วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 07:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องแล้วครับ
ผมมีศีลที่บกพร่อง ดูไม่ชัดว่าใบอะไรในมือพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องจริงครับ
ผมมีสติที่ไม่มีพลังจะจับใบไม้ในมือพระพุทธเจ้าก็จับไม่ถูก เป็นเรื่องจริงครับ
ผมมีสถานะที่ไม่ใช่พระย่อมไม่สามารถปลีกวิเวกได้ บำเพ็ญเพียรได้ไม่หนักพอ แต่จะใช้โอกาสแม้น้อยนิดมุ่งหน้าสู่การทำความเพียรทุกวันไม่ท้อถอย เอาพระปฎิบัติมาเป็นตัวอย่างที่ดีว่าท่านนั่งได้ ผมก็ต้องนั่งได้

ผมอ่านหนังสือเพื่อเป็นความรู้ อนึ่ง ความศรัทธาผมเกิดเพราะอ่านพระธรรม
ผมมีความตั้งมั้นได้เพราะตั้งสัจจะกับตัวเองแม้เราอยู่ในเพศฆารวาส เราก็จะไม่ย่อท้อ ท้อถอย
ผมมีความระลึกชอบว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงควรเรียนควรเร่งศึกษา
ผมมีคู่แข่งขันคือตัวเราเอง เรามีความปราถนาที่จะชนะตัวเอง
ผมจักเป็นคนแยกแยะธรรม อันนั้นกุศลธรรมควรทำให้พร้อม อันนั้นอกุศลธรรมควรหลีกเลี่ยง

ขอบคุณที่ท่านเข้ามาแนะนำขอให้ท่านตั้งหน้าเร่งความเพียรต่อไปเราจะเป็นกำลังใจช่วย ครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ผมรู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้เห็นความตั้งใจ และความมุ่งมั่นของคุณ ผมเองโดยเจตนาบริสุทธิ์
ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้ามาในกระดานนี้ เพื่อสนองกิเลส ส่วนใดส่วนหนึ่งของตนเลย ไม่อาจเป็นผู้สั่งสอนใครได้ และไม่คิดสั่งสอนใคร ความคิดผมฉุกขึ้นมาได้ เพราะรายการตีสิบ ที่เอาเหล่าคนไม่ดีทั้งหลาย มาปิดหน้าแล้วเปิดเผยถึงเรื่องไม่ดีที่ตัวเองทำ ออกอากาศให้คนทั้งประเทศรู้ นั่งทบทวนอย่างไรก็ไม่เห็นประโยชน์ชัดเจน นอกจากนั้นแล้ว ยังล่อแหลมต่อการที่ผู้ที่ยังมีวุฒิภาวะน้อย อาจไปหลงไหล ชื่นชมกับคนไม่ดีเหล่านั้นและยึดเป็นแบบอย่างได้ การได้ออกทีวีเป็นเรื่องยากมากในคนธรรมดา ถ้าเราเลือกได้ว่าจะเอาตัวอย่างการทำเรื่องไม่ดี ของคนไม่ดีมาเผยแพร่ กับการเอาเรื่องดีมากๆ ของคนดีๆมาออกเพื่อเป็นตัวอย่าง อย่างหลังน่าจะมีประโยชน์และน่าสรรเสริญกว่า ก็มานึกถึงตัวเองที่เคยมีเรื่องดีๆกับเขาอยู่บ้าง ก็ตอนบวชเป็นพระ ได้ปฏิบัติธรรมตามที่เล่า ถึงมันไม่ใช่ของยากเกินความมุ่งมั่นของปุถุชน แต่มันก็ไม่ได้มาโดยง่าย ยิ่งทุกวันนี้คนธรรมดาแยกไม่ออกระหว่างปราชฌ์ทางศาสนากับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันแล้ว ศาสนาพุทธยิ่งน่าเป็นห่วง ก็จึงอยากให้ลองฟังเรื่องเล่าจากการปฏิบัตจริงกันดูบ้าง ว่าต่างกับเรื่งที่ปราชฌ์พยายามทำให้เราเข้าใจตามเขาอย่างไร
.......แนวทางในการปฏิบัตินั้นมีหลายแนวทางก็จริงแต่สุดท้ายไปบรรจบกันตอนยกจิตขึ้นสู่วิปัสนา อันนี้
มันคือที่เรียกว่าเราเห็นทาง ผมเองอาจมองเห็นกิเลสคนได้ง่าย เพราะผมบังเอิญเคยผ่านภาวะทีเห็นการดับของกิเลส ในตอนปฏิบัติ ผมจึงไม่อยากอวดรู้กับใคร ไม่อยากโต้เถียงกับใครในเรื่องความรู้ ในเรื่องระดับของกิเลสในตน
.......โดยเจตนาแล้วผมไม่ได้มิเจตนาจะตำหนิหรือทำให้คุณหมดกำลังใจ แถมยังมีจิตอนุโมทนากับคุณเป็นอย่างมาก แต่ผมแอบเป็นห่วงเล็กๆ ก็คือคำถามที่คุณถาม และสิ่งที่คุณเล่าเกี่ยวกับการปฏิบัติมันดูกว้างเหลือเกิน ผมจึงพยายามจะสื่อไห้เห็นให้เห็นถึงลำดับขั้นตอนต่างๆแคบๆ เป็นลำดับ บางทีอาจช่วยให้หนทางของคุณตรงขึ้น ลาดเอียงไปตามลำดับ และได้ผลดีขึ้น ...ต่อหน้าถัดไป/เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 02:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: อีกอย่างที่อยากสื่อสาร คือเรื่องการทำอินทรีย์ 5ให้อยู่ในสภาวะ คู่ที่สมดุลย์กัน คือคู่แรก ศรัทธากับปัญญาเสมอกัน คู่ที่สอง วิริยะกับสมาธิเสมอกัน โดยทั้ง 2คู่ให้ควบคุมไว้ตลอดเวลาด้วยสติ ตลอดเวลาในการศึกษาปฏิบัติ อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ตัวใดตัวหนึ่งน้อยไป หรือมากไป ก็พยายามจับให้รู้และปรับให้ได้ ก็จะได้ผลเร็วขึ้น
.....เรื่องการสอนนั้น มีเรื่องเล่าถ้าใครรู้จักแม่ชีรันจวน ท่านเคยสอนการปฏิบัติอยู่ที่สวนโมกข์ เป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่ผมเลื่อมใสมาก ท่านเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ชอบธรรมมะวันเสาร์วันหยุดยอมขับรถไกลๆขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรม เป็นกิจวัตร ในที่สุดปฎิบัติจนได้ผลระดับหนึ่ง ก็รู้สึกว่าทางโลกนี่คับแคบเสียแล้ว จึงตัดสินใจบวชเป็นแม่ชีเพื่อทีจะปฏิบัตธรรมได้เต็มที่ รู้สึกบวชที่ไหนก็จำไม่ได้ แต่ไปจำพรรษาที่สวนโมกข์ ชรอยท่านพุทธทาสจะมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวท่าน จึงมอบหมายให้เป็นอาจารย์คอยบรรยายธรรมะ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ความรู้สึกแรกที่ท่านเล่าคือท่านขัดใจมาก เพราะท่านมาบวช เพื่อที่จะมีเวลาปฏิบัติได้มากๆ จะได้ก้าวหน้าเร็วๆ แต่อาจารย์กลับเอาภาระเรื่องการสอนมาให้ ทำให้การปฏิบัติของท่านต้องเนิ่นช้าลงไป อันนี้ตอนหลังท่านก็ทำใจได้ และก้เป็นอาจารย์สายปฏิบัติท่านหนึ่งที่สามารถสอนได้ดีและตรงมาก แต่เมื่อพิจารณาสาเหตุที่ท่านมาสอนก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าท่านมาสอนเพราะหน้าที่ มาสอนเพราะความเพียร ไม่ไดมาสอนเพราะความอยากเลย/ถ้ามีเวลาก็ลองหา ซีดี ของท่านมาลองฟังดู นั่นแหละธรรมะจากการปฏิบัติ
.....สำหรับการปฏิบัติของฆราวาสนั้น สามารถบรรลุเป็นโสดาบันบุคคลได้ อย่าท้อถอย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า กิ่งไม้สดแช่อยู่ในน้ำนั้นไม่สามารถจุดไฟติดได้ กิ่งไม้สดแม้นำขึ้นพ้นน้ำ ก็ยังไม่สามารถจุดไฟติด เช่นกัน เมื่อไดเราพยายามทำกิ่งไม้ให้แห้ง ปราศจาก ยาง น้ำ และความชื้นแล้ว กิ่งไม้นั้นก็จะจุดไฟติดขึ้นโดยง่าย คูณเองก็เช่นกัน ขอให้เป็นกิ่งไม้แห้งสมความตั้งใจ เจริญในธรรม.../เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เคยบอกจะมาเล่าเรื่องปลีกย่อยบางเรื่องในตอนบวชให้ฟัง วันนี้จะเล่าเรื่องพระไม่ติดสินบน ตอนนั้นบวชได้ไม่กี่วัน เดินบิณฑบาตรอยู่คนเดียวทุกวัน อึดอัดใจมากก็เนื่องจากพระที่บิณฑบาตรในเส้นทางที่ทับกัน นั้นมาจากหลายวัด ทุกวัดเมื่อโยมใส่บาตรเสร็จมักจะให้พรด้วยบทยถาสัพพีแบบย่อ ฉะนั้น เมื่อใส่บาตรเสร็จ โยมส่วนมาก็จะนั่งลงบ้าง ก้มศีรษะและย่อตัวลงบ้าง เพื่อรอรับพรจากพระ แต่วัดที่เราบวชเป็นสายปฏิบัติ มีกฏห้ามรับบาตรจนล้น ให้รับแค่คอบาตรแล้วหันกลับ และห้ามให้พรเมื่อโยมใส่บาตรเสร็จ นัยว่าเป็นการติดสินบนโยมด้วยพรที่ให้ เราก็ต้องปฏิบัติตามกฏ วันหนึ่งพระบวชใหม่(เรา) เดินบิณฑบาตรมาตามริมถนน ด้วยความสำรวม หางตาดันไปเห็นคุณยายท่านหนึ่งกำลังเดินถือขันใส่อาหาร เดินออกมาจากซอยด้านซ้ายมือ เห็นดังนั้นก็หยุดยืนสำรวมรออยู่ คูณยายน่าจะอายุอยู่ในวัย 80 บวกลบก็ไม่กี่ปี มือหนึ่งถือขันใส่อาหารคาวหวาน อีกมือหนึ่งถือไม้เทนนิสเก่าๆใช้ค้ำแทนไม้เท้า เดินกระย่องกระแย่งมา เมื่อมาถึงเราเราก็หันหน้ารออยู่ เปิดบาตรรอ คุณยายวางไม้เท้าลง แล้วค่อยหยิบอาหารใส่บาตรทีละถุงจนหมด พระก็ปิดฝาบาตร ภาพที่ยังจำได้ติดตาจนวันนี้คือ คือคุณยายค้อมตัวและก้มศีรษะลงเพื่อรอรับพร แต่เงียบสักอึดใจไม่ได้ยินเสียงพระให้พร คูณยายก็แหงนหน้าขึ้น ส่งสายตาฉงนมาก มาประสานสายตากับพระที่มองลงไปศีรษะคุณยายพอดี พระก็ทำอะไรไม่ถูกปิดฝาบาตรและหันกลับ เดินต่อไปวันนั้นไม่รู้กลับไปคุณยายจะคิดอะไร แต่เรากลับมาวัดแล้วรู้สึกว้าวุ่นไปหมดทั้งวันไม่รู้เราทำผิดหรือทำถูก
......วันรุ่งขึ้นภาวนาว่าขออย่าให้เจอคุณยายเลย เพราะไม่รู้จะเอาตัวรอดอย่างไร แต่เหมือนแกล้ง เจอคุณยายที่เดิมเวลาเดิมเป๊ะเลย เหมือนหนังม้วนเก่าคุณยายใส่บาตรเสร็จก็ค้อมตัวก้มศีรษะนิ่งคอยอยู่ เราไม่กล้าหันกลับเหมือนเก่า ทันใดความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามา เราจึงเอ่ยถามไปว่า "คุณโยมปีนี้อายุเท่าไรแล้วจ๊ะ" คุณยายเงยหน้าขึ้นตอบ ว่าปีนี้ก็ 83 แล้วเจ้าค่ะ "เราเลยเอ่ยขึ้นว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษา นะจ๊ะ" ความแช่มชื่นวูบขึ้นมาในแววตาคุณยายทันทีจนรู้สึกได้ และพระก็เดินจากมา วันนั้นเรารอดมาได้ด้วย สิ่งที่อยู่ในใจเรานี่เอง พระพุทธ...พระธรรม...และพระสงค์ ...เจริญในธรรม/เจโตวิมุติ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
..
ขอบคุณค่ะ...กับเรื่องราวดี ๆ ที่ท่านนำมาแบ่งปัน
เอกอนก็ตามอ่านอย่างต่อเนื่องค่ะ...
และ ก็ที่กระทู้อื่นด้วย... :b16:
...
และ...ขอบคุณท่าน student ด้วยนะคะ...
จริง ๆ เอกอนก็ติดตามการ post ของท่านอยู่
และก็ตามดูหลาย ๆ ท่านอยู่...
เพียงแต่...เอกอนสนทนาไม่ค่อยเก่ง...
จึงไม่ได้เข้าไปวง...
ได้แต่อ่านแล้ว...ก็...อมยิ้มเงียบ ๆ คนเดียว...

...

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่2ที่ประทับใจเกี่ยวกับประสบการณ์ในการบิณฑบาตร เรื่องนี้ไม่สนุกแต่เป็นเครื่องเตือนใจให้กับหลายๆคนได้ คือช่วงที่เราบวชนั้นการบิณฑบาตร ตลอดเส้นทางจะต้องมีช่วงหนึ่งต้องผ่านหมู้บ้านคนค่อนข้างมีเงิน รู้สึกจะเป็นหมู่บ้านชินเขตต์อะไรทำนองนี้ ตอนเช้าทั้งคนมี คนจนก็ต่างมารอใส่บาตรพระกัน รวมทั้งมีคนใจบุญมากๆ ถึงขนาดตั้งโต๊ะยาวหน้าบ้าน จัดอาหารชุดคาวหวาน อาหารกระป๋องและดอกไม้วันละ10-20ชุดคอยใส่บาตรทุกวันไม่มีเว้นเลยทีเดียว
.....เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องของชายสูงอายุคนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณ70-75ปีน่าจะได้ ตอนเช้าประมาณเกือบ7โมงเช้า ท่านจะมารอใส่บาตรพระทุกวัน ที่ไม่ปกติก็คือท่านเดินเองไม่ได้ และก็ไม่ได้นั่งรถเข็น ท่านจะยืนรอเราอยู่โดยมีลูกชายที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากๆ2คนประคองอยู่ คนด้านขวารู้สึกเป็นทหารบกยศน่าจะระดับพันเอกหรือพลตรีติดเข็มเต็มหน้าอก ส่วนคนด้านซ้ายก็ป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่งชุดข้าราชการสีกากี แถบแน่นเต็มบ่าทั้ง2ข้าง ลูกทั้ง2คน จะค่อยจับแขนพ่อหยิบอาหาร คาวหวาน ใส่บาตรทีละถุงช้าๆ ด้วยมืออันสั่นเทา(ท่านหยิบเองไม่ได้ อาการคล้ายเป็นอัมพฤกษ์) ในตาของท่าน ไม่มีความรู้สึกอิ่มบุญเหมือน ญาติโยมทั่วไปที่มารอใส่บาตร แต่นัยตาทั้งสองของท่านดูแห้งผาก แฝงไว้ด้วยความกังกล เราไม่รู้เลยว่าในใจท่านคิดอย่างไร ท่านมารอใส่บาตรอย่างนี้ทุกวัน อย่างตั้งใจ มันเป็นปริศนาในใจเรามาจนทุกวันนี้ ว่าทำไมท่านต้องทนลำบากกายขนาดนั้น ที่ต้องมารอใส่บาตรทั้งที่เดินไม่ได้ หยิบจับอะไรเองก็ไม่น่าจะได้ ทำไมนัยตาของท่านจึงแห้งผาก แฝงไว้ด้วยความทุกข์กังวลอย่างนั้น
........เราไม่อาจรู้สาเหตุที่แท้จริงทั้งๆที่ต้องยอมรับว่าความจริง อยากรู้อยากพูดคุยกับท่านสักครั้ง แต่ไม่มีโอกาส แต่สิ่งหนึ่งที่เราคาดเดาก็คือท่านอาจจะคิดเอาเอง หรือรู้สึกเอาเองว่า วาระสุดท้ายของท่านอาจอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่บุญกุศลของท่านที่สะสมไว้สำหรับภพภูมิภายหน้าอาจยังไม่พอ ท่านอาจจะยังไม่มั่นใจในบุญกุศลที่สะสมไว้ในชาตินี้ ท่านจึงพยายามต่อไปจนอาจถึงวาระสุดท้าย
......เราจึงขออนุญาติเอาเรื่องของท่านมาเป็นเครื่องเตือนสติ และถามตัวเองว่า หากชีวิตเรามีเหตุอันใดต้องดับลงในวันนี้ หากยังมีสติแม้เพียงเวลาสั้นๆก่อนชิวิตจะดับ เราจะประหวั่นพรั่นพรึงขนาดไหน บุญกุศลที่เราสะสมไว้ มันจะพอนำพาเราไปสู่สุขคติหรือไม่ ถ้าเราไม่เพียรสร้างสมบุญกุศลไว้เป็นเสบียง รอคอยไว้สร้างสมในวัยแก่ชรา มันจะสายไปหรือไม่ อันนี้แหละเป็นธรรมเครื่องเตือนสติเราได้ตั้งแต่วันนั้น
ว่าจงอย่าประมาทในเรื่องบุญกุศล ท่านเองก็เช่นกัน.....เจริญในธรรม/เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา คุณเจโตวิมุติ
อ้างคำพูด:
แปลสุปฏิปันโน
สุปฎิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ญายปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีถูกแล้ว
สามีจิปฏิปันโน ภตวโต สาวกสังโฆ , พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
ยทิทัง, คือใครเล่า
จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐ ปุริสปุคคลา,คือคู่แห่งบุรุษทั้งหลาย4บุรุษ บุคคลทั้งหลาย 8
เอส ภควโต สาวกสังโฆ, นี่เป็นพระสงค์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย , ท่านเป็นผู้ควรแก่เครื่องสักการะ
ปาหุเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรควรที่จะต้อนรับ
ทักขิเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน
อัญชลีกรณีโย, ท่านเป็นผู้ควรทำอัญชลี
อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาอื่นยิ่งกว่าดังนี้ฯ


การบวชของท่านนับว่า ปฎิบัติ ชอบ มีผลแล้ว แล้ว ขอ อนุโมทนาด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันยังทรงฌาณอยู่หรือเปล่า

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ถามว่าปัจจุบันทำอะไรอยู่ ก็อยู่อย่างปุถุชนธรรมดา นี่แหละทำงานหนักเพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเยอะคนรอบข้างมองไม่ออกเลย ว่าเรามีความรู้และผ่านการปฏิบัติมาแบบนี้ ถ้ามีบางคนรอบข้างรู้ว่าเราคือเจโตวิมุติ เขาอาจไม่เชื่อด้วยซ้ำ เพราะที่ส่วนใหญ่เข้าใจกัน คนที่ธรรมมะ ธรรมโมจะต้องมีรูปแบบเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ และเห็นได้ไม่ยากรอบกายเรา ที่ทำงานเราก็มีแยะ หน้ากฐินก็วิ่งวุ่นแจกซอง วันเสาร์วันหยุดยาวก็ไปยาว บางคนบอกว่าไปปฏิบัติธรรม ถือศีล บวชชีพราหมณ์ ก็แล้วแต่ บางคนอาการหนักต้องไปปฏิบัติธรรมถึงเมืองนอกเมืองนา จิตถึงสงบ
.......เราไม่เป็นแบบนั้นเลย ไม่ได้ถือศีลด้วยซ้ำ แต่ต้องมีศีลธรรมเป็นปกติในการเป็นอยู่ ไม่ทำบาปหนักทำบุญให้ตรงบุญ ถูกเวลา(ไม่ตามเทศกาล) ไม่ลังเลสงสัยในธรรมแล้ว แต่อัตตายังมีอยู่ นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมมะ ก็เหมือนงานอดิเรกไม่หมกมุ่น ที่จะเอาสวรรค์ เอานิพพาน สิ่งสำคัญที่สุดธรรมมะหรือศีลธรรมในกายในจิตที่มีอยู่ จะต้องไม่ทำให้เราเป็นคนแปลก ไม่ทำให้คนรอบข้างอึดอัด หรือเราเองต้องอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคนขาดศีลธรรม หรือคนในสังคมปกติรอบกาย
........เราเองทำตัวเป็นสาหร่ายที่จมแช่อยู่ในน้ำ ไม่ต้องการเป็นน้ำมันชั้นบางๆที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อถึงเวลาและโอกาสหมดภาระ จะแยกตัวออกจากน้ำก็คงไม่เหลือวิสัยที่จะทำ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น ก็อยู่ด้วยกันอย่างนี่ต่อไป เป็นกัลยาณมิตรกันต่อไป......เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: กลับมาสวัสดีกันอีกครั้ง วันนี้เปลี่ยนรูปใหม่ ความจริงรูปนี้ถ่ายเมื่อ13ปีที่แล้ว หลังเดินจงกลมเสร็จ สังเกตุได้ว่าอังสะยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปัจจุบันทำเป็นกรอบเล็กๆติดไว้ที่หัวเตียงนอน ก็เพื่อคอยเตือนสติ ว่าครั้งหนึ่งในชิวิต เราเคยบวช และได้ปฏิบัติธรรม อย่างยิ่งยวด กำหลาบกิเลสเสียจนแน่นิ่งไป พักใหญ่ และในชิวิตก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นครั้งนั้นหรือไม่ทีเราได้ทำดีจนถึงที่สุดแล้ว อย่างมนุษย์ปกติคนหนึ่งจะทำได้
.....วันนี้อยากจะมาเล่าเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ในเรื่องความอยาก ให้ฟัง แล้วพินิจกันดู บ่ายวันหนึ่งหลังจากเข้าฌาณได้แล้ว ไม่รู้เป็นอย่างไร มีความอยากฉันท์ไก่เคเอฟซีมาก อยากมากจนผิดปกติ นึกถึงไก่ทอดช่วงอกทอดกรอบๆ จิ้มซอสพริก หั่นเข้าปากด้วยซ่อมและมีด อย่างน่าเอร็ดอร่อย มันอยากมากผิดปกติ เหมือนคนท้องอยากของเปรี้ยว หรือคนติดเหล้ารู้สึกเปรี้ยวปากเมื่อใกล้ตะวันตกติน แต่ก็ข่มไว้ไม่ได้คิดอะไรมาก
.....วันรู่งขึ้นก็ตื่นนอน และออกบิณฑบาตรตามปกติ ไปได้ค่อนทางผ่านหมู่บ้านคนรวยไปแล้ว ออกสู่ถนนหลัก เมื่อเลี้ยวออกสู่ถนนหลัก เดินไปได้เพียงไม่เกิน50เมตร ก็มีหญิงสาว แต่งชุดฟอร์มไม่แน่ใจว่าเป็นสาวโรงงาน หรือสาวเซเว่น เดินก้มหน้างุดๆเข้ามาหาพระในมือถือห่อกระดาษขนาดกำมือเขื่องๆมาด้วย มาถึงก็มายกมือไหว้พระ ทำทีเหมือนจะใส่บาตรด้วยของในมือ พระก็เปิดบาตรออกเธอก็ใส่ห่อกระดาษในมือลงไป แล้วก็ยกมือไหว้หันหลังเดินจากไป สิ่งที่เธอใส่บาตรมาเพียงอย่างเดียวกลับเป็นไก่เคเอฟซี ช่วงอกชิ้นใหญ่เพียงชิ้นเดียว เรากลับถึงวัดก็ลงฉันท์เช้าตามปกติ ก็เอาไก่ใส่จานไว้ในวงฉันท์ร่วมกับคนอื่น ไก่เคเอฟซีชิ้นนี้ไม่มีท่านอื่นสนใจมากนัก เราก็ได้ฉันท์มันเข้าไป มันเย็นชืด หนังล่อนไปเกือบหมดแล้ว ไม่มีความกรอบ ไม่มีซอสพริก(ปกติถึงมีเราก็ไม่ปรุงรสอยู่แล้วตลอดการบวช) เราได้คิดไปว่าเมื่อวานเรายังนึกถึงความเอร็ดอร่อยของไก่เคเอฟซีอยู่เลย อยากเสียจนน้ำลายสอผิดปกติ วันนี้เราได้ฉันท์มันแล้ว ตรงช่วงอกตามที่นึกอยาก แต่มันเย็นชืด เหียวไม่กรอบและอร่อยสักนิด หรือ มีใครต้องการบอกอะไรเรา...ไก่มาได้อย่างไร เรายังไม่ได้สรุป มันยังเป็นปริศนาธรรมในใจเรามาจนทุกวันนี้.....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2010, 00:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2008, 22:04
โพสต์: 4

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


......หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยตอบคำถามที่ว่า สิ่งต่างๆที่ผู้บรรลุฌาน อ้างว่าได้ไปเห็นในสวรรค์ นรก ภพภูมิต่างๆ จริงหรือไม่ หลวงปู่ตอบว่า “ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง” ซึ่งคำตอบนี้ ตรงกับ การอธิบายของไฮเซนเบิร์ก ผู้วางพื้นฐานทฤษฎีควอนตัมว่า “ปรากฏการณ์ที่เห็นเป็นจริง แต่โลกที่ถูกเห็นไม่ใช่ของจริง” (Only phenomena are real , the world beneath phenomena is not real) เหตุที่ไม่จริงเพราะมันสามารถแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่มีความแน่นอนใดๆเลย

บางครั้งก็ออกมาในรูปของนิมิตและโลกียญาน ซึ่งต้องระวัง เช่น เห็นคนเป็นโครงกระดูกเดินได้ หรือ เห็นกลางคืนสว่างราวกับกลางวัน เห็นหรือได้ยินเสียงมิติอื่นที่ซ้อนทับเข้ามาเช่น เปรต อสูรกาย เห็นปราสาทแก้วบนสวรรค์ ฯลฯ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้อย่าไปยึดติด เพราะเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม ก็เพื่อหลุดพ้นไปจากสังสารวัฎ จากภพภูมิเหล่านี้ จิตที่ท่องไปในกาลเวลา จะเหมือนกับการทัวร์ผ่านไปในภพภูมิต่างๆ ที่มีเวลาซ้อนเหลื่อมกับโลกมนุษย์ การเดินทางในมิติที่สาม เช่น เดินทางไปนครสวรรค์ จะต้องผ่าน อยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ฉันใด การเดินทางในมิติที่สี่ ก็ย่อมต้องผ่านภพภูมิต่างๆฉันนั้น ถ้าขณะนั้นมีจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ภพภูมิที่เห็นจะผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว เหมือนอยู่บนรถไฟที่แล่นผ่านตัวเมือง จะต่างกันก็แต่ การผ่านเมืองต่างๆในมิติที่สาม ลักษณะบ้านเรือน ผู้คน สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ เมืองหรือภพภูมิต่างๆในมิติอื่น แต่ละเมืองแตกต่างกัน เกินกว่าจะบรรยาย

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งเห็นว่า จิตคือการทำงานของอนุภาคภายในสมอง หรือจิตเกิดจากสสาร เมื่อเข้าใจสสารถึงที่สุด ย่อมจะเข้าใจจิต เมื่อมาถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เข้าใจอะตอมอย่างถ่องแท้แล้ว ก็ยอมรับว่า ไม่สามารถหยั่งรู้แจ้งถึงแดนแห่งจิตได้ แม้จะสามารถวัดคลื่นสมองได้อย่างละเอียดแต่ก็บอกไม่ได้ว่า คนๆนั้นกำลังคิดอะไร เหตุก็เพราะว่า คลื่นสมองเป็นเพียงเงาของจิต สอดคล้องกับที่ เอ็ดดิงตัน เคยพูดไว้ต่อมาว่า “วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพามนุษย์เข้าถึงความจริงแท้ได้ จะเข้าถึงได้ก็เพียงแต่สัญลักษณ์ที่เป็นเงาเท่านั้น ( a shadow world of symbols)”

การหยั่งรู้จิต รู้ใจ ด้วยการวัดคลื่นสมองเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตทำงานในสภาวะที่เหนือกว่าคลื่นแสง วิธีเดียวที่จะสามารถล่วงรู้ความคิด ความรู้สึกของคนอื่น คือต้องฝึกเจริญสติ ตามหลักสติปัฏฐาน 4 จนบรรลุ เจโตปริยญาณ

จากหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เล่ม 2

อ่านได้ที่ http://www.118doctor.com/Ei2/Eisample.htm

รูปภาพ

.....................................................
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2010, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านเจโตฯ..เเละทุกท่านที่ได้อ่านข้อข้างล่างนี้ :b8:

ไม่ทราบว่า..ท่านฯเคยอ่าน..ธรรมของ..หลวงพ่อชา สุภัทโท :b8: :b8: :b8:

ท่านฯเล่าถึง..ความฝัน..นิมิตในเรื่อง..อวัยวะเพศ ลอยเต็มไปหมด(ขออภัย :b8: )
จำไม่ได้ว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหน..เดี๋ยวจะลองไปหาดู..เเล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่(ถ้าหาเจอ)

เเละ...อีกเรื่องที่..หลวงพ่อฯท่านมีนิมิตว่า..ท่านฯท้อง..

ท่านฯว่า...มันคือ..สภาวะธรรม เท่านั้นเอง :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2010, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เรื่องเหล่านี้เราไม่ได้สนใจมันตั้งแต่ต้น จะสนใจเพาะเรื่องที่สำผัสได้จริงด้วยอายาตะนะทั้ง6 ซึ่งผ่านการปฏิบัติและรู้ได้ตนเอง ที่เรียกปัจจัตตัง แม้เรื่องทางจิตที่เราได้สำผัสด้วยตัวเองแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่น่ายึด ไม่ใช่ทาง เราก็ปล่อยวางมันเสียทุกคราไป เราจึงเหมือนคนขวางโลก ที่มักขัดคอคนที่ชอบถามว่านรกมีจริงไหม เทวดามีจริงไหม และอภินิหารย์ทางจิตต่างๆที่ใครๆหรือแม่แต่อาจารย์ไหนๆเล่า จะไม่สนใจเรื่องที่มันนอกไปจากทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ สภาวะที่ทุกข์ถูกดับลง และแนวทางปฏิบัติให้ถึงการดับทุกข์ หรือจะเรียกว่านอกเหนือจากศีล สมาธิ ปัญญาแล้วเราไม่สนใจอย่างอื่น
......อันนีก็แล้วแต่ใครๆจะคิด แม้แต่พระไตรปิฎกเองในส่วนที่เป็นอิทธิฤทธิ์ อภินิหารย์ต่างๆเราก็อ่านข้ามไปหมด อย่าถามว่าเราเชื่อไหมเรื่องเหล่านั้น เราไม่ตอบเพราะยังไม่ถึงเวลา ถ้าเราปฏิบัติไปถึง หรือมีเหตุผลมากกว่าการเล่าต่อกันมาค่อยว่ากัน ว่ามีประโยชน์ทีจะเชื่อและควรเชื่อหรือไม่ หอบอะไรมากไป มือจะไม่ว่าง ที่จะจับเอาแก่นแท้ของพุทธศาสนา....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2010, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ได้เข้ามาคุยเสียนาน ความจริงพักหลัง การงานและ กิเลสตัณหาของคนที่เกี่ยวข้อง มันโถมทับเข้ามา ทั้งหนักและบีบคั้นจนแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน พยายามหาทางออกอยู่นาน ก็ยังเอาชนะมันไม่ได้ คือมันยังสลัดไม่หลุด จากความกดดัน ความเครียดและความวิตกกังวลเหมือนกัน คือมันยังไม่ชนะทุกข์นั่นเอง
.....พยายามนั่งสมาธิช่วยวันละประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็อยู่ได้แค่อุปจารสมาธิ เข้าไม่ถึงอัปนาสมาธิ ออกจากสมาธิมันก็ยังไม่สงบอยู่ดี กลับมาอ่านธรรมมะหนักขึ้น ไล่มาตั้งแต่ตามรอยพระอรหันต์ พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ปรัชญาของท่านเว่ยหลาง ก็ยังไม่ได้ผล ในที่สุดมาเจอหนังสือ3เล่ม รู้สึกเห็นทางชัดเจนอีกครั้งในฐานะฆารวาสจากหนังสือ3เล่มนี้ เล่มแรกชื่อ พบลิงที่ครึ่งทาง เขียนโดยอาจารย์ชาวฝรั่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา ในชุดธรรมมะจากขุนเขา เล่มที่สองเป็นของอุปฌาเราเอง ชื่อหลวงพ่อสอนไว้ ของพระอาจารย์สุทัศน์โกวโสล(รวบรวมไว้โดย นพ ท่าพระจันทร์) ซึ่งตอนบวชอยู่ที่วัดท่าน ก็ไม่ได้สนทนาธรรมกับท่านมากนัก นอกจากมีปัญหาจากการปฏิบัติก็ไปถามเสียทีหนึ่ง มาอ่านตอนนี้จึงได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น และเห็นทางรอดจากทุกข์หนักครั้งนี้ อีกเล่มหนึ่ง มีกัลยาณมิตรเอามาให้ ท่านสอนไว้ ไม่บอกชื่อ รู้เพียงท่านเป็นพระ ไม่รู้อยู่ที่ไหนไม่พิมพ์เป็นหนังสือ มีลูกศิษย์แอบรวบรวมและพิมพ์แจกกันเอง พอเราเปิดอ่าน รู้สึกได้เลยว่าที่เราตามรอยอยู่นั้น เราน่าจะได้พบแล้วเหมือนรู้สึกได้ ทุกคำพูด มันเห็นแต่ทุกข์และวิธีการดับทุกข์แบบตรงเป๊ะเลย ไม่มีว่ายครู ไม่ต้องวนรอบ ไม่มีตัวตน ไม่มีความลังเลให้ต้องสงสัย ไม่มีพิธีกรรม ชัดเจน เรียบง่าย เราเริ่มนำมาปฏิบัติ ได้เพียง10กว่าวัน มันเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด มันเห็นอนิจจังชัดขึ้น มี่คำว่าก็เท่านั้น มันเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นชัดขึ้น สติมันทัน กาย ทันเวทนา ทันอารมณ์จิต มากขึ้น ทุกข์มันดับลงได้เป็นส่วนใหญ่ จนบางครั้งมันเริ่มรู้สึกกลัวเหมือนกัน กลัวจะไปไกลเกินไป เป็นห่วงคนข้างหลังเหมือนกัน เพราะอย่างที่เคยได้ยินกันทุกคนว่าสุขใดจะเท่าสุขจากความสงบนั้นไม่มี ซึงถ้าใครได้ลิ้มรสความสุขนี้ได้ท่ามกลางความวุ่นวายบีบคั้น มันจึงอดกลัวใจตนเองไม่ได้ และรู้สึกเป็นห่วงกังวลถึงคนข้างหลัง อยู่มากเหมือนกัน การปฏิบัติต่อเนื่งกันเป็นสายตลอดเวลา หรือต่อเนื่องกันครั้งละนานๆผลของมันชักน่ากลัวเสียแล้วสำหรับปุถุชน ....แต่ไม่ได้บอกลายละเอียดไว้ แค่รู่ว่าอยู่ที่ กายและจิตภายในนี้เอง.....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2010, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากคุณเจโตวิมุติปฏิบัติแล้วเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
ผมคิดว่าน่าจะมีผลดีกับคนที่อยู่เบื้องหลังนะครับ เพราะคุณเจโตวิมุติย่อมจะแนะนำและช่วยสอนคนอื่นได้อีกมาก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร