วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูปฏิจจสมุปบาทสักเล็กน้อย (สมุทัยวาร)

"สมัยต่อมา เด็กนั้นอาศัยความเจริญเติบโต อินทรีย์ทั้งหลายแก่กล้าขึ้น มีกามคุณทั้ง 5 พรั่งพร้อมบริบูรณ์ ย่อมปรนเปรอตน...เขาเห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมติดใจในรูปที่น่ารัก
ย่อมขัดใจในรูปที่ไม่น่ารัก...ฟังเสียงด้วยหู....ดมกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...ทราบธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมติดใจในเสียง...กลิ่น...รส... โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ที่น่ารัก
ย่อมขัดใจในเสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ที่ไม่น่ารัก

มิได้มีสติไว้คอยกำกับตัว เป็นอยู่โดยมีจิตคับแคบ ไม่รู้จักตามเป็นจริง ซึ่งภาวะหลุดรอดปลอดพ้นของจิต และภาวะหลุดรอดปลอดพ้นด้วยปัญญาที่จะทำให้บาปอกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่ตัวเขา ดับไปได้โดยไม่เหลือ
เขาคอยประกอบเอาความยินดี ยินร้ายเข้าไว้อย่างนี้แล้ว พอเสวยเวทนาอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม
เขาย่อมครุ่นคำนึง ย่อมบ่นถึง ย่อมหมกใจอยู่กับเวทนานั้น เมื่อเขาครุ่นคำนึง เฝ้าบ่นถึง หมกใจอยู่กับเวทนานั้น ความติดใจอยาก (นันทิความเพลิดเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น ความติดใจอยากในเวทนาทั้งหลาย (กลาย) เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย เขาก็มีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย ก็มีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย ก็มีชรามรณะ ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความเสียใจ ความคับแค้นผิดหวัง ก็มีพรั่งพร้อม ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จึงมีได้ด้วยประการฉะนี้” *

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
FLAME เขียน:
[เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

คุณเฟรมครับ ผมจะอธิบายคร่าวให้ฟังครับ เรื่องการดับ การเกิด
มันมีหลักอยู่ว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ

ในส่วนอ้างอิงของคุณนั้นเป็นส่วนของการเกิด จะเห็นได้ว่า เหตุปัจจัยอันแรกคือ อวิชา
เพราะมีอวิชา จึงเกิดสังขารเกิดวิญญาณไล่มาจนถึงทุกข์
อันนี้มันเข้าหลักของ สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
ความสำคัญของการเกิดมันอยู่ตรง เหตุปัจจัยแห่งการเกิดยังอยู่
ผลของเหตุปัจจัยก็ยังอยู่ครับ


ในส่วนของการดับถ้าเราดูท่านจะให้ดับที่อวิชาก่อน

เพราะอวิชชาสำรอกไปไม่เหลือสังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิยญาณดัดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนจึงดับ
เพราะสฬายตนดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชารามรณะ (จึงดับ)

อันนี้ขึ้นกับหลักว่า สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
ดูให้ดีครับ การดับไม่ใช่ดับที่ปลายเหตุคือชรามรณะ หรือดับตรงส่วนกลางชาติภพ
มันดับไม่ได้เพราะมันยังมีเหตุปัจจัยแห่งการเกิดอยู่

ขออธิบายในส่วนนี้ให้คุณเฟรมฟังนะครับ พร้อมทั้งเหล่าพ่อมดหมอผีด้วย
ในวงของปฏิจจสมุบาท มันมีความหมายถึง การทำงานของจิต
จิตได้รับผัสสะใดผัสสะหนึ่งเข้ามา ก็จะเกิดขบวนการของปฏิจจสมุบาทขึ้น
การทำงานของจิตในวงปฏิจฯเป็นไปอย่างรวดเร็ว ช้วขณะจิตก็ครบวงแล้ว
มันเป็นไปอย่างซ้ำซากคือความคิด คิดแต่เรื่องเดิมมันก็เกิดวงปฏิจฯขึ้นวงแล้ววงเหล่า
สิ่งเหล่านี้ครับมันเป็นสาเหตุของทุกข์
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ดูครับ เวลาเราคิดมาก ปรุงแต่งมากๆ มันทำให้ทุกข์
แล้วจะทำอย่างไรเพื่อมาหยุดยั้งการปรุงแต่งนั้น
สิ่งที่เราใช้หยุดยั้งการปรุงแต่งก็คือสติครับ
สติเป็นมรรคในองค์แปด มันเป็นวิชชาในส่วนของการรู้อริสัจสี่ครับ
เหตุนี้ผมจึงบอกว่าการดับ เราต้องดับที่อวิชาก่อน จะดับส่วนอื่นก่อนไม่ได้



ตอบตามนี้แล้วกันครับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไร
หนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรานั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติ
ไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไร
หนอไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ... เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ... เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ...
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ... เมื่ออะไร
หนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหา
จึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี
เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ... เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับ
เวทนาจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ...
เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ... เมื่ออะไร
หนอไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่อนามรูป
ไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอ
ไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูป
จึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี
เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ ... เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไร
หนอไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา
นั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี
สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้ง
มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา
วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้าง
ดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้ ฯ


การจะดับชาติได้ก็ต้องดับเหตุปัจจัยของชาติคือภพ
การจะดับภพได้ก็ต้องดับเหตุปัจจัยของภพคืออุปาทาน
....เรื่อยไปจนถึงการดับอวิชชา
ก็ตามนี้แหละครับ

มันก็เป็นลูกโซ่เกี่ยวเนื่องกันไปหมด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี้เป็นทุกข์
แล้วทำอย่างไรหนอถึงจะได้ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ก็ต้องไม่เกิดอีก แล้วทำอย่างไรหนอจึงจะไม่เกิดอีก ก็ต้องไม่มีภพ
ทำอย่างไรจึงจะไม่มีภพ......และจนถึงความไม่มีอวิชชา


แน่นอนครับว่าถ้ายังมีอวิชชาก็ต้องมีการเกิดอยู่

จะดับผลก็ต้องดับที่เหตุ
เราจะดับการตายได้ ก็ต้องดับการเกิด
จะดับการเกิดก็ต้องดับภพ จะดับภพได้ก็ต้องดับ อุปาทาน
จะดับอุปาทานได้ก็ต้องดับตัณหา จะดับตัณหาได้ก็ต้องดับเวทนา
จะดับเวทนาได้ก็ต้องดับดับผัสสะ จะดับผัสสะได้....
จะดับสังขารได้ก็ต้องดับอวิชชา

โฮฮับ เขียน:
การจะศึกษาเรื่องของปฏิจจสมุบาท จำป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ศึกษาในเรื่องของอริยสัจสี่ให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะเป็นเครื่องมือแห่งการดับ
ในเรื่องของปฏิจสมุบาท ถ้าไม่รู้เรื่องอริยสัจสี่ ก็อย่าพึ่งมาสนใจเรื่องปฏิจฯเลยครับ
มันเสียเวลาเปล่าๆ


ถ้าศึกษาอริยสัจจนถ่องแท้นี่ก็อรหันต์เหมือนกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
[การจะดับชาติได้ก็ต้องดับเหตุปัจจัยของชาติคือภพ
การจะดับภพได้ก็ต้องดับเหตุปัจจัยของภพคืออุปาทาน
....เรื่อยไปจนถึงการดับอวิชชา
ก็ตามนี้แหละครับ

มันก็เป็นลูกโซ่เกี่ยวเนื่องกันไปหมด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี้เป็นทุกข์
แล้วทำอย่างไรหนอถึงจะได้ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ก็ต้องไม่เกิดอีก แล้วทำอย่างไรหนอจึงจะไม่เกิดอีก ก็ต้องไม่มีภพ
ทำอย่างไรจึงจะไม่มีภพ......และจนถึงความไม่มีอวิชชา

แน่นอนครับว่าถ้ายังมีอวิชชาก็ต้องมีการเกิดอยู่

จะดับผลก็ต้องดับที่เหตุ
เราจะดับการตายได้ ก็ต้องดับการเกิด
จะดับการเกิดก็ต้องดับภพ จะดับภพได้ก็ต้องดับ อุปาทาน
จะดับอุปาทานได้ก็ต้องดับตัณหา จะดับตัณหาได้ก็ต้องดับเวทนา
จะดับเวทนาได้ก็ต้องดับดับผัสสะ จะดับผัสสะได้....
จะดับสังขารได้ก็ต้องดับอวิชชา

แล้วที่บอกมาว่าดับโน้น ดับนี้คุณใช้อะไรดับครับ
การดับวงในปฏิจฯ เขาใช้มรรคมีองค์แปดดับครับ
ความหมายของมรรคก็คือการปฏิบัติให้ครบองค์แปดแห่งสัมมาครับ
และมรรคมีองค์แปดที่ว่านี้ ก็มีบอกไว้ในหลักเรื่องของอวิชชา
ในอวิชชามีอะไรบ้าง

อวิชชา หมายถึงความไม่รู้ในอริยสัจ คือ
1.ไม่รู้ในทุกข์ ได้แก่ไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นตัวทุกข์
2.ไม่รู้ในเหตุเกิดทุกข์ ได้แก่ไม่รู้ว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากตัณหาในจิตของตนเอง
3.ไม่รู้ในความดับทุกข์ ได้แก่ความไม่รู้ว่าทุกข์นั้นเมื่อเกิดแล้วสามารถดับได้ โดยการกำจัดตัณหาให้หมดไป
4.ไม่รู้ในข้อปฏิบัติสำหรับดับทุกข์ ได้แก่ไม่รู้ว่าทุกข์นั้นจะดับสนิทได้ด้วยมรรค 8
FLAME เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การจะศึกษาเรื่องของปฏิจจสมุบาท จำป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ศึกษาในเรื่องของอริยสัจสี่ให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะเป็นเครื่องมือแห่งการดับ
ในเรื่องของปฏิจสมุบาท ถ้าไม่รู้เรื่องอริยสัจสี่ ก็อย่าพึ่งมาสนใจเรื่องปฏิจฯเลยครับ
มันเสียเวลาเปล่าๆ

ถ้าศึกษาอริยสัจจนถ่องแท้นี่ก็อรหันต์เหมือนกันครับ

ขอเสียที่เถอะครับ ไอ้ประเภทเถียงอะไรข้างๆคูๆ มันเสียเวลาเปล่าๆ
คุณเข้าใจคำว่าศึกษาหรือเปล่าครับ ศึกษามันเป็นปริยัติ
ศึกษาหรือผ่านปริยัติมาแล้ว มันยังต้องปฏิบัติอีกครับ
ถามจริงตั้งแต่เริ่มมาสนใจธรรมะ ไม่เคยได้ยินหรอกหรือกับคำว่า
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธน่ะ ผมว่าคุณต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่แล้วมั้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรก็เชื่ออย่างงั้น ทรงจำอย่างนั้นเถอะครับ
ไม่ต้องเชื่อผม ถือว่าผมไม่เคยเขียนอะไรตอบคุณเลยก็ได้
ขอให้คุณโฮฮับมีความสุขสวัสดี เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: เห็นด้วยกับคุณเฟลมค่ะ พระพุทธเจ้าสอนอะไร เราเป็นชาวพุทธต้องทดลองปฏิบัติตามไปก่อน
ตอนแรกๆ ดิฉันก็ดับตรงเวทนา สุข ทุกข์ โกรธ เกลียด นี่แหละ พอมาเรียนรู้ที่เรื่องผัสสะ ก็รู้ที่ไปที่มาของการเกิดเวทนามากขึ้น ก็ดับได้เร็วขึ้น ไปดับได้ต้นสายปฏิจฯ บางอย่างบางเรื่องเมื่อเกิดผัสสะก็สักแต่รู้ สักแต่ดู สักแต่เห็น แต่บางเรื่องกว่าจะปล่อยวางได้ ก็ต้องฝึกซ้ำๆๆๆ นานๆไป ก็สักแต่รู้ สักแต่ดู สักแต่เห็นได้เอง ก็ต้องฝึกไปทีละขั้นตอน ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ดิฉันก็ฝึกอย่างนี้มาตลอด เปลี่ยนบ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรม รวมทั้งที่ทำงานด้วย มีเวลาว่างเมื่อไรก็ดูลมหายใจ เวลาทำอะไรก็ดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำนานๆ ไป มันเห็นผลเอง ตราบใดที่มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงจริงย่อมก้าวหน้า ดิฉันคิดอย่างนี้ :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาในธรรมะปฏิบัติด้วยนะครับ ขอให้คุณกษมาตาเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
:b8: :b8: :b8:


ขอฝากพระสูตรนี้ไว้ครับ ให้คุณกษมาลองศึกษาอ่านดูนะครับ
อานนท์ ! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา) ในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ในกรณีนี้

อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะเห็นรูปด้วยตา


ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า

“อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง ( สงฺขต )
เป็นของหยาบ ๆ ( โอฬาริก )
เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ( ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน )
แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต กล่าวคือ อุเบกขา” ดังนี้
อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป อุเบกขายังคงดำรงอยู่



อานนท์ ! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ทั้งเป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจอันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป เร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่

อานนท์ ! นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่ง รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ


--------------------------------------------------------------------------------

-อุปริ. ม. 14/542–545/856–861.

ในกรณีแห่ง เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่รู้แจ้งด้วยชิวหา
โผฎฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยผิวกาย และ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ทรงตรัสอย่างเดียวกัน
ต่างกันแต่อุปมาแห่งความเร็วในการดับแห่งอารมณ์นั้น ๆ คือ
กรณีเสียง – ความเร็วแห่งการดีดนิ้วมือ
กรณีกลิ่น – ความเร็วแห่งหยดน้ำตกจากใบบัว
กรณีรส – ความเร็วแห่งน้ำลายที่ถ่มจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง
กรณีโผฏฐัพพะ – ความเร็วแห่งการเหยียดแขนพับแขนของคนแข็งแรง
กรณีธรรมารมณ์ – ความเร็วแห่งการแห้งของหยดน้ำบนกระทะเหล็ก ที่ร้อนแดงอยู่ตลอดวัน

http://watnapp.com/read/keep-cool/i000/#content


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 15 เม.ย. 2011, 00:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: :b10: ลิงค์ที่พูดถึงอยู่ไหนค่ะ คุณหลับอยู่ ดิฉันนอนทำสมาธิถ้านอนตะแคงต้องเป็นพระพุทธรูปปางคนเกิดวันอังคารใช่ไหม ถ้านอนหงายพระพุทธรูปต้องนอนหงายใช่ไหมค่ะที่คุณว่า เพราะดิฉันไม่ชอบนั่งสมาธินาน แต่นอนทำสมาธิก่อนนอนทุกวัน แล้วทำไมต้องไว้ตรงกลางกาย ไว้ตรงกลางหน้าผาก กลางกระหม่อม หรือที่อื่นได้ไหม สงสัยค่ะ :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรก็เชื่ออย่างงั้น ทรงจำอย่างนั้นเถอะครับ
ไม่ต้องเชื่อผม ถือว่าผมไม่เคยเขียนอะไรตอบคุณเลยก็ได้
ขอให้คุณโฮฮับมีความสุขสวัสดี เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

คุณครับที่คุณกล่าวว่า"ไม่ต้องเชื่อผม" รู้สึกว่าคุณจะเพ้อเจ้อนะครับ
ที่เสียเวลามาอธิบายความนี้ เพราะเห็นคุณ ศึกษาธรรมแบบนกแก้วนกขุนทอง
ไอ้คำพูดที่เป็นลักษณะยกตนข่มท่านของคุณ มันแค่เป็นอาการของคนหมดหนทางไป
มันแค่กลบเกลื่อนความอาย หรือกลัวเสียฟอร์มครับ

ถามหน่อย การที่คุณยกเอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง ตัวคุณศึกษาคำสอนของท่านดีแล้วหรือ
ที่สำคัญคุณอ่านพระธรรมท่านหมดแล้วยัง และเข้าใจพระธรรมของท่านจริงหรือเปล่า
หรือสักแต่ว่าอ้างพระองค์เมื่อจนตรอกครับ

พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีมากมายก่ายกอง มันจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่เราจะต้องเข้าใจในพระธรรมนั้นๆให้ลึกซึ้ง
พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจในแง่นี้ ท่านจึงทรงสอนหรือแสดงธรรมในเรื่อง
โพชฌงค์7ในโพชฌงค์7มีธรรมอยู่ข้อหนึ่ง เราต้องรู้ไว้เพื่อใช้พิจารณา
ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมที่ว่านี้ก็คือ..
ธัมมวิจยะ

ธัมมวิจยะก็คือ การเฟ้นธรรม การสอดส่อง สืบค้นธรรม
การพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา ให้เกิดความเข้าใจได้ถูกต้อง


ที่แน่ๆมันไม่ใช้การโพสพระไตรปิฎกแบบลอยๆ ไม่อธิบายความ
ไม่รู้ที่มาที่ไป แบบนี้ไงผมถึงบอกว่า เป็นพวกนกแก้วนกขุนทอง
พูดได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b10: :b10: ลิงค์ที่พูดถึงอยู่ไหนค่ะ คุณหลับอยู่ ดิฉันนอนทำสมาธิถ้านอนตะแคงต้องเป็นพระพุทธรูปปางคนเกิดวันอังคารใช่ไหม ถ้านอนหงายพระพุทธรูปต้องนอนหงายใช่ไหมค่ะที่คุณว่า เพราะดิฉันไม่ชอบนั่งสมาธินาน แต่นอนทำสมาธิก่อนนอนทุกวัน แล้วทำไมต้องไว้ตรงกลางกาย ไว้ตรงกลางหน้าผาก กลางกระหม่อม หรือที่อื่นได้ไหม สงสัยค่ะ :b10: :b10:

โทษที ไม่ได้ลงลิงค์ให้อยู่อีกกระทู้นึงครับ

คุณจะอยู่อิริยาบทไหนก็ได้ครับ จะนอนไขว้ห้างยังไงก็ได้ แต่หาก นอนคว่ำ ราคะจะกำเริบได้ง่ายกว่า...(โดยเฉพราะเพศชาย)
ส่วนท่านสอนให้เอาจิตไว้ตรงนั้นๆ มีเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ และจุดเป็นกำเนิดธาตุธรรมเดิมของมนุษย์ ๆลๆ
คำว่าอย่าส่งจิตออกนอก อันนี้ลึกซึ้งมาก การเข้ากลางของกลาง(อันนี้ยากสุดผมยังทำไม่ได้ )หรือจับลมหายใจ เข้าออกๆๆๆๆๆ จนลมหยุด! แล้วเอาใจหยุดตรงนั้น
แค่นี้ก่อน เพราะผมก็ได้แค่นี้ เดี๋ยวก้รู้ ก็เห็น อะไรๆระดับโลกีย์เอง
ที่สำคัญ คือ ความสงบ สุข


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้คุณโฮฮับจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ขอให้คุณโฮฮับจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด

อ้าว!ยังอยู่อีกหรือครับ นึกว่าจะคุยกับผมในความเห็นนี้เป็นความเห็นสุดท้ายเสียอีก
FLAME เขียน:
ถือว่าผมไม่เคยเขียนอะไรตอบคุณเลยก็ได้
ขอให้คุณโฮฮับมีความสุขสวัสดี เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

คุณเฟรมครับ ทำใจให้มันหนักแน่นหน่อยซิครับ ใจโลเลแบบนี้
จะสู้กับกิเลสตัณหาไหวหรือครับ ทำเหมือนกับกระทู้ไม่ผิด เดี๋ยวลบ
เดี๋ยวไม่ลบ วุ้ย!แย่จัง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่อย่างคุณทักษาว่านั่นแหละครับ สิ่งที่คุณโฮฮับพูด หลายสิ่งหลายอย่าง
ก็มีประโยชน์จริงๆครับ หากใครรู้จักพิจารณานำไปใช้ก็จะมีประโยชน์
สุดท้ายขอให้คุณโฮฮับจงมีความสุขการสบายใจ มีความสุขเกษมสำราญ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: เล่าเรื่องประสบการณ์ “กายหลับจิตตื่น” เริ่มแรกมักเกิดขึ้นกลางวัน หลังจากทำงานจนร่างกายรู้สึกว่าเหนื่อยอยากพักเหนื่อยสักครู่ ก็หลับตาลง จิตไม่น้อมไปเพื่อหลับ แต่ด้วยความเหนื่อยเพลียร่างกายก็หลับไป ส่วนจิตกลับแยกอยู่ต่างหาก กำหนดรู้ลงที่จิตก็รู้ว่าจิตมีสภาวะเบิกบาน ไม่มีความรู้สึกว่าง่วงในจิต

ส่วนในเวลากลางคืนเมื่อถึงเวลานอนบางครั้งก็เกิดสภาวะเหมือนที่เล่ามา ดูลงที่จิตจิตก็เฉยๆ ก็ต้องน้อมจิตไปเพื่อการหลับแล้วจิตก็หลับไปตามร่างกาย

แต่บางคืนยังไม่ถีงเวลาตื่นตามปกติ จิตตื่นก่อน จิตมันก็พยายามบังคับให้กายตื่นก็ไม่สำเร็จได้โดยง่าย จนสักพักสมองเริ่มทำงาน รู้สึกมีอาการกระตุกที่หัวใจ มีความรู้สึกว่าร่ายกายนี้ชาไปหมดทั้งตัว หัวใจเต้นแต่แผ่วมาก รู้อย่างเดียวว่าตอนนั้นต้องพยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วความชาในส่วนต่างๆของร่างกายก็ค่อยๆๆจางคลายไป เริ่มขยับแขนขาได้

เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมานี่จิตกับกายตื่นขึ้นมาพร้อมๆกัน แต่ดิฉันไม่สามารถลุกจากที่นอนได้ เพราะพอตื่นขึ้นมา หูทั้งสองข้างมีเสียงลมออกเสียงดังมากที่สุดเท่าที่เคยประสบมา เหมือนเวลาเป่าลูกโป่งใบใหญ่มากๆๆๆ แล้วปล่อยลมออกมา ตื่นแล้วแต่ต้องนอนนิ่งๆ ฟังเสียงอยู่อย่างนั้นจนเสียงนั้นเบาจางคลายลง

ดิฉันบอกตรงๆว่าบางวันการนอนหลับของดิฉันนี่น่าจะเหมือนการตายมากที่สุด จนบางครั้งเบื่อกับการนอน แต่ก็ต้องนอนเพราะร่างกายต้องการพักผ่อน

บางคืนจิตลอยอยู่เหนือกายเล็กน้อยขณะนอนหลับ มองลงมาเห็นกายเนื้อนอนลอยอยู่บนเตียงสูงจากเตียงเกือบฟุต นอนด้วยอาการประณีตงดงาม อยู่ในท่านอนหงาย ดูลงที่จิตจิตก็อุเบกขา (เห็นกลางคืนเหมือนเห็นกลางวัน)

บางคืนจิตลอยอยู่เหนือกายเล็กน้อย มองลงมา เห็นกายที่คล้ายกับพระพุทธรูปทองคำขนาดเท่ากายเนื้อดิฉันสมัยที่ยังสาวๆ ที่นอนลอยอยู่บนเตียงด้วยลักษณะที่สมส่วนประณีตงดงามยิ่งนัก อยู่ในท่านอนหงายข้อศอกทั้งสองงอพับวางมือทั้งสองข้างทับซ้อนกันบนสะดือ ดูลงที่จิต จิตก็ทรงอุเบกขาอยู่ (เห็นกลางคืนเหมือนเห็นกลางวัน)

บางคืนจิตลอยอยู่เหนือกายเล็กน้อย มองลงมา เห็นกายที่คล้ายกับพระพุทธรูปทองคำขนาดเท่ากายเนื้อดิฉันสมัยที่ยังสาวๆ อยู่ในท่านอนตะแคงขวา ข้อศอกขวางอพับตั้งขึ้นมือรองรับศีรษะ แขนด้านซ้ายงอข้อศอกพับพาดผ่านลำตัว มือตรง นิ้วทั้งห้าเรียงชิดติดกัน นอนลอยอยู่บนเตียงด้วยลักษณะที่สมส่วนประณีตงดงามยิ่งนัก ดูลงที่จิต จิตก็ทรงอุเบกขาอยู่ (เห็นกลางคืนเหมือนเห็นกลางวัน)

นิมิตอื่นๆ อีกมากมาย เล่าไปแล้วไม่ทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์อะไร จึงขอเล่าแค่นี้ เพราะเป็นนิมิตเกี่ยวกับภพ-ชาติในอดีตที่ผ่านมา

ส่วนอนาคตก็นิมิตรู้เกี่ยวการเหตุการณ์บ้านเมือง และภัยพิบัติทางธรรมชาติล่วงหน้า พอเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ในเวลาถัดมา ก็วางจิตอย่างอุเบกขา เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้ ไม่สามารถทำให้ชาวไทยทุกคนสามัคคีกันได้ ไม่สามารถช่วยแก้ไขภัยธรรมชาติเหล่านั้นได้ ทำได้อย่างเดียวคือร่วมบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือก็แค่นั้น

เพราะฉะนั้นบอกได้อย่างเดียวว่า กัลยาณมิตรทั้งหลายรีบเดินตามมรรควิธีของพระพุทธเจ้าเถอะ จะได้ข้ามพ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนคำสอนของพระพุทธองค์จะถูกบิดเบือนเปลี่ยนไปจนทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เมื่อไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ก็ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะอีกยาวนาน

:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโทษนะครับ ท่านกษมมาตาเล่าประสบการณ์ที่เป็น มโนวิญญาณ อย่างเดียวทำให้ไม่สามารถพิจารณาตามได้
การเกิดดับของนามรูปย่อมปรากฏชัดเจนจากอายตนะภายในทั้ง6ที่กระทบอายตนะภายนอกทั้ง6 ครบเป็นผัสสะ เกิดเวทนา เป็นทางวิปัสสนาเพราะน้อมตามและพิจารณาตามได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2011, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ขอโทษนะครับ ท่านกษมมาตาเล่าประสบการณ์ที่เป็น มโนวิญญาณ อย่างเดียวทำให้ไม่สามารถพิจารณาตามได้
การเกิดดับของนามรูปย่อมปรากฏชัดเจนจากอายตนะภายในทั้ง6ที่กระทบอายตนะภายนอกทั้ง6 ครบเป็นผัสสะ เกิดเวทนา เป็นทางวิปัสสนาเพราะน้อมตามและพิจารณาตามได้

ถูกของคุณ studentครับ ผมว่าจขกทแกขาดความเข้าใจเรื่องของรูปนามครับ
สิ่งที่จขกทเล่ามามันเป็น มโนวิญญาณ ตามที่คุณstudenบอก
แต่แกเข้าใจผิดอย่างมากครับที่บอกว่า กายหลับจิตตื่น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร