วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 07:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เป็นผู้เริ่มปฏิบัติใหม่ค่ะ...แต่ก็ยังเชื่อว่าสมาธิกะวิปัสสนาเป็นสิ่ง
ที่ต้องปฏิบัติด้วยกัน และก็คงทำเช่นนี้ไปตลอดค่ะ

คำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีความเชื่อ ความเชื่อเป็นความคิดเห็นที่ผิด สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนให้เราสร้างความคิดเห็นชอบ ความคิดเห็นตรง เห็นจริงตามความเป็นจริง

ในพระไตรปิฎกมีแค่ความจริงความไม่จริง มีดำกับขาว ผิดกับถูก ไม่มีคาดคะเนว่า เห็นว่า เหมือนว่า หมายว่า เหมือนกับพวกอาจารย์ดอร์กเตอร์ทั้งหลายสอนกัน

เรียนถูกปฏิบัติถูก็คือสร้างเหตุที่ถูกผลก็ออกมาถูก เรียนผิดปฏิบัติผิดผลออกมาก็ต้องผิด เป็นอื่นไปไม่ได้

สมาธิกับวิปัสสนาแยกกันไม่ได้ ในพระไตรปิฎกไม่ปรากฎให้เราๆ ท่านๆ ไปฝึกสมาธิเพื่อเอามาวิปัสสนา สมาธินั้นเกิดโดยธรรมชาติ พระพุทธองค์ให้เรียนรู้เรื่องสมาธิเพื่อจะนำมาใช้ ไม่ได้มีปรากฎให้ไปตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเป็นลม
:b5: :b5: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ..

นี้แหละ..เขาละ

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดได้ไงหนออออ .....

สมาธิกับวิปัสสนาแยกไม่ได้ Onion_R

เอาไปเลยใบแดง ในฐานะ พาคนที่ยังไม่เข้าใจ ทำให้เข้าใจผิดไปด้วย
อย่าไปยึดติดกับศัพท์บัญญัตินักเลยพ่อเจ้าประคุ๊นนนนนน :b26:


สมาธิน่ะคืออะไรล่ะ?
วิปัสสนาน่ะคือการดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

แล้วทำไมมันถึงจะแยกออกจากกันไม่ได้ละจ๊ะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สมาธิกับวิปัสสนาแยกไม่ได้

สวัสดีครับ มีโอกาสเสวนาธรรมกับคุณ walaiporn น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี :b12: ที่ว่าแยกกันไม่ได้นี่ ผมหมายความว่าเวลาปฏิบัติวิปัสสนามันก็มีสมาธิเกิดเองตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึงความหมายหรือองค์ประกอบทางธรรมครับ สุขวิปัสสโกมีสมาธิในระดับปฐมฌานโดยไม่ต้องมานั่งสมาธิ

วิปัสสนาไป ปล่อยวางได้ ใจมันก็โล่งก็ว่างเป็นสมถะ ปัญญาแข็งกล้าขึ้น สมาธิก็แข็งแรงตาม;

ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ) -> ศีล -> วิปปฏิสาร -> ปราโมทย์ -> ปีติ -> ปัสสัทธิ -> สุข -> สมาธิ -> ยถาภูตญาณทัสสนะ -> นิพพิทาวิราคะ -> วิมุตติญาณทัสสนะ
(สรุปมาจาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๖ อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต กิมัตถิยสูตร)

ถ้าพบเจออะไรตรงใหนที่พระพุทธองค์ตรัสบอกให้อุบาสกอุบาสิกาไปนั่งสมาธิให้นิ่งก่อนแล้วค่อยมาวิปัสสนาเพื่อที่จะได้มรรคผลก็รบกวนนำมาบอกกล่าวเล่าสิบให้กับฟังด้วยนะครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 10:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
สมาธิกับวิปัสสนาแยกไม่ได้

สวัสดีครับ มีโอกาสเสวนาธรรมกับคุณ walaiporn น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี :b12: ที่ว่าแยกกันไม่ได้นี่ ผมหมายความว่าเวลาปฏิบัติวิปัสสนามันก็มีสมาธิเกิดเองตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึงความหมายหรือองค์ประกอบทางธรรมครับ สุขวิปัสสโกมีสมาธิในระดับปฐมฌานโดยไม่ต้องมานั่งสมาธิ

วิปัสสนาไป ปล่อยวางได้ ใจมันก็โล่งก็ว่างเป็นสมถะ ปัญญาแข็งกล้าขึ้น สมาธิก็แข็งแรงตาม;

ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ) -> ศีล -> วิปปฏิสาร -> ปราโมทย์ -> ปีติ -> ปัสสัทธิ -> สุข -> สมาธิ -> ยถาภูตญาณทัสสนะ -> นิพพิทาวิราคะ -> วิมุตติญาณทัสสนะ
(สรุปมาจาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๖ อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต กิมัตถิยสูตร)

ถ้าพบเจออะไรตรงใหนที่พระพุทธองค์ตรัสบอกให้อุบาสกอุบาสิกาไปนั่งสมาธิให้นิ่งก่อนแล้วค่อยมาวิปัสสนาเพื่อที่จะได้มรรคผลก็รบกวนนำมาบอกกล่าวเล่าสิบให้กับฟังด้วยนะครับ




cool

ปากหวานนะคะ ชอบค่ะ ชอบคนพูดเพราะๆ แต่ตัวเองพูดเพราะๆไม่ค่อยเป็นค่ะ :b32:

เพราะยึดติดกับศัพท์ มันเลยวุ่นวายไงคะ

การเจริญสติปัฏฐาน 4 นี่แหละค่ะ ดีที่สุดแล้ว ได้ทั้งสติ สัมปชัญญะ
ได้ทั้ง การทำวิปัสสนา และสมาธิ ได้ปัญญาเป็นของแถม คุณว่าดีมั๊ยคะ ? :b1:



วิปัสสนาไป ปล่อยวางได้ ใจมันก็โล่งก็ว่างเป็นสมถะ ปัญญาแข็งกล้าขึ้น สมาธิก็แข็งแรงตาม;

เนี่ยยย ... อย่างคำพูดนี้ เหมือนกันค่ะ
แทนที่คุณจะบอกว่า เพียงเราเห็นตามความเป็นจริงได้ ( วิปัสสนา ) ปัญญาย่อมเกิด
แต่คุณกลับมาพูดทับศัพท์รวมๆแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะคะ

ถ้างั้นคุณควรอธิบายรายละเอียดด้วยนะคะ ถ้าจะพูดแบบนี้น่ะค่ะ :b16:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณครับ ตั้งแต่เข้ามาใน board นี้ก็พยายามใช้ภาษาที่ง่ายขึ้นแล้วนะครับ แต่อย่างไรก็จะพยายามใช้ภาษาที่ง่ายกว่านี้ จะได้เข้าใจกันง่ายๆ

คุณ walaiporn ที่พวกผมศึกษามาจากพระไตรปิฎก สติ กับสมาธิ ที่จะนำมาใช้ในสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์ธรรมในมรรค ๘ สำหรับปหานกิเลสอย่างละเอียด เพื่อให้ได้อรหันต์ชาตินี้ สมาธิและสติในบุคคลทั่วไปยังไม่มีปัญญากำกับ ใช้ได้ในการปหานกิเลสอย่างหยาบเท่านั้น

หมายความว่าจะต้องพัฒนาปัญญาให้แข็งกล้า หรือให้เป็นปัญญินทรีย์ ซึ่งก็คือ สร้างสัมมาทิฐิที่นับเนื่องเป็นองค์มรรคให้เกิดก่อน เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นวิธีการสำหรับอริยะบุคคล หรือผู้ที่ได้มรรคผลแล้ว หรือผู้ได้โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป

คุณมีความเห็นว่าเช่นไรครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ขอบพระคุณครับ ตั้งแต่เข้ามาใน board นี้ก็พยายามใช้ภาษาที่ง่ายขึ้นแล้วนะครับ แต่อย่างไรก็จะพยายามใช้ภาษาที่ง่ายกว่านี้ จะได้เข้าใจกันง่ายๆ

คุณ walaiporn ที่พวกผมศึกษามาจากพระไตรปิฎก สติ กับสมาธิ ที่จะนำมาใช้ในสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์ธรรมในมรรค ๘ สำหรับปหานกิเลสอย่างละเอียด เพื่อให้ได้อรหันต์ชาตินี้ สมาธิและสติในบุคคลทั่วไปยังไม่มีปัญญากำกับ ใช้ได้ในการปหานกิเลสอย่างหยาบเท่านั้น

หมายความว่าจะต้องพัฒนาปัญญาให้แข็งกล้า หรือให้เป็นปัญญินทรีย์ ซึ่งก็คือ สร้างสัมมาทิฐิที่นับเนื่องเป็นองค์มรรคให้เกิดก่อน เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นวิธีการสำหรับอริยะบุคคล หรือผู้ที่ได้มรรคผลแล้ว หรือผู้ได้โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป

คุณมีความเห็นว่าเช่นไรครับ





ความคิดหรือคะ ...

คือคิดว่า ไม่ควรจะสนทนากับคุณอีกต่อไปค่ะ :b12:
จริงๆนะคะ .. เพราะถ้าขืนสนทนากันต่อไป รังแต่จะสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นเปล่าๆ
เพราะคุณยึดติดอย่างเหนียวแน่นว่า การเจริญสติปัฏฐาน 4
ไม่เหมาะกับบุคคลธรรมดาทั่วๆไป
ทั้งๆที่พระพทุธองค์ทรงตรัสไว้ว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นทางสายเอก
ใครๆก็สามารถที่จะฝึกได้ทั้งนั้นในคนปกติธรรมดาๆนี่แหละ

แต่ในเมื่อคุณยืนยันอย่างเหนียวแน่นแบบนี้แล้ว
คงหมดคำพูดที่จะสนทนาแล้วแหละค่ะ

ได้แต่บอกว่า สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น :b8:
แต่สุดท้าย เมื่อกุศลของคนๆนั้นมากพอ ย่อมไปถึงจุดหมายปลายทางเหมือนๆกัน
เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว นั่นก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่เขาได้กระทำกัน :b1:

ลาค่ะ cool

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


จะถามต่อดีมั้ยเนี่ยว่าเหตุใดพวกท่านจึงสรุปความว่าสติปัฏฐษน ๔ คนธรรมดาที่ยังไม่ได้มรรคผลก็เจริญได้ :b4: ตรงนี้ไม่รู้จริงๆ นะ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 23:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
จะถามต่อดีมั้ยเนี่ยว่าเหตุใดพวกท่านจึงสรุปความว่าสติปัฏฐษน ๔ คนธรรมดาที่ยังไม่ได้มรรคผลก็เจริญได้ :b4: ตรงนี้ไม่รู้จริงๆ นะ



อันนี้ไม่ต้องตอบผมนะ
เอาไปคิดเล่นๆเองว่า

แล้วการที่คนคนหนึ่งจะได้โสดาบันน่ะ
เขาทำอะไร ถึงได้โสดาบัน
โสดาบันหรืออริยบุคคลนั้นน่ะ มาจากไหน
ทำอะไรถึงได้ ถึงเป็น

โสดาบันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆโดยไร้เหตุปัจจัยนะ




ห้ามตอบว่าสติปัฏฐานนะ
เพราะคุณบอกแต่ต้นว่า
สติปัฏฐานของคุณมันสงวนลิขสิทธิ์เฉพาะอริยะบุคคล


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 23:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลายมัคคาปฏิปทา (การปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผล) ซึ่งเป็นไป เพื่อการละเพื่อก้าวล่วง สมาตาปุตติกภัย ๓ อย่างนี้และ อมาตาปุตติกภัย ๓ อย่างนี้เป็นไฉน คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แลกล่าวคือ

๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ คือ ปัญญาเจตสิก
๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ คือ วิตกเจตสิก
๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ คือ สัมมาวาจาเจตสิก
๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ คือ สัมมากัมมันตเจตสิก
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ สัมมาอาชีวเจตสิก
๖. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ คือ วิริยเจตสิก
๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือ สติเจติสิก
๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นชอบ คือ เอกัคคตาเจตสิก

ดูกร ภิกษุทั้งหลายมัคคาปฏิปทา ซึ่งเป็นไป เพื่อการละเพื่อก้าวล่วงสมาตาปุตติกภัย ๓ อย่างและ อมาตาปุตติกภัย ๓ อย่าง นี้แล.


สัมมาทิฏฐิ เกิดได้จากการพิจารณาสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ ๖ ณ ปัจจุบันให้เห็นตามที่เป็นจริง เมื่อเจริญหรือทำให้มากแล้ว ปัญญาจะมีความแข็งกล้า จนสามารถเกิดขึ้นมาได้ประกบกับจิตทุกดวงที่เกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์

ในขณะโสดาปัตติมรรค (มรรคจิตดวงที่ ๑) สัมมาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมายความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลสปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญาปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัย สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิมีในสมัยนั้น.

สัมมาทิฏฐิในอริยมรรคมีองค์ ๘ (ในขณะโสดาปัตติผล) เป็นไฉน?
๑) ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
๒) ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความไม่หลง ความวิจัยธรรม ความเห็นชอบ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์


เมื่อเกิดปัญญาหรือความเห็นจริงเห็นชอบ การคิดผิด พูดผิด ทำผิด ประกอบอาชีพผิด เพียรผิด ก็จะไม่เกิด เพราะเกิดปัญญารู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มีโทษ (มีศีล) ต่อมามีจิตเกิดตั้งมั่น ก็เป็นความตั้งมั่นชอบ ... (สมาธิของโสดาบันที่เป็นปัญญาวิมุตินั้นเกิดได้ถึงรูปฌาน ๔)

ในขณะโสดาปัตติมรรค (มรรคจิตดวงที่ ๑) สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นแห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิตความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ สัมมาสมาธิสมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่าสมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

สัมมาสมาธิ ในอริยมรรคมีองค์ ๘ (ในขณะโสดาปัตติผล) เป็นไฉน?
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก อยู่ บรรลุทุติยฌาน อันยังใจให้ผ่องใสเพราะวิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นภายในไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแก่สมาธิ อยู่ เพราะคลายปีติได้อีกด้วย จึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกายบรรลุตติยฌานซึ่งเป็นฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้ อยู่ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อยู่ นี้เรียกว่า สัสัมมาสมาธิ


บุคลลเมื่อเจริญปัญญาด้วยการรู้จักการภาวนาที่ถูกต้อง สามารถสร้างปัญญาที่แข็งกล้าขึ้นมาได้ องค์ธรรมในมรรคก็เกิดขึ้นได้ เป็นอริยะบุคคลโดยสมบูรณ์

ในพระไตรปิฎกจะมีการสร้างองค์ธรรมในมรรคอีกทางหนึ่งสำหรับฌานลาภีบุคคล (นักบวชนอกศาสนา) แต่ไม่ขอกล่าวรายละเอียดในที่นี้

ถามอีกที เหตุใดพวกท่านจึงสรุปความว่าสติปัฏฐาน ๔ คนธรรมดาที่ยังไม่ได้มรรคผลก็เจริญได้?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 07 ก.ย. 2009, 12:47, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามมาดูครับ เลยเอามาให้ท่าน Supareak Mulpong

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๖๒๕๗ - ๖๗๖๔. หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๗๗.

อ่านถึงตรงนี้เขาบอกว่า "[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑.........."

คือผมอยากทราบว่าท่าน Supareak ดีความ ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง คือโสดาบันได้อย่างไร

การเผยแพร่ธรรมผิดๆ ก็เป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อมได้เหมือนกันนะครับ บางทีอาจเป็นบาปหนักด้วย


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 07 ก.ย. 2009, 21:30, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา..กับคุณ อายะ..

และก็จะรอชม..คำตอบของคุณ Supareak Mulpong ด้วยครับ

แล้ว คุณ Supareak Mulpong อย่าลืมตอบ.คุณชาติสยาม..ด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีมรรค ๘ เป็นบาทฐาน กล่าวคือ จะต้องมีองค์ธรรมในมรรค ๘ มาประชุมรวมกันในตัวผู้ปฏิบัติก่อน การที่จะได้องค์ธรรมในมรรค ๘ นั้น ต้องเจริญปัญญาหรือสร้างสัมมาทิฏฐิ คือ มีปัญญาที่เห็นจริงตามจริงทันปัจจุบัน เป็นอันดับแรก

ผู้ที่ได้มรรคครบองค์ ๘ แล้ว คืออริยบุคคล ตั้งแต่โสดาปัตติผลเป็นต้นไป (โสดาปัตติมรรคยังไม่นับ)

เรื่องที่ท่านอายะแปล ผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นโสดาบัน ท่านแปลเองนะ ผมไม่เกี่ยว :b12:

ศีล สมาธิ ปัญญา ของพระ เป็นการพูดย่อๆ ถ้าจะพูดเต็มๆ ต้องเรียก อริยะศีล อริยะสมาธิ อริยะปัญญา พระมีอริยทรัพย์เหล่านี้ในตัวอยู่แล้ว การที่จะบวชได้ในสมัยพุทธกาลจะต้องมีดวงตาเห็นธรรมก่อน คือ ได้โสดาบันก่อนจะมาบวช เอามาเทียบกับพระปัจจุบันก็ยังไม่ได้ การที่อริยะบุคคลมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน เพื่ออริยะวิมุติ เพื่อบรรลุอรหันต์

คนธรรมดายังไม่มีศีล ยังต้องถือศีล ยังไม่มีปัญญา ยังต้องสร้างปัญญา หลังจากได้ปัญญาแล้ว องค์ธรรมทั้งหมดในมรรค ๘ ก็จะมาประชุมในตัวผู้นั้นครบ

ในพระไตรปิฎก หากเป็นการสอนบุคคล ท่านก็จะเริ่มตั้งแต่ต้น คือ ขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ หรือนับตั้งแต่ ๑, ๒, ๓, ... หากเป็นสอนพระอริยะ ก็จะข้ามไปที่การบรรลุอรหันต์ หรือนับตั้งแต่ ๑๐, ๑๑, ๑๒ ...

ท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่า หากได้มรรคแล้วจะได้ผลตามมาเลย ในสมัยพุทธกาล ผู้มีบุญมาก มีศัทรามาก มีปัญญามาก ฟังธรรมแล้วก็ได้เลย เป็นโสดาบันเลย แต่ปัจจุบันหาไม่ได้ ได้มรรคแล้วกว่าจะบรรลุถึงผล ใช้เวลานาน หากไม่เจริงเอาจังกับการวิปัสสนาภาวนา บางทีตลอดชีวติก็ยังไม่ได้ เป็นได้แต่โสดาปัตติมรรค

หลัการวิปัสสนาคือพิจาราณาสิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นสิ่งที่สัมผัสได้สิ่งที่รู้สึกได้ ให้ทันปัจจุบัน ตามความเป็นจริงที่มันเป็น การที่จะพิจารณาธรรมได้นั้น ต้องมีดวงตาเห็นธรรมก่อน การพิจารณาธรรมต้องมียถาภูตญาณทัสสนะ จึงจะพิจารณาธรรมได้ คนที่ยังไม่มีก็เป็นแค่ วิปัสสนึก เท่านั้น กลายเป็นการจับอารมณ์ในมโนวิญญาน ได้แค่สมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 08 ก.ย. 2009, 08:59, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑.........."

ท่าน Supareak ครับ "ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง" ท่านแปลว่าอย่างไรครับ ท่านเลี่ยงไม่ยอมตอบพระสูตรนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะครับ ผมถามไม่ชัดเจน หรือท่านไม่เข้าใจคำถามผม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร