วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 12:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
แต่ถ้าเรียงการปฏิบัติเป็น ศีล -> สมาธิ -> ปัญญา อันนี้ไม่มีปรากฎในพระไตรปิฎกแน่นอน


สุต.องฺ.อนุพุทฺธสุตฺตํ.

อิทมโวจ ภควา อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา

สีลสมาธิปญฺญา จ วิมุตฺติ จ อนุตฺตรา
อนุพุทฺธา อิเม ธมฺมา โคตเมน ยสสฺสินา ฯ
อิติ พุทฺโธ อภิญฺญาย ธมฺมมกฺขาสิ ภิกฺขุนํ
ทุกฺขสฺสนฺตกโร สตฺถา จกฺขุมา ปรินิพฺพุโตติ ฯ

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปว่า
ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุตติ ซึ่งไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่า อันพระโคตม ศาสดาผู้มียศได้ตรัสรู้แล้ว
พระพุทธเจ้าผู้พระศาสดามีจักษุทรงกระทำที่สุดทุกข์ ตรัสรู้
พระธรรมแล้ว ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย พระองค์เสด็จ
ปรินิพพานแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ฯ


แล้วนี่อะไรครับ ที่มาพร้อมเลย ไปหาดูได้ ไหนว่าไม่มีละครับ

Supareak Mulpong เขียน:
ทีนี้ลองดูตรงนี้ ที่ผมพยายามจะอธิบายว่า
1) สร้างปัญญาให้เกิดก่อน ยังไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ใช้สติสมาธิเท่าที่มี


แบบนี้เขาเรียกว่าไปเรียนครับ หาความรู้
ที่ว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ แล้วเวลาเขาปฏิบัติวิปัสสนากัน ไม่ใช่เป็นการสร้างปัญญาเหรอครับ

Supareak Mulpong เขียน:
2) พอปัญญาเกิด (วิปัสสนาปัญญา) สัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์มรรคก็จะเกิด (สิ่งที่ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิคือโมหะ)


วิปัสสนาปัญญาไม่ใช่เกิดเพราะคิด อ่าน ฟัง จำ นะครับ อยู่ๆข้อ ๑ บอกไม่ต้องนั่งสมาธิ แล้วใช้สติเท่า
ที่มี แล้วคนที่ไม่เคยฝึกสติทำไง จะเอาปัญญาที่ไหนมาให้มีวิปัสสนาปัญญาแบบที่คุณว่า

Supareak Mulpong เขียน:
3) เมื่อมีปัญญารู้ถึงโทษของการผิดศีล คนผู้นั้นก็จะมีศีลเองโดยปกติ เป็นไปโดยอัตโนมัติ (เพราะโมหะถูกปัญญาย่ำยีลงได้)


บอกวิธีการสร้างปัญญาของคุณหน่อยครับ สติเท่าที่มี (ไม่ต้องนั่งสมาธิ,ไม่ต้องฝึก) อยู่ๆเกิดวิปัสสนา
ปัญญา เอ.. วิธีไหนครับ สติเท่าที่มี แล้วมาเกิดวิปัสสนาปัญญา อธิบายหน่อยครับ
และวิธีของคุณสามารถย่ำยีโมหะได้ด้วย เอ... โมหะนี่พระอรหันต์ถึงละได้นะครับ

Supareak Mulpong เขียน:
4) เมื่อมีศีล สมาธิก็เกิด เป็นสัมมาสมาธิเพราะปัญญาเกิดก่อนหน้าแล้ว


ที่คุณบอกมาตั้งแต่ช้อที่ ๑ มีแต่สติ+วิปัสสนาปัญญา ยังไม่เห็นคุณโยงเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาเลย
อยู่ๆมาไล่ตามข้อนี้อีก มาได้ไง

Supareak Mulpong เขียน:
5) พอมีสมาธิปัญญาอีกตัวหนึ่งก็จะเกิด (อภิปัญญา) ปัญญาตัวนี้กับปัญญาที่พยายามสร้างก่อนหน้าเป็นคนละตัวกัน (ปัญญาที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อโมหะ)


นี่ๆ จะเกิดมาทำไมอีกครับ ก็โมหะโดนโล๊ะไปตั้งแต่ข้อที่ ๓ แล้วครับ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

Supareak Mulpong เขียน:
ทีนี้ก็รบกวนช่วยทบทวนสิ่งที่อาจารย์ผมศึกษาและปฏิบัติมากว่า 27 ปี จนมีผู้ปฏิบัติตามตอนนี้ได้โสดาปฏิผลขั้นแรกรวมแล้ว 21 ท่าน เมื่อพิจรณาแล้ว หากเห็นว่าสิ่งที่นำมาบอกกล่าวนี้ ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมประการใด ก็ชี้แจงตามเหตุตามผล เพื่อประโยชน์กับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ด้วยครับ


คุณๆ อาจารย์ผมสอนอ่ะ ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐๐ นะครับ ที่เป็นโสดาบัน ตอนท่านปฏิบัิติ ท่าน ๗ เดือนเอง
ไม่ค้นนานเลย
ครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสี่ประการอันได้แก่ อริยศีล ๑ อริยสมาธิ ๑ อริยปัญญา ๑ อริยวิมุติ ๑ ซึ่งได้แสดงไว้ หลายบทหลายตอน เพื่อชี้ประกาศให้ทราบในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก่อนแสดงประพันธ์กถาที่คุณยกมาแสดง

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ เป็นสมบัติของพระอริยะ เกิดในพระอริยะ ไม่ได้มีแสดงไว้ว่า เธอจงถือศีล เธอจงไปทำสมาธิ แล้วเธอจะได้ปัญญาเพื่อวิมุติ เพื่อนิพพาน รบกวนทบทวนดูอีกรอบนะครับ

พวกฤาษีพรามหณ์สอนว่า
1) จงชำระศีลให้บริสุทธิ์
2) จงปฏิบัติเพื่อเกิดความสงบ ได้แก่เจริญสมถะกรรมฐาน
3) ปัญญาอันยิ่งจะเกิดแก่ท่าน (อภิปัญญา)

จากนั้นฤาษีพรามหณ์พวกหนึ่งปรารถณาในนิพพาน จึงมาบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ให้ปราวาสสี่เดือน แล้วให้วิปัสสนาในองค์ฌานจนได้วิมุติปัญญา

วิปัสสนาปัญญา คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ อันได้แก่ความเป็นไตรลักษณ์ ด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ หรืออุปทานขันธ์ ๕ ส่วนวิธีการ จะนั่ง จะนอน จะเดิน จะหลับตา ไม่หลับตา จะได้ขณิกกะ จะใช้อุปจาระ อันนี้เป็นส่วนของรายละเอียด

อ้างคำพูด:
แล้วคนที่ไม่เคยฝึกสติทำไง...

สติทำหน้าที่ระลึกถึงความทรงจำ หรือเป็นตัวดึงสัญญาออกมา
viewtopic.php?f=7&t=24892
สติทำงานกับความทรงจำในอดีต คนไม่มีสติ คือคนความจำเสื่อมเท่านั้น คนปกติมีสติเพียงพอ ไม่ต้องฝึก เมื่อบอกตัวเองว่าจะพิจรณาสิ่งที่มากระทบในปัจจุบัน พอมีอะไรมากระทบ สติก็จะเตือนให้เราปฏิบัติ สติมันทำหน้าที่ของมันแค่นี้

พอเกิดปัญญาแล้วศีลเกิดได้อย่างไร?

เมื่อเกิดปัญญาสัมมาทิฐิจึงเกิด เมื่อสัมมาทิฐิเกิด ทำอะไรก็ไม่หลง เพราะความหลงตามปัญญาไม่ทันแล้ว สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ (ศีล) ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหามาจากไหน ต่อมาเมื่อเราเกิดสิติ ก็ถือว่าเป็นสัมมาสติ และเมื่อภาวะธรรมต่างๆ เหล่านี้เกิด นิวรณ์ธรรมทั้งหลายก็จะอ่อนกำลังลง เพราะองค์ธรรมเหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูกับกิเลสนิวรณ์ทั้งสิ้น เมื่อเราฝึกสมาธิ สมาธิที่ได้ก็จะเป็นสัมมาสมาธิ

อ้างคำพูด:
โมหะนี่พระอรหันต์ถึงละได้นะครับ

ขอรายละเอียดตรงนี้หน่อย ผมว่าผมหาไมเจอ

โมหะ เกิดจากความคิดเห็นที่ผิด จากการไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ประจักษ์ในเรื่องนั้นๆ ให้ถ่องแท้ถี่ถ้วนก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้ไม่รู้บุญไม่รู้บาป ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ชักนำให้ไปทำความชั่วความไม่ดีต่างๆ เช่น ประมาท ทะเลาะวิวาท แก่งแย่งชิงดี อวดดี เกียจคร้าน บ้ากาม อกตัญญู เชื่อง่าย หูเบาโมหะ กำจัดได้ด้วยปัญญา คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ
กลุ่มโมหะ ธรรมฝ่ายชั่วนี้มี 4 อย่าง คือ
โมหะ เป็นความหลง หรือธรรมชาติที่ปิดความจริงของอารมณ์
อหิริกะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ละอายในการทำผิดทางกาย วาจา ใจ
อโนตตัปปะ เป็นธรรมชาติที่ไม่กลัวเกรงต่อผลของบาป
อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่านหรือธรรมชาติที่จับอารมณ์ไม่มั่น

กำลังไม่แน่ใจว่าพูดถึง โมหะ ตัวเดียวกันหรือเปล่า :b10:

ชนะโมหะ ก็เกิดความรู้จริง

อ้างคำพูด:
นั่งหลับตา ไม่ยินดียินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
กำหนดรู้เวทนาที่เกิดและหายไปตามจริง
ศีล สมาธิ ปัญญา มีหรือยังครับ

ผมว่าได้แต่สมาธิ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
โมหะ เกิดจากความคิดเห็นที่ผิด จากการไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ประจักษ์ในเรื่องนั้นๆ ให้ถ่องแท้ถี่ถ้วนก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้ไม่รู้บุญไม่รู้บาป ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ชักนำให้ไปทำความชั่วความไม่ดีต่างๆ เช่น ประมาท ทะเลาะวิวาท แก่งแย่งชิงดี อวดดี เกียจคร้าน บ้ากาม อกตัญญู เชื่อง่าย หูเบาโมหะ กำจัดได้ด้วยปัญญา คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ
กลุ่มโมหะ ธรรมฝ่ายชั่วนี้มี 4 อย่าง คือ
โมหะ เป็นความหลง หรือธรรมชาติที่ปิดความจริงของอารมณ์
อหิริกะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ละอายในการทำผิดทางกาย วาจา ใจ
อโนตตัปปะ เป็นธรรมชาติที่ไม่กลัวเกรงต่อผลของบาป
อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่านหรือธรรมชาติที่จับอารมณ์ไม่มั่น
[/color]
กำลังไม่แน่ใจว่าพูดถึง โมหะ ตัวเดียวกันหรือเปล่า :b10:


คุณก็ได้แค่นี้เอง อุธัจจะ พระอรหันต์ละได้ เมื่อย่ำยีโมหะแล้ว ก็แสดงว่า ต้องหมดอุธัจจะด้วย
ตามที่คุณบอกว่าย่ำยีโมหะได้ ก็หมายถึง ๔ ตัวที่คุณอ้างอ่ะ หมดแล้ว

อ้างคำพูด:
นั่งหลับตา ไม่ยินดียินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
กำหนดรู้เวทนาที่เกิดและหายไปตามจริง
ศีล สมาธิ ปัญญา มีหรือยังครับ

อ้างคำพูด:
ผมว่าได้แต่สมาธิ


ละอภิชฌา(ยินดี)และโทมนัส(ยินร้าย) ในโลกเสียได้
กำหนดรู้เวทนา .....เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ที่เกิดและหายไปตามจริง.............เห็นไตรลักษณ์

ตรงนี้คุณยังมองไม่ออก สติปัฏฐานสูตรเลยนะนี่
คุณเลิกพูดได้แล้วเรื่องมรรคผล เอาเวลาไปปฏิบัติดีกว่าครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณก็ได้แค่นี้เอง อุธัจจะ พระอรหันต์ละได้ เมื่อย่ำยีโมหะแล้ว ก็แสดงว่า ต้องหมดอุธัจจะด้วย
ตามที่คุณบอกว่าย่ำยีโมหะได้ ก็หมายถึง ๔ ตัวที่คุณอ้างอ่ะ หมดแล้ว

ศัพท์แสงอาจจะผิดไป ย่ำยีได้ เอาชนะได้ ปัญญาเกิดได้ ในโสดาบันนั้นไม่ได้หมายว่าขุดรากถอนโคนเสียทีเดียว ตัวที่จะหายไปก่อนเกือบไม่มี (ขั้นต้น) หรือจะหายไปเลย (ขั้นสูง) ก็คือความหลง ฟุ้งซ่านก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าลดน้อยลงมาก

ตกลงที่ติดกันว่าปัญญาทันโมหะเป็นอรหันต์นี่ก็ตรงตัวอุธัจจะนี่หรือครับ :b23:

อ้างคำพูด:
กำหนดรู้เวทนา ... เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ที่เกิดและหายไปตามจริง ... เห็นไตรลักษณ์

ขอรายละเอียดอีกหน่อยนะๆ กำหนดรู้เฉยๆ มองเฉยๆ แล้วตัวปัญญา(เจตสิก)มันจะเกิดตอนใหนครับ :b10: อธิบายเป็นนัยอภิธรรมก็ได้

อ้างคำพูด:
ละอภิชฌา(ยินดี)และโทมนัส(ยินร้าย) ในโลกเสียได้..

เติมอีกหน่อยนะครับ ตรงนี้เป็นผลจากการเจริญปัญญา อยู่เฉยๆ ไปละวาง ก็จะเป็นอาการเพิกเฉย หรือทำเป็นไม่สนใจ ปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่เห็น เป็นอาการของสมถะ หากปัญญาเกิดแล้วจากการวิปัสสนาขั้นตั้น ความไม่ยินดียินร้ายก็เกิดขึ้นเอง

ถามอีกหน่อย ตอนท่านปฏิบัติ เห็นรูป หรือได้ยินเสียงอะไรในหูหรือเปล่าครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ตกลงที่ติดกันว่าปัญญาทันโมหะเป็นอรหันต์นี่ก็ตรงตัวอุธัจจะนี่หรือครับ :b23:


โมหะที่พระอรหันต์ละได้คือ ธัมมุจจะ ครับ
ถึงแม้จะเป็นอะไร ก็จัดเป็นโมหะครับ
หรือคุณว่า ต่ำกว่าพระอรหันต์ละโมหะได้

Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
กำหนดรู้เวทนา ... เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ที่เกิดและหายไปตามจริง ... เห็นไตรลักษณ์

ขอรายละเอียดอีกหน่อยนะๆ กำหนดรู้เฉยๆ มองเฉยๆ แล้วตัวปัญญา(เจตสิก)มันจะเกิดตอนใหนครับ :b10: อธิบายเป็นนัยอภิธรรมก็ได้


เห็นตามจริงไงครับ อุทยัพพยัง ความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ที่พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่า ดีกว่าคนอยู่มา
ร้อยปีแล้วไม่เห็น ในวิปัสสนาญาณ ๙ ข้อนี้ข้อแรกเลย อุทยัพยญาณ ไม่ใช่ฟังอ่านมา แต่เห็นใน
วิปัสสนาเลยครับ เห็นแบบปัจจักขญาณ หรือคุณว่าการเห็นไตรลักษณ์โดยปัจจักขญาณไม่ใช่ปัญญา

Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ละอภิชฌา(ยินดี)และโทมนัส(ยินร้าย) ในโลกเสียได้..

เติมอีกหน่อยนะครับ ตรงนี้เป็นผลจากการเจริญปัญญา อยู่เฉยๆ ไปละวาง ก็จะเป็นอาการเพิกเฉย หรือทำเป็นไม่สนใจ ปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่เห็น เป็นอาการของสมถะ หากปัญญาเกิดแล้วจากการวิปัสสนาขั้นตั้น ความไม่ยินดียินร้ายก็เกิดขึ้นเอง


ความข้อนี้ท่านตรัสในหมวดของวิธีปฏิบัติของสติปัฏฐานสูตรครับ ไม่ใช่ผล ท่านแนะให้ละความยินดี
ยินร้ายในโลก(ขันธ์ , โลกคือหมู่สัตว์) ถ้าเป็นผล ท่านจะไปตรัสไว้ตอนท้ายถึงอานิสงส์ของการ
เจริญสติปัฏฐาน ตรัสไว้ในส่วนของวิธีรู้อิริยาบทหรือ ฯลฯ ก็แสดงว่า ท่านแนะวิธีวางใจในขณะที่รู้อยู่

Supareak Mulpong เขียน:
ถามอีกหน่อย ตอนท่านปฏิบัติ เห็นรูป หรือได้ยินเสียงอะไรในหูหรือเปล่าครับ?


ไม่เห็นรูปที่ตาครับ เห็นที่มนายตนะ
เสียงก็ได้ยิน แต่เป็นเสียงที่กระทบ (ผัสสะ) ทางโสตะ

เห็นก็สักว่าเห็น ได้ยินก็สักว่าได้ยิน บางทีไม่รู้ว่ารูปอะไรเสียงอะไรเลย เพราะไม่ใส่ใจว่ารูปอะไรเสียง
อะไร ใส่ใจที่รูปหรือเสียงกำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เท่านี้เอง

ผมเชื่อว่าคุณก็เห็น คุณต้องได้ยิน แต่ผมไม่รู้ว่า คุณปฏิบัติกับสิ่งที่เห็นที่ได้ยินอย่างไร วานบอกครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่สนมนาธรรมกับคุณมา แสดงได้ชัดเจนว่า คุณเป็นคนที่มุ่งมั่นที่จะข้ามไปฝั่งโลกุตระ ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ตอนนี้เรื่องมีอยู่ว่า เราถือแผนที่ที่ผมคิดว่าเป็นเล่มเดียวกัน จะมีคนนำหรือไม่มีก็ตาม ผมเอาแผนที่เป็นหลัก คนนำเป็นรอง แต่ตอนนี้คุณเดินทางไปเมืองหนึ่งด้วยทางหนึ่ง ผมก็เดินทางไปเมืองหนึ่งด้วยอีกทางหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าเมืองเดียวกันหรือเปล่าด้วย ประเด็นน่าจะมาจากเรื่องการตีความแผนที่...

ผมอ่านแล้วตีความได้ว่า ตั้งแต่ธัมนุสารี ถึง อรหันต์ ก็รบแต่กับอวิชชา ไม่เห็นจะมีอะไร วิธีการก็เหมือนเดิม คือ อุปทานขันธ์ ๕ มีแต่เรื่องเที่ยง กับ ไม่เที่ยง

คงไม่มาติดแค่ที่โมหะทั้งหมดหรือโมหะเจตสิกตัวเดียวจะดับสนิทเลยหรือเปล่าหรอกนะครับ ที่จะทำให้เราเข้าใจพระธรรมคลาดเคลื่อน พอปัญญาอินทรีย์แก่กล้าขึ้น ในที่สุด อวิชาทั้งหมดก็จะดับลงไปได้ในขั้นอรหันต์ ที่จริงพวกผมไม่ได้ละโมหะเสียด้วยซ้ำ ให้ปัญญามันไปปหานโมหะตามหน้าที่ของมันเอง

จุดที่น่าจะเป็นประเด็นมากที่สุด ที่เราต่างเข้าใจไม่ตรงกัน ก็น่าจะเป็นการสร้างปัญญา ปัญญาเจตสิก หรือ อโมหะเจตสิก ของพวกผมเกิดจากการวางอุบายอันแยบคายไว้ในใจ พิจารณาทุกสิ่ง (อารมณ์) ที่มากระทบอินทรีย์ ๖ และพิจรณาขันธ์ ๕ ไปด้วย โดยเฉพาะรูป กับเวทนา

ปัญญาทำให้เกิดศีล หรือมีศีล คนที่ปัญญาอินทรีย์ยังไม่แข็งแรง ก็จะต้องถือศีล ถ้าถือศีล คือ ศีลอยู่นอกตัว ถ้ามีศีล คือ ศีลอยู่ในใจ มีศีลก็มีสมาธิ มันเกิดกันตามๆ กันมา พวกผมปฏิบัติกันอย่างนี้

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ เป็นการทำงานของจิต เป็นเรื่องของจิต ส่วนปัญญาที่เกิดจากการวิปัสสนา เป็นเจตสิก ดังนั้น พวกผมจึงบอกว่า สมาธิเอามาต่อยอดเป็นวิปัสสนาไม่ได้ ถึงจะมีสมาธิ ก็ต้องมาเริ่มวิปัสสนากันใหม่

ถ้าเห็นในมนายตนะ หรือเห็นจริงๆ ถ้าตามดูเฉยๆ เหมือนกับมองพระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกทุกๆ วัน หรือมองดอกไม้ที่บานแล้วเหี่ยว ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ผมว่าปัญญาไม่เกิด แต่ถ้ามองแล้วพิจารณาตามว่า สิ่งพวกนี้เกิดขึ้น คง อยู่ แล้วก็ต้องดับไป ไม่มีอะไรคงทนถาวร เกิดจากเหตุปัจจัยมารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้น ตัวเราก็ไม่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี่ ก็ต้องมีเกิด คงอยู่ และดับในที่สุด ตรงนี้ผมเห็นว่าปัญญาจึงจะเกิดได้นะครับ

วิปัสสนาไม่มีนิมิต ถ้ารู้ถ้าเห็นอะไร ก็แสดงว่าติดสมถะไปแล้ว พวกผมจึงไม่หลับตาในขณะวิปัสสนา ในขั้นแรกๆ จะไม่รู้ไม่เห็นอะไรหรอกครับ จนกว่าปัญญาจะแก่กล้าจริงๆ จึงจะเกิดญานวิสัย หรือญานทัศนะ หรือญานหยั่งรู้

ถ้าคุณยืนยันว่าวิธีการที่คุณปฏิบัติ ทำให้ปัญญาเกิดได้ก็ถือเป็นการวิปัสสนาแน่นอนครับ แต่อย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะต้องไปฝึกสมาธิเพิ่มเพื่อจะต้องมานั่งวิปัสสนา

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 17 ส.ค. 2009, 18:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณ จขกท

อ้างคำพูด:
ถ้าคุณยืนยันว่าวิธีการที่คุณปฏิบัติ ทำให้ปัญญาเกิดได้ก็ถือเป็นการวิปัสสนาแน่นอนครับ แต่อย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะต้องไปฝึกสมาธิเพิ่มเพื่อจะต้องมานั่งวิปัสสนา


แชร์หน่อยนะครับหกโมงเย็นวันนี้เดินทางแล้ว คงไม่ได้มาคุยด้วย พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสรู้ด้วยท่านั่งประทับ ท่านทรงอธิฐานจิตจะไม่ลุกขึ้นเลยถ้าไม่บรรลุธรรม การที่เราจะใช้ทุกอิริยาบถ วิปัสนาน่ะดีมาก อย่างการเดินจงกรมท่านก็แสดงไว้ว่าสมาธิที่เกิดในการเดินนั้นยาว

แต่อิริยาบถนั่ง เป็นอิริยาบทที่สมาธิมีกำลัง เพราะสามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฎได้ ที่จริงแล้วผมอยากอธิบายตรงๆเลยว่า ผมวิปัสนาสะส่วนใหญ่ แต่การวิปัสนานั้นปัญญาจะต้องเป็นสภาวะในระดับความรู้สึกแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอนิจจัง ทุกข์ อนัตตา เป็นสภาวะที่รู้สึกถึงขนาดว่าเจ็บนั้นมีเจ็บนั้นหาย ร่างกายมี ร่างกายแตกสลาย รับรู้ถึงร่างกายเป็นเพียงอนุภาคปรมณูเลยที่เดียวถึงจะเป็นปัญญาที่มีพลัง หนีจากการนั่งไม่ได้เลย

คำวาภูมินี้สำคัญถ้าท่านข้ามภูมิปุถุชน ไม่ว่าจะเป็นจิตหรือรูปท่านต้องแตกต่างจากปุถุชนด้วยครับ จะแตกต่างจากจิตอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจิตและรูปสัมพันเชื่อมโยงกันในระดับความรู้สึกตลอด เมื่อท่านถึงจุดนั้นท่านจะรู้เอง และถ้าท่านใดอ่านแล้วสงสัยว่าผมถึงแล้วเหรออย่าสงสัยเลยครับไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสำคัญแก่ท่านเลย เพราะมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ขอแชร์แค่นี้ครับ ถ้ามีโอกาสจะกลับมาพูดคุยกัน

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าถนัดนั่งแล้วปัญญาเกิดได้ดี ก็นั่งวิปัสสนาได้ บางคนนั่งนานไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปฝืนนั่ง หลายคนอาจจะติดภาพคนนุ่งขาวนั่งที่โคนต้นไม้ ที่จริงพวกนี้เป็นเพียงภาพภายนอก วิปัสสนาเป็นเรื่องภายใน ประเด็นอยู่ที่ตัวปัญญาเกิดขึ้นมาพิจารณาสิ่งกระทบหรือเปล่า ส่วนอิริยาบทนี้แล้วแต่อัฌชาสัยครับ

แต่ถ้าจะเทียบกับการปฎิบัติของพระพุทธองค์ เราเทียบไม่ได้ ประการแรก พระพุทธองค์บำเพ็ญบารมีมาหลายชาติ ประการที่สอง พระพุทธองค์เดินทางผิดมาก่อนหลายปี (จริงแล้วก็นับได้หลายชาติ) จนเมื่อพบทางที่ถูกต้องแล้ว จึงตรัสบอกทางเดินที่ถูกต้องให้เราปฏิบัติ คือ การใช้ วิชชา เอาชนะ อวิชชา

ในพระไตรปิฎกแสดงชัดเจนถึงฐานะบุคคลที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรม ผมก็ได้สรุปมาแสดงไว้แล้ว
viewtopic.php?f=2&t=24268

เมื่อเราเป็นคนธรรมดา ทุกข์มันก็เข้ามาทุกทาง เราก็สร้างปัญญาให้เกิดรู้เท่าทันได้ทุกทาง เสมือนเป็นการฝึกทักษะ เมื่อปัญญาเกิดครบดีแล้วทุกทวารจึงเปลี่ยนวิธีการ เพราะภาวะเราจะเปลี่ยน ถือเป็นผู้ถึงกระแสพระธรรม สมาธิก็มีมากขึ้นตามธรรมชาติ พอมานั่งหลับตาวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ ก็สามารถบรรลุอนาคามีผล อรหันต์ผลได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว บางคนก็ไม่เปลี่ยน ทำอย่างเดิมไปเรื่อยๆ ก็ได้

แต่ถ้าเราไปนั่งก่อน เราจะพบแต่กายเวทนา เวทนาที่เกิดแก่มโนวิญญาณ อาจจะได้ยินเสียงบ้าง มีสัมผัสเกิดบ้าง เห็นภาพนิมิต มันก็ยังไม่ครบทวารทั้ง ๖ ปัญญาจะต้องเกิดกับจิตทุกดวงที่เกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์

สติปัฏฐานสี่ เป็นการปฏิบัติของพระอริยะ ผลที่ได้คือ อนาคามีผล หรือ อรหัตผล ตรงนี้ผมพยายามบอกว่า คนธรรมดาไม่ถึงโสดาบันทำไปจะได้แต่สมาธิ แต่ส่วนมาก็แย้งว่า คนธรรมก็ทำได้ ปลายพระสูตรมหาสติปัฏฐานสี่ก็กล่าวถึงผลของสตปัฏฐานสี่ ก็ขอยกมาให้พิจารณากันดูอีกที

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมี อุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ... ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้ หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่าง หนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือน ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่งเดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น พระอนาคามี ๑ ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ถ้าเห็นในมนายตนะ หรือเห็นจริงๆ ถ้าตามดูเฉยๆ เหมือนกับมองพระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกทุกๆ วัน หรือมองดอกไม้ที่บานแล้วเหี่ยว ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ผมว่าปัญญาไม่เกิด แต่ถ้ามองแล้วพิจารณาตามว่า สิ่งพวกนี้เกิดขึ้น คง อยู่ แล้วก็ต้องดับไป ไม่มีอะไรคงทนถาวร เกิดจากเหตุปัจจัยมารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้น ตัวเราก็ไม่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี่ ก็ต้องมีเกิด คงอยู่ และดับในที่สุด ตรงนี้ผมเห็นว่าปัญญาจึงจะเกิดได้นะครับ


อ๋อ ตรงนี้ไม่ต้องคิดพิจารณาครับ มันเกิดขึ้น แล้วดับไปให้เห็นเอง ไม่ต้องคิดเลย มันปรากฏเอง
เกิดดับๆ อยู่อย่างนั้น คิดตอนเห็น ก็ฟุ้งซิครับ เห็นมันเฉยๆก็พอ เพราะไตรลักษณ์แสดงอยู่แล้ว
ทุกวันนี้เวลาเห็นก็เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ต้องปรุงแต่งอารมณ์ในขณะนั้นเพิ่มเลย รู้อยู่แล้วครับ

Supareak Mulpong เขียน:
วิปัสสนาไม่มีนิมิต ถ้ารู้ถ้าเห็นอะไร ก็แสดงว่าติดสมถะไปแล้ว พวกผมจึงไม่หลับตาในขณะวิปัสสนา ในขั้นแรกๆ จะไม่รู้ไม่เห็นอะไรหรอกครับ จนกว่าปัญญาจะแก่กล้าจริงๆ จึงจะเกิดญานวิสัย หรือญานทัศนะ หรือญานหยั่งรู้


การปฏิบัติจริงๆคือ นิมิตเกิดได้ครับ ช่วงไหนที่สติสมาธิไม่สมดุลกัน จะเกิด แต่พอสติ
สมาธิสมดุลกัน นิมิต รวมทั้งนิวรณ์ก็หายไป ช่วงนั้นวิปัสสนาเกิดครับ ในบัลลังค์หนึ่งที่นั่ง ถ้าอินทรีย์เรา
ไม่แก่กล้าพอ ก็จะสลับไปเช่นนี้ครับ ถ้าแก่กล้าแล้ว พวกนี้จะหายไป

Supareak Mulpong เขียน:
ถ้าคุณยืนยันว่าวิธีการที่คุณปฏิบัติ ทำให้ปัญญาเกิดได้ก็ถือเป็นการวิปัสสนาแน่นอนครับ แต่อย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะต้องไปฝึกสมาธิเพิ่มเพื่อจะต้องมานั่งวิปัสสนา


วิธีที่ผมทำอยู่นี้ เบื้องแรกจะเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา จะสลับไปมาตามสภาวะ จะไม่ใช่วิปัสสนาแท้ทีเดียว เพราะสติสมาธิต้องฝึกครับ ไม่ฝึกไม่ได้ เพราะเป็นส่วนสำคัญในอินทรีย์ ๕ ลำพังจะรอให้เกิด
เอง คงไม่ได้ครับ ช้าไป ชาตินี้เรามีโอกาส ชาติถ้าถ้าเราไม่มีโอกาส จะยาวนานครับ

ความจริงแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่แยกว่าอะไรสมถะอะไรวิปัสสนาหรอก เพราะในสติปัฏฐานสูตรไม่แบ่ง
แยกครับ พระองค์แนะให้ทำแบบนี้ๆ แล้วก็ทรงแนะว่าต้องอย่างไรต่อไป ที่มาแยกกันจนเป็นเรื่องเป็นราว
ก็สาวกรุ่นหลังทั้งนั้น คุณกับผมต่างกันที่ความคิดวิธีการ แต่ผมเชื่อว่า สรุปรอยเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็ว

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี [b][color=#000080]เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมี อุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


พระองค์หมายถึง ๗ ปีครับ แบบไม่หลุดเลย ได้แน่พระอรหันต์หรืออนาคามี

แต่ถ้าหลุดบ้างดีบ้าง อาจมากกว่า ๗ ปี และอาจได้ที่ต่ำกว่าอนาคามีและพระอรหันต์ครับ
เช่น โสดาบันหรือ สกิทาคามี

ท่านตรัสแบบนี้ สำนวนนี้เรียกกันว่า มิคปทวลัญชนนัย คือ นัยรอยเท้าเนื้อ
หมายถึง นายพรานตามเนื้อไป เมื่อเนื้อวิ่งผ่านแผ่นหิน แม้ไม่มีรอยเท้าปรากฏก็รู้ได้ครับว่าเนื้อ
ไปทางนั้น เพราะว่าพื้นดินที่สุดแผ่นหินมีรอยเท้าเนื้อปรากฏครับ

แม้ไม่ตรัสถึงพระโสดาบันหรือสกิทาคามี ก็รู้โดยนัยได้ว่า ก็ต้องได้บ้าง เรื่องจะปฏิบัติแล้วไม่มีผล เป็นไม่มี

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระองค์หมายถึง ๗ ปีครับ แบบไม่หลุดเลย ได้แน่พระอรหันต์หรืออนาคามี

ท่านก็อ่านให้จบหน่อยสิขอรับ :b10: ตอนท้ายท่านก็ว่า

พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น พระอนาคามี ๑ ฯ

๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างไรก็ได้ พระอรหัตผล อนาคามีผล ถ้าท่านจะตีความว่าพระพุทธองค์ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อันนี้ก็ไม่รู้แล้วครับ

พิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ท่านก็ใช้สำนวนแบบนี้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ได้ โสดาปฏิผล สกิทาปฏิผล ในพระสูตรตั้งแต่เล่ม ๘ ถึงเล่ม ๑๑ ก็แสดงแต่เรื่องวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖

ก็คงไม่มีความให้ถกกันต่อแล้วสินะครับ สรุปกันว่า ท่านก็จะถือแนวของท่านแล้วก็เดินไป อย่างไรก็อย่าได้ไปติดสมถะเสียก่อนนะครับ ฌานจิตนั้นเกิดได้ได้แต่อารมณ์ในมโนวิญญาน นั่งหลับตาเพ่งอารมณ์ในมโนภาพมากๆ จนจิตไปแนบแน่นกับอารมณ์นั้น อาจจะเกิดฌานก่อนปัญญาได้นะครับ ไปติดตาข่ายดักพรหม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ก็คงไม่มีความให้ถกกันต่อแล้วสินะครับ สรุปกันว่า ท่านก็จะถือแนวของท่านแล้วก็เดินไป อย่างไรก็อย่าได้ไปติดสมถะเสียก่อนนะครับ ฌานจิตนั้นเกิดได้ได้แต่อารมณ์ในมโนวิญญาน นั่งหลับตาเพ่งอารมณ์ในมโนภาพมากๆ จนจิตไปแนบแน่นกับอารมณ์นั้น อาจจะเกิดฌานก่อนปัญญาได้นะครับ ไปติดตาข่ายดักพรหม


ครับ ไม่มีอะไรต้องถกเถียงกัน แต่ละวิธีการก็ต่างมีวิธีเดินที่แตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าใครจะสะดวก
แบบไหนอย่างไรตามเหตุปัจจัย

เอ... วิธีผมไม่ได้ใช้หรือมีมโนภาพนะครับ ถ้ามีเพราะกำลังของสมาธิ ก็จะไม่ใส่ใจครับ เพราะไม่ใช่จุด
ประสงค์

อย่างไรก็ตาม ขอบคุณครับที่เตือน
คำเตือนทุกอย่างก็เป็นข้อคิดที่ดี อย่างน้อยให้เราระวังจิตตัวเองได้

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:

ได้ติดตามอ่านการเสวนาของคุณทั้งสองคน รู้สึกดีครับ...
...
ทั้งสองคนเลย...ครับ...

:b17: :b17: :b17:

ขอบคุณครับ...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นผู้เริ่มปฏิบัติใหม่ค่ะ...แต่ก็ยังเชื่อว่าสมาธิกะวิปัสสนาเป็นสิ่ง
ที่ต้องปฏิบัติด้วยกัน และก็คงทำเช่นนี้ไปตลอดค่ะ

นู๋เอ :b8:

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 02:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: เฮ้อ...ใช้ภาษายากๆทั้งนั้นเลยง่ะ

:b26: :b26: นู๋เอค่ะ...

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร