วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 23:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมท่านไม่ลองอ้างอิงจากพระไตรปิฏกดูบ้างครับ

มันไม่มีเรื่องทำนองนี้ในพระไตรปิฎก

อ้างคำพูด:
โดยพื้นฐานแล้วผู้ปฏิบัติก็จะทำบุญเป็น default

ขอบุญจงคุ้มครองครับ แต่ก็ไม่ทุกคนหรอกนะครับที่รู้จักทำบุญ บางท่านตรงไปที่สมาธิเลย เป็นประเภทใจร้อน ใจเร็วด่วนได้ พอมีปัญหาก็มาหาทางออกเอาทีหลัง

อ้างคำพูด:
1 มีเดินจงกรมหรือไม่ ถ้ามีทำอย่างไร เพราะอะไร
2 นั่งกำหนดอย่างไร มีบริกรรมไหม ถ้ามีบริกรรมอย่างไร เอาจิตไปไว้ที่ไหน เพราะอะไร
3 อริยาบทย่อย ตอนไม่เดินจงกลมและนั่งกำหนดทำอย่างไร เพราะอะไร
4 ปฏิบัติไปสามารถละกิเลสหยาบๆ บ้างไหมครัเช่น เลิกฟังเพลง เลิกติดในรสอาหาร กินง่ายอยู่ง่ายขึ้น ฯลฯ
5 ท่านอ้างอิงพระสูตรไหนในการปฏิบัติ และท่านตีความจากพระสูตรอย่างไร
ุ6 การพิจารณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ที่ท่านอ้างถึงนั้น อันนี้เป็นทางสายเอกใช่ไหมครับ และเป็นสติปัฏฐาน ๔ ด้้วยใช่ไหมครับ
ึึ7 เกิดฌานทัศนะ อันเรียกว่าปัญญาที่ใช้ตัดสังโยชน์ใช่ไหมครับ หรือเป็นอภิญญา
8 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลๆ หนึ่งสำเร็จเป็นอริยะบุคคล ผู้ที่สำเร็จท่านประกาศตัวเอง หรือคนอื่นประกาศให้ ถ้าไม่ทั้งสองอย่างท่านมีวิธีสังเกตุ พิจารณา วิเคราะห์อย่างไร

ไม่มีการเดินจงกรม ไม่มีบริกรรม ไม่มีการกำหนดจิต ไม่มีการกำหนดอริยาบท เรื่องเหล่านี้ไม่มีบอกไว้ในพระไตรปิฎกให้อุบาสกอุบาสิกาปฏิบัติ

ระหว่างโสดาปัตติมรรค กิเลสอย่างหยาบจะลดได้ทั้งหมด แต่ยังเลิกไม่ได้ พระสูตรที่พูดถึงการพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ หรืออุปทานขันธ์ ๕ เริ่มตั้งแต่เล่มที่ ๘ ถึงเล่ม ๑๑ รวมแล้วหลายพันสูตร วิธีการหรือการตีความกรุณาไปอ่านที่; การเจริญสติปัญญา
viewtopic.php?f=7&t=25301

สติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติของพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป เป็นการปหานกิเลสอย่างละเอียด หรือตัดสังโยชน์เบื้องสูง เพื่อบรรลุอรหันตผล หรืออนาคามีผล ไม่ใช่การปฏิบัติของบุคคลธรรมดาที่ต้องการโสดาปัตติผล อ่านให้จบพระสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0
พระโสดาบัน มีมรรค ๘ ครบแล้ว รวมสติ สมาธิ สามารถเอามาใช้ได้ ผู้ที่ยังไม่ได้มรรคผลต้องปหานกิเลสอย่างหยาบให้ได้ก่อน พอมีกำลังมากพอแล้วค่อยไปปหานกิเลสอย่างละเอียด

พระที่เน้นปฏิบัติไม่เน้นปริยัติจะขาดความรอบรู้ จะรู้เฉพาะเรื่องที่ตนปฏิบัติเท่านั้น บางทีคนไปถามพระเรื่องการปฏิบัติ พระท่านก็บอกว่าท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าท่านให้เราไปปฏิบัติ รุ่นหลังๆ ต่อๆ มา ตีความกันผิดๆ ถูกๆ กลายเป็นไปเอาวิธีของพระอริยะมาปฏิบัติ พระไตรปิฎกก็อ่านไม่จบ สติ สมาธิ ยังไม่ถึงขั้น ปัญญา ก็ยังไม่มี ผลออกมาก็คือได้แต่สมาธิ พอจิตสงบเห็นโน่นเห็นนี่ก็คิดว่าตนปฏิบัติได้แล้ว คนที่ปฏิบัติตามๆ กันมาก็พากันหลงไปหมด

การพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ เพื่อบรรลุมรรคผลขั้นแรก คือมีปัญญาเห็นจริงตามจริง เกิดความคิดเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ) หรือเพื่อสร้างองค์ธรรมในมรรค ๘

ฌานทัศนะ หรือฌานหยั่งรู้ เป็นอภิญญา รวมปัญญาตัดสังโยชน์ไว้ด้วย ก็คือ วิปัสสนาญาน

ผู้ที่มีฌานทัศนะสามารถหยั่งรู้ภาวะบุคคลได้ ว่าสำเร็จถึงขั้นใหนแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังปัฏติบัติ ก็ค่อนข้างจะลำบากในการสังเกตุตัวเอง พระพุทธองค์บอกว่าเหมือนบุรุษแขนด้วน ก็คือ หากตัดกิเลสได้จะรู้สึกเหมือนอวัยวะอย่างหนึ่งของเราหายไป แต่โลภะ โทสะ โมหะ เป็นนามธรรม จึงต้องใช้ความรู้สึกสังเกตุ

ที่ท่านว่าสมาธิดีแล้วจะพิจารณาได้ดี หรือมีสติดีแล้วจะพิจารณาได้ดี เอาเป็นว่า ในการปฏิบัติเราต้องใช้ พละ ๕ ให้ครบ จะทำให้ อินทรีย์ ๕ แข็งกล้าขึ้น อยากได้ปัญญินทรีย์ ก็ต้องไปที่ต้นตอหรือเหตุของการเกิดปัญญินทรีย์ ไปปฏิบัติที่ตรงนั้น

การเอาสมถะนำวิปัสสนานั้นสำหรับพระสมมุติสงฆ์ เพราะพระสมมุติสงฆ์มีเนกขัมมะสมาธิ ยังไม่ได้มรรคผล คนธรรมดามีขณิกกะสมาธิ ก็ใช้วิปัสสนานำ สมาธิก็เกิดตาม พอเราพิจารณาความไม่เที่ยงเกิดดับ ผลต่อมาก็คือเกิดปล่อยวางเกิดความว่าง หรือเกิดสมาธิ ผลที่ออกมานั้นเหมือนกัน จะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กำลังบุญ กำลังพละ ๕

สัทธินทรีย์ด้วยความว่าน้อมไป วิริยินทรีย์ด้วยความว่าประคองไว้ สตินทรีย์ด้วยความว่าตั้งมั่น สมาธินทรีย์ด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์ด้วยความว่าเห็น ศรัทธาพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความไม่มีศรัทธา วิริยพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความเกียจคร้าน สติพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความประมาท สมาธิพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความฟุ้งซ่าน ปัญญาพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ

การวิปัสสนาเป็นการทำงานของเจตสิก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับจิต ไม่มีการแบ่งจริต ไม่มีการปรับอินทรีย์ มีกำลัง ๒ ประการเป็นหลัก คือ ศรัทรา กับ ปัญญา

ก็ต้องขออภัยหากท่านพากันคิดไปว่าผมติติงพวกทำฌาณ แต่บอกตามเนื้อผ้า ตวามความเป็นจริงที่ว่า มีสมาธิเยอะไม่ได้ช่วยเรื่องการเจริญปัญญา แต่ในทางตรงกันข้ามอาจจะเป็นตัวดับปัญญาด้วยซ้ำไป การปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับฌาณ หรือที่เรียกว่าการพิจารณาในองค์ฌาณเป็นวิธีการสำหรับผู้ที่ได้ฌาณมาก่อนบวช มีพระมหาโมคัลลานะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เป็นอาจารย์ของฌาณลาภีบุคคลทั้งหลาย

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไรเราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ....

อ้างคำพูด:
มีดบาดนิ้ว ผมกำหนด...

เจ็บเป็นอารมณ์ หยุดไม่ได้ วิปัสสนาทำให้แผลหายเจ็บไม่ได้ แต่ถ้ากลัว โมโห หงุดหงิด เพราะเกิดแผล ดับได้ด้วยวิปัสสนา ... พิจารณานิ้วกับเลือด เป็นการพิจารณาอารมณ์ภายนอกให้คลายกำหนดหรือความยึดถือรูปภายนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแผลกับนิ้ว

ที่ท่านถามๆ มาทั้งหมด เพราะว่าท่านไม่ได้ศึกษาพระธรรมก่อนปฏิบัติ เพียงแต่ยึดถือปฏิบัติตามๆ กันมาโดยพิจารณาว่านี่ถูกต้องแล้ว ผมว่าหากท่านสนใจจริงๆ ก็ขอให้ศึกษาธรรมมะโดยตรงจากพระไตรปิฎกเถอะครับ อ่านจริงๆ 2-3 ชั่วโมงก็ได้ 1 เล่ม เอาจริงๆ เดือนเดียวก็อ่านจบ ผมใช้เวลานานเพราะอ่านไปคิดไปทบทวนไปปฏิบัติไป ไม่ได้รีบ ไม่เรียนก็ไม่รู้ พระพุทธองค์จึงกำหนด ปริยัติ ก่อนปฏิบัติ

ความเสื่อมของพุทธศาสนาเริ่มจากราวๆ พ.ศ. 220 เริ่มมีการแตกแยกกันในหมู่สงฆ์ จึงต้องมีการจารึกธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนหน้านี้ 200 กว่าปีจดจำสืบต่อๆ กันมาได้ไม่มีผิดตกสักตัว เพราะเมื่อเกิดการโต้แย้งว่า นี่เป็นพระพุทธวัจจนะจริงหรือ? ต้องมีอะไรสักอย่างมาตัดสินชี้ขาด ต่อมาเมื่อสาวกรุ่นหลังๆ บกพร่องเรื่องการศึกษาพระธรรม จึงมีสาวกจำนวนหนึ่งนำพระธรรมมาอธิบายโดยพิสดาร คนเรียนก็เข้าใจได้ง่ายกว่า อ่านพระไตรปิฏกบ้าง อ่านหลังสือของอาจารย์บ้าง ครั้งต่อๆ มา ก็มีการเขียนตำราประกอบเพิ่มขึ้นมาอีก ทีนี้พวกรุ่นหลังๆ ก็ไม่ได้อ่านพระธรรมจากพระไตรปิฎกอีกเลย เพราะมันยาก เอาแต่ของอาจารย์ที่เขียนบอกเล่าต่อๆ กันมาไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอด แล้วท่านว่าตอนนี้ท่านอยู่ในตำแหน่งใหน ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่ได้มานั้นไม่มีอะไรผิดไปจากต้นฉบับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 19:18, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มันไม่มีเรื่องทำนองนี้ในพระไตรปิฎก

แต่พอมันเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ความรู้ที่ได้จากการอ่านเลยแก้ปัญหาไม่ได้ มันน่าจะมีอะไรซักอย่างผิดพลาดนะครับท่านรู้สึกไหม แล้วการที่นอนไม่หลับแล้วไปใส่บาตรมันอยู่ตรงไหนของพระไตรปิฏกครับ

อ้างคำพูด:
สติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติของพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป เป็นการปหานกิเลสอย่างละเอียด หรือตัดสังโยชน์เบื้องสูง เพื่อบรรลุอรหันตผล หรืออนาคามีผล ไม่ใช่การปฏิบัติของบุคคลธรรมดาที่ต้องการโสดาปัตติผล อ่านให้จบพระสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


อ่านถึงตรงนี้เขาบอกว่า "[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑.........."

เขาบอกว่า "ผู้ใดผู้หนึ่ง" ท่านมีหลักการตีความอย่างไรว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ท่านตีความว่า คือ พระโสดาบัน หรือครับ ผมตีความว่าใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องโสดาบัน
ผมคิดว่าท่านเข้าใจว่าในพระสูตรอ้างถึงการสำเร็จเป็น อรหันต์ กับ อนาคามี ดังนั้นผู้ที่จะสำเร็จอรหันต์กับอนาคามีได้ ก็ต้องเป็นพระสกิทาคามี ผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระสกิทาคามีได้ก็ต้องเป็นพระโสดาบัน และถ้าผมจะตีความต่อว่าผู้ที่จะสำเร็จโสดาบันได้ก็ต้องเป็นคนธรรมดา เทวดา พรหม ฯ ดังนั้น คนธรรมดา เทวดา พรหม ผมตีความว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ผมตีความอย่างนี้ผิดตรงไหน ผิดอย่างไร
แล้วพระสูตรไหนคับที่บอกว่าปฏิบัติตามการพิจารณาขันธ์ 5 ตามวิธีของท่านแล้วจะสำเร็จโสดาบัน
เพื่อจะทำสติปัฎฐานสี่ต่อไป


อ้างคำพูด:
ผู้ที่มีฌานทัศนะสามารถหยั่งรู้ภาวะบุคคลได้ ว่าสำเร็จถึงขั้นใหนแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังปัฏติบัติ ก็ค่อนข้างจะลำบากในการสังเกตุตัวเอง พระพุทธองค์บอกว่าเหมือนบุรุษแขนด้วน ก็คือ หากตัดกิเลสได้จะรู้สึกเหมือนอวัยวะอย่างหนึ่งของเราหายไป แต่โลภะ โทสะ โมหะ เป็นนามธรรม จึงต้องใช้ความรู้สึกสังเกตุ
แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ของท่านสำเร็จโสดาบัน แล้วทำไมท่านจึงเชื่อ {ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่อาจารย์ของท่านนะครับ}

อ้างคำพูด:
การพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ เพื่อบรรลุมรรคผลขั้นแรก คือมีปัญญาเห็นจริงตามจริง เกิดความคิดเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ) หรือเพื่อสร้างองค์ธรรมในมรรค ๘
อันนี้พระสูตรไหนครับ ระบุหน้ามาด้วยนะครับ


อ้างคำพูด:
การเอาสมถะนำวิปัสสนานั้นสำหรับพระสมมุติสงฆ์ เพราะพระสมมุติสงฆ์มีเนกขัมมะสมาธิ ยังไม่ได้มรรคผล คนธรรมดามีขณิกกะสมาธิ ก็ใช้วิปัสสนานำ สมาธิก็เกิดตาม พอเราพิจารณาความไม่เที่ยงเกิดดับ ผลต่อมาก็คือเกิดปล่อยวางเกิดความว่าง หรือเกิดสมาธิ ผลที่ออกมานั้นเหมือนกัน จะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กำลังบุญ กำลังพละ ๕
ต้องรบกวนด้วยอันนี้พระสูตรไหน

อ้างคำพูด:
เจ็บเป็นอารมณ์ หยุดไม่ได้ วิปัสสนาทำให้แผลหายเจ็บไม่ได้ แต่ถ้ากลัว โมโห หงุดหงิด เพราะเกิดแผล ดับได้ด้วยวิปัสสนา ... พิจารณานิ้วกับเลือด เป็นการพิจารณาอารมณ์ภายนอกให้คลายกำหนดหรือความยึดถือรูปภายนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแผลกับนิ้ว

ถ้าท่านโดนมีดบาดท่านมีวิธีพิจารณาอย่างไร ไม่ให้ทรมาน

อ้างคำพูด:
มีสาวกจำนวนหนึ่งนำพระธรรมมาอธิบายโดยพิสดาร คนเรียนก็เข้าใจได้ง่ายกว่า อ่านพระไตรปิฏกบ้าง อ่านหลังสือของอาจารย์บ้าง ครั้งต่อๆ มา ก็มีการเขียนตำราประกอบเพิ่มขึ้นมาอีก ทีนี้พวกรุ่นหลังๆ ก็ไม่ได้อ่านพระธรรมจากพระไตรปิฎกอีกเลย เพราะมันยาก เอาแต่ของอาจารย์ที่เขียนบอกเล่าต่อๆ กันมาไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอด แล้วท่านว่าตอนนี้ท่านอยู่ในตำแหน่งใหน ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่ได้มานั้นไม่มีอะไรผิดไปจากต้นฉบับ

ผมไม่แน่ใจทั้งหมดครับ แต่รับไว้พิจารณา แล้วลองปฏิบัติดูก่อน

อ้างคำพูด:
มีสาวกจำนวนหนึ่งนำพระธรรมมาอธิบายโดยพิสดาร คนเรียนก็เข้าใจได้ง่ายกว่า อ่านพระไตรปิฏก

แล้วท่านละท่านแน่ใจได้อย่างไร อยากรู้ว่าท่านนะทำไมแน่ใจ {ผมไม่มีเจตนาลบหลู่ สาวกจำนวนหนึ่งนะครับ}

อ้างคำพูด:
พระที่เน้นปฏิบัติไม่เน้นปริยัติจะขาดความรอบรู้ จะรู้เฉพาะเรื่องที่ตนปฏิบัติเท่านั้น บางทีคนไปถามพระเรื่องการปฏิบัติ พระท่านก็บอกว่าท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าท่านให้เราไปปฏิบัติ รุ่นหลังๆ ต่อๆ มา ตีความกันผิดๆ ถูกๆ กลายเป็นไปเอาวิธีของพระอริยะมาปฏิบัติ พระไตรปิฎกก็อ่านไม่จบ สติ สมาธิ ยังไม่ถึงขั้น ปัญญา ก็ยังไม่มี ผลออกมาก็คือได้แต่สมาธิ พอจิตสงบเห็นโน่นเห็นนี่ก็คิดว่าตนปฏิบัติได้แล้ว คนที่ปฏิบัติตามๆ กันมาก็พากันหลงไปหมด


อันนี้ผมขอให้ท่านถอนคำพูดเสีย พระที่ไม่ศึกษาปริญัติ ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์แล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ท่านว่ามีไหม ถ้ามีท่านคิดว่ามันอาจเป็นกรรมหนักไหม ถ้าใช่อาจห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานได้ ผมขอร้องให้ท่านถอนแล้วรีบไปขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปพระพุทธเจ้าให้ท่านเป็นพยานซะนะครับ ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ท่านไปปรามาศพระอริยะเจ้า ผมจะพลอยบาปกรรมไปด้วย ถ้าท่านไม่ถอนตรงนี้ผมจะไม่สนทนากับท่านอีก

เจริญธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามท่านเยอะมาก ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ตอบไม่หวาดไม่ใหว ท่านก็จะมีคำถามแบนี้เรื่อยๆ จนกว่าท่านจะได้อ่านพระสูตรจนจบนั่นแหละ คำถามของท่านทั้งหมดมีคำตอบในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะเรื่องขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ถ้าผมจะยกมาอ้าง ก็คงต้องยกมาทั้งพระสูตร ไปอ่านเอาเองเถอะนะท่าน ทำมาจนขนาดนี้แล้วอ่านพระสูตร 25 เล่มคงไม่หนักหนาสาหัดอะไรมั้ง

เรื่องการทำตำราประกอบ พระพทุธองค์ก็ทำนายไว้ล่างหน้าแล้ว เรื่องเหตุการอันตราธานหายไปหรือความเสื่อมของพุทธศาสนา ผมไม่ได้โมเมเอาเอง ผมไม่บอกว่าสูตรใหนอยู่ตรงใหน อยากให้ท่านลองหาอ่านเอาเอง ประโยชน์นั้นจะเกิดขึ้นแก่ท่านเอง ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะได้อะไรด้วย เรื่องภิกษุสอนธรรม หรือเรื่องธรรมทูต ก็มีเขียนไว้ ภิกษุที่สอนธรรมได้นั้นที่จริงมีอยู่จำนวนน้อย ภิกษุที่พ้นไปเฉพาะตนนั้นมีมาก

เรื่องใส่บาตรกับนอนไม่หลับนี่เป็นการรักษาทางอ้อม เป็นการป้องกัน ไม่ได้มีการเขียนตรงๆ ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่องการทำสมาธิ จึงไม่มีเรื่องการแก้ปัญญาต่างๆ ที่เกิดจากการทำสมาธิ ไม่ต้องไปหา เพราะมันไม่มี

สติ กับสมาธิ ในสติปัฏฐานนั้นเป็น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งการที่จะปรากฎว่าเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั้น ต้องมีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นก่อน สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาที่เห็นจริงตามจริง หรือคือปัญญินทรีย์

เรื่องสติปัฏฐาน ถ้าท่านยืนยันอย่างที่ว่าผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

อ้างคำพูด:
ถ้าท่านโดนมีดบาดท่านมีวิธีพิจารณาอย่างไร ไม่ให้ทรมาน

ไม่มี มีดบาดก็ห้ามเลือดก่อน ทำแผลให้สะอาด ถ้าทำให้ไม่รู้สึกเจ็บได้ เป็นกำลังของสมาธิ

อ้างคำพูด:
พระที่ไม่ศึกษาปริญัติ ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์แล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ท่านว่ามีไหม

ครับ ที่บอกว่าพ้นเฉพาะตน ในสมัยพุทธกาล บางรูปใช้เวลาไม่กี่วันก็ได้อรหันต์ ไม่ใช่ว่าได้อรหันต์แล้วจะรู้พระธรรมทั้งหมด หากมีความประสงค์จะเผยแพร่พระธรรม ก็ต้องไปเรียนให้จบก่อน ที่เรียกว่า สิกขา ๓ หรือเรื่อง ๓ เรื่องที่พระต้องเรียนให้จบ

ปัญหาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เริ่มมาจากพระ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพระ มันก็มาจากพวกที่เหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละไปถามพระ ถามอย่างท่านก็ตอบอย่าง ไม่ได้ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราว พออายุมากๆ บางท่านก็ไปบวช สิกขา ๓ เรียนไม่จบ ปัญหามันก็ค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อย จากรุ่นถึงรุ่น จนถึงรุ่นเรา ถ้าท่านอยากจะรู้จริงๆ ว่าอันใหนเป็นธรรมของพระพุทธองค์ อยากรู้ว่าการปฏิบัติให้ถูกธรรม ถูกบุคคลเป็นอย่างไร ก็ต้องเรียนให้จบ ไปเรียนกับอาจารย์ที่ท่านเรียนจบแล้ว อยากเป็นช่างไม่เรียนให้จบช่างไปซ่อมรถก็น๊อตเหลือก็เท่านั้น เรื่องนี้ก็ไม่ได้พ้นหูพ้นตาพระพุทธองค์ ทรงบอกไว้ก่อนดับขันธ์ประรินิพพาน ซึ่งผมว่าเป็นพินัยกรรมที่สำคัญมาก

วันออกพรรษานี้ 4 ตุลาฯ พวกเราจะมารวมกันเพื่อใหว้กู่พระอรหันต์ ที่มีอายุกว่า 1600 ปี ที่วัดถ้ำน้ำดิบดอยไซ จ.ลำพูน ถ้ามีโอกาสเชิญมาร่วม ท่านจะถามอะไรก็จะได้ถามกันให้หมดสิ้นความสงสัย ถ้าจะให้เขียนอธิบายก็คงพอๆ กับให้ผมเขียนพระไตรปิฎกขึ้นมาใหม่นั่นแหละ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 05 ก.ย. 2009, 12:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆ ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไร... เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ และอีกอย่างก็ดูจะยึดมั่นในวิธีของตนอย่างเหนียวแน่น... แต่ก็คิดว่าน่าจะบอกสักเล็กน้อย

Supareak วิธีดูจิตที่เล่ามานี้ พึงระวังนะ ระวังจะเกิดอาการ เฉยชา ต่อสิ่งแวดล้อม เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ที่คุณเข้าใจไปเองว่า อุเบกขาคืออาการด้านชา ไม่ยินดียินร้าย ขาดซึ่งอารมณ์ ซึ่งถ้าคุณลองพิจารณาให้ดี สิ่งที่คุณเล่ามาในตอนนั้นคือ การขาดความละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ซึ่งนั่นไม่ใช่อุเบกขา

การพิจารณาในเชิงไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงน่ะ เขาใช้การพิจารณานะ มันไม่ได้เกิดจากการท่อง เห็นสิ่งใดก็ท่อง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป นั่นก็เป็นวิธีเดิมๆ ที่คุณเคยใช้มาก่อน คือเป็นการกดข่มจนเป็นนิสัย ถ้าทำจนติด คุณก็จะเกิดอาการเฉยชา ไม่ใยดีต่อสิ่งต่างๆ ไป

และการ พิจารณา ถึงความไม่เที่ยงน่ะ ไม่ง่ายนะ เราจะพิจารณาได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้ถึงกลไกของสิ่งนั้นๆ ถ้าเราไม่รู้ สิ่งที่เราท่องก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า เดี๋ยวมันก็พัง
ซึ่งเราเข้าใจว่า การตระหนักถึงความไม่เที่ยง อย่างแท้จริง นั้น ระดับโสดาบันก็ยังทำไม่ได้

อันที่จริง วิธีดูจิตแบบที่คุณใช้ มันเข้าข่าย สมถะ แบบแท้ๆ เลยนะ และมันจะนำความด้านชามาให้คุณอีกครั้ง แล้วก็...
อย่าพยายามทำตัวเป็นโสดาบัน คุณสมบัติของโสดาบันข้อหนึ่งคือ ไม่มีวิจิกิจฉา เช่น ไม่มีความลังเลสงสัยในการปฏิบัติของตน ก็อย่าคิดว่า ถ้าสงสัยแล้วจะไม่เป็นโสดาบัน จึงดันทุรังไป...

เพิ่มเติม... ความไม่ลังเลสงสัยของโสดาบันนั้น หมายถึง ไม่สงสัยในจุดมุ่งหมาย เช่น นั่งสมาธิไปทำไม เสียเวลาหรือเปล่า อะไรแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเดินผิดแล้ว ก็ต้องดุ่ยๆ เข้าไป

เอาล่ะ พอแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 05 ก.ย. 2009, 23:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คำถามท่านเยอะมาก ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ตอบไม่หวาดไม่ใหว ท่านก็จะมีคำถามแบนี้เรื่อยๆ จนกว่าท่านจะได้อ่านพระสูตรจนจบนั่นแหละ
ท่านเป็นคนเปิดประเด็นเองทั้งนั้นเลย ครับ ผมแค่จะบอกเจ้าของกระทู้ว่าให้ทำสมถะ ท่านก็อ้างพระไตรปิตก พอผมจะตีความตามพระไตรปิฎกตามที่ท่านอ้าง ท่านก็บอกให้ไปอ่านเอง 25 เล่ม อ้างว่าผมถามเยอะไป ผมก็แค่ถามตามที่ท่านอ้างตามพระไตรปิฏก
ที่ผมอดทนสนทนากับท่านก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าการอ่านพระไตรปิฏกแล้วตีความเอาเองนั้นมีโอกาศผิดพลาดอย่างมาก เพราะสามารถตีความได้หลากหลาย อีกทั้งบางสิ่งบางอย่างพระไตรปิฏกก็ไม่ได้กล่าวไว้ จำเป็นต้องอาศัยผู้ที่ปฏิบัติผ่านแล้วเท่านั้น แล้วก็ย้อนกลับไปดูพระไตรปิฏกเทียบเคียง ถ้าอ่านอย่างเดียวอาจจะเป็นอย่างพระใบลานเปล่าก่อนบรรลุธรรมได้ ผมให้ท่านขอขมาพระท่านก็ไม่ทำด้วยสักกายะทิฏฐิ ท่านรู้จักปฏิสัมภิทาฌาณไหม ไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ปฏิบัติผ่านก็ได้อภิญญาตัวนี้เลย

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ดีก่าเน๊อะ..

:b8: :b8: นู๋เอค่ะ

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจเย็นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านวาทะธรรมทั้งหลาย

cool

เยธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ํ ตถาคโต

เยสญฺจ โย นิโรโธจ เอวํ วาที มหาสมโณ

ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุแห่งธรรมนั้น

และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณมีปกติตรัสอย่างนี้

จากพระไตรปิฎก วินัยเล่ม 4

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


แก้ไขล่าสุดโดย moddam เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 08:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาคือการมีปัญญามาดับทุกข์ ไม่ใช่ฌาณอภิญญา อันวิจิกิจจฉาที่เกิดขึ้นเพราะไม่แทงตลอดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความประมาทเป็นเหตุเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดกันมากขึ้นสะสมมาเรื่อยๆ เพราะชาวพุทธไม่สนใจศึกษาธรรมอย่างจริงๆ จังๆ เอาแต่เขาว่าต่อๆ กันมา ไม่มีใครฉุกคิดและพาตนไปถึงคำสอนของพระพุทธองค์จริงๆ สักคนในช่วงระยะเวลากว่า 1600 ปีที่ผ่านมา จนทุกวันนี้ไม่รู้ว่าพุทธแท้ๆ เหลือสักประมาณเท่าใหร่

หากพุทธศาสนนิกชนทั้งหลายมีภูมิธรรมสูงพอ ก็จะทราบได้ด้วยปัญญาว่า ที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นคำสอนของพระพุทธองค์จริงหรือ

พระโมคัลลานะกล่าวถึงพระโปฐิละว่า

ท่านอย่ารุกรานภิกษุเช่นนั้นเลย อย่าได้ทำลายตนเสียเลย ท่านจงยังใจให้เลื่อมใสในพระอรหันต์ผู้คงที่เกิด จงรีบประณมอัญชลีไหว้เถิด ศีรษะของท่านอย่าแตกไปเสียเลย, พระโปฐิละไม่เห็นพระสัทธรรม เพราะเป็นผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้แล้ว เดินไปสู่ทางผิดซึ่งเป็นทางคดไม่ควรเดิน พระโปฐิละหมกมุ่นอยู่ในสังขาร ติดอยู่ในลาภและสักการะ ดังตัวหนอนที่ติดอยู่ในคูถ จึงเป็นผู้ไม่มีแก่นสาร

ขอให้เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 11:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนท่าน Supareak Mulpong
ท่านน่าจะลองสนทนาธรรมกับท่านอื่นๆ ดูบ้างนะประมาณว่าเอาแบบเจาะลึกซักพระสูตรหนึ่งโดยเฉพาะการตีความสติปัฎฐาน ๔ ลองตรวจสอบดูซิว่าผู้อื่นเห็นด้วยกับท่านหรือไม่บางทีผู้รู้ทั้งหลายในลานแห่งนี้อาจจะพอชี้ให้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ท่านพลาดไปก็ได้


เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ท่านว่ามาก็ลองทำแล้วครับ ส่วนมากติดร่องลึก เป็นทิฏฐิมานะ สรุปไม่ได้ ได้แต่รักษาน้ำใจกัน จะสอบถามไปถึงต้นตอการตีความก็ ก็ไปไม่ถึง เพราะมันสืบต่อกันมาหลายทอด กลายเป็นการลบหลู่บุคคลที่ท่านเคารพนับถือกัน ก็ว่ากันไปตามเหตุตามปัจจัย การสนทนาบน board ก็ยังมีข้อจำกัด แสดงธรรมให้ชัดเจนยังไม่ได้ ถ้าจะชักชวนกันมาฟังธรรม ก็ไม่ง่าย เพราะระยะทางเป็นอุปสรรค์

บอกก็หาว่าสอน สอนก็หาว่าลบหลู่ ถามก็หาว่าท้าทาย แสดงธรามก็หาว่าแสดงภูมิ ธรรมทูตไครว่าเป็นกันง่ายๆ :b5:

ตอนนี้ชาวพุทธต้องช่วยตัวเองแล้วละครับ อย่าหวังให้ไครช่วย จะเชื่ออะไรก็ต้องพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วน ศึกษาทำความเข้าใจกันดีๆ อย่าเอาแต่เขาว่าจะพาจน พระไตรปิฎกอ่านให้จบ(เถอะนะ) :b8:

ธรรมของพระพุทธองค์ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ทันที โกรธเดี๋ยวนี้ วิปัสสนาเดี๋ยวนี้ หายโกรธเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่หลบทุกข์ กดข่มทุกข์ สิ่งใดปฏิบัติแล้วดับทุกข์ไม่ได้ ไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้อง การพิจารณาไม่ใช่การท่องจำอย่างท่าน murato ว่า ให้ใช้ความคิดหรือปัญญาพิจารณา จะพูดออกเสียง จะตรึกในใจ จะตระหนักเอา ได้ทั้งนั้น

จขทก. กลับมาอ่านสงสัยจะพาลนอนไม่หลับอีก :b4: ใหนๆ ก็นอนหลับได้แล้วผมว่าปิดกระทู้เถอะ นอกเรื่องกันไปเยอะแล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตุตัวเองดูสิครับ
ว่าเวลาไปแสดงความเห็นธรรมะในทุกสถานที่
ทำไมมีแต่คนค้าน ทำไมมีแต่คนตั้งคำถาม

ผมห่วงอย่างหนึ่้งว่า นานๆไปคุณจะเพี้ยนหรือไปเลย
หาดมีวันใดกำลังความคิดของคุณมันอ่อนลง เช่นป่วย กำลังเบลอ
ตื่นนอนสติสตังยังไม่มา คุณจะโมโหร้ายมาก
เวลาฟิวส์ขาดน่ะ จะน่ากลัวเป็นที่สุด

อันนี้พูดจริงๆไม่ได้กระแนะกระแหน
เหตุเพราะไปทำใจให้มันผิดธรรมชาติอย่างมาก

ที่คุณไปเหยียดฤาษีน่ะ
ถามใครต่อใครดูสิ คุณเองนั่นแหละ อนุฤาษีเลยล่ะ

คนเตือนเยอะนะ น่าจะเฉลียวใจบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เชื่อมั่นวิธีการตนเอง...เพราะคิดว่า..เป็นพระโสดา..ไม่มีวิจิกิจฉา

ที่แท้จริง..ไม่มีวิจิกิจฉา...เพราะทิฐิมานะ..โมหะครอบงำจิต

ทำให้หลงเชื่อความคิดของตน แบบไม่ลืมหูลืมตา

เข้าหาพระอริยะสงฆ์ครูบาอาจารย์...เพื่อแก้ทิฐิมานะของตน..

จะได้ไม่หลง..มากไปกว่านี้..

ธรรมของผู้ปฏิบัติดี..ฝึกตนได้ดี

ธรรมที่แสดงจะครอบไปหมด..

ไม่มีมุมเดียว..ด้านเดียว...ถูกในส่วนนี้..ผิดในส่วนนั้น..

ยิ่งเป็นพระโสดาบัน..ธรรมที่ท่านแสดง..เป็นธรรมที่มาจากใจแท้จริง

เป็นธรรมที่ผู้รู้เห็นอริยสัจจ์แล้ว...ย่อมครอบไปหมด

ไม่ใช่มาจากตรรกความคิดที่เข้าข้างตนเอง


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทโธ เมื่อ 16 ก.ย. 2009, 21:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b2: :b2: :b2: เฮ้อออออ...อาการเดียวกันเลยค่ะไม่ได้หลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...แต่พอพยายามข่มตาให้หลับกลับเป็นว่ารู้ตัวตลอด เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นและขณะที่หลับตาก็ยังเหมือนเรานอนสวดมนต์ตลอดเลยค่ะ...ตอนนี้เริ่มเห็นเวทนามาเลย..........

นู๋เอค่ะ

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


พระองค์เกิดความรู้ความเห็น เห็นอาการ ๓๒ ที่เรายึดมาเป็นบทสวดมนต์ในปัจจุบันนี้
อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต
มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการ
ต่าง ๆ

ความรู้อันนี้พระพุทธองค์ได้รู้เห็นก่อนการตรัสรู้ แล้วกลายเป็นกายคตาสติสูตร

ที่มา: วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร