วันเวลาปัจจุบัน 20 พ.ค. 2025, 03:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเอาแต่ใจของตัวเราเองน่ะเจ้าคะ :b55:

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองแบบนี้นะ... ถ้าชอบเดิน ลองให้ความสนใจไปอยู่ที่เท้าตลอด จับความรู้สึกทั้งหมด ตั้งแต่แตะพื้น ลงน้ำหนัก ไปจนถึงเท้าพ้นพื้น ลองทำดูว่า จะไม่แวบไปคิดเรื่องอื่นได้นานแค่ไหน... :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
ลองแบบนี้นะ... ถ้าชอบเดิน ลองให้ความสนใจไปอยู่ที่เท้าตลอด จับความรู้สึกทั้งหมด ตั้งแต่แตะพื้น ลงน้ำหนัก ไปจนถึงเท้าพ้นพื้น ลองทำดูว่า จะไม่แวบไปคิดเรื่องอื่นได้นานแค่ไหน... :b6: :b6: :b6:

คือว่า คือ เราชอบพิจารณาน่ะคะ ดังนั้นเวลาเดินก็จะดูเท้า แต่ถ้าอยากจะพิจารณาเราจะคิดพิจารณาเรื่องนั้นน่ะคะ แล้วก็กลับมาดูเท้าใหม่เมื่อพิจารณาจบ สลับแบบนี้น่ะคะ จะเรียกว่าฟุ้งก็คงไม่ได้น่ะคะ เหมือนพิจารณาเพื่อไม่ให้ฟุ้งอันเนืองจากจิตไม่มีไรทำ มากกว่า

ส่วนวันนี้ที่เดินก็แบบว่า
ขวา/ย่าง/หนอ กับ ซ้าย/ย่าง/หนอ

พอสุดระยะก็ หยุดหนอๆ หมุนตัวกลับด้วยการเดินสามระยะ และก็หยุดเดินภาวนาว่า หยุดหนอๆ

แล้วก็พิจารณาเรื่องที่อยากรู้น่ะคะ

เมื่อก่อนเป็นยังไงจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าตอนนี้สติดีขึ้นก็เลยไม่ฟุ้งน่ะคะ จะรู้ทันตลอด

ถ้าไงก็ ขอบคุณนะคะ :b18:

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 01:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 00:05
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามอ่าน การเจริญสติของ คุณ จขกท. แล้วก็ปีติค่ะ ขอเอาใจช่วยเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันค่ะ :b42:

...............................................
ความอดทนคือกำลังของนักพรต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนากับคุณ สู้เว้ย!! ด้วยคะ สาธุ

วันนี้มีเรื่องจะเล่าบนรถเมล์น่ะคะ ขอเล่าด้วยภาษาของเรานะคะ

วันนี้อากาศร้อนมากเลยคะ ตอนบ่ายๆน่ะแดดร้อนมากๆ ราวกับเหมือนอยู่ในนรกเลย แทบเป็นลม ยืนรอแล้วยืนรอรถเมล์อีก เวลาผ่านไปก็มาจอดคันหนึ่ง ก็ขึ้นไป เป็นรถเมล์แอร์คะ

เราขึ้นมา เราก็กำลังจะพูดว่าไปที่ไหน แต่เขาไม่สนใจเลย เดินตัดหน้าไปมาแบบไม่สนใจ เพราะว่าเราพูดช้าด้วยล่ะมั้ง เรากำลังจะจ่ายด้วยความเต็มใจนะ แต่เรียกแล้วไม่สนใจ เดินไปที่อื่นแล้วไม่หันกลับมามองอีก เราก็เลยไม่จ่ายซะเลย
แล้วสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่น่าจ่ายเงินให้จริงๆ ก็เรื่องมีอยู่ว่า

มีคุณป้าคนหนึ่งถือทุเรียนขึ้นมาด้วย ทุเรียนก็ห่อมิดชิดดีนะ แค่ผลเดียวน่ะ
แต่คนขายตั๋วผู้หญิงอะ อายุประมาณ30 ด่าคุณป้าแทบเป็นแทบตาย จะไล่ลงรถให้ได้
"เขาไม่ให้เอาทุเรียนขึ้นมานะป้า นี้มันรถแอร์นะ ทำไมถึงไม่รู้จักคิดแล้วขึ้นมาทำไม ลงไปเดี๊ยวนี้เลย ลงไปเร็วๆ"

โอโห... เราแบบว่า รู้สึกว่าคุณเธอไร้น้ำใจมาก
แล้วที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไอ้คนบนรถเมล์อะ ทำเสียงแบบเหมือนรังเกียจคุณป้ามาก ได้ยินเสียงชิ้วๆด้วย ทีนี่พอรถวิ่งมาถึงป้ายถัดไป คนขายตั๋วก็บอกว่า ถ้าป้าไม่ลงจะไม่ยอมเดินรถต่อ

โอ้ย นี้หรือคนไทยที่เรียกว่ามีน้ำใจอะ
ดูถูกคนไทยด้วยกันชะมัด มีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า ผมไม่กินทุเรียนอยู่แล้ว
เราล่ะนะ เห็นใจป้าแกจริงๆเลยอะ

นี้หรือ คนไทยที่ชาวต่างชาติบอกว่ามีน้ำใจรอยยิ้มงดงามอะ...
เจอแบบนี้ไปแล้วแบบ อึ้งอะ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบทุเรียนนะ แล้วกลิ่นมันก็ไม่ได้อะไรมากเลยอะ แต่ไอ้คนบนรถเมล์กับคนขายตั๋วนี้มันจมูกดีกันจริงๆนะ โหดร้ายมากในความรู้สึกของเรา

เกิดคำถามขึ้นว่า

นี้หรือ คนไทย?
ที่ชาวต่างชาติว่ามีน้ำใจ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
เราขึ้นมา เราก็กำลังจะพูดว่าไปที่ไหน แต่เขาไม่สนใจเลย เดินตัดหน้าไปมาแบบไม่สนใจ


เจอบ่อย ๆ ครับ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร
ทุกครั้งที่ผมขึ้นรถเมล์ ผมก็เห็นจนชินตา
กระเป๋ารถเมล์ก็คนครับ บางครั้งเขาแสดงท่าทีในการให้บริการอย่าง :b5:
แต่ลองคิดว่าเราต้องไปใช้ชีวิตเป็นกระเป๋ารถเมล์สัก...สามวัน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ยันหลับตา
ลองคิดว่าคุณเป็นเขา ถ้าคุณเข้าใจหัวอกเขาจริง ๆ
ขนาดผมอยู่บนรถเมล์แค่วันละ สองรอบ เช้า - เย็น ผมยัง :b6: เลย
แต่เขาต้องอยู่ทั้งวันครับ
ทุกครั้งที่ขึ้นรถ ผมจะสบตาเขา ยิ้ม ๆ ยื่นเงินให้เขาอย่างนุ่มนวล
และพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ "สีลมครับ" :b1:
และรับเงินทอนพร้อมตัวอย่างนุ่มนวล สบตาก้มหน้าลงนิด ๆ แสดงความขอบคุณ :b1:
การยื่นเงินให้เขา และการรับเงินทอน จะเป็นช่วงที่มือเราจะได้สัมผัสกัน
ดังนั้นการมอบสัมผัสที่นุ่มนวล เป็นภาษากายครับ
มันแทนคำพูดได้มากมาย และทรงอานุภาพมาก อย่างไม่น่าเชื่อ... :b1:

ถ้าคุณเป็นผู้โดยสารที่หลุดสายตา ถึงแม้ผมจะได้นั่งก็ตาม ซึ่งผมเป็นคนที่ชอบหลับบนรถ
แต่ผมจะไม่หลับ ผมจะคอยหันไปมองเขา เมื่อเขาหันมาสบตา
ผมจะชูเงิน :b1: และเขาก็จะมาครับ
พอจ่ายเสร็จผมก็บอกเขาว่าผมจะลงตรงไหน ถ้าถึงบอกผมด้วยนะครับ :b1:
และเขาก็เดินมาบอกผมครับ :b1: และผมก็ "ขอบคุณครับ"
เพราะ ผมคิดว่าเขาได้เปอร์เซ็นต์ และผมคิดว่า ขสมก.ขาดทุนสะสมมานานแสนนาน

ผมไม่เคยลืมที่จะ :b1: "ยิ้ม"
บนรถเมล์ ผมไม่เคยคิดว่าผมคือใคร
บนรถเมล์ผมคือ ผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัยคนผู้ซึ่งประกอบอาชีพนี้ครับ
ผมจึงเป็นผู้ซึ่งขึ้นรถเมล์ด้วย สำนึกในคุณของผู้ประกอบอาชีพนี้ครับ :b15:

และผมก็ไม่เคยเจอกระเป๋ารถเมล์ที่แสดงกิริยาไม่สุภาพกับผม

"เขาไม่ให้เอาทุเรียนขึ้นมานะป้า นี้มันรถแอร์นะ" อันนี้จริงครับ
และจริง ๆ เป็นมารยาททางสังคม
ในสถานที่ปิด การถ่ายเทอากาศไม่ดี
ถ้าคุณเคยเจอคนที่ไม่ถูกกับกลิ่นทุเรียน คุณอาจจะคิดว่าเขากระแดะ
ผมได้กลิ่นทุเรียนแล้ว ขนลุกเลยครับ มัน :b14: :b14:
ซึ่งถ้าผมนั่งอยู่บนรถคันนั้น นั่นคือผมต้องอดทนอดกลั้นไปตลอดเส้นทาง

ส่วนเรื่องการพูดจา เขาอาจจะใช้วาจาแรงไป
อาจจะเป็นเพราะ เขาต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ครับ
ประมาณว่าให้ได้อาย จะได้จำใส่กระโหลก และคนอื่นจะได้ไม่ริอ่านเอาเยี่ยงอย่าง

และการที่ถ้าคนในรถเมล์จะแสดงอาการใด ๆ อันแสดงถึงความรังเกียจ
นั่นคือ บ่งบอกว่าคนผู้นั้นไม่ได้เคารพมารยาททางสังคม
เมื่อผู้ใดไม่เคารพต่อมารยาททางสังคม สังคมก็ตอบโต้กลับมา

:b1:

การเป็นกระเป๋ารถเมล์ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ
เพราะเขาต้องเจอลูกค้าสารพัดแบบ และบ้างก็แสบ
อย่าเห็นว่าแค่ถือกระบอก และเดิน แก๊บ แก๊บ แก๊บ นะครับ
บางที กระเป๋าผู้หญิงกะดึก บางทีอาจเจอ อันธพาล คนเมา
เด็กยกพวกตีกัน นักเลง บางทีก็ใช้รถเมล์เป็นที่พรอดรัก :b6:
เธอเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัว
และเป็นอาชีพที่เสี่ยงทั้งต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

เวลาขึ้นรถเมล์ อย่าคิดว่าเราเป็นใคร หรือใครเป็นใคร
แต่มองให้เห็นว่า ณ เวลานี้เราอยู่กับใคร
ถ้าเกิดอะไรขึ้นบนรถคันนี้ พวกเขาคือเพื่อนร่วมชะตากรรม :b30:
เชื่อเถอะครับ ว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น
คนขับ กับกระเป๋ารถเมล์คือผู้ที่จะเข้ามาคอยดูแลพวกเรา
ซึ่งเขาจะทำได้มากหรือน้อยนั้น เป็นอีกเรื่อง
แต่เขาทำแน่ เพราะในพื้นที่ทรงกระบอกเล็ก ๆ นั้น
มันมีความเกี่ยวพันในด้านจิตใจของเขา เหมือนกับเป็นบ้านอีกหลังของเขา
บางคนทะเลาะกับเมีย กลับบ้านไม่ได้ ก็นอนบนรถ
เมื่อคุณเห็นรถคันไหนถึงเก่า แต่ดูสะอาด นั่นล่ะ ฝีมือกระเป๋า กับคนขับ :b1:

เมื่อผมขึ้นรถคันไหนที่ทั้งกระเป๋าและคนขับออกแนวนักเลง :b32:
ผมก็วางใจครับ ว่าถ้าหากว่าเกิดเหตุนักเรียนตีกันบนรถ
ผมไม่ต้องออกโรง :b1:

บางครั้ง เวลาที่มีกระเป๋าใหม่มา
ผมก็จะรู้ครับ เพราะผมชอบนั่งใกล้คนขับ
ซึ่งคนขับจะคอยสอนงานกระเป๋า
และบางครั้งก็มีครับ กระเป๋าสอนงานคนขับ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กใหม่จะนิ่ม ๆ เจี๋ยมเจี้ยมครับ
แต่พอแก่สังเวียนก็ :b16:

ครั้งหนึ่ง ก็เช่นเคยที่ผมชอบนั่งใกล้คนขับ
และวันนั้น มีคนข้ามถนนตัดหน้ารถ
ชัดเจนครับ ชัดเจน
พอดีอยู่ใกล้โรงพยาบาลเวชธานี กระเป๋ารถรีบลงไปพากันขึ้นตุ๊ก ๆ ไปโรงพยาบาลทันที
ลูกค้าบางส่วนลง และบางส่วนก็ไปลงที่ รพ.
ซึ่งผมก็ไปลง รพ. เพราะบ้านผมอยู่แถวนั้นพอดีเดินอีกนิด
พอจอด เขาก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย
ผมก็ลุกขึ้น และเดินไปตบบ่าเขาเบา ๆ เขาหันขึ้นมามอง
ผมก็ :b1: ให้เขา " ไม่เป็นไรน่า ... ใจสู้ไว้ " และเขาก็ยิ้ม


อ้างคำพูด:
นี้หรือ คนไทยที่ชาวต่างชาติบอกว่ามีน้ำใจรอยยิ้มงดงามอะ...
เจอแบบนี้ไปแล้วแบบ อึ้งอะ


ส่วนสิ่งที่คุณทำไม่น่าอึ้ง ใช่มั๊ยครับ ความคิดและการกระทำตั้งแต่
- การไม่จ่ายค่ารถ เพราะ ตอนแรกจะจ่าย แต่พอมีสิ่งมาขัดความรู้สึก
ก็มั่นใจในความคิดของตัวเองที่ จะไม่จ่าย

ในเรื่องที่คุณเล่า กระเป๋ารถเมล์เขาประกอบอาชีพสุจริตครับ
แต่ความสุจริตในหน้าที่ของประชาชนคนหนึ่งในสังคม
ผู้ต้องใช้บริการรถเมล์ของคุณ มันบกพร่องเรียบร้อยแล้วครับ


อย่ามองว่าเขาทำอะไรครับ
มองให้ออกว่าอะไรทำให้คุณธรรมในใจเราสั่นคลอนไม่ตั้งมั่น :b1:

ตรงนี้ เสร็จกิจเรียบร้อยเลยครับ
ทั้ง กาย วาจา ใจ คุณได้ล่วงอกุศลอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยเลยครับ
และ ยังไม่จบ ยังเก็บเอามาเล่าต่ออีก

ลองย้อนกลับไปอ่านสักอีกหลาย ๆ รอบครับ
ว่าสิ่งที่คุณนำมากล่าวนั้น ผู้ที่เข้ามาอ่าน เกิดมุมมองใด ๆ ได้บ้าง
นี่คือ การบ้านที่คุณควรจะคิด
พยายามมองทั้งในข้อดี และข้อเสียนะครับ

ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ หรือการเจริญสติ ทุกสิ่งที่ทำไม่ใช่เพื่ออะไรครับ
แต่เพื่อให้เราเรียนรู้วิธีที่จะ "หยุด" ครับ
ไม่ใช่การหยุดในความคิด หรือ จินตนาการ แต่คือการหยุดให้เป็น ณ ทุกขณะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

วิธีรายงานอารมณ์โดยย่อ

1. สามารถกำหนดการเคลื่อนไหวอริยาบทย่อยทั้งวันที่ผ่านมา ได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่?

2.จับสภาวะอาการพองยุบ อาการเดิน ได้หรือไม่?

3. รักษาทวารทางตา ได้หรือไม?

4. กำหนดสภาวะของจิตและความนึกคิด ได้หรือไม่?

5. กำหนดเวทนา ได้อย่างไร?

6. กำหนดอาการทวารทั้ง 6 ได้ทันหรือไม่? และได้ประสพอาการอะไร จากการกำหนด

7.ให้รายงานประสพการณ์ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเดาขึ้น
รายงานอารมณ์ เท่าที่จำได้ และปรากฏชัด

8. การส่งอารมณ์ ควรพูดเฉพาะ เนื้อหา สาระ ประเด็นสำคัญๆเท่านั้น
เพื่อจะได้มีเวลาชี้แนะข้อควรปฏิบัติต่อไป




18 มค. 50
1. ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. สูดลมหายใจยาวๆลึกๆ ความปวดจะบรรเทาลง
แต่วันนี้ ปวดปัสสาวะมากๆ เหลือ 3 นาทีสุดท้าย / 6. ได้ ขณะปฏิบัติ ได้ยินเสียงเด็กนักเรียน
7. เสียงดังมาก กำหนดเสียงหนอ 2 ครั้ง

21 มค.
1. ยังไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. วันนี้เวทนาเกิดตลอด รู้ตัวตลอด พยายามกำหนดรู้
ในเวทนานั้นๆ เวทนาลดลงกว่าเมื่อก่อน ทรมาณไม่มากเหมือนเมื่อก่อน จิตยึดน้อยลง
6. ทัน / 7. ไม่มีนิมิต / 8. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.

22 มค.
1.ไม่ละเอียด / 2. ได้ แต่วันนี้ยืนหนอ แปลกมาไหลลื่นไปได้เลย แค่ตามดูเฉยๆ / 3. ได้ / 4. ได้
5. เวทนามาเป็นระยะ แต่ความฟุ้ง วันนี้มากจัง แต่ก็พอกำหนดได้ นิมิตมาอีก เรื่องปฏิบัติที่ได้สมัยก่อนๆ
ไหลมาให้เห็น รับรู้เป็นระยะ / 6. ได้ / 7. เหมือนข้อ 5. / 8. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ต่อด้วย
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

23 มค. ทำสองรอบ
1. ไม่ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. กำหนดตามอาการที่เกิด ปวดหนอ รู้หนอ / 6. วันนี้ไม่ทัน
7. วันนี้ปฏิบัติไม่ดี จิตไม่นิ่ง ฟุ้งตลอด อาจเป็นเพราะว่า ร่างกายไม่ชิน เช้าเกินไป
8. เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที นอนไม่ค่อยหลับเลยกลางคืน เป้นมา 3 วันแล้ว

24 มค.
1. ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4.วันนี้ไม่ค่อยดี กำหนดไม่ทัน / 5. เพียงพิจรณาว่า เป็นเพียง
รูป,นาม เท่านั้น ไม่ไปเกี่ยวข้องกับอาการนั้นๆ รู้เฉยๆ / 6. ได้ / 7. วันนี้ปฏิบัติ สติตามไม่ค่อยทัน
เหมือนตกภวังค์ แต่ก็พยายามใช้สติดึงกลับมาได้ อาการพองยุบรู้ได้ตลอด แต่องค์ภาวนา กำหนดไม่ขึ้น
8. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 2 รอบ

1.ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้เป้นระยะ บางครั้งเหมือนกับวูบไป แต่ใช้สติดึงกลับมาได้
5. เวทนาเกิด ดับ กำหนดได้เป็นพักๆ ยังไม่สม่ำเสมอ ยังไม่ต่อเนื่อง ปวดๆหายๆ ตลอดเวลา
6. ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง / 7. ช่วงนี้ยืนหนอมีสติดี รู้ตัวได้ดีตลอด กำหนดเดินได้ดี นั่งได้ดี
แต่อาการกำหนดภาวนาพองยุบ หายไป บางทีตามไม่ทัน ไม่รู้ตัว

25 มค. ไปวัดอัมพวัน

31 มค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
..........................................................................................

3 กพ. ตั้งแต่กลับมาจากวัด ไม่ได้ปฏิบัติเลย ทำไม้ป็นอย่างนี้น๊า

6 กพ. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

7 กพ. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
.....................................................................

16 มิย. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
................................................................

9 กค. กลุ้มใจมากๆ ติดเกมส์ ไม่ได้ปฏิบัติเลย อยากเลิกเล่น ไม่รู้จะทำยังไงดี
กฏแห่งกรรมทั้งนั้นจะมีอะไร ว่าเขาไว้เยอะ เห็นใครเล่นเกมก็ว่าเขา
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดี แต่ผลตอบแทนกลับมาไม่ดี เพราะยังทำดีได้ไม่มากพอ
อกุศลกรรมเก่าที่ทำไว้ ก้ต้องใช้ไป ทยอยใช้เขาไป กรมฐานเท่านั้น ที่จะแก้กรรมได้
ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องอยู่ร้อน นอนทุกข์แบบนี้อีกเลย
เราต้องมุ่งปฏิบัติ ในเม่อเอาดีทางชีวิตปัจจุบันไม่ได้ ขอเอาดีในด้านปฏิบัติกรรมฐานแทน
ต้องขอบคุณปัญหาทั้งหลาย ที่ทำให้เราเข้มแข็ง

19 กค. เดิน 40 นาที นั่ง 1 ชม. บางวันปฏิบัติ แต่ไม่ได้บันทึกไว้เลย

20 กค. วันนี้ทำความสะอาดห้องพระ ( ข้ออ้างอีกแล้ว )

21 กค. การปฏิบัติยังเหมือนเดิม ไม่ก้าวหน้า

23 กค. ปฏิบัติมีแต่ความง่วง

24 กค. ปฏิบัติ

27 กค. เดิน+นั่ง 21.08-22.45

30 กค. เดิน+นั่ง 1ชม 1/2

31 กค. เดิน+นั่ง 1ชม 1/2
....................................................................................

1 สค. 50 เดิน+นั่ง 02.45-04.00

4 สค. ปฏิบัติ 00.16

6 สค. ทำ 1/2 ชม. 4 รอบ

7 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

8 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. วันนี้แปลกๆ เหมือนคุยกับตัวเอง เวลาออกจากสมาธิ
สมาธิแรงเกินไป สติไม่ทัน หัวเลยงุบลงไป แต่ไม่ง่วง ก็กำหนดรู้หนอ ก็หาย หลังตรงแบบเดิม
วันนี้พลาดไป หลังจากคุยกับตัวเอง ถึงได้รู้ว่าพลาดไปติดนิ่ง แล้วไม่ย้ายอารมณ์ ไปเสวยอารมณ์ตรงนั้น

9 สค. เดิน 20 นั่ง 45

10 สค. เดิน 1ชม.15 นาที นั่ง 40 นาที

13 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. เดิน 3 ระยะ มีสติมากๆ เดินช้าๆ แต่กำหนดตลอด ตัวไม่เบา
ไม่หนัก มีสติต่อเนื่อง ต้องกำหนดต้นจิตกับหยุดหนอด้วย
นั่ง เวทนามากๆ กำหนดไม่ได้

14 สค. ปฏิบัติ2ช.ม.เหมือนเดิม
วันนี้ได้อ่านหนังสือของอ.จ.สุทัสสา เรื่องของแม่ยุพินศิษญ์หลวงพ่อจรัญ
ที่เป็นมะเร็งจะต้องตาย ( หมดทางรักษาแล้ว )

หลวงพ่อได้ให้ไปปฏิบัติที่วัด อยู่ที่วัดเลย มีความเพียรมากๆ ไม่มีการนอนเลย
ปฏิบัติอยู่ 3เดือน มะเร็งหาย

อ่านแล้วเกิดกำลังใจในการปฏิบัติมากๆ

15 สค. 03.17-05.00 เดิน 3 ระยะ นั่งมีเวทนาบ้าง

16 สค. 03.09-05.00 เดิน 3 ระยะ และ 16.15-18.20

18 สค. 9.00-11.00 เดิน 3 ระยะ
เดินไปวัดมาสองวันแล้ว วัดชัยมงคล ใช้เวลา 45 นาที เมื่อยมากๆเลยแฮะ กลับมาก็หลับเป็นตา
เพิ่งตืนก็อาบน้ำแล้วขึ้นปฏิบัติ ดีนะแบบนี้ หลับก็ฟุ้งตอนใกล้ตื่น มีแต่เรื่องปริยัติ แปลกดี
21.20-23.20 สติดี เห็นชัดเจนดี มีแต่พิจรณา เหมือนจะฟุ้ง มีแต่เรื่องการปฏิบัติ เข้ามาเป็นระยะ
เวทนาเกิด สติดีตลอด เหมือนพิจรณา และเห็นเวทนาเกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง จะคลายก็รู้ จะปวดก็รู้
คิดว่า คือ ไม่แน่ใจ เหมือนเราพิจรณาดู แต่ไม่ใช่แบบในสมาธิ คิดว่า ไม่ได้เป็นสมาธินะ แต่ก็พิจรณา
ความไม่เที่ยงในเวทนา

ไปเรียนนักธรรมตรีที่วัดนอก กว่าเราจะตัดสินใจเรียนนี่คิดอยู่นาน คุณนุได้พูดถึง
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธให้ฟัง และเรื่องอนุนิสัยในชาติต่อๆไป แล้วเราก็รำลึกถึงคำพูด
ของหลวงพ่อพุธที่ท่านบอกว่าเราปฏิบัติไปได้เร็วเพราะเราสำเร็จกสิณมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว
นี่เป็นตัวอย่างในเรื่องอนุนิสัยในชาติก่อนๆ เราเลยตัดสินใจเรียนนักธรรม ทั้งๆที่ไม่ชอบภาบาษาลีเลย
ใจก็คิดกังวลว่าจะรอดไหมเนี่ย ภาษาบาลีไม่กระดิกเลย มันคงยากมากๆ คนมันชอบคิดล่วงหน้า

ช่วงนี้เดินไปเรียนนักธรรมตรีที่วัดเกือบทุกวัน

19 สค.8.26-10.30 เวลาเกิดสมาธิ บางครั้งจะชอบกระตุก ตัวกระตุก แต่เป็นบางครั้ง
เหมือนอาการคนเวลาสะอึก แต่เปลี่ยนจากอาการสะอึกเป็นแบบกระตุกแทน
นั่งบอกไม่ถูก แต่กำหนดได้ตลอด สติดี ชอบมีเวทนมากๆเวลานั่งแผ่เมตตา

20 สค. 19.20-22.00 ทำ 3 ระยะ วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ได้ไปปวดอะไรด้วย
สติเหนือจิต นำจิต เราลองขยับขา ขยับกาย เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับแล้วจะปวดแค่ไหน
ไม่มีอาการปวดใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ารู้ รู้ว่าเกิดเวทนาตั้งแต่เกิดจนหายไป
ออกไปคุยกับคุณนุ
23.06-00.00 ปฏิบัติอีกรอบหนึ่ง

วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด เราลองขยับขา ขยับกาย
เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับจะปวดไหม ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

22 สค. 21.40-23.40 แปลกๆ นั่งมากๆก็เบื่อ เป้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถึงจะเห็นเวทนา
แต่เหมือนมันเบื่อ ในการนั่ง วันนี้ก็เป็น เวทนาก็ยังคงมีเป็นปกติ วันนี้ปวดจนน่ารำคาญ
กำหนดได้ยากมาก เดินยังไม่เท่าไหร่ ไม่เบื่อ แต่นั่งนี่รู้สึกว่ามันเบื่อ กำหนดไม่ขาด

23 สค. 08.30-10.30 เห็นเวทนาเกิด-ดับต่อเนื่อง เป็นสมาธิสลับกัน
สติดี เดินก็กำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี ฟุ้งมีบ้าง กำหนดได้ทัน สงสัยจะถูกกับอากศช่วงเช้า ปฏิบัติได้ดี

20.35-22.00 ฟุ้งกำหนดได้ ไม่ต่อเนื่อง แต่รู้ตัวดี นั่งกำหนดได้ทัน แต่เวทนามาอีกแล้ว
คราวนี้ไม่ใช่ปวด แต่เป้นความเมื่อย แบบว่าเมื่อยมากๆ เมื่อยไปทั้งตัว ยังคงมีความเบื่ออยู่

เห็นเวทนา เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาธิตลอด สติดี เดินกำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี
ฟุ้งซ่านมีบ้าง กำหนดทัน

สงสัยเราจะถูกกับอากาศช่วงเช้า ปฏิบัติต่อเนื่อง มานั่งทบทวนหลังปฏิบัติ มันไม่มีอะไรแน่นอน ต้องอาศัยความต่อเนื่องเท่านั้น

24 สค. กลับมานับหนึ่งใหม่ เริ่มเดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 4 รอบ เพราะว่ามันเบื่อ
เวทนาชม.แรกพอกำหนดได้ เวทนาชม.ที่ 2 ปวดกระเบนเหน็บมากๆ แต่ก็พอดีกับเวลา
เกือบจะทนไม่ไหว

25 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. วันนี้ต้องไปเรียน เลยทำแค่ชม.เดียว
กำหนดเริ่มดีขึ้น ฟุ้งน้อยลง เวทนาเริ่มกำหนดได้ดีขึ้น เห็นชัดดี ความเบื่อเริ่มลดน้อยลง

28 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 2 วันแล้วไม่ได้ทำ มันเบื่อๆยังไงบอกไม่ถูก สงสัยจะขี้เกียจ
เลยหาข้อ้างที่จะไม่ทำกระมัง เดาเอานะ

31 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ไม่ได้ทำหลายวันเลย บอกไม่ถูก เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว
วันนี้สติดีตั้งแต่เดินจงกรม เห็นความละเอียดทุกอย่าง อย่างต่อเนื่องของการเดิน เป็นสมาธิตลอด
นั่ง เป็นสมาธิอย่างต่อเนื่อง เริ่มเข้าที่เอง เวทนาเกิดๆหายๆ ไม่ทรมาณมากเหมือนเมื่อก่อน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 21:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คะ.. คุณ คนใกล้ตาย ผู้แสนดี
เป็นคนที่ดีมากๆเลยคะ เข้าใจจิตใจของผู้อื่นทุกเรื่องทุกราวทุกซอกทุกมุม ไม่มีอะไรที่ทำผิดพลาดเลยทุกอย่างเฟอร์เฟ็ตหมดในชีวิตของ คุณคนใกล้ตาย น่านับถือจริงๆเลยคะ
อ้างคำพูด:
ส่วนสิ่งที่คุณทำไม่น่าอึ้ง ใช่มั๊ยครับ ความคิดและการกระทำตั้งแต่
- การไม่จ่ายค่ารถ เพราะ ตอนแรกจะจ่าย แต่พอมีสิ่งมาขัดความรู้สึก
ก็มั่นใจในความคิดของตัวเองที่ จะไม่จ่าย

ในเรื่องที่คุณเล่า กระเป๋ารถเมล์เขาประกอบอาชีพสุจริตครับ
แต่ความสุจริตในหน้าที่ของประชาชนคนหนึ่งในสังคม
ผู้ต้องใช้บริการรถเมล์ของคุณ มันบกพร่องเรียบร้อยแล้วครับ


คนเราย่อมมีผิดพลาดคะ เรายอมรับในความผิดพลาดนั้นและก็นำมาโพสไว้ ซื่งในฐานะที่ยังเป็นปุถุชนยังมีความโกรธ ไม่พอใจ อยู่ เราก็เลยเลือกที่จะทำตามที่ตัวเราเองรู้สึกว่าอยากจะทำ
เรายอมรับความเป้นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็ตามจะมองว่าเราเป็นคนยังไง
แต่ในเมื่อเราได้เจริญสติและตั้งใจจะรายงานตัวตนของตัวเองออกมา เราก็ขอเล่าเรื่องราวที่เป็นตัวของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจของเรา

เรายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วก็ไปปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ

อย่างน้อยสักวันถ้าสติเราทัน ย่อมจะไม่เกิดความผิดพลาดอีก

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



โมทนาค่ะ ที่ยอมรับตามความเป็นจริง ในสิ่งที่ตัวเองเป็น :b8:
การเจริญสติจะทำให้เห็นกิเลสได้อย่างชัดเจน

ถึงแม้จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตลอดเวลาทุกๆครั้งที่ผิดพลาด
แต่ในวันข้างหน้า เมื่อมี สติ สัมปชัญญะมากขึ้น ความผิดพลาดย่อมเบาบางลงไปเรื่อยๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีนาฬิกาทรงกลมอยู่เรือนหนึ่ง
ตั้งอยู่ในห้องสีขาวที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงนอนอ่อนนุ่มสีขาว และหน้าต่างประดับผ้าม่านผืนบางที่กำลังพริ้วเบาๆหยอกล้อแสงแดดและสายลมอ่อนๆ

ในกาลเวลาที่มิอาจบอกได้ว่าเช้า กลางวัน หรือค่ำคืน...

ฉันใช้นิ้วหมุนเข็มของนาฬิกาให้ย้อนกลับไป หมุนย้อนกลับไปเรื่อยๆ
วาดนิ้วทวนเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดตัวเลข
เข็มยาวหมุนตามแรงนิ้วของฉัน ส่งผลให้เข็มสั้นวิ่งถอยหลังไปด้วย

เป็นจำนวนนับร้อยครั้ง พันครั้ง ที่ทำแบบนี้

เฝ้านอนอยู่บนเตียงสีขาวที่ว่างเปล่า แล้วก็ใช้นิ้วหมุนเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆราวกับไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายในการกระทำแบบนั้น

แต่ว่า ถึงจะหมุนเข็มไปสักกี่ร้อยรอบพันรอบ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ไม่มีแม้สักเสี้ยววินาที ที่หมุนกลับตามเข็มนาฬิกานั้น

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
เป็นโศกนาฎกรรมของชีวิต

ที่มิอาจย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ได้แต่ต้องเดินหน้าต่อไป

By Varinne

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แก้ไขล่าสุดโดย varinne เมื่อ 06 เม.ย. 2010, 00:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 5 เดือน 4 ปี 2553
เดิน 10 นาที

เกิดความรู้สึกผิดในใจ
รู้สึกหลายๆอย่าง แล้วก็ ช่วงท้ายๆก็พอระลึกและเข้าใจได้ว่า ที่พี่บอกว่า
"สติจะเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ไปเกาะเกี่ยวกับกิเลส"
ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจได้แล้วละ
คิดว่าจะไม่โมโหหรือว่าโกรธแล้วละ

โดนบทเรียนเมื่อวันก่อนไป เข็ดเลย ตอนนี้ปัญหาที่ตามมาก็ยังไม่จบ...

พอแล้วละ ไม่ทำแล้ว
การใช้ชีวิตช่างลำบากจริงๆ

ส่วนนั่งก็ กลัวผี หายใจเข้ายาวๆออกยาวๆสามที

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 00:05
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเรื่องเล่า ของ จขกท. เรื่องรถเมลล์แล้วค่ะ
ก็เห็นภาพตามเลยค่ะ ...ถ้าเลือกได้เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเห็นภาพแบบนั้น เศร้านะคะ

ความเห็นส่วนตัวนะคะ การที่รู้สึกยังไงก็ยอมรับแบบนั้น ดีก็ดี แย่ก็แย่ อคติก็อคติ เลวก็เลว แบบนี้ไม่เหนื่อยนะคะ สำหรับตัวเรา เราว่าการ "ต้องดี" มันเหนื่อยกว่ายอมรับว่าเราไม่ดีเยอะมาก ประสบการณ์ที่เคย "ต้องดี" นี่ให้ความทุกข์ทรมานเรามาอย่างสุดแสนเลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


สู้เว้ย!! เขียน:
ประสบการณ์ที่เคย "ต้องดี" นี่ให้ความทุกข์ทรมานเรามาอย่างสุดแสนเลยค่ะ

ต้องดี :b6: :b6: :b6: ช่างเป็นโศกนาฏกรรมจริงๆ น่าจ๋งจ๋าน อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



1 กย. 50 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
มีสติดีตั้งแต่เดิน สังเกตุนะ เมื่อมานั่งต่อ สมาธิจะดีขึ้นมาก สติจะดีตลอด ทำให้ไม่เกิดความเบื่อ
ในการปฏิบัติ จะรู้สึกเบื่อก็ช่วงใกล้ๆจะหมดเวลา สังเกตุหลายทีละ เวทนาเกิดๆดับๆตลอดเวลา

2 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
ยังมีอาการเดิมคือ เบื่อ

3 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
สติดีตลอด รู้ตัวตลอด เดินจงกรมมีสติดี อาจมีแว่บไปนอกตัว แต่กำหนดทัน
นั่ง มีสติรู้ตัวตลอด เห็นเวทนา นั่งพิจรณากำหนดได้ดี สติชัดเจนแจ่มใส เห็นเวทนาตั้งแต่เกิดขึ้น
จนกระทั่งดับไป จับรายละเอียดได้หมด รู้ว่าปวด สักแต่ว่าปวด แต่จิตส่วนจิต
ไม่ได้เข้าไปยุ่งหรือไปปวดด้วย เป็นๆหายๆ เกิดๆดับๆ ให้เห็นเวทนาว่าเกิดอย่างไร แต่ละตัวไม่เหมือนกัน

พอช่วงท้ายๆ เริ่มมีอาการเหมือนเดิมคือ เบื่อหน่าย พยายามกำหนด เบื่อหนอๆๆ รู้หนอๆๆลงไป
กำหนดดับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังไม่ดับได้อย่างชัดเจน ยังคงมีความเบื่ออยู่
แต่เวทนาจะเกิดก็เกิดไป รู้ตลอด มีสมาธิตลอด สลับกันไปมา ไม่เป็นสมาธิก็มี แต่ยังมีสติรู้ชัดดี

การเดินจงกรม ละเอียดชัดเจนมากขึ้นขณะที่เดิน มีอะไรมากระทบอายตนะ กำหนดได้ตลอด
ไม่ฟุ้งซ่าน จับลมหายใจพร้อมกับอาการท้องพองยุบ ขณะที่เดินได้อย่างชัดเจน เมื่อเดิน
สังเกตุได้ ลมหายใจจะรวมเป็นหนึ่งขณะที่เดิน มันจะไปพร้อมกันหมดทั้งตัว รู้พร้อมหมด
สติดีตลอด เมื่อมานั่งต่อ สมาธิเกิดอย่างต่อเนื่อง สมาธิตั้งอยู่ได้นานขึ้น
เป็นสมาธิเร็วขึ้น พอกำหนดนั่ง ปรับลมหายใจแค่ 5 ครั้ง เข้าสู่สมาธิได้เลย

เพิ่มเวลาในการปฏิบัติ เป็นวันละ 4ชม.บ้าง 5 ช.ม.บ้าง 6 ช.ม.บ้าง บางวัน 1ช.ม.ก็มีไม่แน่นอน
แล้วแต่สะดวก สูงสุด 8 ช.ม.เดินจงกรม เดินระยะ 1- 4 ละเอียดมากขึ้น ชัดเจนขณะที่ก้าวเดิน

อ่านหนังสือ อ่านพระธรรมวินัย แล้วปฏิบัติต่อถึง ตี 3 รอบนี้ หลับตลอด

5 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดินจงกรมมีสติดี ต่อเนื่องได้ตลอด ตามระยะ 1-2
นั่ง มีเวทนามากๆ ปวดสุดๆ จะลืมตาดูนาฬิกาตั้งหลายครั้ง ทำไมมันปวดขนาดนี้
คอยเฝ้าแต่ฟังเสียงนาฬิกา เมื่อไหร่จะดังสักทีนะ ดีนะที่ไม่ได้ลืมตาดูนาฬิกา

พักก่อน 1 ชม. ไปเขียนพระธรรมวินัยก่อน
23.00-01.00 ระยะ1-2
เดินจงกรมระยะ 3 ยังไม่ค่อยแนบแน่น มีเซแรกๆ
นั่ง เวทนาสุดๆ ลืมตาดูเวลา เหลืออีก 1 นาทีหมดเวลา

6 กย. เดิน 1/1/2 ชม. นั่ง 1 ชม.
วันนี้ไปเรียนนั่งหลับตลอดเลย
เดิน มีสติรู้ตัวตลอด กำหนดรายละเอียดได้ดี เดินระยะที่ 1-3
นั่ง เวทนาเยอะมากๆ ปวดมากๆ มีบางช่วงดิ่งหายไป ดับสนิท ไม่รู้ตัวเลย หายไปเฉยๆ
กำหนดทันบ้าง ไม่ทันบ้าง

กสิณ

หลังจากที่ได้ฝึกเตโชกสิณจากหนังสือที่หลวงพ่อสมชาย โยนมาให้ฝึกเอง
ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าจะมีผลอะไรตามมา แล้วฝึกไปเพื่ออะไร

หลังจากที่พ่อห้าม ก็ลืมไปเลย ไม่เคยสนใจจะหยิบขึ้นมาดูอีก
แต่เราเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ไปที่ไหนจะเจอแต่วิญญาณ ( ชาวบ้านเรียก " ผี " )

ตอนเรียนม.ปลาย ได้เขาชมรม " หมอดู " งานนี้
อ.จ.ให้เราเป็นหมอดู เพราะเวลาจับมือใคร หรือได้เจอใครใหม่ๆ
เราจะรู้เรื่องของเขาได้โดยเขาไม่ต้องบอก เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

แล้วถ้าใครมาถามเรื่องที่คุยกันในวันต่อมา เราจะจำอะไรไม่ได้เลย
( สงสัยจะเป็นร่างทรงแต่เด็ก )แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง

จะมีเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เรารู้ล่วงหน้าได้ก่อนจะเกิด
แต่อย่างว่าแหละ ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้สงสัยว่าเพราะอะไรและทำไม

แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เคยเล่นเกมสะกดจิตกับเพื่อน
( แบบที่ออกรายการในไอทีวี ) เพื่อนสะกดจิตเราไม่ได้
แต่เราสะกดจิตเพื่อนได้ เพื่อนบอกว่าเราจิตแข็ง
มารู้ตอนได้ปฏิบัตินี่เอง ว่าเป็นผลของการทำกสิณ ทำให้เรารู้เรื่องราวต่างๆได้

7 กย. 20.00-21.00
ลองเดินระยะที่ 1 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
เดิน ยังคงมีสติดีอยู่
นั่งมีเวทนาเล็กน้อย ก็ครึ่งชม.เอง แปลกดี มันดับไปเฉยๆ ถอยออกมาไม่ได้ ไม่ทัน
ตอนวิลัยกลับมาบ้าน ปกติแล้วจะได้ยินเสียงรถ วันนี้นั่งแล้วดิ่งไปเลย ไม่ได้ยินเสียงรถ

8 กย. 07.00-11.00 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. 2 รอบ ติดต่อกัน
วันนี้เพิ่งรู้ว่า เดินแล้วมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เดินแล้ว ลมหายใจกับกาย รวมกันเป็นหนึ่ง
จับได้ทั้งอาการหายใจ และการย่างเท้าก้าวเดินได้ อย่างต่อเนื่อง
มันเหมือนเป็นสมาธิแบบในขณะที่กำลังนั่ง


สมาธิในเดินจงกรมนี่ ไม่มีฟุ้ง ไม่มีความง่วง
ไม่มีความคิดแล่นออกไปนอกกาย สติในการเดิน ชัดเจนมากๆ

ทำอีกรอบคือ 20.00-21.20

10 กย. 08.00-12.00
เดินจงกรมมีสติรู้ตัวได้ต่อเนื่อง
นั่ง กำหนดเวทนาได้ชัด แอบตุกติก คือ ใช้วิธีท้าวแขนไปข้างหลัง แล้วแอ่นหลังขึ้นมา
ยังไม่ได้ใช้แบบอดทน มันเบื่อ เคยลองแบบนั้นแล้ว

20.40-23.58
ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่เวทนมากๆ ทนไม่ได้เลย ปวดทรมาณมากๆที่ก้นกบและหลัง

พุทโธ

รู้จักพุทโธ ตอนแม่พาไปวัดพุทโธภาวนา อยู่ที่สามพราน
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ป่วยมีเลือดออก กินยาอะไรก็ไม่หยุด
ขูดมดลูกก็ไม่หาย แม่เลยไปรักษาที่ร.พ.จุฬาต่อ หมอผ่าตัดมดลูกทิ้ง
แม่เป็นเนื้องอกที่มดลูก ผลการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 1

เราได้แนะนำให้แม่ไปหาวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน
แม่ไปหาป้าที่อ่อนนุช ป้าพาแม่ไปนครปฐม ไปวัดพุทโธภาวนา

ช่วงนั้นแม่หายหน้าไป ตัวเราเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้สนใจสอบถาม
เจอแม่อีกครั้ง แม่มาหาที่ทำงาน ( คิดย้อนหลังทีไรรู้สึกละอายใจทุกที )

แม่หายจากมะเร็ง อาการที่เลือดไหลไม่หยุด ก็หายสนิท
ทั้งที่ตอนนั้นผ่าตัดแล้ว เลือดก็ยังไหลอยู่ แม่มาชวนไปปฏิบัติที่วัดพุทโธ
ไปกับแม่เพราะเกรงใจแม่ อีกอย่างอยากไปเที่ยวด้วย
ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติอะไร แค่งานที่ทำก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

คนที่มาวัดนี้เยอะมากๆ ห้องน้ำต้องแย่งกันเข้า ต้องตื่นตั้งแต่ตี1
ตี2 เพื่อรออาบน้ำแล้วค่อยไปนอนต่อ เพราะตี4 จะไม่มีห้องน้ำว่าง

มีพระมาเทศน์ให้ฟัง เราชอบฟังพระเทศน์อยู่แล้ว
ฟังมาตั้งแต่เด็ก เลยติดเสียงเทศน์ มันทำให้รู้สึกสงบ

พระท่านสอนเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก
โดยใช้ หายใจเข้า - พุท หายใจออก - โธ

เรารู้สึกว่ามันง่ายมาก แม่บอกว่าเราหัวดี บางคนยังทำไม่ได้เลย
เพราะหายใจไม่ทันกับการกำหนด แต่เราไม่เป็น ทำได้สบายๆๆ

กลับมาบ้านก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง ไม่ได้สนใจอะไร
มาชวนเพื่อนที่ทำงานไป ไม่มีใครไปสักคน เขาบอกว่ามันไกลไปอยู่ตั้งนครปฐม
ครั้งแรกกสิณ นี่ก็มาพุทโธ ก็ยังไม่ได้สนใจ

11 กย. 07.45-09.00
หลับไปเฉยเลย แบบเครียดมาก มีความรู้สึกว่า ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งแย่ลง เจอแต่ปัญหา วุ่นวายตลอด

19.40-20.40 เดินระยะ 4 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 50 นาที
ทำระยะสั้นๆก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เบื่อ ถึงเบื่อก็แป๊บเดียว

20.45-21.45 เดินระยะ 1 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้ามีเวทนาก็พอทนได้ หูแว่วว่าหมดเวลา แต่ไม่ได้เลิกตามเสียงที่ได้ยิน
เวทนาก็เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทน สุดท้าย เสียงนาฬิกาดัง

ปรับแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เข้าออกสมาธิได้ดี พอหายเบื่อไปได้บ้าง ก็ค่อยๆเพิ่มเวลาใหม่

12 กย.
เบื่อๆๆๆๆ เคยบ้างไหมปฏิบัติแล้วเบื่อ เบื่อๆๆๆๆ เบื่อจังเลย
อาการเบื่อนี้เกิดกับเราอยู่หลายวัน เราไม่รู้จะแก้ยังไง

กำหนดก็แล้ว เปลี่ยนอริยาบทก็แล้ว ก็ยังเบื่อ เวลาเกิดเวทนา เมื่อเข้าใจเวทนาก็นั่งดูอย่างเดียว
แรกๆก็ดีหรอก มันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นว่าที่แท้เวทนาก็ .... มีแค่นี้เอง เขาจะเกิดก็เกิดเอง
จะไปบังคับเจาะจงว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้

เอ้า ... พอเบื่อที่จะดู ก็กลับกลายเป็นว่า ปวดสุดๆไปเลย ทรมาณสุดๆไปเลย เราก็เลยเซ็งสุดๆไปเลย
เฮอะๆๆๆๆ จะมีอะไรแน่นอนกับอารมณ์ของตัวเอง แม้แต่การปฏิบัติแต่ละครั้งยิ่งนับวัน
ยิ่งมีอะไรแปลกๆมาอยู่เรื่อย เหมือนให้เราทำเดิมๆซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจชัดเจน

เหมือนเรียนหนังสือเลยแฮะ บางวันก็อยากเรียน เพราะเรียนแล้วเข้าใจ บางวันก็ไม่อยากเรียน
เพราะยิ่งเรียนมันรู้สึกว่ายิ่งแย่ ( ในความคิดตัวเอง )

จริงๆแล้วคืออะไรล่ะ อิอิ มันไม่มีอะไรจริงหรือไม่จริง
ปล้ำกับจิตของตัวเองนี่สนุกนะ ดีกว่าไปเต้นแร้งเต้นกากับคนอื่นๆ

สุดท้ายเราก็รู้วิธีแก้ความเบื่อให้กับตัวเอง
แรกๆเราก็เพิ่มเวลาปฏิบัติ จากเดิน 1 ช.ม. นั่ง 1 ช.ม.
ทำแค่ 2 ช.ม. เช้าเย็น เราก็เพิ่มเป็นครั้งละ 4 ช.ม.

สุดท้ายก็เบื่ออีก แหม ... พักหลังนี่เวทนามันเยอะจัง พอเวทนาเกิด ความฟุ้งซ่านมันก็ตามมา
เดินจงกรม ใช่ว่าจะมีสติต่อเนื่องได้ตลอด ถึงตอนนี้สติจะชัดเจนกว่าเมื่อก่อนก็จริง
แต่ปฏิบัตินี่อีกเรื่องนึงเลย สติทันบ้างไม่ทันบ้าง

เมื่อวานก็เบื่ออีก มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ พักนี้มันเกิดอาการเบื่อบ่อยจัง กำหนดเท่าไรก็ไม่หาย
สุดท้ายเมื่อคืน เลยลดเวลาลง ถ้าเวลาเท่าเดิม คอยคิดละ ( บางครั้งนะ ) เมื่อไหร่จะครบเวลาเสียที

เมื่อคืนเลยปรับเวลาลง จะคิดทำแค่ 1 ช.ม. ไม่ได้จับเวลาว่าเดินกี่นาที นั่งกี่นาที ตั้งเวลาไว้ 1 ช.ม.
ใจก็คิดนะตอนนั้น แหม... แค่ 1 ช.ม. สบายมาก

เอออ ... แล้วมันก็เป็นผลดีกับตัวเราเอง กำหนดได้คล่อง สมาธิเข้าออกได้คล่อง
กลับกลายเป็นว่า จะทำแค่ 1 ช.ม. เลยเป็น 2 ช.ม.แทน หลังจากนั้นก็กำหนดนั่งหลับเอาเหมือนเดิม

ตี 4 อีกรอบนึง รู้สึกไม่ง่วงเลยมันก็แปลกดี ทุกทีตื่นมาก็ยังง่วง ไม่อยากจะทำตอนเช้า
ถ้าทำแล้วมันท้อ มันเบื่อ มันต้องมีอะไรสักอย่างนึง
สุดท้ายเราก็หาวิธีแก้อาการท้อและเบื่อให้กับตัวเองได้

13 กย. 20.22
ความเบื่อไม่ได้ช่วยอะไรเราให้ดีขึ้นเลย เท่าที่เราเคยอ่านประวัติของครูบาฯแล้ว
เห็นแต่ความเพียรเท่านั้นเอง

เรามันก็แค่คนธรรมดา ได้แค่นี้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว เอาเถอะ เวทนา เราตั้งใจทำจะไม่ถอยเวทนาอีกแล้ว
ปวดให้มันปวด ตายเป็นตาย เหมือนที่หลวงพ่อพูด ในเมื่อถอยมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
อาจจะดีขึ้นมาแป๊บๆ สุดท้ายเหมือนเดิม อาการเบื่อ ยังไม่ยอมหายไปสักที

ตั้งเวลาไว้ที่ 2 ชม. ไม่ว่าจะเดินกี่ชม.ก็ตาม หากยังมีเวทนาเกิด ต่อให้เวทนามากแค่ไหน
จะพยายามกำหนด ไม่ยอมถอยอีกแล้ว

20.28-22.28 เวทนาตลอด

เราอ่านพุทธประวัติ ก็สงสัยในเรื่องฌานต่างๆ เขียนภาษาบาลีอ่ะนิ ใครจะแปลออก
เราภาษาบาลีไม่กระดิกเลย ถึงรู้ก็น้อยมาก พอหาข้อมูล แหมๆๆๆๆ มันก็ร้อง อ๋อๆๆๆๆ
คิดว่าอะไร เราเองน่ะไม่เคยให้ความสนใจในฌานมานานแล้ว

ไม่ได้สนใจในความพิเศษที่ได้รับ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่ปฏิบัติสมาธิ จะต้องเจอทุกคน
เพียงแต่จะรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

สมถะคู่กับวิปัสสนาอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องเจอกับฌานอยู่แล้ว
ปฐมฌานไง ยังไงๆก็ต้องเจอ เมื่อเวลาเป็นสมาธิ เพียงแต่เราไม่รู้คำเรียกเท่านั้นเองว่าเรียกแบบนี้ แบบนี้
นี่แหละ ผลเสียการไม่ได้เรียนปริยติ รู้ดีกว่าไม่รู้ รู้แล้วก็วาง จะได้ไม่ไปติดที่รู้นั้นๆ

ฌาน 4 รูปฌาน ก็เหมือนกัน ยังไงๆก็ต้องเจอ มันเป็นของมันเอง มันเกิดขึ้นเอง
ไม่ต้องไปเจาะจงกำหนดแต่อย่างใด เมื่อจิตมันคล่องในการทำสมาธิได้ดี
เข้าออกสมาธิได้ดี มันจะไปที่ฌานที่ 4 เลย ( อุเบกขา เอกัคคัคตา ) หรือที่ว่าจิตรวมเป็นหนึ่ง
ของแบบนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำปุ๊บได้ปั๊บ

มีคำกล่าวไว้ว่า " การเพียรพยายามบำเพ็ญสามาธิโดยใช้กลวิธีใดๆก็ตาม เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเช่นนี้
ท่านเรียกว่า สมถะ มนุษย์ปถุชนเพียรพยายามบำเพ็ญสมาธิเพียงใดก็ตาม .....
ย่อมได้ผลสำเร็จสูงสุดเพียงเท่านี้ ( คือสมาบัติ 8 ) หมายความว่า .......
สมถะ ล้วนๆย่อมนำไปสู่สภาวะจิต ที่เป็นสมาธิได้สูงสุดเพียงเนวสัญญาสัญญายตนะเท่านั้น "

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8C% ... 2%E0%B8%99

http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=53711

http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/i ... rt9.2.html

ขอส่งท้ายว่า ........ รู้อะไรไม่สู้ ... เท่ารู้ๆในเวทนา
รู้เวทนาได้ เข้าถึงเวทนาได้ ทุกคำถามจะมีคำตอบ เอวังด้วยประการละฉะนี้แล

14 กย. 07.35-08.10
งูบและขาดสติ ไปติดนิ่ง ถอยออกมาไม่ได้

22.033-23.00 ยังคงมีเวทนาอยู่

15 กย. 04.00-04.50 เดิน+นั่ง
20.20-21.20 เดิน+นั่ง


เข้าออกสมาธิให้คล่อง

ตั้งแต่เราปรับเวลาปฏิบัติ อาการเบื่อแทบจะไม่มี
เราหันมาทบทวนการปฏิบัติ แบบที่ครูบาอาจารย์ท่านทำไว้

เข้าออกสมาธิให้คล่อง เท่ากับเรากำลังทบทวน แต่ละขั้นๆที่เราได้ปฏิบัติมา
ทำให้เห็นรูปนาม การเกิด ดับ ได้ชัดเจนขึ้น

อิอิ เริ่มโยนิโสเป็น จากที่เคยทำไม่ได้ มองเห็นอะไร เดี๋ยวนี้กลายเป็นธรรมะไปหมด
แต่ยังไม่ถึงขนาด 100% แต่ว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากๆ

อืม ..... นี่เองที่ครูบาท่านถึงกล่าวไว้ว่า ....... ให้หมั่นทบทวนอารมณ์ การปฏิบัติ
เรามัวแต่ไปปล้ำกับเวทนา ทำไม่ถูกจุด แทนที่จะเป็นผลดี เลยกลายเป็นเบื่อหน่ายแทน

17 กย.

พองหนอ ยุบหนอ ใช้วิธีดูลมหายใจ

หลังจากที่ได้เหินห่างเรื่องการปฏิบัติไปนาน ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง เวลาผ่านไปหลายปี
มีอยู่วันหนึ่ง พี่ที่ทำงานชวนไปนั่งสมาธิ

คราวนี้คนที่สอนเราเป็นฆราวาส แขนขวาท่านขาดชื่อพระอาจารย์ สุวรรณ (เปิดสมุดดูเพราะลืมชื่อท่าน)
ท่านเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่นครพนม พระธาตุพนม

เราเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็ตกลงไปกับพี่เขา จำได้นิดนึงว่า ท่านแขนขาดเพราะโดนฟ้าผ่า
แต่จำไม่ได้ว่า ฟ้าผ่าท่านเพราะท่านกำลังทำอะไร

ท่านอ.จ.ให้กำหนดใช้พองหนอ ยุบหนอ แทนพุทโธ
คือหายใจเข้ากำหนดพองหนอ หายใจออก กำหนดยุบหนอ
แต่ไม่ได้ให้ดูอาการท้องที่พองยุบ ให้ตามลมหายใจอย่างเดียว

ที่นี่แปลกกว่าที่เราเคยเจอมา ...........
เวลาสวดมนต์เสร็จ พอนั่งสมาธิปั๊บ ท่านให้หายใจถี่ๆแรงๆ ยังไม่ต้องกำหนดองค์ภาวนาใดๆทั้งสิ้น

เราทำตามที่ท่านบอก เหมือนจะขาดใจ มันบอกไม่ถูก บางคนก็ลุกขึ้นรำ บางคนก็ทุบทำร้ายตัวเอง
บางคนก็อาเจียน ต้องเอากระโถนตั้งไว้ตรงหน้า

ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เพื่อปรับความสมดุลการหายใจ
และเป็นการแก้กรรมด้วย อะไรๆที่อยู่ในตัวเราจะได้ออกมา
(ที่ให้หายใจถี่ๆแรงๆ นานด้วยนะไม่ใช่แป๊บเดียว)

วันแรกๆเราทำก็ยังปกติดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนเราจะขาดใจ
เวลานั่งสมาธิ ท่านจะให้นั่ง 3 ช.ม.เต็มๆ ปวดก็ต้องทน ห้ามขยับ ท่านจะคอยพูดตลอด

วันที่3 มันแปลกมากๆ 2 วันแรกก็ปกติดี วันที่3นี่ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง พยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องก็บังคับไม่ได้

รู้ตัวตลอดขณะที่ร้อง แต่เหมือนมันซ้อนๆกันยังไงก็ไม่รู้ มันน่าเกลียดมากๆเลยในความรู้สึกของตัวเราเอง
คิดดูก็แล้วกันร้องเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำลายไหลย้อย น้ำลายเต็มพื้นเลย

สักพักก็หยุดเอง พอหยุดก็เข้าสมาธิเลย ทีนี่ไม่รู้อะไรละ ได้ยินแต่เสียงอาจารย์ท่านพูดอย่างเดียว
อย่างอื่นไม่รู้ละ จะปวดจะเมื่อยนี่ไม่มีเลย ทั้งๆที่2วันแรกจะเป็นจะตาย ปวดจนน้ำตาไหล
เพราะท่านจะคอยพูดไม่ให้ขยับตัวอย่างเด็ดขาด นิมิตเยอะมาก (มาตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ตอนนั้นติดนิมิต)
เหมือนอาจารย์ท่านจะรู้ว่าแต่ละคนเห็นอะไร ท่านพูดไปเรื่อยๆ

หลังจากมีอาการร้องไห้หนักๆอยู่ 7 วัน อาการนั้นก็หายไปเอง อาจารย์บอกว่า .....
เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง เราเคยทำความทุกข์ใจให้กับเขาไว้มาก

ปฏิบัติมีนิมิตเยอะมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเรียกว่า นิมิต
เพราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกอะไร มีแต่ถามว่าเห็นอะไรกันบ้าง

หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว ต่อจากนั้นมา เมื่อหายใจถี่ๆหนักๆ
มันจะรวมตัวเป็นสมาธิเลย จะมีแสงสว่างมากๆเวลาเป็นสมาธิ

อาจารย์บอกว่าเราปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ
ตอนนั้นก็ดีใจอ่ะนะ ก็เหมือนคนเรียนหนังสือแล้วครูมาชม

ปฏิบัติอยู่เกือบ 2 ปี ไปบ้านอ.จ.ทุกวัน ไปตั้งแต่ทุ่ม กลับบ้านเกือบ 5 ทุ่ม
ตอนนั้นยังทำงานอยู่ เราต้องกลับมาเข้าเวรเที่ยงคืนทุกวัน

ก่อนถึงเวลาเข้าเวร เราจะนอนที่ห้องพักเวร แล้วเราก็จะมาปฏิบัติต่อที่ห้องพักเวร
มีวันหนึ่ง เรากำหนดอยู่ดีๆ ตอนนั้นเรางงมากๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆก็เหมือนร่างกายเราหายไป
ลมหายใจก็หายไป รู้แต่ท้องพองยุบอย่างเดียว

แบบท้องมันกระเพื่อมเบาๆ แล้วเหมือนเห็นมีตัวเราซ้อนอยู่อีกร่างนึง
มีความรู้สึกเหมือนร่างนั้นมันจะหลุดออกมา ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัวมากๆ กลัวตาย
มันบอกความรู้สึกไม่ถูก กลัวว่าถ้าร่างข้างในหลุดออกไปแล้วเราจะต้องตาย นี่มันกลัวแบบนี้
เราฮึดสู้เลยตอนนั้น เท่าที่จำได้นะ เพราะเรื่องนี้มันนานมาแล้ว
จำได้ว่าลุกขึ้นเลย เดี่ยวนั้นเลย ไม่ยอมนั่งอีกเลย

วันต่อมาเล่าให้อ.จ.ฟัง ท่านบอกว่า ทีหลังอย่ากลัว ปล่อยให้หลุดออกมาเลย ไม่ตายหรอก
ตั้งแต่นั้นมา หลังจากปฏิบัติที่บ้านอ.จ.แล้ว เวลากลับมาขึ้นเวร เราไม่ยอมทำอีกเลย
ทำทีไรก็จะเป็นแบบเดิมทุกที เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร อ.จ.ก็ไม่อธิบายให้ฟัง ถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร

จุดหักเหของชีวิต ...........

อยู่มาวันหนึ่ง เรานั่งแล้วมองเห็นภาพๆหนึ่ง เป็นภาพต้นมะพร้าว ใบมันร่วงลงในน้ำๆเน่าๆ
( ความรู้สึกเรามันบอกว่า น้ำนั้นมันเน่า ) เสร็จแล้ว มันงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ เหมือนต้นหญ้า
มันงอกขึ้นมาเต็มไปหมด เราก็ถามท่านว่ามันคืออะไร ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าไปพูดอะไรที่ไม่ถูกใจท่านเข้า

ท่านบอกว่า ต่อไปคุณก็เป็นเหมือนเป็ดน่ะแหละ ต้องกลับไปกินอาจม ของมันเคยกิน
อีกแปดปีคุณจะได้กลับมาปฏิบัติใหม่ เราน่ะตอนนั้นอายมากๆเลย เล่นมาว่าเราแบบนั้น
คนก็เยอะ ว่าเราได้แสบมากกก

เริ่มมีเค้าบอกเหตุว่าคำพูดท่านั้นเป็นจริง.......

เราไม่เคยเล่นหวย ความที่ว่านั่งสมาธิแล้วเห้นตัวเลข เลยไปลองซื้อ ถูกด้วยนะ บ้าหวยไปเลย

จำได้ละ ว่าทำไมอ.จ.ถึงโกรธ .......

ก็มาวันหนึ่งเราไปเดินห้าง เจอปกหนังสือเล่มหนึ่ง เหมือนในนิมิตที่เราเห็นเลย เป็นหนังสือ
เกี่ยวกับการทำสมาธิของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

เราก็เลยบอกอ.จ.ไปว่า ที่เราเห็นนี่คือหนังสือพวกนี้ มีทั้งหมดสี่เล่ม เราอ่านแล้วมันดีมากๆเลย
ต่อมาสำนักอ.จ.จัดทัวร์บุญบ่อย เราไม่ค่อยได้ไป เพราะไม่ชอบ
ก็เลยไม่ค่อยได้ไปบ้านอ.จ. ต่อมาไม่นานอ.จ.ก็ปิดสำนัก
ช่วงนั้นปัญหาของอ.จ.กับผู้ปฏิบัติเกิดเยอะมาก

ต่อมาชีวิตได้เป็นดั่งที่อ.จ.กล่าวไว้จริงๆ

ชีวิตหักเหแบบสุดๆ เลิกปฏิบัติไปเลย มีแต่เพื่อน กินและเที่ยวๆๆๆๆ
ผ่านไปสิบกว่าปีได้ วันนั้นไปทำบุญวัดอโศการาม

ได้เจออ.จ. ได้กราบและกล่าวขออโหสิกรรมต่อท่าน
ทุกชีวิต ย่อมเป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน

19 กย. 21.30-22.30
เดินมีสติดี นั่ง กำหนดได้ดี พิจรณาได้

21 กย. 03.30-04.30 กำลังกำหนดปวดหนอๆอยู่ดีๆ ดับไปเฉยๆ
21.30- 22.30

22 กย. ปฏิบัติ 1 ชม.

23 กย. 15.30-17.30
อาการเบื่อแทบจะไม่มีแล้ว แต่ยังมีติดอยู่ในอารมณ์นิดๆ บางครั้ง
กำหนดได้ดี มีสติรู้ตัวต่อเนื่องได้ตลอด

21.50-22.50 เราเริ่มปรับเวลาเพิ่มไปเรื่อยๆ ตามสะดวก ไม่เจาะจง
พิจรณาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มีสติ รู้ตัวได้ดีตลอด ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง
เวทนาเดี๋ยวนี้มาบ่อยมากๆจริง เลยพยายามปรับร่างกายเอา แบบว่าใช้เวลาในการนั่งไม่แน่นอน

24 กย.
หายเบื่อแล้ว

ตั้งแต่ปรับเวลาในการปฏิบัติ โดยหันมาเข้าออกสมาธิให้คล่อง
อาการที่ว่าเบื่อๆค่อยๆคลายลง จนเดี่ยวนี้ไม่มีแล้ว

เริ่มกลับมาปฏิบัติแบบเดิม แต่จะปรับเวลาสลับกัน จะไม่ทุ่มเทแบบเมื่อก่อน เดินสายกลางดีกว่า
กลางคืน ปฏิบัติแค่ 1 รอบ แล้วกำหนด นั่งหลับ

ตีสามปฏิบัติอีกรอบ เมื่อคืนนั่งหลับก็จริง แต่เป็นสมาธิทั้งคืน
กลางวันก็ทำอีกรอบ ถ้าอากาศร้อนมากก็ไม่ไหว

แต่ไม่ได้เจาะจงว่าจะทำวันละกี่รอบ แล้วแต่สะดวก ขณะที่นั่งสมาธิ แล้วอะไรที่เกิดขึ้น ใช้วิธีโยนิโส
โดยการแยกขันธ์ 5 ออกมา แยกแล้วชัดเจนขึ้น ละเอียดขึ้น เวทนาที่เคยรุนแรงมากๆ ก็เข้าใจมากขึ้น

26 กย. 12.55-14.00
20.30-21.40 วันนี้เอาหนังสือพุทธประวัติมาอ่าน หลังปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อพุธท่านเขียนไว้ว่า
หลังทำสมาธิ อ่านหนังสือ จะทำให้จำได้แม่น แล้วให้ปฏิบัติต่ออีกรอบ จะได้นำไปพิจรณาได้

สนทนากับหลวงพ่อพุธ แก้ปัญาเรื่องการเป็นสมาธิตลอดเวลา

หลังจากที่ได้เจอหนังสือ ที่ปกหนังสือเหมือนในนิมิตแล้ว ก็ไปโคราชทันที เพื่อจะไปหาหลวงพ่อพุธ
ไปวัดป่าสาละวันครั้งแรกลำบากมากๆ ถามเขาตลอดทาง จำได้ว่าจ้างสามล้อพาไป
รู้สึกว่าจะเสียตังค์ไป50บาท ไปที่วัดก็ไม่เจอหลวงพ่ออีก เขาบอกว่าหลวงพ่ออยุ่วัดที่แปดริ้ว

เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ขอเบอร์โทรจากทางวัดมา เราโทรไปหาหลวงพ่อ
คนที่รับสายเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่ให้คุย อ้างว่าหลวงพ่อติดธุระอยู่ จำได้ว่า ไปโคราชถึง 4 ครั้ง
โทรฯอยู่หลายครั้ง ไม่เคยได้คุยเลย ไม่ไหวแล้วไปโคราช ค่ารถแพงมากๆ ไกลก็ไกล ค่ารถก็หลายต่อ

สุดท้ายจุดธูปอธิษฐานถึงหลวงพ่อ ว่าขอให้ได้คุยกับหลวงพ่อ ได้คุยจริงๆ
เราถามหลวงพ่อว่า ขณะที่เราไม่ได้ทำสมาธิ เช่นเวลาทนข้าว คุยกับเพื่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆอยู่

ทำไมเราถึงเป็นสมาธิตลอดเวลา เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเวลาเป็นสมาธิขึ้นมา
มันจะรู้เลย มันจะสงบจากกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที หากกำลังมองอยุ่ มันก็เห็นเหมือนภาพสามมิติ

หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า มันไม่มีอะไรหรอก เกิดเนื่องจากจิตเราเร็วเกินไป
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเราสำเร็จกสิณมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พอมาปฏิบัติเพิ่มก็เลยไปได้เร็ว

ท่านบอกว่า ให้เราเริ่มใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่ คือจะต้องมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา
มันจะเห็นชัดเจนขณะที่เกิดแต่ละขั้น แล้วจะทำให้ชำนาญในการเข้าออกสมาธิ

เรามาคิดๆย้อนหลังดู มิน่า หลวงพ่อสมชายถึงโยนหนังสือให้เราฝึกกสิณเอง
ทีแท้หลวงพ่อท่านรู้หนอ รู้ว่าพอเราจับปั๊บ เราจะทำได้เอง เพราะของเคยทำมาแล้ว

และที่เราไปรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเขาคิดทั้งที่เขาไม่ได้พูด
มันเกิดจากฤทธิ์ของฌานนี่เอง อีกอย่างนึงที่เราสงสัยมาตลอดว่าทำไมถึงไม่สนใจเรื่องฌาน
เพราะรู้แล้วว่าไม่ใช่ทางที่พ้นทุกข์ เราจึงไม่สนใจ การปฏิบัตินี่ดีจริงๆ ทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้

27 กย. 20.15-22.15
ยังกังวลอยู่เรื่องเวทนา พิจรณาแยกยังไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะเคยทำได้ก็จริง แต่มันยังไม่ชำนาญ
ต้องทำให้ชำนาญก่อน
เดิน ประมาณ 1 ชม. 15 นาที นั่ง 45 นาที เดินระยะที่ 1-ระยะที่ 4 แล้วจึงนั่ง
เวทนามี แต่ไม่นาน เป็นๆหายๆ ยังคงไปติดนิ่ง กำหนดไม่ได้
รู้สึกเหมือนมียุง,มด มารุมกัดเยอะมากๆ กัดตามแขน หน้า ติ่งหู กำหนดไม่หาย
เลยเอามือไปลูบ ไม่มียุงหรือแม้แต่มด สักตัวเดียว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
แต่เรารู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมากัดจริงๆ เจ็บมากๆเลย


เพิ่งรู้นะว่า เคยเจอสภาวะเดียวกับที่หมูกำลังเจออยู่เลย


28 กย. 09.10-11.30 เดิน 09.10-10.30 นั่ง 1 ชม.
เดินจงกรม รู้ตัวต่อเนื่องได้ดี กำหนดได้ดี กายและจิตทำงานร่วมกันเป็หนึ่งตลอด
ว่อกแวกน้อยมากๆ แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
นั่ง เวทนาเกิดเป็นพักๆ ยังพิจรณาได้ไม่คล่อง เรื่องแยกขันธ์ 5 ยังทำไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้น
เวทนากำหนดได้ชัดขึ้น

16.15-17.15

สมาธิเกินสติ

เราเริ่มปรับเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เจาะจง เมื่อคืน 2 ช.ม. สติตอนเดินชัดเจนดี กำหนดได้ทัน รู้พร้อมตลอด
การเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ รู้พร้อมทั่วตัว จับได้หมด ทั้งลมหายใจ ทั้งอาการท้องพองยุบ ทั้ง ขณะที่เดิน
และสิ่งที่มากระทบละเอียดมากขึ้น แทบจะไม่ต้องกำหนดเดินเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเดินถึงระยะ 4
ยิ่งละเอียดมากๆแต่ละก้าวที่เดิน

เมื่อคืน ขณะที่นั่งสมาธิ สมาธิมากเกินสติ กำหนดได้ไม่ทัน ไปติดอยู่ที่อัปปนา ไม่ได้ถอยออกมา
จากตรงนั้น เลยกลายเป็นนั่งเพลินไป รู้ตัวอีกที เสียงนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้นพอดี
กำหนดเสียงนาฬิกาได้ทัน ไม่มีตกใจ

กำหนดรู้กับเสียงที่ได้ยิน หลังปฏิบัติเสร็จก็มานั่งทบทวน อืมมม แต่ละครั้งมีแต่ความเปลี่ยนแปลง
ไม่เหมือนเดิม

เดินมากไป เมื่อมานั่ง เวทนาย่อมเกิดน้อยลงหรือเกิดแต่จับไม่ทัน ( สติอ่อน )

เดินน้อยไป เมื่อมานั่งเวทนาเกิดมาก ก็ไปเก็บกดกับเวทนาอีก ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย

เดินนั่งพอๆกัน ก็เกิดเวทนาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน สติทันบ้างไม่ทันบ้าง มันช่างหลากหลายเสียจริงๆ

ทำยังไงถึงจะมีสติเสมอกับสมาธิได้ นี่สิที่เราต้องทำความเพียรเพิ่ม อาจจะเป็นเพราะว่า ...

การกำหนดอริยาบทย่อยของเรายังน้อยเกินไป ต้องกำหนดให้ได้ต่อเนื่อง กำหนดไปจนกว่า
ไม่ต้องกำหนด

เดี๋ยวก็ต้องไปเรียนอีกแล้ว วันนี้ฝนตกปรอยๆตั้งแต่ตี4แล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย น่าปฏิบัติมากที่สุด
อิอิ ว่าแล้วก็ไปสะสมหน่วยกิตสัก 2 ช.ม. ดีกว่า

สะสมหน่วยกิต

เมื่อใดก็แล้วแต่ที่เราได้ปฏิบัติ หรือกำหนดอริยาบทย่อยต่างๆ เราถือว่าเราได้สะสมหน่วยกิต
ไม่ต้องไปคิดว่า ทำแล้วจะเป็นยังไง รู้แต่ว่า ทำแล้วต้องไม่เครียด ทำแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
ทำให้เราเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้น บางครั้งอาจจะไม่แน่ใจในบางสิ่ง ( สิ่งที่คิด )
ก็ถามผู้ที่รู้มากกว่า ( อันนี้ยกความดีให้คุณนุหรือท่านอ.จ.งื่อ )

29 กย. 01.00-03.00,03.00-04.00
ช่วงแรก พอเดินเสร็จกำหนดนั่ง ยังไม่ทันได้จับพองยุบ ก็เข้าสมาธิไปเลย
ดิ่งและดับไปเลย มารู้ตัวอีกทีคือ ตอนหมดเวลา

ช่วงหลัง กำหนดนั่งแล้ว ก็เป็นอีก แต่กำหนดถอยออกมาได้ทัน สุดท้าย
สุดท้าย แปลกดีนะ มันมีความคิดผุดขึ้นมาก่อนหมดเวลา เรื่องเวทนาว่า กำลังปรับสมดุลย์
ทั้ง 2 ช่วงนี้ เวทนามีแต่เป็นๆหายๆ ไม่ทรมาณมากเหมือนอาทิตย์ที่แล้ว ที่ทรมาณสุดๆ



เมื่อวานปกฏิบัติไป 3 ช.ม. เมื่อคืนตั้งแต่ตี 1 ถึง ตี 4 ตั้งแต่นั้นมาเรายังไม่ได้นอนเลย ตามันสว่าง
ไม่ง่วงเลย เมื่อวานอ่านหนังสือ แล้วก็หลับไปช่วง 5 ทุ่ม ตื่นมาเที่ยงคืนครึ่ง ก็อาบน้ำสระผม
แล้วขึ้นห้องพระปฏิบัติเลย

เหมือนร่างกายเรากำลังปรับสภาพให้สมดุล ดูจากเวทนา ที่เริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ตั้งแต่เกิด
จนกระทั่งดับ จับได้ตลอด

เมื่อเช้าปฏิบัติทั้งสองรอบ เหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ พอนั่งปั๊บ เราปรับลมหายใจ แค่ 5 ครั้ง
ก็เข้าสู่อัปปนาเลย ทั้งที่ทุกๆครั้ง จะต้องกำหนดองค์ภาวนาอย่างน้อยสองถึงสามครั้ง
ถึงจะเข้าสู่สมาธิ เดี๋ยวนี้เข้าออกสมาธิได้คล่องแคล่วมากๆ คงเกิดจากการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง
หลังจากปฏิบัติแล้วก็ทบทวนตลอด ไปสะสมหน่วยกิตอีกสัก 2 ช.ม.ดีกว่า
บ่ายต้องไปเรียนนักธรรมอีก เวลามันช่างไวเสียจริงๆ




.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 21:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 6 เมษายน 2553
เดิน 10 นั่ง 1

จมอยู่กับความรู้สึกผิด แต่ก็ไม่กล้าที่จะขอโทษ
ทำไมถึงไม่กล้าที่จะขอโทษ ก็ยังไม่รู้เลย
ปริศนาข้อนี้ช่างตอบได้ยากจริงๆ

วันนี้เล่นเกมแล้วเจอเด็กเกรียนคนหนึ่ง คือพูดจาทุกอย่างเป็นคำหยาบหมด คราวนี้คนทั้งเกมก็เลยเข้ามารุมด่ากันอย่างเมามันส์ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะว่าความสะใจกับความตลกของแต่ละคนที่ปล่อยมุขออกมา แต่ก็ถูกห้ามด้วยหัวหน้ากิลเพราะว่าไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของกิลเสื่อมเสียละมั้ง ก็เลยคิดว่ามันไม่ดีสินะ
มันก็เป็นวจีกรรมชนิดหนึ่ง
ถ้าคนเราไม่ทำความชั่วเลยก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

ตอนนี้ก็พอรู้แล้วล่ะว่า การดูถูกคนเนี่ย พอใจมันแอบไปคิดแล้ว
เดี๊ยวมันจะสะท้อนกลับมาหาตัวเองหมดเลย ต่อไปนี้คงต้องระวังความคิดแบบนี้ให้มากถึงมากที่สุด
น่ากลัวชะมัด...

ส่วนตอนนี้ก็..
จินตนาการถึงกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งที่มีเรานั่งอยู่ในนั้นแล้วหาทางออกมาไม่ได้
เฝ้ารอเวลาที่จะได้ออกจากกล่องที่มืดทึมไม่มีอะไรเลย
ยังคงรอด้วยความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มหัวใจ...

เล่าแค่นี้ละกัน

ถ้าเปิดเผยมากกว่านี้ก็คงจะถูกมองว่าไม่ดี

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร