วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 15:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus735.jpg
Lotus735.jpg [ 44.18 KiB | เปิดดู 3837 ครั้ง ]
หลับอยุ่ เขียน:
สติ และ สัมปัชฌัญญะ....


:b48: กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


BENZiNE เขียน:
รู้ กับ ไม่รู้ สุดท้ายให้ผลต่างกันยังไงหรอครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจ

ถ้าว่ากันด้วยหลักปริยัติแล้ว รู้คือ วิชชา ส่วนไมรู้คือ อวิชาครับ
วิชชาคือการรู้เรื่องของอริยสัจสี่ ที่ว่าด้วย
ทุกข์ คือ อะไร
สมุทัยคืออะไร
นิโรธคืออะไร
มรรคคืออะไร

ส่วนอวิชชามันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันครับ คือไม่รู้อริยสัจสี่

ผลที่แตกต่างกันก็คือ วิชชาทำให้พ้นทุกข์
อวิชชาทำให้ทุกข์ครับ

ที่สำคัญไม่ใช่ว่าเรารู้แล้ว จะพ้นทุกข์เลยนะครับ รู้แล้วต้องปฏิบัติด้วย
แล้วอะไรคือการปฏิบัติ ก็มรรคมีองค์แปดครับคือการปฏิบัติ

หลักใหญ่ๆมันอยู่ในเรื่องของปฏิจสมุบาทครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เป็นเหมือนกันครับ
อาการคือ ความรับรู้ขาดห้วงไป จับได้แต่การรู้ว่าไม่รับรู้ หรือการรับรู้อ่อนมาก

คาดว่ากายอินทรีย์ไม่สมบูรณ์ จะเกิดจากกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ปนด้วยก็ไม่ทราบ
แต่ขอให้ท่านแผ่เมตตา(แล้วแต่วิธีส่วนบุคคล) แล้วลงจับช่วงนั้นดูนะครับว่าการรับรู้กลับมาหรือไม่ แผ่เมตตาให้ปล่อยๆแต่ไม่ต้องไปเพ่งกับมัน

การเดินจงกลมเยอะๆ(แนะนำหนึ่งชั่วโมงขึ้น)ก็มีส่วนช่วยกายอินทรีย์เหมือนกัน ทำให้การรับรู้ทางร่างกายตอนนั่งสมาธิมีมากขึ้น

ถ้าอยากให้การรับรู้ทางกายกลับมา
- เดินจงกลมเยอะๆ
- นอนให้เต็มอิ่มก่อนนั่งสมาธิ
- แผ่เมตตาบ่อยๆ
- พยายามทำซ้ำๆ(ช่วงนี้ความเพียรผมตก อาการเลยกลับมาเยือน)

ส่วนถ้าจะนั่งไปแบบนี้จะเป็นอะไรหรือไม่ ผมก็ลองนั่งด้านๆแบบนี้เหมือนกันนะ ไม่รับรู้กปล่อยมันไม่รับรู้ไปสิ
แล้วตอนใช้ชีวิตเวลาปกติลองสังเกตอนที่โกรธหรือคิดไม่ดี ว่ามีตัวเลือกว่าให้หยุดหรือปล่อย(ไม่เอา)ขึ้นมาในใจหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เลือกตัวเลือกนั้น ก็เห็นว่าช่วยในด้านสติอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิก็จะกำหนดรู้ลมหายใจ บริกรรมพุทโธ อยู่ตลอด พอนั่งๆ ไปก็เหมือนจิตมันอยู่ในภวังค์ลืมการบริกรรมไป แล้วก็จะสะดุ้งแต่ไม่ลืมตานะครับ ท้วงตัวเองอยู่ในใจว่าลืมบริกรรมได้ไง จากนั้นก็จะเริ่มบริกรรมต่อ แล้วมันก็จะเป็นแบบแรกอีกอ่ะครับ ไปอ่านในหลายเว็บแต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็น มันคือจิตเข้าสู่สมาธิให้ปล่อยไป หรือว่าเป็นเพราะเราจะหลับจริงๆ กันแน่ ใครพอจะทราบช่วยให้ความรู้หน่อยนะครับ


น่าสนใจมากครับ คุณ Benzine

เพื่อให้ความเข้าใจตรงกัน ต้องขออนุญาติถามก่อน ว่าขณะที่คุณลืมการบริกรรมไปนั้น ความรู้สึกของคุณอยู่ที่ไหนครับ คือคุณง่วงนอนจนเผลองีบไปหรือเปล่า คุณรู้สึกซึ่มๆเบื่อๆหรือเปล่า คุณปล่อยใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้หรือเปล่า

หรือว่าคุณยังรู้ตัวอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าความรู้ตัวของคุณในขณะนั้นไม่ต้องอาศัยคำบริกรรมอีกต่อไป

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
คุณปล่อยใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้หรือเปล่า

แล้วถ้าเป็นอันนี้ ควรทำอย่างไรดีครับ ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียน ท่าน BENZiNE
อาการที่เล่ามาเกิดจากอินทรีย์ยังอ่อน

เนื่องจาก ธรรมดาของจิต ย่อมสัดส่ายไปเรื่อยตามที่มันเคยเป็น พอมาเริ่มปฏิบัติก็เลยเอาไม่ค่อยอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อผู้ปฏิบัติอยู่ในอริยาบทนั่ง ซึ่งจะประคองสติได้ยากกว่าอริยาบทเดิน ทำให้เมื่่อจิตแวบออกไป เลยรู้ได้ยากวิธีแก้ก็ให้ดูเรื่องการปรับสมดุลของอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งในกรณีของท่านก็ให้ เดินจงกรม ก่อน
เช่น เดินอย่างเดียว แล้วค่อยปรับเป็น เดิน 1 ชม นั่ง 30 นาที ทำวันละหลายๆ รอบ ทำไปซักพักจิตมันก็จะงวดเข้ามาเอง ซัดส่ายน้อยลง สติ ก็กล้าแข็งขึ้นเป็นลำดับ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มเวลานั่งจนเดินกับนั่งเท่ากัน เช่น เดิน 1 ชม นั่ง 1 ชม ทำไปจนอยู่ตัว แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มให้นั่งมากกว่าเดิน
ปัญหาที่ท่านเล่ามาเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่กีดขวางการปฏิบัติมากนัก ทำไปซักพักเด๋วก็ดีขึ้นเอง (หากไม่เลิกซะก่อน)
แต่ปัญหาใหญ่เบื้องต้นของผู้ปฏิบัตินั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องเวทนามากกว่า เพราะว่าพอเวทนามาก็ใส่เกียร์ถอยซะมาก ผมหวังว่าท่านสู้ไม่ท้อถอยนะครับ เอาใจช่วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานั่งเคยสังเกตุว่าพิจารณาความไม่เที่ยงแล้วสมาธิเกิดขึ้นได้ไวและโหมเป็นช่วงๆตามกำลังของสติ แล้วอาการปวดขาในช่วงหลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่นั่งนานมากไม่เหมือนแต่ก่อนอาจจะเนื่องมาจากความเคยชิน ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าร่างกายก็ปกติไม่ได้เลือดตกยางออก ทำไมอาการปวดขาจากการนั่งจึงทำให้เราทนไม่ไหวในที่สุดแต่เราก็เดินเหินได้เหมือนเดิมหลังจากลุกออกจากสมาธิ ก็เป็นข้อพิจารณาอีกข้อหนึ่งคือถ้าเริ่มปวดขาให้พิจารณาความปวดตรงนั้นไปเรื่อยๆเป็นการเริ่มเข้าสู่การพิจารณาวิปัสสนา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


การลืมคำบริกรรมไปเนื่องจากจิตใจเกิดความฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ก็คล้ายๆกับเราที่เราเผลอตัวไปชั่วขณะ ลืมไปว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เป็นสิ่งที่เป็นกับทุกคน โดยเฉพาะในผู้หัดใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ ไม่ใช่ว่าเผลอหลับไปหรอกครับ

ธรรมดาจิตใจของคนที่ยังไม่ได้ฝึก จะฟุ้งซ่านซัดส่ายอยู่ตลอดเวลาตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบ หากเป็นอารมณ์ที่ถูกใจ เราจะปรุงแต่งเป็นความชอบ ความพอใจ และจิตใจจะวิ่งเข้าไปคลุกคลี จมแช่อยู่กับความพอใจนั้น ในทางตรงข้าม หากเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา จิตใจจะผลักใส หลีกหนีออกจากอารมณ์นั้น และหากเป็นอารมณ์เฉยๆไม่ดีไม่ร้าย จิตใจที่ไมได้รับการฝึก จะไม่สนใจอารมณ์นั้น คือถึงอารมณ์นั้นเกิด จิตก็จะเซื่องซึมหลงไหลไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดอารมณ์นั้นกับจิตใจของเรา การฝึกสมาธิ คือการฝึกความรู้ตัวหรือสติให้เริ่มเกิดขึ้น หากเกิดขึ้นแล้ว คือการฝึกให้ความรู้ตัวเกิดขึ้นนาวนานต่อเนื่อง ดังนั้นในช่วงแรกๆ สติติดๆดับๆ รู้ตัวบ้าง เผลอตัวบ้างเป็นเรื่องธรรมดา อย่าเพิ่งท้อใจครับ

เมื่อเผลอตัวคิดถึงเรื่องอื่น หรือความรู้ตัวของเราออกห่างจากอารมณ์ที่ใช้เป็นหลักยึด เช่น ลมหายใจ หรือคำบริกรรมเมื่อใด เมื่อรู้ตัวก็ให้กำหนดรู้ว่าได้เผลอใจไปแล้ว เมื่อนั้นในทันทีเราจะเลิกเผลอและกลับมารู้ตัว ให้น้อมความรู้ตัวกลับไประลึกผูกอยู่กับหลักอารมณ์ที่เราใช้เช่นเดิม หากเผลออีก ก็ทำแบบนี้อีก บ่อยครั้งเข้า เราจะรู้ตัวเร็วขึ้นเมื่อเผลอลืมตัวไป เมื่อชำนาญ การเผลอตัวจะเกิดน้อยลง จิตเที่ยวออกไปแสวงหาอารมณ์น้อยลง สมาธิจะตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับขั้นของการฝึก

ทั้งหมดที่กล่าวไปเป็นเพียงขั้นเริ่มต้นครับ แต่ก็เป็นส่วนที่สำคัญมาก คือฝึกตัวเองให้รู้ตัวก่อนว่า สภาวะที่เรารู้ตัวอยู่เป็นยังไง สภาวะที่เราเผลอเป็นยังไง ตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะคนที่ไม่เคยฝึกเลยจะคิดว่าในชีวิตประจำวันตัวเองรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่จริงๆแล้วความรู้ตัวแบบนั้นเป็นความรู้ตัวที่มีการปรุงแต่ง (ชอบใจไม่ชอบใจ ยินดียินร้าย) ไม่ใช่การรู้ตัวอย่างเป็นกลาง ไม่ใช่ความรู้ตัวที่เราหมายเอาจากสมาธิ ไม่ใช่ความรู้ตัวหรือสติในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ชัดถึงสองสภาวะนี้แล้วการเข้าสมาธิจะราบรื่นขึ้น และต้องขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ยังมีอะไรอีกมากเกี่ยวกับสมาธิที่ควรศึกษาไว้ และสุดท้ายหากได้สมาธิที่ตั้งมั้นแล้วเมื่อใด อย่ายึดติดอยู่เพียงแค่ความสงบหรือความสุขที่เกิดจากสมาธิ เพราะความสงบความสุขเหล่านั้นสามารถเสื่อมไปได้ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดที่เราควรจะยึดถือ แต่ให้นำจิตใจได้รับการอบรมจากสมาธิจนสามารถรับรู้อารมณ์อย่างเป็นกลางมาใช้เจริญวิปัสนาภาวนาต่อไป จะได้ผลดีมากครับ

ขออนุโมทนา และขอเอาใจช่วยในการปฏิบัติครับ :b41:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2011, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา กับคำตอบของทุกท่านด้วยครับ
แอบท้อนิดๆ เหมือนกัน 5555 แต่จะตั้งใจฝึกฝนต่อไปครับ :)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


BENZiNE เขียน:
เวลาผมนั่งสมาธิก็จะกำหนดรู้ลมหายใจ บริกรรมพุทโธ อยู่ตลอด พอนั่งๆ ไปก็เหมือนจิตมันอยู่ในภวังค์ลืมการบริกรรมไป แล้วก็จะสะดุ้งแต่ไม่ลืมตานะครับ ท้วงตัวเองอยู่ในใจว่าลืมบริกรรมได้ไง จากนั้นก็จะเริ่มบริกรรมต่อ แล้วมันก็จะเป็นแบบแรกอีกอ่ะครับ ไปอ่านในหลายเว็บแต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็น มันคือจิตเข้าสู่สมาธิให้ปล่อยไป หรือว่าเป็นเพราะเราจะหลับจริงๆ กันแน่ ใครพอจะทราบช่วยให้ความรู้หน่อยนะครับ :b1:



ตรงนี้คือ สติอ่อนกำลัง วิธีแก้คือ ถ้าคุณรู้ตัวว่าลืมการบริกรรม คุณก็ตั้งคำบริกรรมขึ้นมาใหม่ สักพักคำบริกรรมก็จะหายไปอีก คุณก็ตั้งคำบริกรรมขึ้นมาใหม่ ทำซ้ำๆกันแบบนี้ หมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่คุณพยายามนึกคำบริกรรม แต่ก็นึกคำบริกรรมไม่ได้ แบบนั้นคุณจึงจะปล่อยวางคำบริกรรม

ถ้าคุณยังสามารถนึกคำบริกรรมได้ ก็ต้องนึกคำบริกรรมขึ้นมา อย่าปล่อยให้คำบริกรรมหายไป

การเดินจงกรมจะช่วยให้สติมีความตั้งมั่นได้ดีกว่าการนั่ง

-------------------------------------------------

ตามธรรมดาแล้ว คนที่เริ่มสนใจฝึกฝนการภาวนาใหม่ๆ ในตอนที่ยังไม่เห็นความแตกต่างของรูปและนาม ทุกๆคนจะเริ่มต้นฝึกฝนมาจาก " ความอยากทำ " ด้วยกันทั้งนั้น

ความอยากทำก็คืออยากทำ ไม่มีเหตุผลอะไรมาก แค่อยากทำจึงหันหน้ามาฝึกสมาธิภาวนา เมื่อฝึกไปจนเริ่มมีความสงบมีความสบายในองค์ภาวนา ทีนี้ผู้ปฏิบัติจึงปรารถนาที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ความเพียรในระดับสูงๆจึงจะเกิดขึ้นตามมาอีกทีหนึ่ง



เพราะฉะนั้นคุณ BENZINE อย่าท้อแท้ใจไปเลยครับ ฝึกใหม่ๆก็เป็นอย่างนี้เอง ตอนนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าคุณฝึกการภาวนาเพื่อจุดประสงค์อะไร ถ้าคุณอยากทำ คุณก็ลงมือทำไปเลย เมื่อสติสัมปชัญญะมีความตั้งมั่น เดี๋ยวคุณก็จะเห็นเองว่ารูปและนามมีความแตกต่างกันอย่างไร ต่อมาคุณก็จะเห็นวงจรของปฏิจสมุปบาท เมื่อคุณเห็นด้วยการปฏิบัติของตนเองแล้ว ความมุ่งมั่นในการภาวนามันจะเกิดขึ้นมาเอง ทีนี้แหละคุณจะภาวนาโดยมีจุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ความอยากทำเหมือนตอนเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ


คนที่เข้ามาตอบคำถามต่างๆตามเวปไซต์ มีทั้งคนที่ภาวนาเป็นและคนที่ภาวนาไม่เป็น (แต่อยากจะตอบ) คุณBENZINE ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านคำตอบของคนที่เข้ามาตอบด้วยครับ

ปกติผมจะไม่ค่อยเข้ามาตอบคำถามในนี้ แต่พอดีผมเห็นคุณบอกว่าท้อใจ ผมจึงเข้ามาบอกคุณเรื่องนี้ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร