วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 06:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2010, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อจากคราวที่แล้วนะครับ :b1: :b46: :b46: :b46:

สรุปได้ว่า การเจริญสมถะและวิปัสสนา จึงเป็นข้อธรรมที่เป็น “เหตุ” ในการพัฒนาจากปุถุชน ไปเป็นอริยชน โดยการละอกุศลกรรมบถ ๑๐ + ประกอบกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็น “ปัจจัย” ที่สำคัญ :b4: :b46: :b41:

ประโยชน์ขั้นต้นของการเจริญสมถะ คือสามารถทำให้กิเลสระงับได้ชั่วคราว เหมือนหินทับหญ้า แต่ประโยชน์ขั้นสูงคือ การมีส่วนช่วยเป็นบาทฐานให้การเจริญวิปัสสนามีความเข้มแข็งรวดเร็ว สามารถกำจัดกิเลสที่ละขั้นได้อย่างเด็ดขาด เหมือนการขุดรากถอนโคนหญ้าให้ไม่เหลือเชื้องอกได้อีก :b53: :b51: :b45:

ผลของการเจริญสมถะ ทำให้ได้ “ฌาน” ส่วนผลของการเจริญวิปัสสนา ทำให้ได้ “ญาณ” หรือองค์ปัญญา ในการรู้แจ้งและหลุดพ้น :b46: :b46: :b46:

การพัฒนาในฌาน แบ่งออกเป็น ๘ ขั้น (นับตามพระสูตร) คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ (บางที่ นับรวมสัญญาเวทยิตนิโรธเพิ่มอีก ๑ เป็น ๙) :b42: :b44: :b39:

การพัฒนาในญาณ แบ่งเป็น ๑๖ ขั้น (โสฬสญาณในพระคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นรองของพระไตรปิฎก แต่อ้างอิงได้ถึงพระสูตรในส่วนของปฏิสัมภิทามัคค์ ซึ่งมีที่มาจากองค์พระสารีบุตร) :b39: :b42:

ปูพื้นไว้แน่นพอควรแล้ว คราวนี้ มาลองแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับคำถามของคุณอานาปานาทีละข้อกันครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปุถุชน ที่เพียรปฏิบัติธรรม..สามารถเข้าใจปัญญาเบื้องต้น นามรูปปริเฉทญาน ได้อย่างไร?
เเละ สามารถมองเห็นปรมัตถธรรม(ยกเว้นนิพพาน)ได้หรือไม่ ด้วยวิธีอะไร?

นามรูปปริจเฉทญาณ : ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป คือ รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีแต่รูปธรรมและนามธรรม และกำหนดแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม (พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) :b8:

วิธีที่จะทำให้ได้ญาณ (ปัญญา) ขั้นนี้ ก่อนอื่น จะต้องเข้าใจความหมายและความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่เป็นจริง (ปรมัตถธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน) กับ สิ่งที่สมมติขึ้นมา (บัญญัติธรรม ซึ่งปิดบังปรมัตถ์) ซึ่งเอาแค่นี้ก็ทำให้ผู้เริ่มต้นปฏิบัติเกิดความท้อได้แล้วครับ เพราะอะไรคือปรมัตถ์ ? อะไรคือบัญญัติ ? แล้วมันต่างกันยังไง (ฟ๊ะ !! ??) :b10: :b10: :b5: :b6:

ครูบาอาจารย์หลายท่านเล็งเห็นอุปสรรคในข้อนี้ เลยพยายามข้ามปริยัติในส่วนที่ยากแก่การจำและการคิดให้เข้าใจ (สุตตามยปัญญา + จินตามยปัญญา) ด้วยการแนะนำให้ศิษย์พุ่งไปที่การปฏิบัติให้เห็นสภาวะของจริง (ปรมัตถ์) ของกายใจโดยตรง (ภาวนามยปัญญา) โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ในขั้นนี้ว่า อะไรคือจิต/เจตสิก/รูป, แต่ละอย่างแบ่งเป็นอย่างไร และสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง ฯลฯ ให้ฟั่นเฝือจนเห็นธรรมะเป็นของยากไป :b46: :b46: :b46:

สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ จึงเป็นแค่ "ให้รู้สภาวะที่เกิดขึ้นกับกายใจลงในปัจจุบันตามความเป็นจริง" โดยมีสติและสมาธิ (รู้ระลึกได้ + ตั้งมั่นไม่ซัดส่าย) เป็นตัวนำให้รู้ในสภาวะนั้นๆอย่างชัดแจ้ง โดยอาจจะให้สังเกตตามด้วยว่า อะไรคือสภาวะ และใครเป็นผู้รู้สภาวะ :b1: :b41: :b48:

เช่น เมื่อเดิน ให้รู้สภาวะการไหว (รูป) และใคร เป็นผู้รู้การไหว (จิต), เมื่อท่องพุทโธ ให้รู้สภาวะของการท่องพุทธโธ (เจตสิก) และใคร เป็นผู้รู้การท่องพุทธโธ (จิต) :b45: :b45:

นี่คือวิธีที่ทำให้ “เห็น” และสามารถ “แยกแยะ” สิ่งที่เป็นของจริงต่างๆ (ปรมัตถธรรม ในส่วนของ จิต เจตสิก รูป ไม่รวมนิพพาน) ออกจากกัน ซึ่งอาจจะเรียกวิธีนี้อีกอย่างคือ การแยกธาตุแยกขันธ์ออกจากกัน (คือแยก รูป - เวทนา สัญญา สังขาร (รวมเป็นเจตสิก) – วิญญาณ (จิต) ออกจากกัน) :b48: :b48:

ซึ่งเมื่อสามารถ “เห็น” และ “แยกแยะ” ด้วยการเพียรรู้เพียรดูในสมาธิหรือในชีวิตประจำวันจนถึงจุดหนึ่งแล้ว “ปุถุชน ที่เพียรปฏิบัติธรรม..” ก็จะ “สามารถมองเห็นปรมัตถธรรม(ยกเว้นนิพพาน)” และ “สามารถเข้าใจปัญญาเบื้องต้น นามรูปปริเฉทญาน” ได้โดยไม่ยากครับ :b1: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หากปุถุชน ผู้นั้นเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สามารถเห็นรูปนามเเยกจากกันได้จะเรียกว่าอะไรดี?...

ก็ยังคงเรียกว่า ปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสอยู่ดีครับ เพราะปัญญาในการแยกรูปแยกนาม หรือแยกธาตุแยกขันธ์ได้นั้น ยังไม่เป็นปัญญาที่ใช้ในการกำจัดกิเลสใดๆได้ :b38: :b37:

แต่ถ้าสามารถพัฒนาไปสู่ญาณที่ ๒ คือ นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หรือ สัมมาทัสสนะ คือญาณที่เข้าใจในเหตุปัจจัย รู้เข้าใจว่านามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย นั่นคือ เริ่มเห็นสภาวะอนัตตาในนามรูป พระอรรถกถาจารย์เรียกบุคคลผู้ที่พัฒนามาถึงจุดนี้ว่า จูฬโสดาบัน (โสดาบันน้อย) ซึ่งหมายถึง เป็นผู้มีคติหรือความก้าวหน้าอย่างแน่นอนในพระศาสนา เพราะเห็นด้วยปัญญาแล้วว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่าเกิดตามแต่เหตุปัจจัย :b4: :b39: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปุถุชน ที่เพียรปฏิบัติธรรม สะสมอินทรีย์พละ ก็ไม่สามารถที่จะ ละสังโยชน์ข้อที่ ๑ สักกายะทิฐิ ได้เลย อย่างนั้นหรือ?...

อย่างที่ให้ความหมายไว้แล้วนะครับว่า ปุถุชนคือผู้ที่ยังมีกิเลสหนา ซึ่งหมายรวมถึง สงฆ์ปุถุชน หรือสังฆ์ปุถุชน คือพระที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้เป็นสังฆ์อริยะ หรืออริยสงฆ์ คือผู้ที่บวชเป็นพระแล้วบรรลุธรรมะวิเศษ สามารถลดละกิเลสในจิตใจได้ตั้งแต่ระดับโสดาบันขึ้นไป :b8: :b46: :b46: :b46:

ดังนั้น ปุถุชน ไม่ว่าจะเป็นสามัญปุถุชน หรือสังฆ์ปุถุชน จะเป็นผู้ที่ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ ตามความหมาย แต่ มีความสามารถ ที่จะละสักกายทิฏฐิ หรือมากกว่านั้น ได้ ถ้า “เพียรปฏิบัติธรรม สะสมอินทรีย์พละ” ไว้มากพอครับ :b1: :b46: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปุถุชน ผู้ปฏิบัติธรรม..มีความเพียรสั่งสมอินทรีย์พละ..เพื่อที่เจริญองค์ธรรมให้พร้อมในอนาคต มีความชำนาญในสมถกรรมฐาน จนสามารถเข้าถึงที่สุดของสมถฯ
เเล้วที่สุดของวิปัสสนาญาณขั้นใด??..ที่ปุุถุชนสามารถทำได้ถึง

ที่สุดของสมถะที่ปุถุชนเข้าถึงได้คือ อรูปฌานที่ ๔ หรือที่เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั่นคือ หลังจากจิตผ่านสภาวะของการระลึกรู้ในความไม่มีอะไรเลยในอรูปฌานที่ ๓ (อากิญจัญญายตนะ) แล้วหันมาเอาจิตที่ระลึกรู้ในความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ :b37: :b38:

จะเข้าสู่สภาวะของจิตที่ดูเหมือนว่าไม่ได้ระลึกอะไรเลย คือ จิตรู้ว่ามีอะไรซักอย่างให้ระลึก แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความว่าง (space), ไม่ใช่วิญญาณ, และไม่ใช่ความไม่มีอะไร เหมือนมองไปในอากาศรู้ว่ามีอะไรอยู่ แต่ไม่เห็นว่ามีอะไร การรับรู้ธรรมารมณ์ของจิตจะขาดมิขาดแหล่ เหมือนอยู่ในสภาวะที่หลับลึกมากแต่ไม่เหมือนซะทีเดียวเพราะยังมีความรับรู้และมีสติสมบูรณ์อยู่ แต่สิ่งที่รู้ ไม่รู้ว่ามีอะไร เป็นสภาวะที่สงบถึงขีดสุดที่ปุถุชนจะไปได้ถึง :b46: :b46: :b46:

ส่วนที่สุดของวิปัสสนาญาณที่ปุถุชนสามารถไปได้ถึงคือ อนุโลมญาณ ซึ่งเป็นญาณที่ ๑๒ ในโสฬสญาณ (หรือเรียกแบบ วิปัสสนาญาณว่า สัจจานุโลมิกญาณ) หมายความถึง ญาณอันเป็นไปโดยการหยั่งรู้อริยสัจ ซึ่งเกิดขึ้นต่อจากสังขารุเปกขาญาณ คือเมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลายแล้ว ญาณอันคล้อยตามอริยสัจย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไป และเป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ ซึ่งยังไม่ประหารกิเลสตัวไหนได้อย่างถอนราก (สมุทเฉทปหาน) :b46: :b47: :b48:

จวบจนข้ามถึงโคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณอันเกิดแต่ปัญญาที่เป็นหัวต่อระหว่างภาวะปุถุชนและภาวะอริยบุคคล จนเข้าสู่มรรคญาณ ซึ่งเป็นญาณแท้จริงที่ใช้ในการประหารกิเลสคือสังโยชน์ ๓ (สำหรับชั้นโสดาบัน) ในชั่วขณะจิต ก้าวเข้าสู่ผลญาณหลังจากกิเลสถูกประหารไปแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนของการเห็นแจ้งในสภาวะนิพพาน ที่ผู้เข้าถึงจะแจ้งในสภาวะของความเป็นอิสระจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง จิตใจจะแช่มชื่นเบิกบานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของการเวียนว่ายในสังสารวัฏ แต่อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วหายไป จิตวกกลับลงมาในกามาวจรภูมิเพื่อพิจารณากิเลสที่หมดสิ้นไปแล้วและกิเลสที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นญาณขั้นสุดท้ายในโสฬสญาณ (ปัจจเวกขณญาณ) สำหรับกระบวนการบรรลุมรรคผลในขั้นหนึ่งๆ คืออริยบุคคลขั้นหนึ่งๆจวบจนนิพพานครับ :b46: :b46: :b46:

หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับคำถามไม่มากก็น้อยครับ :b46: :b46: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อานาปานา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ลักษณะ..การละสักกายะทิฐิ..ของปุถุชน..ไม่มี..
หากเป็นเช่นนี้..ปุถุชน ที่เพียรปฏิบัติธรรม สะสมอินทรีย์พละ
ก็ไม่สามารถที่จะ ละสังโยชน์ข้อที่ ๑ สักกายะทิฐิ ได้เลย อย่างนั้นหรือ?...


เพียรเพื่อการละ..กับ..การละได้แล้ว..นี้ไม่เหมือนกัน

ปุถุชนเพียรเพื่อละสักกายทิฏฐิได้..ละสักกายะทิฏฐิได้แล้ว..ก็ไม่เรียกปุถุชน

แบบนี้..เข้าใจว่าต้องการทราบว่า..ปุถุชนควรเพียรอย่างไรเพื่อละสักายะทิฎฐิ..ละได้แล้วมีอาการลักษณะอย่างไร??..ใช่มั้ยครับนี้

อ้างคำพูด:
มีแต่ความเห็นว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา..นี้คือเรา..นี้คือของๆเรา..อยู่เสมอ
หากปุถุชน ผู้นั้นเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สามารถเห็นรูปนามเเยกจากกันได้จะเรียกว่าอะไรดี?...


หมดทุกข์ได้..ก็เรียกพระอรหันต์

หากทุกข์ยังไม่หมด..ก็กลับมาพิจารณาข้อสังโยชน์..อะไรที่ละได้ขาดไปแล้วบ้าง

สักกายะทิฎฐิ..วิจิกิจฉา..สีลัพพตปรามาส..ละได้ขาด..เรียกโสดาบัน..

กามฉันทะ..ปฏิฆะ..ละได้เบาบาง..เรียกสกทาคามี..ละได้ขาดเรียก..อนาคามี

รูปราคะ..อรูปราคะ..มานะ..กุทธัจจะ..อวิชชา..อนาคามีที่กำลังดำเนินตามข้อเหล่านี้อยู่..เรียกอรหันตมรรค

เรื่องพวกนี้เข้าใจว่าทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว

การละได้ไม่ได้อย่างไรนั้น..คนผู้นั้นจะรู้เอง..หากจะหลง..ก็หลงตนได้ไม่นาน..เหตุเพราะผู้ปฏิบัติพิจารณา..กาย..เวทนา..จิต..ธรรม..อยู่เสมอจะไม่ลำเอียง..แต่ที่หลงตนนานข้ามวันข้ามปี..นี้เลอะเทอะแน่นอน..อริยะอะไรก็ไม่ได้เป็น..เพราะแม้แต่ผู้จะเข้าโสดาบันก็ไม่หลงตนนาน


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 24 ก.ย. 2010, 00:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 07:38, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 07:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุ..กับท่านอานาปานา..ที่จะไปเสริมสร้างความดี

สาธุ.. :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุอนุโมทามิกับคุณอานาปานาครับ :b8:

กลับมาจากปฏิบัติธรรมแล้วอย่าลืมเอาประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปันกันนะครับ :b1: :b46: :b46: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิสุทธิปาละ เขียน:
การทำลายสักกายทิฏฐิ เริ่มตั้งแต่เสขบุคคลขั้นแรก คือโสดาบัน และคงอยู่ (หมายถึง การไม่มีซึ่งสักกายทิฏฐิ แต่ระดับการเห็นแจ้งจะต่างกันบ้างในแต่ละขั้น) ไปจนถึงขั้นอรหันต์ ซึ่งเป็นอเสขบุคคล

ขอขยายความตรงนี้เพื่อความชัดเจนสักเล็กน้อยครับ :b1: :b46: :b46: :b46:

สักกายทิฏฐิ คือ “ความเห็นผิด” ในกายใจ (ขันธ์ ๕) ว่าเป็นของตัวของตน ซึ่งต่างจาก และเป็นคนละขั้นกันกับ “ความยึดอยาก” ในกายใจ นะครับ :b37: :b38:

โสดาบัน ละ “ความเห็นผิด” ในกายใจลงได้ว่า ไม่เป็นตัวตน แต่ยังไม่สามารถละ “ความยึดอยาก” ในกายใจลงได้ ซึ่งจะค่อยๆละ “ความยึดอยาก” ในกายใจนี้ได้ลงทีละขั้นๆ จนหมดสิ้นไปในระดับอรหันตมรรค :b41: :b41: :b48:

เปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายขึ้นดังนี้ครับ

เหมือนสมัยที่เราเป็นเด็ก เลิกเรียนกลับบ้านมาเปิดตู้เย็นเห็นขนมอยู่เต็มตู้ นึกว่าแม่ซื้อมาให้เรา แต่มีเสียงลอยตามลมมาว่า “อย่าเอาไปทานนะครับ แม่ซื้อมาใส่บาตรพระพรุ่งนี้เช้า” :b6: :b5:

ตอนแรกที่เห็นขนมนั้น มี “ความเห็นผิด” ว่า ขนมนั้น “เป็นของตัวของตน” แต่เมื่อได้ยินเสียงแม่เตือนมา ถึงแม้ว่าจะละ “ความเห็นผิด” เกิด “ความเห็นถูก” ขึ้นมาแล้วว่า ขนมนั้นไม่ใช่ของเราแล้วก็ตาม แต่ “ความยึดอยาก” ที่จะได้เสพรสอร่อยของขนมนั้น ยังไม่จางคลาย และยังละไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย :b2: :b2:

เช่นกันครับ โสดาบัน มีความเห็นถูกแล้วว่า กายใจนั้นไม่ใช่ของตัวของตน เพราะเห็นแล้วว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา” (ซึ่งข้อความนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกหลายที่ และมีนัยยะสำคัญที่ชี้แนวทางสำหรับภาคปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาบันได้อีกหลายแง่มุม) :b46: :b46: :b46:

แต่โสดาบัน ยังไม่สามารถละ “ความยึดอยาก” พอใจที่จะได้เสพรสอร่อย (อภิชฌา) หรือในทางตรงข้ามคือ ความไม่ชอบใจในรสขม (โทมนัส) ของกายและใจได้เลย กิเลสยังเต็มเปี่ยมแต่ไม่ออกมาโลดแล่นข้างนอกในระดับที่ผิดศีล ความอยากในกามต่างๆยังเพียบอยู่ ความโกรธหงุดหงิดขัดใจ เศร้าโศกเสียใจยังมีอยู่ โดยจะค่อยๆละสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อจิตสามารถพัฒนาขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น :b39: :b39: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นคือ ในระดับขั้นสกทาคามี ความยึดอยาก (พอใจ/ไม่พอใจ) ในกายใจจะเบาบางลง อยากโน่นอยากนี่น้อยลง กามราคะน้อยลงจนแทบจะไม่มี อาหารจะทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก ดูหนังฟังเพลงตัดทิ้งเพราะทำให้จิตไม่ตั้งมั่น โกรธน้อยลงจนเหลือแค่ความขุ่นในใจจางๆเมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ฯลฯ :b48: :b49: :b50:

พอถึงในระดับขั้นอนาคามี จึงจะสามารถละ “ความยึดอยาก” พอใจที่จะได้เสพรสอร่อยทางกาย (กามราคะ) และความขัดใจในรสขมที่ผ่านทางกาย (ปฏิฆะ) ได้อย่างหมดสิ้น (ขอย้ำว่า เฉพาะที่เนื่องด้วยกายนะครับ) มาจากการละแล้วซึ่งความปรุงแต่งอันเนื่องด้วยกาย เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่ารู้กลิ่น รับรสก็สักแต่ว่ารู้รส สัมผัสก็สักแต่ว่ารู้สัมผัส จิตไม่ปรุงแต่งผัสสะและเวทนาอันเนื่องด้วยกายต่อจนเกิดตัณหา เพราะมีสติปัญญารู้พร้อมในการเกิดดับแห่งผัสสะและเวทนาอันเนื่องด้วยกายจนไม่ยึดถือปรุงแต่งและเพิกอาการ “อยาก” ลงได้ จิตตั้งมั่นเป็นกลางอยู่แต่อาการรู้ แม้แต่ตอนคิดก็รู้ทั้งเรื่องที่คิด และรู้ตัวว่ากำลังคิด กามราคะไม่กำเริบ ถือศีล ๘ โดยเฉพาะข้อ อพรหมจริยา โดยอัตโนมัติ โกรธไม่มีแม้แต่ความขุ่นในใจจางๆเมื่อประสบกับสิ่งที่ (เคย) ไม่ชอบใจ ฯลฯ :b46: :b46: :b46:

แต่ “ความยึดอยาก” พอใจที่จะได้เสพรสอร่อยทางจิต เช่น รูปราคะ และอรูปราคะ (ความสุขสงบในรูปฌาน และอรูปฌาน) รวมถึงกิเลสละเอียดอันเนื่องด้วยจิตอื่นๆ ได้แก่ ความฟุ้งในธรรม การตีค่าให้ค่าความสำคัญในตัวจิตเอง และความไม่รู้อริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง ยังไม่สามารถละได้ในระดับขั้นอนาคามี แต่จะตัดได้ขาดในขั้นอรหันตมรรคครับ :b46: :b46: :b45:

สรุปแล้ว การทำลายสักกายทิฏฐิ เริ่มตั้งแต่โสดาบัน และคงอยู่ไปจนถึงขั้นอรหันต์ แต่การเห็นแจ้ง และละซึ่งใน “ความยึดอยาก” ของกายและใจ จะต่างกันบ้างในแต่ละขั้น จนไปหมดสิ้นเอาที่ขั้นอรหันต์ครับ :b39:

เจริญในธรรมครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 25 ก.ย. 2010, 23:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




100_3647_resize.JPG
100_3647_resize.JPG [ 84.18 KiB | เปิดดู 5912 ครั้ง ]
tongue ท่านวิสุทธิปาละ ตอบได้แจ่มแจ้ง ละเอียดละออ ดีมากแล้ว น่าอนุโมทนายินดียิ่งนัก
เห็นข้อความนี้หลายตอน


หากปุถุชน ผู้นั้นเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สามารถเห็นรูปนามเเยกจากกันได้จะเรียกว่าอะไรดี?...

จึงขอแจมตอบสั้นๆไว้นิดหนึ่งว่า

ธรรมดา ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลสทั้งหลาย จะไม่ค่อยมีโอกาสมาเจริญวิปัสสนาภาวนากันหรอก
ต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก่อน คือ เป็น กัลยาณชน คนดี มีศีล มีธรรมประจำใจ จิตจึงจะใสจนเอากายมานั่งเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

จิตของกัลยาณชนนั้น เป็นบุญ สงบและตั้งมั่นง่าย นั่งภาวนาไปไม่นาน สมาธิเกิด ปัญญาเกิด เมื่อปัญญาลึกละเอียดลงไปจากชั้นธรรมดาสักนิดเดียว เขาจะสังเกตรู้ เห็น ว่า จิตที่รู้ (นาม) กับสิ่งที่ถูกรู้(รูป) แยกอยู่เป็นคนละส่วน ความรู้อันนี้เป็นปัญญาที่เรียกกันว่า ญาณ ญาณระดับที่ 1 นี้เรียกเป็นบาลีว่า "นาม - รูป ปริเฉทญาณ ดังนี้

กัลยาณชนผู้เห็น นาม - รูป แยกออกจากกันได้นี้ เรียกได้ว่ากัลยาณชน ผู้มีปัญญา
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




5 จำพวก_resize.jpg
5 จำพวก_resize.jpg [ 101.89 KiB | เปิดดู 5907 ครั้ง ]
tongue เพิ่มเติมแผ่นภาพ บุคคล 5 จำพวก เพื่อประกอบการพิจารณา ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2010, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะบุคคลมาจากไหน คือ อยากทราบว่าก่อนหน้าที่จะเป็นอริยะบุคคลเนี่ยท่านพัฒนามาจากปุถุชนหรือท่านมาจากไหนครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร