วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 21:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 29  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 12:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


คือเอกอนก็ไม่ได้มีความรู้มากหรอก
แต่เพราะเอกอนเป็นมาอย่างนั้นน่ะ
ก่อนที่จะเป็นสมาธิได้ ยังไง กาย วาจา ใจ มันต้องสงบ
คือ ตอนนั้นยังไงศีลมันก็ปรากฎค่อนข้างไปในทางเป็นปกติ
ถ้าศีลไม่เป็นปกติ กาย วาจา ใจ มันจะฟุ้งมันจะกระสับกระส่าย
ซึ่งมันไม่ใช่สภาวะที่จะมีสมาธิได้
ถ้าทำสมาธิมันจะวกวน สาระวนอยู่กับสิ่งที่ฟุ้งก่อน
ถึงจะตัดฉับเข้าสมาธิได้ แต่พอออกมา มันก็ออกมารับอารมณ์เก่าต่อ
อารมณ์เก่ามันจะยังคงมาเวียนว่ายตายเกิดให้เราเห็น

และเมื่อสมาธิปรากฎอยู่
และการเข้าไปพิจารณาธรรมในสภาวะเช่นนั้นก็ปรากฎให้เห็นอยู่
ซึ่งพฤติกรรมของจิตที่ทำงานสภาวะเช่นนั้น
มันจะเห็นธรรมเป็นกลาง ๆ น่ะ
และอารมณ์มันก็ทรงตัวอย่างเป็นกลาง ๆ น่ะ

:b1:

แต่ถ้าเป็นสมาธิที่ยังมีอารมณ์เวียนว่ายตายเกิดเป็นใหญ่อยู่
(คือออกจากสมาธิก็มีโอกาสกลับไปรับอารมณ์เก่าต่อน่ะ)
ก็จะเห็นการพิจารณาธรรม มันโนม้เอียงเหมือนปลายต้นหลิว
ก็พิจารณาไป แต่ก็รับรู้ไปด้วยว่ามันยังเป็นธรรมที่ยังเป็นไปด้วยอำนาจฑิฏฐิ
ว่า ยังต้องขัดเกลาความเห็นนั้น ๆ ยังเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ต่อสัจธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 19 ก.พ. 2012, 13:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


คือเอกอนไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรซับซ้อนนะ
รู้มันแบบตรง ๆ
เหมือนมีขนมครก ก็กินขนมครก และก็อิ่มเพราะขนมครก
ไม่ใช่มีขนมครก ไม่กินขนมครก แต่ไปคิดจะกินพิซซ่า
นอกจากท้องไม่อิ่มแล้ว กำลังความตระกรามกลับยิ่งมีกำลังแรงขึ้น
เราต้องรู้จักอิ่มไปในทุก ๆ ขั้นที่ย่างผ่าน
เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ความตระกรามมันมีกำลัง

อย่างเรื่องศีลเป็นพื่นฐานไปสู่สมาธิ
เอกอนก็เข้าใจตามนั้น
เพราะ ถ้าหากว่าเมื่อเช้าเอกอนแอบไปจิ๊กของในห้างมาหนึ่งชิ้น
ยังไง ๆ เอกอนก็ไม่สามารถทำสมาธิได้

ถ้าหากว่าเอกอนเพิ่งเสพเมถุนกับกิ๊ก/แฟน/สามีคนอื่น เสร็จหมาด ๆ
ยังไง ๆ เอกอนก็ไม่อาจจะสามารถทำสมาธิได้
คือ ทำได้ แต่มันจะฟุ้ง

คือถ้าเอกอนมีเรื่องทุจริตกาย วาจา ใจอยู่
เอกอนไม่สามารถทำสมาธิให้เข้าสู่อารมณ์ที่สงบได้ มันจะฟุ้ง

แต่ถ้าเอกอนสำรวมกาย วาจา ใจสุจริตไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
มันจะมีความสงบในส่วนนี้เป็นฐานอย่างดีเลย
และมันก็เป็นสุขขั้นพื้นฐานที่พอเพียงในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
เป็นฐานรองรับที่เราพึงพอใจ ชนิดที่ว่า สุขในสมาธิจะมีหรือไม่
จะปรากฎหรือไม่ สุขเท่าที่เป็นอยู่ก็หล่อเลี้ยงใจเราให้ดำรงไปได้
คือตรงนี้ มันเหมือนกับเป็นดุลยสมการของอารมณ์ภายนอก กับอารมณ์ภายใน
สุขภายนอกต้องแข็งแรงพอ เพื่อที่จะไปถ่วงดุลกับสุขภายในที่จะเข้าไปประสบ
ภายนอกภายใน จะทำให้ผู้ที่ทรงอารมณ์จะไม่ติดในทั้งสองด้านแห่งอารมณ์
สุขในศีลต้องแข็งแรง พอที่จะถ่วงดุลกับ สุขในสมาธิ

ดังนั้น การรู้จักติดสุข หรือไม่ติดสุข มันไม่ใช่ ปากพูด
เด็กที่วิ่งเข้าไปในสนามเด็กเล่น เมื่อเขาเล่นกระด๊กดิ๊งด่าง
เขาต้องผัสสะและรู้จักพลวัตของสิ่งที่เขาเล่น ไม่ใช่รู้แค่ว่านั่นคือกระด๊กดิ๊งด่าง
การเล่นกับจิต ก็ต้องเล่นกับเขารู้จักเขาอย่างพลวัต
ถ้ารู้จักพลวัตของจิตเมื่อไร
ก็จะทำให้รู้จักใช้ อุปกรณ์ที่พระพุทธองค์ทิ้งไว้ให้อย่างรู้เท่าทัน

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2012, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผม จะแยกการปฏิบัติออกเป็นเรื่องของ สังขารในขันธ์5 แต่ไม่มีปัญญาพอที่จะจับเอาสังขารทาง
ปฏิจจสมุปบาทมาพิจารณา และการปฏิบัติในเรื่องของการควบคุมอินทรีย์5 และการกำหนดรู้อายตนะ12
มาเป็นความรู้ว่า ยกตัวอย่างครับ หากเห็น ก็ต้องเป็นการเห็นด้วยสติมีการกำหนดรู้ วิญญาณ และผัสสะให้ทัน คืออายตนะภายในเป็นหลัก แต่อายตนะภายนอกนั้นเป็นรอง คือ กำหนดรู้ว่าอายตนะภายนอกที่เห็นมีเหตุคือเพราะมีแสง คือ รู้ทันวิญญาณและผัสสะของเราเองให้ได้จึงจะนับเป็นกำหนดรู้ปัจจุบันสำหรับผมครับ คือมีเรื่องของรูปและนามเข้ามาเกี่ยวข้องกัน ส่วนมากในวันหนึ่งที่เดินไปเดินมา อายตนะภายนอกมักจะแย่งเป็นใหญ่เมื่อมอง คือ เมื่อ อายตนะภายนอกเป็นใหญ่ จะเห็นเป็นเราเป็นเขาทันที จิตปรุงแต่งคือ ตัญหา อุปทานจะอาศัยเหตุนี้ เมื่อเหตุนั้นดับลง คือ อายตนะภายนอกเป็นรอง อายตนะภายในเป็นหลักเมื่อกำหนดรู้ ความจริงของขันธ์5ก็ปรากฏชัดเจน นี่เป็นความรู้ของผมเองที่เฝ้าสังเกตุตัวเองเมื่อพิจารณาธรรมโดยที่เราสามารถทำได้เมื่อตั้งใจ ต่อพรุ่งนี้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2012, 18:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2012, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณ student
ขออนุุโมทนาในการปฎิบัติที่ใช้สติรู้ไปที่อายตนะภายนอก เชื่อมต่อด้วยผัสสะสู่อายตนะภายใน ซึ่งเป็นลำดับแรกและเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปฎิบัติ ที่จะทำให้รู้ถึงกระบวนการเกิดทุกข์จากขันธ์ 5 ผู้ปฎิบัติจะเชื่อมต่อองค์ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยมีรูปเป็นสะพานสู่ความรู้สึกจากการสัมผัส(เวทนา) มีความทรงจำเป็นฐานข้อมูล(สัญญา) และอาศัยความติดยึดเป็นเงื่อนไขการสรัางความนึกคิด(สังขาร) เกิดความเป็นมวลความหนาแน่นที่ความรู้สึก(วิญญาณ) การปฺฏิบัติในขั้นนี้จะพบความจริงของกฏไตรลักษณ์ในระดับเบื้องต้น เและปานกลาง ของขันธ์ 5 การปฎิบัติต่อไปต้องเชื่อมต่อภายนอกสู่ภายในที่ลึกลงไป
เช่น เมื่อขณะนั่งลืมตาพบกับสิ่งที่เห็นภายนอก รับรู้ว่าเห็นแล้วปล่อยวางความเห็นนั้น เมื่อจะหลับตา ก็รู้ถึงความรู้สึกอยากหลับตา และจะพบกับความมืดภายในเมื่อหลับตาก็รู้ถึงความมืดภาบใน การเชื่อมต่อดังกล่าวจะเข้าถึงกาย เวทนา จิต และธรรมลึกลาดลงไปตามลำดับ ในระดับนื้การใช้ความคิดพิจารณาจะน้อยลงใช้เฉพาะการแก้ป็ญหาของสภาวะ เพราะความคิดจะเป็นอุปสรรคของการปฏิบัต้(ในระดับนี้) เมือหยุดคิดจะพบความจริงระดับลึก แต่ที่พบความจริงได้นั้น ก็มาจากเหตุคือคิดถูก :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับที่นำความรู้มาแบ่งปันกัน ก็ทำความเพียรต่อไปเรื่อยๆ ทั้งนั่งสมาธิ และการใช้ชีวิตทั่วไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.พ. 2012, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอรากอนเขียน
แต่ถ้าเป็นสมาธิที่ยังมีอารมณ์เวียนว่ายตายเกิดเป็นใหญ่อยู่
(คือออกจากสมาธิก็มีโอกาสกลับไปรับอารมณ์เก่าต่อน่ะ)
ก็จะเห็นการพิจารณาธรรม มันโนม้เอียงเหมือนปลายต้นหลิว
ก็พิจารณาไป แต่ก็รับรู้ไปด้วยว่ามันยังเป็นธรรมที่ยังเป็นไปด้วยอำนาจฑิฏฐิ
ว่า ยังต้องขัดเกลาความเห็นนั้น ๆ ยังเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ต่อสัจธรรม


อนุโมทนาครับ การขัดเกลาความคิดเห็นย่อมอาศัยการน้อมเข้าหาธรรม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 01:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การสร้างความสมดุลของความตั้งใจ
สังเกตุตัวเองว่าเมื่อเรากำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ความชัดเจนก็จะเกิดขึ้น เมือ่เกิดความชัดเจน จะกำหนดรู้ลงไปอีกก็ได้ กำหนดรู้การทำงานของโสต นอกจากเสียงที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ากำหนดรู้เอาวิญญาณความสนใจลงไปอีกจะพบกับผัสสะ วิ๊งๆ ของโสต เมื่อมองเรามีสติอยู่ที่จักษุ เมื่อมีสติเราย่อมเห็นการทำงานของจักษุธาตุคือเอาวิญญาณไปอยู่ที่จักษุ (ไม่ใช่ภาพ) เราย่อมเห็นอาการปรับตัวของธาตุ เมื่อเห็นการปรับตัวของธาตุนั่นคือเห็นสภาวะจริงของธรรม โดยแสงที่รับจากจักษุธาตุไม่มีผลกระทบ คือ สีไม่เปลี่ยน ความสว่างไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแต่ผัสสะที่เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อความชัดเจนปรากฎขึ้น สังขารย่อมพิจารณาตามความเป็นจริงว่า นี่สติเกิดขึ้น มีวิญญาณ มีธาตุรู้ เกิดผัสสะ ดำรงตนอยู่เฉพาะหน้าแต่ธรรมที่เกิดขึ้น จิตไม่ส่งออกนอกตามแสง

การสร้างความสมดุลได้แก่สภาวะที่สติไม่มีพลัง แสงกลับมีอิทธิพลกับสังขาร สังขารจึงต้องอาศัยมรรคมีองค์8 คือ สัมมาทิฏฐิ ต่อจิตปรุงแต่ง ต่อวันต่อไปครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 02:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ข้อความบางส่วนของคุณหลับอยู่ครับ
กายสังขารสงบ คือลมหายใจหยุด วจีสังขารสงบ คือความตรึกตรองหยุด จิตสังขารสงบคือใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ชื่อว่าสันติ ลมหยุดลงไปในที่เดียวกันชื่อว่า อานาปาน ซึ่งแปลว่าลมหยุดนิ่งหรือไม่มี เมื่อสังขารทั้ง ๓ หยุดถูกส่วนเข้าแล้ว เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยส่วนหนึ่ง
เมื่อสังขารสงบมีความสุขเกิดขึ้นเรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตคิดว่าเป็นสุขเรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในเมื่อสติปัฏฐานทั้ง ๓ถูกส่วนพร้อมกันเข้า


ยกมาเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติครับ ขอบคุณครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 12:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การสร้างความสมดุลของความตั้งใจ
สังเกตุตัวเองว่าเมื่อเรากำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ความชัดเจนก็จะเกิดขึ้น เมือ่เกิดความชัดเจน จะกำหนดรู้ลงไปอีกก็ได้ กำหนดรู้การทำงานของโสต นอกจากเสียงที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ากำหนดรู้เอาวิญญาณความสนใจลงไปอีกจะพบกับผัสสะ วิ๊งๆ ของโสต เมื่อมองเรามีสติอยู่ที่จักษุ เมื่อมีสติเราย่อมเห็นการทำงานของจักษุธาตุคือเอาวิญญาณไปอยู่ที่จักษุ (ไม่ใช่ภาพ) เราย่อมเห็นอาการปรับตัวของธาตุ เมื่อเห็นการปรับตัวของธาตุนั่นคือเห็นสภาวะจริงของธรรม โดยแสงที่รับจากจักษุธาตุไม่มีผลกระทบ คือ สีไม่เปลี่ยน ความสว่างไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแต่ผัสสะที่เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อความชัดเจนปรากฎขึ้น สังขารย่อมพิจารณาตามความเป็นจริงว่า นี่สติเกิดขึ้น มีวิญญาณ มีธาตุรู้ เกิดผัสสะ ดำรงตนอยู่เฉพาะหน้าแต่ธรรมที่เกิดขึ้น จิตไม่ส่งออกนอกตามแสง


สวัสดีครับคุณ student
เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามหลักปรมัติธรรม ที่รู้ลงไปที่กายและใจ(อายตนะภายนอกกระทบภายใน) ย่อมประจักษ์ชัดการทำงานของธาตุทั้ง 4 ไม่ใช่การนึกคิดเอา การประจักษ์ชัดถึงกระบวนการทำงานของขันธ์ 5 เป็นทางเดินของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงถึงการมีสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะแล้วมรรคอื่นๆ ก็จะตามมา จนถึงความเป็นสัมโพชฌงค์ ขอให้เกิดความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
การสร้างความสมดุลของความตั้งใจ
สังเกตุตัวเองว่าเมื่อเรากำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ความชัดเจนก็จะเกิดขึ้น เมือ่เกิดความชัดเจน จะกำหนดรู้ลงไปอีกก็ได้ กำหนดรู้การทำงานของโสต นอกจากเสียงที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ากำหนดรู้เอาวิญญาณความสนใจลงไปอีกจะพบกับผัสสะ วิ๊งๆ ของโสต เมื่อมองเรามีสติอยู่ที่จักษุ เมื่อมีสติเราย่อมเห็นการทำงานของจักษุธาตุคือเอาวิญญาณไปอยู่ที่จักษุ (ไม่ใช่ภาพ) เราย่อมเห็นอาการปรับตัวของธาตุ เมื่อเห็นการปรับตัวของธาตุนั่นคือเห็นสภาวะจริงของธรรม โดยแสงที่รับจากจักษุธาตุไม่มีผลกระทบ คือ สีไม่เปลี่ยน ความสว่างไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแต่ผัสสะที่เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อความชัดเจนปรากฎขึ้น สังขารย่อมพิจารณาตามความเป็นจริงว่า นี่สติเกิดขึ้น มีวิญญาณ มีธาตุรู้ เกิดผัสสะ ดำรงตนอยู่เฉพาะหน้าแต่ธรรมที่เกิดขึ้น จิตไม่ส่งออกนอกตามแสง


สวัสดีครับคุณ student
เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามหลักปรมัติธรรม ที่รู้ลงไปที่กายและใจ(อายตนะภายนอกกระทบภายใน) ย่อมประจักษ์ชัดการทำงานของธาตุทั้ง 4 ไม่ใช่การนึกคิดเอา การประจักษ์ชัดถึงกระบวนการทำงานของขันธ์ 5 เป็นทางเดินของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงถึงการมีสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะแล้วมรรคอื่นๆ ก็จะตามมา จนถึงความเป็นสัมโพชฌงค์ ขอให้เกิดความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น :b8:


อนุโมทนาครับ ช่วงนี้ก็ยังคงฝึกในแบบเดิมที่ตัวผมเองฝึกอยู่นี้ เห็นประโยชน์ของการจำแนกธรรมด้วยการพิจารณาขันธ์5 จึงได้สอบถามหลวงน้าที่คุยกันปีละครั้ง เกี่ยวกับอายตนะภายในที่เกิดดับเพราะอาศัยเหตุ ท่านบอกว่าคือสังขาร จริงๆแล้วตัวผมพิจารณาว่าสังขารคือผล เป็นการสืบต่อเนื่องเพราะจิตปรุงแต่งจากอายตนะภายนอกมากกว่า ผมกลับพิจารณาว่าสังขารดับลงเพราะอาศัยเหตุคือการรู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง ผิดถูกขอผู้ที่รู้โปรดแนะนำสั่งสอนครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่รู้....ขอฝากแค่ข้อคิด...พิจารณาเอา :b16: :b16:

สิ่งใดที่ปรุงขึ้น..ตกแต่งขึ้นมา...ต้องดับไป....เป็นธรรมดา

แต่เราไม่ต้องการ...ความเป็นธรรมดา

สิ่งที่เราต้องการคือ...ปัญญา.....ที่เห็นทุกข์....เห็นเหตุแห่งทุกข์..เห็นทางที่จะดับทุกข์...เพื่อความดับทุกข์

เห็นการเกิดดับ...ก็นำมันมาสอนใจ...ให้ใจมันเบื่อหน่าย

จะดึงธรรมะข้อใด ๆ มาประกอบเข้าไปด้วยก็ได้...ขอเพียงให้ใจ..มันมีอาการเบื่อหน่าย...ให้ใจมันสังเวช...

การที่ใจจะสังเวชได้ง่ายที่สุด....ลึกซึ่งที่สุด...ต้องนำความเป็นธรรมดานั้นมาเทียบกับตัวของตัวเอง

ว่าตัวของตัวเอง...ก็จะเป็นเช่นนี้..เหมือนกัน

เมื่อมันเบื่อหน่าย...แล้วมันจะคลายกำหนัด...เอง

นี้เป็นแนวทางการใช้ปัญญาเพื่อสร้างภาพ....ให้ใจมันเห็น..เรียกว่าเห็นภาพด้วยปัญญา

ภาพที่ทำให้มันเกิดความเบื่อหน่าย...เพื่อที่จะคลายกำหนัด

หากใช้กำลังของฌาน...ก็ตัวฌานนั้นแหละจะเป็นตัวสร้างภาพ...อย่างปฏิภาคนิมิต...ใช้การพิจารณาประกอบเล็กน้อย...ความเบื่อหน่ายก็เกิดขึ้นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สิ่งใดที่ปรุงขึ้น..ตกแต่งขึ้นมา...ต้องดับไป....เป็นธรรมดา

แต่เราไม่ต้องการ...ความเป็นธรรมดา

สิ่งที่เราต้องการคือ...ปัญญา.....ที่เห็นทุกข์....เห็นเหตุแห่งทุกข์..เห็นทางที่จะดับทุกข์...เพื่อความดับทุกข์

เห็นการเกิดดับ...ก็นำมันมาสอนใจ...ให้ใจมันเบื่อหน่าย

จะดึงธรรมะข้อใด ๆ มาประกอบเข้าไปด้วยก็ได้...ขอเพียงให้ใจ..มันมีอาการเบื่อหน่าย...ให้ใจมันสังเวช...

การที่ใจจะสังเวชได้ง่ายที่สุด....ลึกซึ่งที่สุด...ต้องนำความเป็นธรรมดานั้นมาเทียบกับตัวของตัวเอง

ว่าตัวของตัวเอง...ก็จะเป็นเช่นนี้..เหมือนกั

ครับคุณกบ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


มีประสบการ์ณใหม่เกิดขึ้น จริงๆก็เป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่แล้วและหลายท่านคงผ่านมาแล้วเช่นกันเพียงแต่กับผมเองเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความชัดเจนกำหนดรู้ได้ด้วยสมาธิ แม้ออกจากสมาธิแล้วยังคงชัดเจนอยู่นับเป็นชั่วโมง

เมื่อกำหนดรู้ผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณด้วยการหายใจเข้าออก กำหนดรู้ร่างกายทุกส่วนมือทับมือ สรีระทุกส่วนของร่างกาย จนเข้าสู่สมาธิ โดย แม้เข้าสู่สมาธิก็รู้ตัวว่าเข้าสู่สมาธิ แม้สมาธิมีพลังก็รู้ว่าสมาธิมีพลัง กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบังคับอะไร ลมหายใจอยาบก็รู้ว่าลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด มีสติเป็นปัจจุบันอารมณ์อยู่ที่กาย ด้วยใจที่เป็นสมาธิอยู่ ผมรู้สึกถึงความร้อนของกายเด่นชัดขึ้นตรงระหว่างหน้าอกไล่ไปตามแขนสู่ผ่ามือ จึงพิจารณาความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความรู้ว่า เป็นธาตุไฟ

ต่อพรุ่งนี้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 29  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร