วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 04:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 56 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ถามอีกนิดนะครับ ประเด็นที่อ้างอิงมา
เมื่อบุคคลนั้นคิดว่า เกิดมาแล้วก็ต้องเรียน เรียนจบทำงานหาเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัว เมื่อเขาเห็นว่าเป็นทุกข์ และการเกิดมาเป็นคนเป็นสมุทัยของเขา ประมาณนี้ ใช่นะครับ

เมื่อเป็นดังนี้ บุคคลนั้นจะทำอย่างไรต่อไปให้พ้นจากทุกข์เพราะการเรียน เพราะการทำงานที่เขาเห็นนั้น แล้วเขามีหนทางอย่างไรที่จะพ้นจากทุกข์นั้น แล้วมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นสุขได้ตลอดชีวิตของเขาครับ


เห็นว่า..กำลังมะงุมมะหงาหร่ากับอริยะมรรคมีองค์ 8 อยู่ นะครับ


เห็นว่า..กำลังมะงุมมะหงาหร่ากับอริยะมรรคมีองค์ 8 อยู่ นะครับ

ไม่ค่อยเข้าใจ ...มะงุมมะหงาหราต่ออริยมรรค มีองค์ ๘ เป็นยังไงครับ มะงุมมะหงาหรา
หรือคุณจะอธิบาย มรรค มีองค์ ๘ เหมือนกับที่คุณอโศกะ กล่าวไว้ก่อนหน้า ท่านอธิบายไว้อย่างนี้ครับ =>


(รู้ทันปัจจุบันของลมหายใจ เป็น สัมมาสติ
เฝ้าดูลมหายใจเป็นสัมมาทิฐิ
สังเกต พิจารณาลมหายใจเป็นสัมมาสังกัปปะ
เพียรเฝ้าดูเฝ้าสังเกต เป็นสัมมาวายามะ
จิตตั้งมั่นอยู่กับการเฝ้าดู เฝ้าสังเกต เป็นสัมมาสมาธิ
การเจริญสติเจริญปัญญาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต เป็นสัมมากัมมันตะ
การได้มีโอกาสมีเวลามาศึกษาธรรม ทดสอบธรรม เป็นผลของสัมมาอาชีวะ
เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้ เป็นสัมมาวาจา
ครบ 8 ละยังครับ )




ก็รอคำตอบจากคุณอโศกะต่ออีกว่า เมื่อปฏิบัติต่อมรรคมีองค์ ๘ อย่างนั้นแล้วเนี่ย
ทีนี้เราต้องการจะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการต่ออีก เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะครบ ๓๗

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




m207409.jpg
m207409.jpg [ 95.3 KiB | เปิดดู 3398 ครั้ง ]
(ต่อ)

โดยนับนี้ ศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ความรู้ในอริยสัจ และการปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทา

คือ มรรคามีองค์ ๘ จึงเป็นเครื่องป้องกันหรืออย่างน้อยก็บรรเทาการดำเนินชีวิต

การปฏิบัติต่อความทุกข์ และ การแก้ไขปัญหาในทางที่ผิดทุกอย่างทุกด้าน ซึ่งอาจมีมาในรูป

ของการลืมสติหลงฟั่นเฟือน ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้เลื่อนลอยไปตามอำนาจของความทุกข์

ความคับแค้นโศกเศร้าบ้าง

การกลบเกลื่อน หลอกตัวเองให้ลืมทุกข์ด้วยการกดตัวให้จมลึกลงไปในกามสุขมากยิ่งบ้าง

การหันไปหวังพึ่งอำนาจเร้นลับ อ้อนวอนสิ่งดลบันดาล หรือรอคอยโชคชะตาจากภายนอกบ้าง

การประกอบทุจริตต่างๆบ้าง

การหันออกไปรุกรานระบายทุกข์แก่ผู้อื่น เที่ยวเบียดเบียนก่อความเดือดร้อนแก่คนทั้งหลายบ้าง

การเคียดแค้นชิงเบื่อตัว หันกลับเข้ามาบีบคั้นทรมานตนเองบ้าง

มรรคซึ่งหนุนด้วยศรัทธาที่ถูกต้องนี้ ทำให้ดำรงอยู่ในสุจริต ประพฤติการที่เกื้อกูล

เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

ทำให้เผชิญสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความเข้มแข็งมั่นคง มีใจสงบ

สามารถดำเนินชีวิต แก้ไขปัญหา ดับทุกข์ได้ ด้วยความมีสติ ใช้ปัญญาพิจารณา

และเพียรพยายามจัดการไปตามวิถีทางแห่งเหตุปัจจัย



แม้อย่างอ่อนแอที่สุด เมื่อไม่อาจช่วยตนเองได้ลำพัง ก็รู้จักเลือกหากัลยาณมิตร

ที่จะช่วยปลุกเร้าใจให้กล้าหาญในกุศลธรรม และที่จะช่วยชี้แนะให้เกิดปัญญา

มองเห็นเหตุปัจจัยเพื่อแก้ไขได้โดยถูกต้อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 ก.ย. 2009, 08:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:



เห็นว่า..กำลังมะงุมมะหงาหร่ากับอริยะมรรคมีองค์ 8 อยู่ นะครับ

ไม่ค่อยเข้าใจ ...มะงุมมะหงาหราต่ออริยมรรค มีองค์ ๘ เป็นยังไงครับ มะงุมมะหงาหรา
หรือคุณจะอธิบาย มรรค มีองค์ ๘ เหมือนกับที่คุณอโศกะ กล่าวไว้ก่อนหน้า ท่านอธิบายไว้อย่างนี้ครับ =>


(รู้ทันปัจจุบันของลมหายใจ เป็น สัมมาสติ
เฝ้าดูลมหายใจเป็นสัมมาทิฐิ
สังเกต พิจารณาลมหายใจเป็นสัมมาสังกัปปะ
เพียรเฝ้าดูเฝ้าสังเกต เป็นสัมมาวายามะ
จิตตั้งมั่นอยู่กับการเฝ้าดู เฝ้าสังเกต เป็นสัมมาสมาธิ
การเจริญสติเจริญปัญญาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต เป็นสัมมากัมมันตะ
การได้มีโอกาสมีเวลามาศึกษาธรรม ทดสอบธรรม เป็นผลของสัมมาอาชีวะ
เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้ เป็นสัมมาวาจา
ครบ 8 ละยังครับ )



ก็รอคำตอบจากคุณอโศกะต่ออีกว่า เมื่อปฏิบัติต่อมรรคมีองค์ ๘ อย่างนั้นแล้วเนี่ย
ทีนี้เราต้องการจะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการต่ออีก เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะครบ ๓๗


ผมหมายถึง..เขายังล้มลุกคลุกคลาน..อยู่นะครับ..ตรง ๆ ไม่มีอะไรแอบข้างหลัง

อะไรกันนี้ครับ...อธิบายมรรค 8 งันหรือครับ..
ผมไม่มีความรู้อะไรอย่างนี้หรอกนะ...
ดูแล้วก็ยังไม่เข้าใจ...สงสัย..ผมคงยัง...? งง ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ กระทู้นี้จบ ปิดกระทู้ (เอง) ด้วยเพลงพุทธธรรม


http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... ong06.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 08 ก.ค. 2009, 19:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ถามอีกนิดหนึ่ง ปฏิบัติแบบนั้น หากเราต้องการจะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ต่ออีก
ต้องทำอย่าง่ไรอีกบ้าง จึงจะครบ ๓๗ ครับ
อ้างอิงคุณกรัชกาย

อย่าพึ่งจบซิครับ กระทู้ดีๆอย่างนี้ ทรงไว้นานๆอีกสักหน่อย วิตก วิจารณ์กันไปอีกสักนิด จะเป็นประโยชน์กับชาวโลกมากเลยครับ
คำตอบสำหรับที่ว่าจะต่อไปเป็นโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นจะทำอย่างไร
มีคำตอบง่ายๆว่า ถ้าเอาสติ เอาปัญญา เฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ หรือเรียกว่าเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือเรียกว่าเจริญมรรค 8 โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการจะมารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันอารมณ์นี่เองไม่ต้องไปคิดไปจำมากมายให้ปวดหมอง อย่าว่าแต่โพธิปักขิยธรรม 37 เลย พระธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ก็มารวมลงที่ปัจจุบันอารมณ์นี่เองเป็นมรรคสมังคื เป็นเอโกธัมโม ตอนที่จะขุดถอนมิจฉาทิฐินั้น ธรรมทั้งหมดจะมารวมเป็นโสดาปัตติมรรค ตัวเดียว ตัดละอัตตาให้ขาดสะบั้น ตายลงไป

มิจฉาทิฐิ อัตตทิฐิ สักกายทิฐิ ตายขาดลงไปแล้ว จะย้อนกลับมาปัจจเวก มาวิจัยธรรม ก็ไม่สายเกินไปหรอกครับ ความรู้ ความแตกฉาน ในอริยสัจจ 4 มรรคมีองค์ 8 ปฏิจจสมุปบาท 12 โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หรือพระธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ อันเป็นบัญญัติธรรมทั้งหลาย ก็จะเป็นสิ่งไม่ยาก จักเข้าใจแจ่มแจ้ง ทะลุ ปรุโปร่งไปเองในภายหลังครับ
จะลองพิจารณาคำสรุปของอาจารย์ท่านหนึ่งสอนศิษย์ไว้ว่า

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b19: วิธีเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
หาที่อันสงัด ปูลาดอาสนะ ขัดสมาธินั่ง ตั้งกายให้ตรง หลังตรง คอตรง หัวตั้งตรง มนสิการ ตั้งใจ โยนิโส ตั้ง สติ ปัญญา เฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณา เข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ สมาธิ ต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ที่สุดจะได้ รู้ ได้เห็น กระบวนการทำงานของกายและจิต ว่า เมื่อมีผัสสะ การกระทบของทวารทั้ง ๖ กับสิ่งที่มากระทบ จะเกิดเวทนา ความรู้สึก ตัณหาความอยากขึ้นมาทุกครั้งไป เป็นอารมณ์ธรรม ๑ สัมผัส ๑ อารมณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นอดีต แล้วก็เกิดผัสสะและอารมณ์ใหม่เกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ให้ได้ ดู ได้เห็น ได้รู้ ได้สังเกต พิจารณา สืบต่อหนุนเนื่อง หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปไม่หยุดยั้ง ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลานอนหลับในตอนค่ำจิตเข้าภวังค์หมดความรับรู้สัมผัส พอตื่นเช้าขึ้นมา มีสติ สัมปชัญญะรู้ตัว มีการรับรู้สัมผัสของทวารทั้ง ๖ ขึ้นมาอีก กระบวนการทำงานโดยธรรมชาติของจิตก็จะดำเนินการต่อไปเหมือนเช่นเคย
ถ้ารู้ทันปัจจุบันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ความสังเกต พิจารณามีกำลัง คม ละเอียด เฉียบแหลม ก็จะได้เห็นถึงความจริงอันสำคัญว่า วันทั้งวันจะมีแต่ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของอารมณ์ เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปมา และบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตลอดเวลา นี่คือปกติธรรมดาของชีวิตทุกชีวิต
แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เป็นงานของวิปัสสนาภาวนาคือผู้ปฏิบัติทุกคนจะได้พบเห็นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นมายุ่งกับทุกการกระทบสัมผัสทุกครั้งไป คือมีอุปาทานความเห็นผิดว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู โผล่ ผุดขึ้นมารับรู้เวทนา ตอบโต้กับเวทนา จนเกิดเป็นตัณหา ความอยากทั้ง ๓ อย่าง คือ กามตัณหา ความยินดีพอใจในสัมผัสทั้ง ๖ ภวตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากเอา เมื่อพบกับอารมณ์ที่ชอบใจ เกิดเป็นโลภะ วิภวตัณหา ความยินร้าย ไม่ชอบใจเกิดขึ้นเมื่อพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจ เกิดเป็นโทสะ ความขุ่นมัวและโกรธ หรือเกิดความไม่ยินดีไม่ยินร้ายต่ออารมณ์ เกิดความวางเฉย เป็น อุเบกขา แล้วก็จะเกิดความปรุงแต่งไปด้วยอำนาจแห่งความยินดี ยินร้าย หรือเฉยๆ เป็นมโนกรรม เป็นวจีกรรม เป็นกายกรรมไปตามลำดับ เมื่อกรรมครบองค์ ๓ ก็จะเกิดผล เป็นวิบากให้ผู้กระทำกรรมต้องได้รับผล เสวยผล เป็นบาป เป็นบุญ สุข ทุกข์ ไปตามกำลังแห่งกรรมที่ตนกระทำ หมุนเวียน สืบต่อกันไปทั้งวัน
เมื่อผู้ปฏิบัติมีญาณ คือปัญญา รู้ เห็นสิ่งแปลกปลอมคือ อุปาทานความเห็นผิดว่า เป็นอัตตา ตัวกู ของกู โผล่ ผุด ขึ้นมาในจิตอย่างนี้จนชัดเจนดีแล้ว ก็จงทำตามหัวใจการภาวนาดังที่สรุปไว้ที่ปกหลังของหนังสือเล่มนี้ ไม่ช้าไม่นานก็จะได้พบเห็นว่า สัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้องว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู จะเกิดขึ้นมาแทนที่ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู มากขึ้น ๆ ความเห็นผิดเป็นอัตตา ตัวกู ของกูจะผอมลง เบาบาง จางลง ลดลง ๆ ไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป ดับหาย ตายขาดไปจากจิตใจในที่สุด แล้วผลอันยิ่งใหญ่ คือนิพพานธาตุก็จะเกิดปรากฏขึ้นมาในจิตในใจของผู้ปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเอง :b29:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27: หัวใจวิปัสสนาภาวนา
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา
ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย ถ้าสู้ได้
ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ


งานและหน้าที่ของชาวพุทธ
ละความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา
ตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู
ทุกวัน เวลา นาฑี วินาฑี ที่ระลึกได้
และมีโอกาส

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


งานและหน้าที่ของชาวพุทธ (ประสาเด็กประถม)

น่าจะ..

พึงเห็น..........ทุกข์..จะหาสุขจริงในโลก..ในขันธ์5 นี้ ไม่มีวันพบ
พึงเห็น..........ต้นเหตุให้เกิดทุกข์..อันมี..ความไม่รู้ ความอยาก และความยึดมั่น(ในขันธ์ 5)
พึงตระหนักรู้ว่า..ความไม่ทุกข์อย่างสมบูรณ์..ย่อมมีอยู่
พึงปฏิบัติ........ตามสายทางสู่การไม่มีทุกข์อย่างสมบูรณ์

การปฏิบัติ..(น่าจะ)..เริ่มจาก..บุญกิริยาวัตถุ 10..บารมี 10 มรรค 8 เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27: การปฏิบัติ..(น่าจะ)..เริ่มจาก..บุญกิริยาวัตถุ 10..บารมี 10 มรรค 8 เป็นต้น อ้างอิงคุณกรัชกาย :b11:
การปฏิบัติธรรมตามตำราและตัวหนังสือ น่าจะเริ่มจากบุญกิริยาวัตถุ 10 ..........ฯลฯ นั้นถูกต้องแล้วละครับ
:b29: แต่การปฏิบัติธรรมตามธรรมนั้น เริ่มต้นจากปัจจุบันอารมณ์ ขณะนี้เลยทีเดียว
:b19: เมื่อได้มีโอกาสพบพระธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นข่าวสาร ส่งผ่านมาทางกัลยาณมิตรมาถึงหูของผู้ปฏิบัติ เกิดสุตตมยปัญญาอันถูกต้อง จินตมยปัญญา ไตร่ตรองตามเหตุผล จนเข้าใจหลักทฤษฎีดีแล้ว เกิดศรัทธาปสาทะจะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8 ตามคำแนะนำของพระศาสดา ก็ให้เริ่มทำภาวนาได้เลยโดย
:b8: ในอิริยาบททั้ง 4 จงเริ่มต้นจากการให้มีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หลังจากนั้นธรรมชาติต่างๆของกระบวนการทำงานภายในกายและจิตเขาจะดำเนินไปเองตามธรรมโดยอัตโนมัติ (ถ้าไม่มีความคิด หลักทฤษฎี บัญญัติใดๆ ไปกั้นขวาง) คือ
ปัญญาสัมมาทิฐิ จะมาดู มารู้สึก มาเห็นปัจจุบันอารมณ์นั้น สติ จะส่งงานต่อให้ ปัญญาสัมมาส้งกัปปะ มาสังเกต พิจารณาอารมณ์นั้น เห็นอารมณ์นั้นตั้งแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ จน ดับไป ไม่คลาดสายตาของปัญญา สติ จะรู้ทันอาการทั้งหมดโดยตลอดเป็นปัจจุบัน ทันปัจจุบัน แล้วก็มารู้ทันอารมณ์ใหม่ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสันตติ ห่วงโซ่ คล้องจองกันไปอย่างนี้ตลอดเวลา ทั้งวัน

หน้าที่ของผู้ปฏิบัติ ก็มีเพียง เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าเห็น เฝ้าสังเกต พิจารณา เข้าไปในกาย (รูป) และจิต (นาม) ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นาน จิตตัวปัญญาจะเกิดการเรียนรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานตามธรรมชาติทั้งหมด ของ กาย และ จิต ตามที่มันเป็นจริง
ความเป็นจริงที่แสดงอยู่ตลอดเวลาทุกการกระทบสัมผัสของอายตนะทั้ง 6 คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เป็น อนิจจัง ทนไม่ได้ เป็นทุกขัง บังคับบัญชา หาตัวตนแก่นสารอะไรไม่ได้ เป็น อนัตตา นี่คือปกติธรรมของชีวิตที่เป็นปกติ

:b35: แต่ในกระบวนการทำงานในจิตของปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายนั้น มันจะยังมีสิ่งแปลกปลอมคอยผุดขึ้นมาทำความวุ่นวาย ทำให้เกิดปัญหาและทุกข์ภาระขึ้นกับชีวิต ก้อนขันธ์ของจิตแต่ละดวงอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ อุปาทานความเห็นผิดว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู มีกู เวทนาก็เกิด ตัณหาก็เกิด
กรรมทั้ง 3 ก็เกิด แล้วการรับผลของกรรมทั้ง 3 ก็เกิดตามมาเป็นลูกโซ่ วงเวียน วัฏฏจักร ที่ไม่รู้จบ
:b29: ผู้มีสติ ปัญญาฉลาด รู้จักสังเกตพิจารณา กายใจของตน เมื่อได้พบเห็นความเห็นผิดเป็น กู ที่แทรกขึ้นมา ใจปัญญา ไม่ยอม ใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วย วิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอย (ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงอนัตตา) หรือตายดับ (โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นมาทำลายความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู ตายขาดหมดสิ้นไปจากใจ) ยกระดับตนเองขึ้นสู่ความเป็นอริยชน ด้วยประการฉะนี้
:b27: ถ้าเชื่อกฎแห่งกรรม ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ มิได้เกิดมาเพื่อตั้งต้นนับหนึ่งในชาติปัจจุบัน แต่มันเป็นชีวิตที่ได้สะสมเอาผลกรรมดีกรรมชั่วมานับชาติไม่ถ้วน โอกาสที่ได้มาเกิดเป็นคน มีอวัยวะครบ 32 ประการ ไม่บ้าไบ้ เสียจริต เสียหู เสียตา เสียแข้ง เสียขา ฯลฯ นี้ก็เพราะอำนาจแห่งศีล 5 ที่รักษาไว้ดีในอดีตชาติ เมื่อได้โอกาสมาเกิดเป็นคนเช่นนี้ แสดงว่ามีบารมีถึงแล้ว ที่จะได้มาทำตนให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ที่สงบเย็นให้ทันในชาติปัจจุบันนี้ ขอแต่เพียงให้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบกัลยาณมิตร บอกทางผิด ชี้ทางถูกคือทางสู่พระนิพพานตามหลักธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือวิปัสสนาภาวนา อริยสัจจ 4 มรรค 8 และ อนัตตา
:b19: ดังนั้นจงอย่ามัวรอรี ได้สุตตมยปัญญา รู้มาถึงตรงนี้ พึงรีบลงมือประพฤติ ปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนาทันที ทำหน้าที่ของชาวพุทธให้ได้ดีในชีวิตประจำวัน มิช้ามินานเกินรอ ถ้าเหตุถึง ผลพอ มรรค ผล นิพพาน ก็จะประจักษ์แก่ใจตน ไม่พ้นเกินชาตินี้ ปิดประตูอบาย กันให้ได้เสียที ยุติภพ ชาติเสียแต่บัดนี้ อย่ามัวติด สงสัย บารมีในตัวหนังสืออยู่เลยนะครับท่านทั้งหลาย เกิดมาเป็นคนได้ แสดงว่ามีบารมีถึงทุกคน เพียงแต่ให้มีสติ ปัญญา และวิริยะที่มากพ้น ก็จะได้พาตน พ้นทุกข์์ โศก โรค ภัย สาธุ :b52:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีครับคุณกรัชกาย คุณกบนอกกะลา และทุกๆท่าน
วันนี้มีโอกาสดีที่จะมาต่อเรื่องที่ค้างไว้คือ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
ผมมีโอกาสได้ถกและสนทนาธรรมกับนักปฏิบัติรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง เขาอยากจะจำโพธิปักขิยธรรม 37 ประการให้ได้ แว้ปหนึ่งในช่วงสนทนาผมได้ค้นพบ ระหัสลับเพื่อไปไขเอากุญแจแห่ง โพธิปักขิยธรรม 37 ประการระหัสลับนั้นมีดังนี้ครับ

34251718 ต้องอ่านว่า "สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด"ครับ

34 คือ อริยสัจ4 สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4

25 คือ อินทรีย์ 5 พละ 5[color=#400080][/color]

17 คือ โภชงค์ 7

18 คือ มรรคมีองค์ 8

:b35: คำถามของคุณกรัชกรายว่าจะเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ต่ออย่างไร ก็ได้ตอบแล้วโดยขอสรุปไว้ในวันนี้ว่า

:b19: ตั้งใจที่จะเอาสติ เอาปัญญาทั้งคู่ มาเฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา เข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์

เป็นผู้ชม ผู้สังเกต ทุกสิ่งอย่าง
ที่เกิดขึ้นในกาย - ใจ ไม่เว้นวาง
จะพบทางแห่งธรรม เกิด แสดง
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เป็นอยู่ มิรู้สิ้น
เป็นเช่นนี้กว่าชีวินจะหาไม่
เมื่อสังเกตให้ดีในกายใจ
จะพบสิ่งแปลกปลอม ร้ายเกิดทุกครา
ที่มีการกระทบและสัมผัส
ทุกอารมณ์จะเห็นชัดเป็นหนักหนา
[color=#FF0000]ว่ามี กู เกิดขึ้น ทุกเวลา

มายินดี ยินร้าย และตัณหา ทุกครั้งไป
ใจปัญญา อย่ายอมใจเป็นกู
นิ่งดู นิ่งสังเกตพิจารณา
ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กูจะถอยหรือตายดับไปจากใจ (มรรค 1)[/color]

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบไปนานแล้วขอรับท่านอโศกะ ไปตั้งกระทู้ลงเรื่องโพธิปักขิยธรรมโดยเฉพาะให้เป็นหมวดเป็นหมู่ดีกว่าเพื่อค้น

หาง่าย :b16:


อนึ่ง ขออนุญาตแนะนำ หากคุณอโศกะอยู่ กทม. ไปวัดญาณเวศกวัน ใกล้ๆพุทธมณฑล รับหนังสือพุทธธรรมฉบับให้เปล่า คิดว่าน่าจะมีอยู่ครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 56 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร