วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 21:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 29  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีตอนบ่ายๆ ค่ะ อาจารย์ผู้มีเมตตาทุกๆ ท่าน

วันนี้เข้ามา Print คำสอนของทุกๆ ท่านที่แนะนำไว้ตั้งแต่เริ่มแรกมาเพื่อดูให้ละเอียด
ขึ้นเพื่อจะได้นำไปปฎิบัติให้ถูกทางตามคำแนะนำที่กรุณาให้ไว้
สำหรับการปฎิบัติจะนั่งสมาธิวันละ 2 ครั้งช่วงกลางวันและช่วงดึกวันละตั้งแต่ 30 นาที
ถึง 1 ชั่วโมงปกติทุกๆ วันพร้อมเดินจงกรมด้วยโดยไม่ได้ซีเรียสอะไรปฎิบัติไปเรื่อยๆ เหมือนใช้ความ
เพียรไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง โดยไม่มุ่งหวังสิ่งใดใช้วิธีคิดแบบปล่อยวางแล้วแต่มันจะเป็นไปแต่ที่ทำ
เหมือนกิจวัตรประจำวันก็เพราะเป็นสุขในความสงบที่ได้รับ
ขณะนั่งสมาธิทุกๆ ครั้งจะยึดหลักความสงบอย่างเดียว ถ้ามีอะไรแวบๆ เข้ามาบ้างก็จะ
สำรวม ก็ไม่ปรากฎภาพอย่างใด นึกคิดเฉพาะการนั่งกำหนดลมอย่างเดียวเท่านั้น ผลการนั่งที่พบคือ
ลมจะละเอียดขึ้นมากจนเหมือนเราไม่ได้หายใจ ก็ตั้งสติไม่หายใจก็ช่างปล่อยไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกเรา
ไม่มีตัวมีแต่ความนึกคิดเท่านั้น รู้ว่ามันสงบ สงบมากๆจนเริ่มจะติดวิธีการนั่งแบบนี้แล้ว นั่งอย่างนี้
ทุกๆ วัน
แต่ในบางครั้งบางวันเริ่มนั่งจิตก็เริ่มคิดเลย ก็จะคิดนึกเรื่องการเจริญกายคตาสติ พิจารณา
กายโดยเป็นของปฎิกูล ของไม่สะอาดมีเพียงหนังหุ้มอยู่รอบเท่านั้น พิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ
ตามคำสอนที่อาจารย์ให้มา บางครั้งก็พิจารณาโดยความเป็นอายตนะด้วย พิจารณามรณานุสสติด้วย
เพื่อเตือนสติตนเอง เจริญอนิจจสัญญาเพื่อให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง สุขเวทนาไม่เที่ยง ทุกขเวทนา
ไม่เที่ยง อทุกขมสุขเวทนาไม่เที่ยง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นอนัตตา โดยสรุป
ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ก็พยายามนึกคิดไปเรื่อยๆ ตามที่จิตอยากคิด
ก็ปล่อยคิดไปน่ะค่ะ รายงานให้อาจารย์ทุกท่านทราบเพราะกลัวจะเป็นห่วงน่ะค่ะ ถ้าปฎิบัติไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ขอเมตตาด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮะ ฮะ cool cool cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ฮะ ฮะ cool cool cool cool cool cool cool cool cool cool

เป็นการให้กำลังใจและทักทาย หรือปฏิสันถารอย่างนึง

ตั้งใจปฏิบัติจัง ยังไงก้อย่าลืมความสบายกายสบายใจ และบริหารเวลาไว้ทำอย่างอื่นด้วยนะครับ
คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกและทางธรรมอาศัยหลักการบริหารเวลาได้อย่างลงตัว และอย่ายินดี
กับผลการปฏิบัติมากเกินไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งใจเข้ามากราบขอบพระคุณค่ะ

กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาแนะนำการปฎิบัติที่ดีให้ทั้งหมดทุกๆ ท่าน
ท่านภาวิตา-พหุลีกตา ท่านขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ ท่าน walaiporn ท่านอโศกะ
ท่านไวโรจนมุเนนทระ และท่านกรัชกรายด้วยนะคะถ้าไม่ได้เห็นตัวอย่างการนั่งสมาธิที่มี
น้ำใจให้มาดิฉันคงยังหาความสงบจากสมาธิไม่เป็น กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านอย่างสูงค่ะ

อีกทั้งขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาให้กำลังใจด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีตอนบ่ายๆ ท่านอาจารย์มหาราชันย์ และคุณmurano

เข้ามารายงานการปฎิบัติให้อาจารย์แนะนำเพิ่มเติมให้น่ะค่ะ ในทุกๆ วันนั่งสมาธิและ
เดินจงกรมเป็นปกติจะมากน้อยแล้วแต่โอกาสที่มี โดยดูที่ความพอดีของตัวเองยังใช้หลักปล่อยวางไป
เรื่อยๆเพื่อเพียรเท่านั้นไม่กระทบกับการทำงานค่ะ
เดิมในทุกๆ วันการเดินจงกรมก็เดินไปเรื่อยๆ โดยใช้คำว่า พุทธ-โธ ตามการก้าวย่างไปเรื่อยๆ
การสั่งการของร่างกายขณะนั้นคิดว่าเป็นการสั่งการของสมองอย่างเดียว เห็นมดเห็นแมลงเห็นหญ้าต่างๆ ก็พิจารณามันไปด้วย มันก็เป็นเพียงธาตุเป็นไปตามกรรมเหมือนกับเรา และแผ่เมตตาให้มันไปด้วย
แต่ในวันหนึ่งขณะเดินจงกรมจะแตกต่างจากทุกๆ วันคือ เดินจงกรมไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆก็รูสึก
ว่าเรามองไม่เห็นมดไม่เห็นแมลงไม่เห็นต้นหญ้าดังเช่นเคย เห็นเพียงกรอบแคบๆ ของสองขาที่ก้าวไป
เรื่อยๆ ลมหายใจที่สูดเข้าไปและปล่อยออกมาพร้อมคำว่าพุทธ-โธ สิ่งที่รับรู้คือดวงหทัยเพียงส่วนเดียว
รวมทั้งการก้าวของขาด้วย คล้ายดวงหทัยเป็นผู้รับรู้เป็นผู้ควบคุมร่างกายมิใช่สมอง สมองไม่ได้ทำงาน
อะไรเลย (วันนั้นอวัยวะตั้งแต่ลำคอขึ้นไปส่วนบนหัวมันลอยไปกับลำตัวเฉยๆ สมองมันไม่นึก ไม่คิด หรือสั่งการอะไรเลย มันลอยของมันอยู่ทื่อๆ)
พอมานั่งสมาธิในตอนดึกวันนั้นจะสังเกตุเห็นชัดว่า ผู้รับรู้ในการนั่งสมาธิอยู่ที่ดวงหทัยหรือ
ดวงจิต มิใช่สมองดังเช่นเดิมทุกๆ วันมันแยกออกอย่างเห็นได้ชัด การเข้าสมาธิการง่ายมาก สงบเร็วมาก
ขณะนี้เวลาเข้าสมาธิจะเริ่มดูที่จิตแล้วค่ะ (จะเร็วไปไหมคะ)
ส่วนการเดินจงกรมกลับไม่ง่ายเหมือนการนั่งสมาธิ บางวันเดินไปการรับรู้และการสั่งการคือ
สมองอย่างเดียว บางวันเป็น 2 ส่วนคือทั้งดวงหทัยและสมอง แต่ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรนะคะแล้วแต่มัน
จะเป็นไปเราก็เพียรและดูมันไปเรื่อยๆ ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์มหาราชันย์และคุณ murano เพิ่มเติมด้วยนะคะ
ขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


. :b8: :b8: :b8: .

ขอกราบคนดีงาม ๆ ๓ ครั้ง

รูปภาพ


คุยกันนะ งมงายเล่าสู่ฟัง ประกอบการปฏิบัติเล่น ๆ ไม่ได้สอน

เมื่อครั้งฝึกสมถะ

สมัยนึง เมื่องมงายยังเล็ก ก่อนอายุ 18

งมงายเคยเรียนกะพระอาจารย์


พอถึงตรงนี้ อาจารย์จะเริ่มให้ฝึกให้เกิดความชำนาญ

อาจารย์ท่านใช้ศัพท์ว่า วสี ท่านบอกว่า มี 5

ทำให้ชำนาญสำคัญ จะเป็นพื้นฐานให้รุดหน้าขั้นต่อไป

ขั้นตอนแรก ชำนาญในการจับเวลาเข้า-ออก ให้ตรงเวลา


เริ่มที่ 5 นาทีก่อน ท่านสอนแบบนี้นะ

เมื่อเดินจงกรมเสร็จ นั่งพนมมือ ให้อธิษฐาน


"สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้า สงบแน่นิ่ง เป็นเวลา 5 นาที เมื่อครบกำหนดแล้ว

ขอให้คลายออก"


ให้ว่า 3 ครั้ง แล้ว นั่งไป

ใหม่ ๆ จะไม่ตรง สักระยะ จะคลายตรงเวลา

หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ ขยับ 10 นาที สลับไป
หลัง จากนั้น 15 นาที 20 ไปเรื่อย แต่ไม่ควรเกิน 1 ช.ม. ควรเดินจงกรมก่อนเสมอ


เมื่อทำชำนาญ ไม่พลาดทุกครั้งแล้ว (อาจใช้เวลาหลายวัน)

ให้อธิษฐานแบบมีเงื่อนไข เช่น

เมื่อนั่งรอคน รอโทรศัพท์ ให้อธิษฐานว่า

"สาธุ ขอให้สมาธิจิตของข้าพเจ้า สงบแน่นิ่งไป ก่อนมีคนมาหา 1 นาทีขอให้คลายออก"


(แล้วแต่เงื่อนไข มีมากมาย)

เมื่อชำนาญแล้ว

ให้ยืนเข้า เดินเข้า นอนเข้า หรือ บางท่านให้วิ่งเข้า

(ตรงนี้ต้องยืนชิดฝาไว้ หรือมีพี่เลี้ยง เพราะจะล้ม เคยเป็นพี่เลี้ยง ต้องจับหามไปพิงไว้)

หัดเข้าออก 1 นาที 2 นาที เป็นต้น

เมื่อชำนาญการเข้าออกแล้ว ท่านจะฝึกในลำดับต่อไปให้

เป็นการฝึกสมถกรรมฐานนะ แต่ก็ดี


กราบอนุโมทนาอีกครั้ง

สาธุ สาธุ สาธุ


:b53:

ขอปัญญาจงบังเกิดมี

งมงาย


. :b42: :b42: :b42: .


แก้ไขล่าสุดโดย หลวงจีนงมงาย เมื่อ 12 ก.พ. 2010, 16:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

เห็นด้วยตามท่าน งมงายครับ ถ้าอยากรุดหน้าไว ทำตามนั้น

ขอเสริมในหลักปริยัติ (อ่านผ่าน ๆ พอรู้ แล้ววางเสีย ไม่ต้องไปจำ )


ผู้เจริญกัมมัฏฐาน เมื่อได้ฌาน เช่นได้ปฐมฌานแล้ว ถ้ายังไม่มีความชำนาญคล่องแคล่วในฌานที่ตนเจริญนั้น
ห้ามเลื่อนไปเจริญฌานอื่นต่อ ๆ ไป ความคล่องแคล่วหรือชำนาญเรียกว่า วสี มี ๕ คือ


๑) อาวัชชนวสี ความชำนาญในการนึก

๒) สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้าฌาน

๓) อธิฏฐานวสี ชำนาญในการรักษาฌานมิให้ตก

๔) วุฏฐานวสี ชำนาญในการออกจากฌาน

๕) ปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการที่จะพิจารณา


เหตุซึ่งทำให้ฌานเสื่อม ๓ อย่าง

๑) กิเลสสมุทฺทาจาเรน เพราะกิเลสฟุ้งซ่าน รัก โกรธ อาฆาต เกลียด เป็นต้น ยิ่งน้อย ยิ่งดี

๒) อสปฺปาย กิริยาย เพราะทำความไม่สะดวก เช่น เมื่อกระสับกระส่ายด้วยทุกขเวทนาเกินข่มได้ เพราะเจ็บไข้หนัก
หรือ เพราะที่พัก, อาหาร, คน และสิ่งแวดล้อม ควรทำให้เกื้อกูล

๓) อนนุโยเคน เพราะไม่ประกอบเนือง ๆ


อนุโมทนาด้วยครับ

ขอให้เห็นแจ้งในธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอบพระคุณงามๆ หลายๆ ครั้งค่ะ ท่านงมงาย และ ท่านไวโรจนมุเนนทระ

จะพิมพ์คำแนะนำและคำสอนทั้งหมดเป็นหลักในการปฎิบัติค่ะ


กราบขอบพระคุณงามๆ หลายๆ ครั้งอีกครั้งค่ะ
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีวรรณ์ ไคร้งาม เขียน:
กราบขอบพระคุณงามๆ หลายๆ ครั้งค่ะ ท่านงมงาย และ ท่านไวโรจนมุเนนทระ

จะพิมพ์คำแนะนำและคำสอนทั้งหมดเป็นหลักในการปฎิบัติค่ะ


กราบขอบพระคุณงามๆ หลายๆ ครั้งอีกครั้งค่ะ
วรรณ์



:b8: :b8: :b8:

ทำให้ชำนาญ ตอนนี้สำคัญ ถ้าชำนาญตรงนี้แล้ว

จะยักย้ายถ่ายเทไปทางไหนก็ง่าย

เสียดาย ๆ หลายคนมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ทางจะไปต่อ

บางทีปล่อยให้เสื่อมไป

สาธุ สาธุ สาธุ

กราบอนุโมทนา


......

โอมฺ มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี


. :b42: :b42: :b42: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอบพระคุณท่านหลวงจีนงมงาย

สาธุ สาธุ สาธุ เป็นพันๆ ครั้งค่ะ


ขอบพระคุณอย่างยิ่ง
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่มเติมค่ะ

ถ้ามีปัญหาอะไรจะเข้ามาขอคำแนะนำใหม่นะคะ คำแนะนำทั้งหมดที่ให้มาจะตั้งใจปฎิบัติให้สมกับความหวังดีที่ได้รับค่ะ



กราบขอบพระคุณท่านงมงายอีกครั้งค่ะ
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ตามนั้นอะนะ สร้างความชำนาญ... จริงๆ ก็ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะตอนนี้เรากำลังลองเล่นอะไรไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กะว่า พอได้อะไรอย่างหนึ่งก่อน ค่อยมาบอกวิธี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อะไรไง... อิอิ

ไม่เคยเดินจงกลมนะ แต่เคยนั่งสมาธิแบบเปิดตา ภาพเป็นกรอบแคบๆ เหมือนกัน แล้วภาพที่เห็นก็เบี้ยวๆ เหมือนคลื่น กะว่า วันหนึ่งจะลองทำแบบนี้ดูสักตั้ง ดูว่าจะมีอะไรแปลกๆ ไม๊ อืมม... ลองวันนี้เลยดีก่า อิอิ

จริงๆ ที่ฝึกอยู่ตอนนี้ น่าจะเป็นมโนมยิทธิแบบพุทธแท้ๆ นะ คือ จดจ่ออยู่กับกายวิญญาณ สร้างกายเสมือนใสๆ ขึ้นมาอีกตัว ขนาดเท่าตัวเรานี่แหล่ะ ซ้อนอยู่กับตัวเราแบบเป๊ะๆ จดจ่อความรู้สึกลงไปที่กายนั้น มันจะรู้สึกทั้ง 2 กายนะ ทั้งกายวิญญาณที่สร้างขึ้น กับกายเนื้อจริงๆ กะว่าจะถอดจิต อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้ามาลาค่ะ


เผอิญน้องชายเข้า www.Google คลิกชื่อพี่สาวตัวเองข้อมูลการถามเรื่องการนั่งสมาธิทั้ง
สองโพสปรากฎขึ้น น้องชายเลยเตือนเรื่องความเป็นส่วนตัวก็เห็นด้วยจึงเข้ามาลาค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณที่สุดในโลกสำหรับทุกๆ ที่ให้ความเป็นมิตรความหวังดีอย่างที่สุด
สำหรับวัดได้วัดที่จะเข้าไปเป็นอุบาสิกาแล้วเป็นวัดป่าที่เพิ่งสร้างใหม่พระมาจากอีสานไม่ต้องเป็นห่วง
นะคะ


กราบขอบพระคุณค่ะ
วรรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2010, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2010, 23:57
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: นกเอี้ยง
อายุ: 18

 ข้อมูลส่วนตัว


^^

.....................................................
สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิ เวสายะ

" สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันบุคคล ไม่ควรยึดติดถือมั่น "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee

this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 29  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร