วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 15:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
จิตโลกีย์ดูจิตโลกีย์นี่เหตุทุกข์
ต้องการสุขโลกุตตระจะได้หรือ ?
เพราะทำเหตุไม่ตรงผลหลุดพ้นฤๅ
จิตยึดถือกามโลกีย์ที่ทุกข์ตรม


จงเลือกจิตโลกุตระจะหลุดพ้น
สร้างมัคคผลจิตได้ในปฐม
โลกุตตระดูโลกุตตระจิตรื่นรมย์
บัณฑิตชมวิมุติจิตน่าพิศดู


ดูกามจิตเดิม ๆ มีแต่สร้างเหตุให้เกิดทุกข์ครับ
ครับ


เจริญในธรรมครับ



แปลกๆนะ :b6:
ก่อนจะมีโลกุตรจิต มันคือจิตอะไรล่ะ :b6:

แล้วไปบอกให้เอาโลกุตรจิตมาใช้นะ เอามาจากไหนล่ะ
ถ้าไม่ใช่เอามาจากกามจิต :b10:

พุทธพจน์ว่า "จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ" :b8:

"จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ"

คือจิตตานุปัสนาใช่หรือไม่


จิตที่มันจบข่าวไปแล้ว ก็ไม่มีข่าวให้ทำอีก
จะเอามาทำข่าวแล้วมันจะได้อะไร

จิตแบบนั้นมันไม่มีอะไรให้ดูให้ทำแล้ว
แล้วจะไปดูไปทำอะไรกับมันอีกได้ยังไงล่ะครับนี่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ ท่านชาติสยาม
ยินนะครับที่ได้มาร่วมสนทนาครับ
อ่านดี ๆ ครับ ต้องใช้ปัญญาเล็กน้อยครับท่าน เพราะมันซับซ้อน
ผมกล่าวถึงการเลิกดูจิตกามาวจรเพราะเกิดแล้วดับไป แล้วให้เปลี่ยนคุณภาพจิตเสียใหม่แทนครับ จิตที่จะเกิดในอนาคตให้เปลี่ยนเป็นลักขณูปณิชฌานจิตครับ

จิตกามาวจรเป็นเหตุของกามาวจรวิบาก เกิดแล้วดับไป
จิตรูปาวจรเป็นเหตุของรูปาวจรวิบากครับ เกิดแล้วดับไป
จิดอรูปาวจรเป็นเหตุของอรูปาวจรวิบากครับ เกิดแล้วดับไป
จิตวิปัสสนาที่ทำลายกิเลสได้สำเร็จเรียกว่าอริยะมัคคจิตครับ อริยะมัคคจิตเป็นเหตุของอริยผลจิตครับ
จิตวิปัสสนาที่ทำลายกิเลสไม่ได้สำเร็จสมบูรณ์เรียกว่าวิปัสสนาจิตตามเดิมครับ เพราะกิเลสสังโยชน์ยังหนาแน่นอยู่ จิตแบบนี้ประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนาเป็นลักขณูปณิชฌาน ไม่ใช่กามาวจรจิต ไม่ใช่รูปาวจรจิต และไม่ใช่อรูปาวจรจิตครับ


อ้างคำพูด:
"จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ"
คือจิตตานุปัสนาใช่หรือไม่



จิตตานุปัสสนาที่ถูกต้องปฏิบัติอย่างนี้ครับท่าน

[เห็นจิตในจิต]
ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ เป็นอย่างไร
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ในสมัยใด สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนืองในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้เรียกว่าสติปัฏฐาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยสติปัฏฐาน


ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก ให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ
อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า กุศล
...ตรงนี้อริยมัคคจิตครับ
ภิกษุ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานอันเป็นวิบาก เพราะโลกุตตรกุศลฌาน อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ชนิดสุญญตะ พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ ในสมัยใด สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้เรียกว่า สติปัฏฐาน ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยสติปัฏฐาน....ตรงนี้อริยผลจิตครับ


ขอให้คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์คุ้มครองรักษาท่าน และผู้อ่านทุก ๆ ท่านครับ


เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย มหาราชันย์ เมื่อ 05 ก.ย. 2009, 19:19, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตตานุปัสนา ที่ยกมาน่ะครับ

ต้องทำฌาน 4 เสียก่อน



แต่ท่านตรัสแค่นี้จริงๆเหรอ ทั้งเล่ม มีตรงไหนอีกไหม
ที่ท่านตรัสถึงจิตตานุปัสนา?


แล้วที่ยกมานี่หมายความว่ายังไงครับ

เหมือนเราสองคนเข้าไปในเล้าไก่นะ มีไข่อยู่กองหนึ่ง

ผมหยิบมาฟองนึง ผมบอกว่านี่น่ะ ไข่ไก่

คุณก้ไปหยิบมาฟองนึง แล้วก้มาบอกว่า "นี่เท่านั้น คือไข่ไก่"


น่ารังเกียจนะ pattern แบบนี้เต็มไปหมดในเว้บธรรมะ
หาเรื่องเอาชนะคะคานกันไปวันๆ
แบบนี้แหละ ธรรมอวยพร เจริญธรรม หยิมๆ ติ๋มๆ ทำพูดภาษาพระ
ปั้นหน้าพระอมิตานะ แต่มือข้างหลังถือมีดอีโต้อยู่
เราเผลอเมื่อไหร่ แอบสับ แอบแขวะ เยอะแยะไปหมด

น่ารังเกียจ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 02 ก.ย. 2009, 15:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
ผมกล่าวถึงการเลิกดูจิตกามาวจรเพราะเกิดแล้วดับไป แล้วให้เปลี่ยนคุณภาพจิตเสียใหม่แทนครับ จิตที่จะเกิดในอนาคตให้เปลี่ยนเป็นลักขณูปณิชฌานจิตครับ

จิตกามาวจรเป็นเหตุของกามาวจรวิบาก เกิดแล้วดับไป
จิตรูปาวจรเป็นเหตุของรูปาวจรวิบากครับ เกิดแล้วดับไป
จิดอรูปาวจรเป็นเหตุของอรูปาวจรวิบากครับ เกิดแล้วดับไป
จิตวิปัสสนาที่ทำลายกิเลสได้สำเร็จเรียกว่าอริยะมัคคจิตครับ อริยะมัคคจิตเป็นเหตุของอริยผลจิตครับ
จิตวิปัสสนาที่ทำลายกิเลสไม่ได้สำเร็จสมบูรณ์เรียกว่าวิปัสสนาจิตตามเดิมครับ เพราะกิเลสสังโยชน์ยังหนาแน่นอยู่ จิตแบบนี้ประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนาเป็นลักขณูปณิชฌาน ไม่ใช่กามาวจรจิต ไม่ใช่รูปาวจรจิต และไม่ใช่อรูปาวจรจิตครับ


หวังว่าบัณฑิตระดับท่านคงเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ


ท่านมหาราชันย์ สมกับเป็นบัณฑิตที่มีถ้อยคำสุภาพ และประกอบด้วยปัญญา
การที่ท่าน กล่าวถึงเรื่อง การทำเหตุ คือทำจิตที่มีคุณภาพใหม่ อันเป็นโลกุตตรจิตเพื่อทำลายกิเลส ซึ่งจะทำได้ไม่สำเร็จสมบูรณ์ ก็เรียกว่า วิปัสสนาจิต ไม่ใช่กามาวจรจิต ไม่ใช่รูปาวจรจิต ไม่ใช่อรูปาวจรจิต

เช่นนั้น ก็จะ่ขอยกธรรมบท ยมกวรรคที่ 1 พร้อมอรรถกถา มายกย่องสิ่งที่ท่านกล่าวไว้ได้ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฏก
ท่านมหาราชันย์ จะอธิบายเพิ่มเติมอย่างไร ก็สะดวกตามอัธยาศัย อันประเสริฐครับ

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จ
แล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่
ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต
๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไป
อยู่ ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐ
ที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม
ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้นเพราะสุจริต ๓ อย่าง
เหมือนเงามีปรกติไปตาม ฉะนั้น

ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้นฉะนี้ เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่น จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า, เพราะเมื่อใจไม่เกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้. ฝ่ายใจ ถึงเจตสิกธรรมบางเหล่าแม้ไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แท้.

เจริญในธรรม เช่นกันครับ


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 05 ก.ย. 2009, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
หวังว่าบัณฑิตระดับท่านคงเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ


แปลไทยเป้นไทยว่า "ถ้าฉลาด จะเข้าใจ"
แปลอีกที แปลว่า "ถ้าโง่ ไม่เข้าใจ"
เป็นวาจาสุภาพแต่ว่าทุจริต
ก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องคอยตบท้ายอย่างนี้

เช่นนั้น เขียน:
ท่านมหาราชันย์ สมกับเป็นบัณฑิตที่มีถ้อยคำสุภาพ และประกอบด้วยปัญญา


นี่ก็อีกอัน ที่เป็นวาจาสุภาพแต่ว่าทุจริตตรงที่ไปยกคนหนึ่งขึ้นเพื่อกดคนหนึ่งลง
ยกใครกดใครก็โตๆกันแล้วๆ ไม่ต้องอมพะนำหน้าบาง

พวกคุณสองคนก็เที่ยวด่าคนเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าด่าด้วยภาษาพระ เอาธรรมะไปกดคน ด่าคน
เป็นวาจาสุภาพแต่ว่าทุจริต
เป้นขนมหวานไส้ยาพิษ

ถึงเวลาไหน ถ้าเอาพระคัมภียร์มาอ้างแล้วชนะประเด็นได้..ก็ทำ
ถึงเวลาไหนเอาทิฐิตัวเองสนองอัตตาตัวเองได้..ก็ซุกคัมภีรย์ไว้ก่อน

ไม่ทราบว่าศึกษาธรรมกันจนเป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิดพระไตรปิฏกกันยังไง
ทำไมเรื่องง่ายๆแค่การจับความรู้สึกก่อนจะพูดอะไรออกไปทำไมมันทำไม่ได้
เผลอแล้วเผลออีก

ด่านะ
ผมด่าผมก้ว่าด่า ตรงๆ

ปล.ผมก็ไม่ได้ดีอะไรหรอกนะ
แต่ว่าไม่ชอบพฤติกรรม ก็พูด ตรงไปตรงมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสเครื่องกังวลใดมีอยู่ในกาลก่อน
เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งหายไป
กิเลสเครื่องกังวลใด จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง
ก็จักเป็นมุนีผู้สงบระงับแล้วเที่ยวไป....ดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การตำหนิวิจารณ์ผู้ใด...ผู้นั้นควรเป็นนักปราชญ์หรือบัณฑิตในเรื่องนั้น...

เช่น..ท่านเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องสมาธิเป็นอย่างดี...เช่น องค์หลวงตามหาบัว

มีประสบการณ์ผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้ทดลองทำผิดทำถูกมากมาย...

การตำหนิหรือวิจารณ์ย่อมจะถูกต้องเป็นธรรม..เพราะออกมาจากปากองค์นักปราชญ์บัณฑิต

อีกทั้งผู้ถูกตำหนิ..ก็ยอมรับในความบกพร่องของตน..อย่างเต็มใจ

แต่ถ้า..ผู้ตำหนิวิจารณ์..เป็นผู้ไม่มีความรู้ในเรื่องสมาธิ ไม่มีประสบการณ์ผ่านขั้นตอนต่างๆ..

ไม่มีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ถูกตำหนิวิจารณ์

ยังทำผิดทำถูก..เอาตัวเองยังไม่รอด..ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

ควรจะพิจารณาตนเอง..ว่าเรา..สมควร..กระทำ..หรือไม่

เป็นฐานะ หรือ อฐานะ

อย่าได้ยกเอาธรรมะ....ที่เป็นของสูง..เป็นฉากหน้า..แล้วหลอกด่าคนอื่น

เจตนา..สำคัญ..ดีหรือชั่ว..รู้อยู่แก่ใจ.


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทโธ เมื่อ 16 ก.ย. 2009, 00:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เครียดเหรอครับ ไปเดินช้อปปิ้งซิ ลำบากนักเลิกดูจิตไปซิครับ ไปดูกายแทน น่าจะง่ายกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิสุทโธ เขียน:
การตำหนิวิจารณ์ผู้ใด...ผู้นั้นควรเป็นนักปราชญ์หรือบัณฑิตในเรื่องนั้น...

เช่น..ท่านเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องสมาธิเป็นอย่างดี...เช่น องค์หลวงตามหาบัว

มีประสบการณ์ผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้ทดลองทำผิดทำถูกมากมาย...

การตำหนิหรือวิจารณ์ย่อมจะถูกต้องเป็นธรรม..เพราะออกมาจากปากองค์นักปราชญ์บัณฑิต

อีกทั้งผู้ถูกตำหนิ..ก็ยอมรับในความบกพร่องของตน..อย่างเต็มใจ

แต่ถ้า..ผู้ตำหนิวิจารณ์..เป็นผู้ไม่มีความรู้ในเรื่องสมาธิ ไม่มีประสบการณ์ผ่านขั้นตอนต่างๆ..

ไม่มีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ถูกตำหนิวิจารณ์

ยังทำผิดทำถูก..เอาตัวเองยังไม่รอด..ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

ควรจะพิจารณาตนเอง..ว่าเรา..สมควร..กระทำ..หรือไม่

เป็นฐานะ หรือ อฐานะ

อย่าได้ยกเอาธรรมะ....ที่เป็นของสูง..เป็นฉากหน้า..แล้วหลอกด่าคนอื่น

เจตนา..สำคัญ..ดีหรือชั่ว..รู้อยู่แก่ใจ.






:b32:

ร่วมวิบากด้วยคน เพราะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ค่ะ smiley
ยกมาแล้ว ต่างคนก็ต่างตีความตามความรู้ที่ตัวเองคิดว่ามีกันอยู่
รู้แค่ไหนก็ตีความได้แค่นั้น
แต่พอให้อธิบายภาษาชาวบ้านกลับ แบ๊ะๆๆ ...
พอให้อธิบายสภาวะล่ะแบ๊ะๆๆ .... รู้จักมั๊ยสภาวะน่ะ ...
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันต้องคู่กัน
ถ้าเข้าใจแล้ว จะไม่มีการมายกตนข่มท่าน มันจะมีแต่เมตตาซึ่งกันและกัน
มายกอีกคนสูง แล้วกดอีกคนต่ำ ด้วยถ้อยคำสุภาพ แต่คอตั้ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร