วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 12:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 315 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 21  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
งั้นก็ ถามแม่หนูน้อยอีกคน

แม่หนูน้อย รู้จักไหม ว่า อะไร เป็นปัจจัยให้เกิดความคิด

และอธิบายองค์ธรรม ของอรูปฌานด้วย นะแม่หนูน้อย

ปริวิตก ในอรูปฌาน เป็นอรูปชนิดไหน


และที่ เช่นนั้น บอกว่า มีฌานสี่เป็นบาท

อธิบายองค์ธรรม ของฌานสี่ หน่อยสิ
สภาวะในพระไตรปิฎก นั้น มีบาทเป็นฌานสี่ จริงหรือ

และอธิบาย นิวรณ์ สิ
ว่าปริวิตก เป็นอะไร
ฌานสี่ ที่มีปริวิตก เป็นสภาวะอะไร เป็นฌานสี่ หรือไม่เป็น ฌานสี่

และอธิบาย การยก การพิจารณา ที่ทำให้เกิด ปริวิตก
โดยขาดองค์ธรรมวิปัสสนา
สภาวะที่เกิด ปริวิตก นั้น เป็นยังไง ตอบมาหน่อย




ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งคำถามมายืดยาว
แค่สภาวะของโลกุตรฌานนั้น คุณยังไม่รู้เลย
นับประสาอะไรกับการเข้าสมาบัติ คุณจะไปสามารถรู้ได้อย่างไร
คุณรู้ได้อย่างมากแค่ฌานสมาบัติที่เป็นมิจฉาสมาธิหรือโลกียฌานเท่านั้นเอง

ไม่งั้นไม่มาสงสัยในคำว่า " ปริวิตก " หรือเจ้าตัวความคิดนี่หรอกว่า
ถ้าอยู่ในสภาวะของฌานจริงๆทำไมถึงเกิดความคิดได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:

๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.





นี่คือสภาวะของ นิโรธสมาบัติ


อย่าเดาเลยแม่หนูน้อย

นิโรธะสมาบัติ มีปริวิตก ตกค้างหรือแม่หนูน้อย




เมื่อไม่รู้ จงยอมรับว่าไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:

๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.





นี่คือสภาวะของ นิโรธสมาบัติ


อย่าเดาเลยแม่หนูน้อย

นิโรธะสมาบัติ มีปริวิตก ตกค้างหรือแม่หนูน้อย




เมื่อไม่รู้ จงยอมรับว่าไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย


เหอๆๆ

นิโรธ ที่มีปริวิตกอยู่ ไปพูดที่ไหน ก็อายเค้าเปล่าๆ นะแม่หนูน้อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาอ่านสภาวะ หลักการอ่าน ให้ดูใจความที่แสดงอยู่


เพราะถ้าเป็นฌาน เวลาพระพุทธองค์ทรงแสดง
จะมีการแสดงองค์ประกอบของฌานที่เป็นสัมมาสมาธิด้วยทุกครั้ง
แล้วในรูปประโยคทั้งหมด ไม่มีคำว่า " สมาธิ " ประกอบอยู่

แต่สภาวะที่ยกมาเป็นตัวอย่างตรงนี้เจาะจงชัดเจนว่า " ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง "
นี่คือ นิโรธสมาบัติ


ถ้ามีคำว่า " สมาธิ " ประกอบอยู่ นั่นหมายถึงการเข้าผลาสมาบัติของอริยะแต่ละระดับ

สภาวะของฌานสมาบัติ จะมีสภาวะเหมือนกับการเข้าผลาสมาบัติของอริยะ
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งดับ แล้วเกิด ซึ่งทำให้มีคนหลงสภาวะตรงนี้ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
งั้นก็ ถามแม่หนูน้อยอีกคน

แม่หนูน้อย รู้จักไหม ว่า อะไร เป็นปัจจัยให้เกิดความคิด

และอธิบายองค์ธรรม ของอรูปฌานด้วย นะแม่หนูน้อย

ปริวิตก ในอรูปฌาน เป็นอรูปชนิดไหน


และที่ เช่นนั้น บอกว่า มีฌานสี่เป็นบาท

อธิบายองค์ธรรม ของฌานสี่ หน่อยสิ
สภาวะในพระไตรปิฎก นั้น มีบาทเป็นฌานสี่ จริงหรือ

และอธิบาย นิวรณ์ สิ
ว่าปริวิตก เป็นอะไร
ฌานสี่ ที่มีปริวิตก เป็นสภาวะอะไร เป็นฌานสี่ หรือไม่เป็น ฌานสี่

และอธิบาย การยก การพิจารณา ที่ทำให้เกิด ปริวิตก
โดยขาดองค์ธรรมวิปัสสนา
สภาวะที่เกิด ปริวิตก นั้น เป็นยังไง ตอบมาหน่อย




ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งคำถามมายืดยาว
แค่สภาวะของโลกุตรฌานนั้น คุณยังไม่รู้เลย
นับประสาอะไรกับการเข้าสมาบัติ คุณจะไปสามารถรู้ได้อย่างไร
คุณรู้ได้อย่างมากแค่ฌานสมาบัติที่เป็นมิจฉาสมาธิหรือโลกียฌานเท่านั้นเอง

ไม่งั้นไม่มาสงสัยในคำว่า " ปริวิตก " หรือเจ้าตัวความคิดนี่หรอกว่า
ถ้าอยู่ในสภาวะของฌานจริงๆทำไมถึงเกิดความคิดได้


เหอๆๆ

ถ้าเป็นอย่างเธอว่า ก็คงไม่เห็นทะลุสภาวะในพระไตรปิฎกหรอกแม่หนูน้อย

ความปริวิตก สภาวะ ที่เกิดในพระไตรปิฎก เป็นเรื่องใหญ่
ไม่ใช่จิ๊ปจ๊อย


ความรู้เบื้องต้นของเธอ ก็ยังเพี้ยนไม่เข้าท่าแล้ว

เดี๋ยวบอกว่าสภาวะในพระไตรปิฎก ทรงฌาน ตลอดเวลา
เดียวบอกว่า แค่ เข้าๆๆ ออกๆ ดังวสี
เดียวบอกว่า ทรงฌานจริงๆ แล้วทำไมจึงเกิดความคิดได้

สับสนตัวเองแล้วแม่หนูน้อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:

๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.





นี่คือสภาวะของ นิโรธสมาบัติ


อย่าเดาเลยแม่หนูน้อย

นิโรธะสมาบัติ มีปริวิตก ตกค้างหรือแม่หนูน้อย




เมื่อไม่รู้ จงยอมรับว่าไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย


เหอๆๆ

นิโรธ ที่มีปริวิตกอยู่ ไปพูดที่ไหน ก็อายเค้าเปล่าๆ นะแม่หนูน้อย





คุยเรื่องสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าให้เต่าฟัง อธิบายยังไง เต่าก็ไม่มีวันรู้เรื่อง
เพราะไม่เคยสัมผัสท้องฟ้า

เฉกเช่นเดียวกันกับ เรื่องโลกียฌาน ผู้อยู่ได้แค่โลกียฌาน ย่อมไม่รู้ในโลกุตรฌาน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เวลาอ่านสภาวะ หลักการอ่าน ให้ดูใจความที่แสดงอยู่


เพราะถ้าเป็นฌาน เวลาพระพุทธองค์ทรงแสดง
จะมีการแสดงองค์ประกอบของฌานที่เป็นสัมมาสมาธิด้วยทุกครั้ง
แล้วในรูปประโยคทั้งหมด ไม่มีคำว่า " สมาธิ " ประกอบอยู่

แต่สภาวะที่ยกมาเป็นตัวอย่างตรงนี้เจาะจงชัดเจนว่า " ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง "
นี่คือ นิโรธสมาบัติ


ถ้ามีคำว่า " สมาธิ " ประกอบอยู่ นั่นหมายถึงการเข้าผลาสมาบัติของอริยะแต่ละระดับ

สภาวะของฌานสมาบัติ จะมีสภาวะเหมือนกับการเข้าผลาสมาบัติของอริยะ
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งดับ แล้วเกิด ซึ่งทำให้มีคนหลงสภาวะตรงนี้ได้


นั่นมันหลักของเธอ

ที่ดูแต่ใจความที่แสดง ก็เพี้ยนไม่เป็นท่า

สภาวะในพระไตรปิฎก

พรหม ดูสภาวะที่ใจ ไม่ใช่ที่ตัวหนังสือ
เจโตพรหม ไม่ได้มองที่ตัวหนังสือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:

๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.





นี่คือสภาวะของ นิโรธสมาบัติ


อย่าเดาเลยแม่หนูน้อย

นิโรธะสมาบัติ มีปริวิตก ตกค้างหรือแม่หนูน้อย




เมื่อไม่รู้ จงยอมรับว่าไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย


เหอๆๆ

นิโรธ ที่มีปริวิตกอยู่ ไปพูดที่ไหน ก็อายเค้าเปล่าๆ นะแม่หนูน้อย





คุยเรื่องสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าให้เต่าฟัง อธิบายยังไง เต่าก็ไม่มีวันรู้เรื่อง
เพราะไม่เคยสัมผัสท้องฟ้า

เฉกเช่นเดียวกันกับ เรื่องโลกียฌาน ผู้อยู่ได้แค่โลกียฌาน ย่อมไม่รู้ในโลกุตรฌาน


เหอๆๆ

แม่หนูน้อย ก็กินผักบุ้งไปแล้วกัน
ในเมื่อธรรมะที่เธอกล่าว มันผิดเพี้ยนมั่วและเดาสุ่มไปหมด
นิโรธ ที่มีปริวิตกตกค้างภายใน
รู้ไปถึงไหน อายไปที่นั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:


๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.




เอาเป็นว่า จะอธิบายให้ฟังใหม่ เอาตรงรูปประโยคที่คุณนำมาทั้งหมดนี่
ยังไม่เอาที่คุณถามมาว่า คือ สภาวะอะไร

ตรงนี้ทั้งหมด พระพุทธองค์แค่ทรงครุ่นคิด ไม่ได้เข้านิโรธ

แต่ตรงที่เน้นตัวอักษรน่ะ คือ สภาวะของนิโรธสมาบัติ


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สนทนาธรรมที แขวะแล้วแขวะอีก

รู้ถึงไหน อายถึงนั้น :b12:

ปล. ผิดศีลข้อ4 นะคะ รู้ตัวเปล่า?

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ไปทำโลกุตรฌานให้ได้ก่อนนะ
จะได้รู้ว่า ในโลกุตรฌานน่ะ มันมีความคิดเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีผลใดๆกับสมาธิหรือ
แม้กระทั่งสภาวะของญาณที่กำลังดำเนินอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:


๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-
นิโครธ แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าที่สลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาคคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบาน
แล้วในอาลัย ก็ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็น
ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย
เบิกบานแล้วในอาลัย จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรม
เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
ตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความลำบากของเรา
.




เอาเป็นว่า จะอธิบายให้ฟังใหม่ เอาตรงรูปประโยคที่คุณนำมาทั้งหมดนี่
ยังไม่เอาที่คุณถามมาว่า คือ สภาวะอะไร

ตรงนี้ทั้งหมด พระพุทธองค์แค่ทรงครุ่นคิด ไม่ได้เข้านิโรธ

แต่ตรงที่เน้นตัวอักษรน่ะ คือ สภาวะของนิโรธสมาบัติ



ไปเดามาใหม่แล้วกัน ก๊อกสามไปเลย แม่หนูน้อย

เพราะถ้าเธอไม่เคยเห้นสภาวะนี้ด้วยตัวเอง
ไม่ได้แทงทะลุได้ ด้วยตนเอง

เธอก็ได้แต่เดาร่ำไป

แล้วก็ตอบคำถาม ง่ายๆที่ถามด้วย ที่ถามไป


งั้นก็ ถามแม่หนูน้อยอีกคน

แม่หนูน้อย รู้จักไหม ว่า อะไร เป็นปัจจัยให้เกิดความคิด

และอธิบายองค์ธรรม ของอรูปฌานด้วย นะแม่หนูน้อย

ปริวิตก ในอรูปฌาน เป็นอรูปชนิดไหน


และที่ เช่นนั้น บอกว่า มีฌานสี่เป็นบาท

อธิบายองค์ธรรม ของฌานสี่ หน่อยสิ
สภาวะในพระไตรปิฎก นั้น มีบาทเป็นฌานสี่ จริงหรือ

และอธิบาย นิวรณ์ สิ
ว่าปริวิตก เป็นอะไร
ฌานสี่ ที่มีปริวิตก เป็นสภาวะอะไร เป็นฌานสี่ หรือไม่เป็น ฌานสี่

และอธิบาย การยก การพิจารณา ที่ทำให้เกิด ปริวิตก
โดยขาดองค์ธรรมวิปัสสนา
สภาวะที่เกิด ปริวิตก นั้น เป็นยังไง ตอบมาหน่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราอยากให้คุณ อธิบายถึง ศีลข้อ 4

ให้เราฟัง มากกว่านะ :b12: :b12: :b12:

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

ไปทำโลกุตรฌานให้ได้ก่อนนะ
จะได้รู้ว่า ในโลกุตรฌานน่ะ มันมีความคิดเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีผลใดๆกับสมาธิหรือ
แม้กระทั่งสภาวะของญาณที่กำลังดำเนินอยู่


แม่หนูน้อย

ไปทำให้ได้ก่อนแล้วกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
เราอยากให้คุณ อธิบายถึง ศีลข้อ 4

ให้เราฟัง มากกว่านะ :b12: :b12: :b12:


ความอยาก นั่นไง ทำให้เธอ ไม่มีสติที่ต่อเนื่องสักที


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 315 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 21  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร