่นนั้นพูดไว้ว่า "อัพยากตจิต ของพระอรหันต์ เสวยโสมนัสเวทนาก็มี
อทุกขมสุขเวทนาคืออุเบกขาก็มี แต่ไม่เสวยโทมนัสเวทนา"
เช่นนั้น เช่นนั้นกำลังกล่าวตู่พระพุทธพจน์อยู่นะ

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
ชัดๆนะ เช่นนั้น

จิตตสังขาร คืออาการของจิตที่แสดงออกตามอารมณ์ที่มาปรุงแต่งใช่มั้ย???
เมื่อจิตมีสติตั้งมั่นดีแล้ว ยังจะให้เกิดดับไปตามอารมณ์อีกหรือ???
เมื่ออารมณ์ทั้งหลายต่างๆเข้ามาครอบงำและเจือติดจิตไม่ได้
อะไรหละที่สมควรเกิดดับ??? หัดใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมบ้าง
อย่ามัวเชื่อแบบตามๆกันมาเลย เช่นนั้น

เช่นนั้น เห็นจิตเกิดดับใช่มั้ย อะไรของเช่นนั้นที่เห็นจิตเกิดดับหละ???

เช่นนั้นรู้มั๊ย??? ความที่จิตตั้งมั่นอยู่โดยลำพังตนเอง เป็นอนิมิตตเจโตสมาธิวิหาร
จิตรู้อยู่เห็นอยู่ว่า อารมณ์เกิดดับ แต่จิตไม่ได้เกิดดับไปตามอารมณ์ที่เกิดดับ
:b39:


เช่นนั้น เขียน:
เวทนา สัญญา สังขาร 3 ตัวนี้เป็นเจตสิกธรรม ที่รวมเรียกว่า จิตตสังขาร ปรุงแต่งให้จิตรู้อย่างไรต่ออารมณ์ ที่มากระทบ.
จิตมีสติตั้งมั่น เพราะไม่หวั่นไหวไปกับกิเลส ย่อมเห็นความเกิดดับตามเหตุปัจจัย

ธรรมภูต ควรพิจารณาการเกิดดับด้วยเหตุปัจจัย อย่ามัวคิดเองเออเองตามทิฏฐิของตน

เช่นนั้น เห็นจิตเกิดดับ ตามเหตุปัจจัย ญาณที่เข้าใจเหตุปัจจัยจึงเห็นจิตเกิดดับ.... :b16:

ความที่จิตตั้งมั่น เพราะอาศัยอนิมิตตสมาธิ จิตอาศัยอนิจจสัญญา จึงเห็นความเกิดดับด้วยความรู้ในอนิมิตตวิโมกข์นั้น

ธรรมภูต ... เล่าเรียนธรรม อย่าเล่าเรียนตามทิฏฐิ ให้พินิจธรรมตามอย่างพระอริยะ

ชัดๆนะ เช่นนั้น

เช่นนั้นพูดเองนะว่า "จิตมีสติตั้งมั่น เพราะไม่หวั่นไหวไปกับกิเลส ย่อมเห็นความเกิดดับตามเหตุปัจจัย"

ชัดเจนอยู่แล้วนะ เช่นนั้น จิตไม่ได้เกิดดับ
จิตย่อมรู้ย่อมเห็นอาการของจิตที่เกิดดับไปตามเหตุปัจจัย ที่เรียกว่า จิตสังขารนะ ไม่ใช่จิต

เช่นนั้น ใครกันแน่ที่คิดเองเออเองตามทิฐิของตนเอง โดยไม่รับฟังเหตุผลเลย
เมื่อจิตยังรู้อยู่เห็นอยู่ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่ได้เกิดดับ
มีที่ไหนเห็นตอนที่ตัวเองดับ เอาอะไรมาเห็น
แสดงว่าที่เช่นนั้นพูดๆมาทั้งหมด เดาสวดเอาเองทั้งสิ้นใช่มั้ย???

เช่นนั้น....เล่าเรียนธรรม อย่าเล่าเรียนตามทิฐิ โดยทฤษฎีเท่านั้น
ให้พินิจตามพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว และลงมือปฏิบัติตามจึงจะได้

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron