วันเวลาปัจจุบัน 21 พ.ค. 2025, 02:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๗ กย.

สมิทธ์
ที่พี่แนะนำเมื่อวาน ผมลองวางใจตามนั้น รู้สึกว่าจิตเป็นสมาธิดีมากครับ สติก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีหลุดบ้างก็ปล่อยๆไปครับ

Walai Lo
ค่ะ จิตจะเห็นรายละเอียดต่างๆของสภาวะทุกๆสภาวะชัดมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ แล้วจะได้คำตอบทุกๆคำตอบที่สงสัย โดยไม่ต้องไปถามใครๆ

สมิทธ์
ครับรู้สึกจิตมีความสว่างมากขึ้น มีความรู้ตัวมากขึ้นครับ

Walai Lo
ข้าใจค่ะ จะเป็นไปตามสภาวะเอง เมื่อแค่ดู แค่รู้ ยอมรับไปในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต ถ้ายังไม่ยอมรับ ยังมีการวิพากย์วิจารณ์ สภาวะจะวนๆต่อ

สมิทธ์
ครับผม แต่ก่อนผมไปฝืนมัน

Walai Lo
เข้าใค่ะ เพราะยังไม่รู้จีงไปฝืน ความกลัวไงคะ กลัวจะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ตามที่ได้เคยได้ยินมา เช่น เรื่องการปรามาส ซึ่งเป็นเพียงมานะกิเลส เรื่องปกติมากๆ แต่เพราะไม่รู้ จึงไปฝืน

สมิทธ์
ครับผม ผมกลัวมันจะหลุด จริงๆมันก็หลุดไปแล้ว ตอนนี้พอจะเริ่มเข้าใจสภาวะมากขึ้นแล้วครับ ก็เลยปล่อยมันไป จะคิดก็ให้มันคิด แค่รู้มันก็หยุดไปเอง

Walai Lo
ใช่เลยค่ะ แค่รู้และยอมรับไป ก็ยังมีกิเลสนี่คะ เพียงแต่อย่าหลงสร้างเหตุไปเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

สมิทธ์
ครับผม แต่ก่อนแคสติหลุด ผมก็หงุดหงิดละ ก็มีคนบอกว่า ยังไม่อรหันต์นี่ หลุดไม่เห็นแปลก เลยคิดได้ครับ

Walai Lo
อรหันต์ก็แค่สมมุติค่ะ เพียงยอมรับไปว่า ยังมีกิเลส มันก็จบแล้วค่ะ

สมิทธ์
ครับ ยังไงหรือครับ ก็ยังอีกเยอะครับ กิเลส

Walai Lo
ส่วนมากที่ไปฝืนๆกัน เพราะกลัวจะไม่เห็นสภาวะตามที่มีพูดๆกันมา เรียกว่ามีความอยากแต่ไม่รู้ว่าอยาก ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นในคำเรียกต่่างๆ แม้กระทั่งอรหันต์ก็เช่นกัน

สมิทธ์
จริงๆก็รู้นะครับว่าอยาก แต่อดไม่ได้ครับ

Walai Lo
แค่ยอมไปเท่านั้นเองค่ะ อยากก็ยอมรับว่าอยาก ความคิดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความคิดล้วนเปลี่ยนไปตามผัสสะ บางทีไม่มีผัสสะ มันก็คิดของมันเอง
การยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่นี่ก็ว่ายาก แต่ห้ามการกระทำยากยิ่งกว่า ที่ยากเเพราะไม่รู้ ถ้ารู้แจ้งชัดด้วยตัวเองแล้วจะไม่ยาก

สมิทธ์
แต่จะพยายามปล่อยวางนะครับ คอยดูสภาวะที่เกิดขึ้น บางครั้งมันก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ครับ

Walai Lo
ไม่ต้องไปพยายามทำเพื่อะไรนะคะ แค่รู้ไปบ่อยๆ พอเห็นเดิมๆซ้ำๆจิตจะเบื่อเองสุดท้ายปล่อยวางไปเองค่ะ รู้ชัดด้วยตัวเองเมื่อไหร่ จะบอกกับตัวเองว่า มันมีแค่นี้เองหรือ หลงมาตั้งนาน ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาทั้งสิ้น





สมิทธ์
ครับผม จะพยายามครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


2 Apr 2012



ถึง คุณวิไล



หลังจาก ที่ผมได้อ่าน บล็อค ของคุณ รู้สึกประทับใจและขออนุโมทนา สาธุใน ธรรมทาน ไม่รู้ว่าจะเป็นเหตุที่เคยเกื้อหนุนกันมาหรือไม่ หรือ ว่าความบังเอิญ ที่ทำให้มาเจอสารธรรม แนวทางและต่อยอด ของเดิมที่เคยบวชพระและฝึกปฎิบัติมาที่วัดอัมพวัน

จึงยินดีมากที่ได้มาพบศิษย์ ที่มีความรักและเคารพหลวงพ่อจรัญ เหมือนๆกัน และพยามยาม ที่จะปฎิบัติ เจริญกรรมฐาน มาตลอด เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้


แต่ก็ยังมีกิเลส และความเคยชินของเดิมๆมาตลอดที่ ยังไม่สามารถ ทำให้สงบและยุติลงได้ คือ เรื่อง กามราคะ ที่ทำให้ยึดติดอยู่ เช่น ความเคยชินกับการดูเว็ปลามก หรือ หนังโป๊ และ พวก ชา กาแฟ

ซึ่งสภาวะตรงทีนี้ ยังมีความทุกข์ และอึดอัดมาก เมื่อไม่ได้เสพ ปัจจุบันก็พยายาม ระลึกรู้อยู่ในปัจจุบันขณะ โดยอาศัยกายเพื่อรู้ลงที่ใจ คือไม่รู้ถูกหรือไม่

เพราะแต่ก่อน ไม่เคยมาสะดุดในความคิดตัวเองเลย ปรุงอยู่ตลอด แต่ปัจจุบันหลังจากปฎิบัติมา สองสามปี คิดแล้วก็รู้ แต่บางทีก็ฝืนไม่ไหวต้องตาม

คือทุกครั้งที่มีสภาวะธรรมใดๆเกิดขึ้น มันจะรู้สึกแน่นๆตรงลิ้นปี่ เลยมากำหนดสภาวะทุกข์เวทนาตรงนั้น จนกว่าจะดับไป คืออยู่ กับผู้รู้ แต่บางทีก็ไม่ได้ดูอย่างเดียว ร่วมไปกับมัน คือแพ้ใจตัวเอง

วัฎจักรนี้ก็หมุนเวียนอยู่ตลอด มากบ้างน้อยบ้าง และทางเองโหลดบิตในเน็ท นี้ผิดศีลไหมครับ ขอความชี้แนะด้วยครับ


เรื่องสภาวะความเคยชินเดิมๆไม่มีผลที่จะขัดขวางความก้าวหน้าในเส้นทางนี้ใช่ไหมครับ ข้อถามอีกสักเรื่องครับ

ตัวสัญญา ที่เป็นอดีต ตัวนึกคิดที่เป็นอนาคต ความรู้สึก ระลึกรู้ ในปัจจุบัน ในอริยบทปัจุบัน โดยอาศัยองค์รวมเป็นหลัก อย่างนั่งหนอ เดินหนอ รู้หนอ คิดหนอ แต่ปกติจะใช้ทำนอกรูปแบบมากกว่า

เนื่องจากเวลาที่จะทำในรูปแบบมีไม่มาก แต่จะไม่ขาดการสวดมนต์ และ อิติปิโสเท่าอายุเป็นภาวนา คือ เดี๋ยวนี้สวดมนต์ จิตจะระลึกตามอักขระบทที่สวดเกือบตลอดเลย ชี้แนะด้วยนะครับผม




สวัสดีค่ะ

ชื่อ วลัยพร โลหิตคุปต์ค่ะ

สภาวะที่คุณเป็นอยู่ เรื่องปกติน่ะค่ะ ไม่มีอะไร คุณเพียงทำความเพียรให้ต่อเนื่องเท่านั้นเอง



ขอโทษด้วยนะครับ ที่เขียนชื่อผิด ได้ครับผม

คือส่วนเคยทำหนังสือมาหนึ่งเล่ม เมื่อไปก่อน แต่ส่วนใหญ่คัดลอกมาในเน็ท เขียนเองบางส่วน เนื่องจากรีบทำเพื่อให้ทัน แจกเป็นธรรมทานแก่ญาติธรรมในงานบวชพระเข้าพรรษา ที่วัดอัมพวัน

และได้นำไปมอบพระภิกษุนวกะ บวชเข้าพรรษา จึงได้สอบถามกับ พระอาจารย์สอนกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ว่ายังมีผิดผลาดอยู่ แต่เจตนาก็เพื่อตอบแทนบุญคุณทางวัดอัมพวัน และหลวงพ่อจรัญ

คราวนี้คิดว่าจะทำแจกแก่เพื่อนๆพี่ที่บริษัท และญาติธรรมที่รู้จักกันส่วนตัว และที่สำคัญคือต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็นกุศลบายให้คุณแม่ ได้เข้าเส้นทางธรรม จึงขอความช่วยเหลือจากคุณ วลัยพร ช่วยตรวจเช็คอีกที ขอบพระคุณมากๆครับ สำหรับความช่วยเหลือ

เรื่องสภาวะความเคยชินเดิมๆไม่มีผลที่จะขัดขวางความก้าวหน้าในเส้นทางนี้ใช่ไหมครับ ข้อถามอีกสักเรื่องครับ ตัวสัญญา ที่เป็นอดีต ตัวนึกคิดที่เป็นอนาคต ความรู้สึก ระลึกรู้ ในปัจจุบัน ในอริยบทปัจุบัน

โดยอาศัยองค์รวมเป็นหลัก อย่างนั่งหนอ เดินหนอ รู้หนอ คิดหนอ แต่ปกติจะใช้ทำนอกรูปแบบมากกว่า เนื่องจากเวลาที่จะทำในรูปแบบมีไม่มาก

แต่จะไม่ขาดการสวดมนต์ และ อิติปิโสเท่าอายุเป็นภาวนา คือ เดี๋ยวนี้สวดมนต์ จิตจะระลึกตามอักขระบทที่สวดเกือบตลอดเลย ชี้แนะด้วยนะครับผม



ด้วยความเคารพอย่างสูง


ทำแล้วถนัด ทำแล้วสะดวก ทำต่อไปค่ะ ทุกๆสภาวะ ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทำต่อเนื่องไปค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 20 ก.ค. 2012, 09:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


5/4/2555



ถึงคุณ วลัยพร



ขอบคุณมากๆครับ ที่แรกว่าจะขอคำแนะนำ สภาวะ อริยสัจสี่ จากคุณ และ อุบายวิธิปฎิบัติ เพิ่มเติมจากคุณ แต่เห็นคุณลงทุกข์ ในอริยสัจ และแนวทางการปฎิบัติ

บางที่ผมก็หลงไปในชื่นชมในอริยะสมบัติของบุคคลอื่นบ้างในบางขณะ อาจเพราะความไม่รู้ แต่ก็พยายามปฎิบัติ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสมดุลย์ และเสริมกำลังของสมาธิให้มีฐานที่ตั่งมั่นเพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ ที่เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ

ไม่รู้ว่าวิธีที่ปฎิบัติอยู่นี้ตรงไหนยังมีผิดพลาดอยู่ขอคำแนะนำด้วยนะครับ คือเอาลงไว้ในหนังสือ ที่กำลังจะจัดทำเพื่อเกิดความสมบูรณ์และการเข้าใจผิด

ส่วนตัวผมคิดว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในอภิธรรม นี้สำคัญมากๆ เพื่อเทียบเคียงกันกับ สภาวะจิตที่ถูกต้องว่า กุศล หรือ อกุศล

ถ้า ยังไม่มีสัมมาทิฎฐิแล้ว ผมว่าการนั่งสมาธิที่จะถูกต้องตามแนวทางนั้นมีโอกาสหลงทางสูง ถ้าไม่รู้จุดหมาย ว่า สมาธิ สติ และ สัปปชัญญะ นั้นคืออะไร ปฎิบัติไปเพื่ออะไร ทำไมต้องนั่งหลับตาเข้าสมาธิ ถ้าขาดการศึกษาแล้ว นั้นอาจเป็นโมหะนะครับ ความคิดส่วนตัวนะครับ



แค่รู้ไปค่ะ รู้สึกนึกคิดอะไร รู้ไปตามนั้น จิตอยากคิดอะไร ปล่อยให้คิดไป มโนกรรม ห้ามไม่ได้ พยายามอย่าสร้างเหตุนอกตัว(กายกรรม วจีกรรม) ปฏิบัติต่อเนื่อง ตามสัปปายะของตัวเอง คือ ต้องทำทุกวัน นอกนั้น ไม่มีอะไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนคุณ noy_walai@hotmail.com



อ่านโพสต์ของคุณแล้วเห็นว่าตอบตรงกับการปฏิบัติจริงหลายส่วน ขออนุโมทนาในธรรมทานนั้นๆครับ



http://walailoo2010.wordpress.com/




ขอเล่าประสบการณ์เล็กน้อยเพื่อขอให้ช่วยพิจารณา ถ้าคุณจะแนะนำการปฏิบัติให้บ้างก็ยินดีครับ ตอนนี้ผมอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้แยกแยะ เทียบกับประสบการณ์เดิมที่เคยปฏิบัติแล้ว ได้สัมมาทิฏฐิมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การปฏิบัติกลับถอยหลังไปไม่ถึงไหน




พ่อฝึกให้ผมนั่งสมาธิตั้งแต่ 8 ขวบ พ่อก็ไม่ได้เก่งนะครับ หนักไปทางศรัทธามากกว่า ทำตามพระสอนทางวิทยุ จิตรวมบ้างเล็กน้อยก็พิจารณา เกศา โลมาไปตามพระสอน ผมตั้งใจบ้างเหลวไหลบ้าง ทำไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ไม่ชัดเจนครับ




มาชัดตอนอายุ 14 ช่วงปิดเทอม ตัดกังวลได้เยอะ ทำงานช่วยพ่อกรีดยาง เก็บน้ำยาง รีดแผ่นยาง แต่ละวันทานน้อย กินเพื่ออยู่ วันๆพูดแค่ไม่กี่คำ นอนกระท่อมในสวนยาง ปูฟากไม้ไผ่ พบปะคนแค่วันละสองสามคน งานก็เสร็จไปวันต่อวัน ไม่มีงานที่ตกค้างหรือต้องวางแผนล่วงหน้าเลย เรื่องทางโลกมันโปร่งโล่งไปหมด




ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย




ถึงเวลานอนก็สวดมนต์ก่อนแล้วนั่งสมาธิตามปกติ ท่องๆไปพุทโธหาย ก็พิจารณาลมไปลมก็เริ่มหายอีกตามที่พ่อสอนคือ เจออะไรก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ทำจิตให้ว่างตามที่พ่อสอน

การละความคิดในชั้นนี้ครั้งก่อนๆคิดว่ามันคือการไม่คิด แต่การคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่คิดอีก มันก็เป็นความคิดอยู่ดีจึงกลายเป็นวนอยู่ในความคิด ได้บ้างไม่ได้บ้างมาหลายปี

มาตอนนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ต้องยึดกับลมอย่างเดียว ตัวไหนมาแรงชัดเจนก็ดูตัวนั้นพิจารณามันเสียเลย ถ้ามาเป็นภาพก็ดูภาพ ถ้ามาเป็นเสียงก็ดูเสียง ดูจนมันรู้สิ้นสงสัยแล้วมันก็หายไปเอง ผุดขึ้นมาอีกก็ดูอีก ดูจนสมองเหนื่อยที่จะคิด ถ้าไม่เหลืออะไรให้ดูก็กลับไปจับลมหายใจต่อ ดูจนสุดท้ายหายไปหมดไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง




พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย




เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง




เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




ตอนที่ได้ฌาณนั้นแทบไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร ไม่ได้กำหนดคาดเดาล่วงหน้า เพราะอายุแค่ 14 เรื่องปริยัติไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะจำได้เล็กน้อยผิดบ้างถูกบ้างแค่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ยังสงสัยว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยะหรือเปล่า

มาเทียบอารมณ์เอาทีหลัง จึงได้รู้ว่าเป็นอารมณ์ฌาณและยกขึ้นวิปัสสนาได้ด้วย เพียงแต่พิจารณาสุดโต่งเกินไปอีกด้านหนึ่ง

จากที่อาหารรสชาติธรรมดาๆ ทานไปแค่ไม่ไปยึดติดในรสชาติก็จบ แต่กลับปฏิเสธรสชาติของอาหาร มองเงินว่าไร้ค่าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย แต่ที่เรียกพ่อว่าน้องชายนั้น น่าจะตรงตามภูมิ เพราะได้ฌาณจึงนำหน้าพ่อไปก่อนก้าวหนึ่ง

ที่เห็นผลมากที่สุดคือ ในเมื่อ รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่ เรื่องแบบนี้ถ้าบอกคนที่ไม่ศรัทธา ไม่เคยได้ฌาณ บอกไปก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่




เมื่อปีที่แล้วไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร

พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ปีตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจิตเสื่อมลง หรือ สภาวธรรมปรากฏกันแน่ เพราะความทุกข์น้อยลงกว่าก่อนบวช เหมือนเรื่องอื่นๆที่ควรทำมันมีน้อยลง มีแต่เรื่องทานศีลสติสมาธิ ที่ต้องทำให้เพิ่มขึ้น เรื่องทางโลกยังมีกังวลบ้าง ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ


ขอบคุณครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


22/5/2555


ถึง คุณ วลัยพร


รบกวนถามหน่อยครับ เวลาที่ยังมีการกระเพื่อมที่จิต ในอารมณ์ที่ชอบและเคยชินนั้น แต่ก็รู้ก่อนทุกๆครั้งที่เกิดนั้น แล้วไม่สามารถยับยั้งความเคยชินเดิมๆลงได้ นั้นเพราะกำลังสมาธิในรูปแบบนั้นน้อยไปใช่ไหมครับ

เพราะปัจจุบันที่เดิน ก็พยายามระลึกมาที่เท้า และเวลาเพลอคิดก็ระลึกรู้ในความคิดนั้นๆ


ตอบ แค่รู้ไปค่ะ สภาวะนั้น ไม่เที่ยง วันนี้เป็นแบบนี้ ต่อไป เปลี่ยนไปอีก มีหน้าที่ คือ เรียนรู้สภาวะไปค่ะ




และเรื่องงดอาหารเพื่อเย็นเพื่อลดความกำเริบของกามราคะนี้ช่วยได้เยอะไหมครับ


ตอบ แล้วแต่ค่ะ ไม่แน่เสมอไป หากคุณทำเพราะความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆในบัญญัติ ถ้าไม่ได้ดั่งใจ คนที่ทุกข์ก็คือคุณ

ที่สำคัญ คู่ครองของคุณ ทำแล้วเบียดเบียน นั่นก็เหตุอีก

คุณไม่ต้องไปพยายาม ลด ละ เลิกอะไรหรอก จิตรู้สึกนึกคิดอะไร แค่รู้ไป เพราะ มันไม่เที่ยง ความคิดมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา

ถ้าจะเลิก มีเหตุให้ต้องเลิกเองค่ะ ดดยไม่ต้องไปพยายามคิด ที่จะลิกแต่อย่างใด

อย่างที่บอกกับคุณเสมอๆว่า หยุดสร้างเหตุนอกตัว แค่รู้ไป ทำต่อเนื่อง มันมีแค่นี้แหละค่ะ แล้วทุกอย่าง คุรจะได้คำตอบ ด้วยตัวเอง





แต่สิ่งที่ประสบปัญหามากๆตรงบางทีเราหยุดที่จะพูดไม่ได้เมื่อต้องอยู่กับสังคมที่เขาคุยกัน เช่น นินทากัน รู้สึกเบื่อมาก


ตอบ เรื่องปกติค่ะ แค่รู้ไป



ทุกๆสภาวะที่เกิดมีประโยชน์มีแต่ได้กับได้ถ้าเราน้อมมาพิจารณาลงที่ใจเราตามความเป็นจริง

ผมคิดในใจเสมอว่าปัจจุบันนี้ในโลกที่เต็มไปด้วยดวามไม่รู้นั้น มันน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเราขาดการสนใจที่จะใส่ใจในการเจริญสติ ย่อมหาความสงบไม่ได้เลย ในโลกที่เต็มไปด้วยความคิด

ผมคิดว่า blog คุณมีประโยชน์มากๆสำหรับคนที่ต้องการจะพ้นทุกข์จริงๆ ขอชื่นชมจากใจจริงครับในธรรมทานทุกๆบท ที่อธิบายสภาวะได้กระจ่างมากๆ ถ้าเมล์ไหนเป็นการรบกวนด้วยขอโทษด้วยนะครับ


ตอบ เป็นเพียงเหตุของแต่ละคนค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๘/๕/๒๕๕๕


อายุ 29 ครับ แต่ก่อนสนใจแต่พระเครื่อง แล้วก็อยู่ในวงการพระเครื่องมาพอสมควรเลยคิดว่าเป็นแค่เครื่องระลึกให้ตั่งอยู่ในความดี เป็นเปลือกไม่ใช่แก่น แต่ไม่ใช่หนทางเพื่อความพ้นทุกข์

และก็เริ่มฟังซีดีหลวงพ่อ จึงเกิดศรัทธา และต้องการฝึกปฎิบัติ และหลังจากที่ เริ่มปฎิบัติและได้บวชที่วัดอัมพวัน

เลยเข้าใจว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนั้นก็ต้องมีการกระทบทั้งนั้น อยู่ที่ไหนก็มีทุกข์ ตัวเราเองเป็นต้นเหตุให้พบและเจอสิ่งดีหรือไม่ดีก็เพราะตัวเราสร้างเหตุมาเอง

ก็พยายามจะฝึกปฎิบัติอย่างต่อเนื่องๆครับ และศึกษาเพื่อละเหตุแห่งทุกข์ให้มากขึ้น แรกๆรู้สึกโดดเดี่ยวมากเหมือนการทวนกระแสโลกเพราะสิ่งแวดล้อมจากการงาน และคนรอบตัวนั้นไม่มีคนปฎิบัติเลย

แรกๆคิดเสมอว่าการให้ธรรมทานนั้นเป็นสิ่งดีเลยพยายามแต่จะให้กับทุกๆคนแต่เหตุที่สะท้อนกลับมานั้นก็มีทั้งดีแต่บางคนก็รู้สึกทำให้เรารู้สึกท้อแท้และคิดว่าคงเป็นความอยากจากอัตตาตัวเอง

และบางทีก็รู้สึกว่าเราเป็นต้นเหตุให้เขารู้สึกปรามาสสำหรับคนที่เขาไม่ศรัทธา แต่ก็คิดเสมอๆว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก็เป็นการสร้างเหตุใหม่ของตัวเองจริงๆ ให้วนเวียนวนเวียนอยู่อย่างนี้ ดีก็ย้อนมา ไม่ดีก็ย้อนมา

แต่บางทีก็รู้สึกว่าได้เรียนรู้ทั้งคู่ ไว้เป็นบทเรียนที่มีค่าให้เราคิดไตร่ตรองได้มากขึ้น และไม่ต้องการกลับมาทุกข์ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และความอยากนานาๆประการที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งนั้น

ขอบคุณมากๆนะครับที่เป็นกัลยาณมิตรผู้ชี้ทางและเพื่อนร่วมเดินทาง ขอถามหน่อยนะครับ ตอนนี้ปฎิบัติเพื่อฝึกธาตุรู้ ให้มากนะๆครับ เมื่อหลง ก็ดึงกลับมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู

แต่บางสภาวะก็เหนื่อยและหนัก อาจจะเป็นพฤติกรรมที่เคยชินแล้วฝืน แต่ก็พยายามมัสติให้สืบเนื่องจนตั่งมั่นให้ถึงฐาน

แต่คิดว่าสมาธิในรูปแบบน้อยไปกำลังเลยไม่พอ แต่ก็รู้ตัวอยู่ แต่ตัวละอายต่อบาปนี้มีอยู่ครับ ผมคิดว่าการศึกษา และการมีความเข้าใจให้ตรงและถูกต้องนั้นสำคัญ และเป้าหมายที่วางนั้นก็สำคัญ

เพราะถ้าเดินผิดแล้วก็หลงทางไปไกลเลย เลยคิดว่าขอบพระคุณมากๆครับสำหรับความกรุณาชี้แนะแนวทางเพื่อการเกิดที่ถูกต้องและไม่ให้หลงทาง



ตอบ เพียงปฏิบัติต่อเนื่องไป ตามอ่านในบล็อกที่เขียนไว้เรื่อยๆ แล้วคุณจะเข้าใจในสภาวะต่างๆมากขึ้น กิจใด ทำด้วยใจทะยานอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากด้านไหนๆก็ตาม ย่อมประสพแต่ทุกข์เนืองๆ

เพราะการฝึกจิต ต้องการฝึกเพื่อปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระจากกิเลส แต่ไปกดข่มกิเลสเอาไว้ แล้วจิตจะเป็นอิสระได้อย่างไร


มโนกรรม เป็นสิ่งที่ควรรู้ เพราะนั่นคือ สภาวะกิเลสที่ยังมีอยู่ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร กับการยอมรับในสิ่งที่มีอยู่และยังเป็นอยู่ เพียงยอมรับไป มันก็จบเท่านั้นเอง ใจมันก็ไม่ดิ้น เพราะไม่ได้ไปบีบบังคับ

การกระทำ เป็นสิ่งที่ควรละ

&n bsp;
แล้วจะโทรฯไปหานะคะ ที่ต้องขอเบอร์โทรฯ เพราะสภาวะ ไม่ใช่เรื่องการน้อมเอา คิดเอาเอง จะเจอแต่กิเลสของตัวเอง มากกว่าที่จะรู้เห็น ตามความเป็นจริง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๙/๔/๒๕๕๕

ขอบคุณนะครับ แนะนำได้เต็มที่เลยนะครับพี่ ตอนนี้ที่ควรทำคือ พยายามมีสติรู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ใจที่คิดนึกเนืองๆใช่ไหมครับ

สิ่งใดที่เคยมีอยู่ก็ยอมรับไปตามความเป็นจริง ให้วางใจยอมรับในสิ่งที่มี และยึดมั่นอยู่ คือวางใจเป็นกลางใช่ไหมครับ และเพียรสร้างเหตุแห่งสติเนืองๆใช่ไหมครับ


ตอบ แค่รู้ไปค่ะ ทำต่อเนื่อง แล้วจะได้คำตอบเอง



ขอบคุณมากๆนะครับ สำหรับความกรุณา ยินดีรับทุกๆคำชี้แนะแนวทาง ถ้าเรา เอาตัวรู้ ฝึก อยู่กับการรู้เท่ารู้ทัน ดึงกลับมาอยู่บ่อยๆ คือ เช่น แน่นอก แน่นใจ ก็เป็นสภาวะที่เห็นอาการได้ชัดมาก คือ เปลี่ยนหลง เป็น รู้ เปลี่ยน คิด เป็น เห็น ฝึกบ่อยๆแบบนี้ใช่ไหมครับ



๓๐/๕/๒๕๕๕

ถ้าตรงไหนที่เข้าใจผิดผลาด ช่วยแนะนำด้วยนะครับพี่ ที่ว่า ตัวรู้ คือ รู้ตัว ให้บ่อยๆ จนมี สมาธิที่เป็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความเคยชินใช่ไหมครับ ในการฝึกจิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๓๑/๕/๒๕๕๕

เมื่อนึกคิดสิ่งใดๆ แล้ว เพียงแค่รู้และยอมรับ ไม่ปล่อยสู่การกระทำเดิมๆใช่ไหม

ถามตรงๆนะครับ พี่ พวกการดูหนัง หรือ ภาพที่เป็นไปเพื่อกระตุ้นอารมณ์ กามราคะนั้นควรหลีกเลี่ยงไหม

ติด กาแฟ นี้ควรลด ละ เลิกไหม จะมีผลต่อความก้าวหน้าในปฎิบัติไหมครับพี่ ตรงนี้ข้องใจอยู่ครับ




แค่รู้




แค่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายนอก(สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต)และภายใน(ความรู้สึกนึกคิด)

ยอมรับไปตามนั้นว่ายังมีอยู่ ยังเป็นอยู่ เพราะเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังมีกิเลส

ไม่ต้องไปกดข่มอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่เกิดขึ้น ปล่อยจิตให้เป็นอิสระจากตัวตน(อุปทาน)ที่มีอยู่ ที่ ต้องทั้งกดและข่มเอาไว้ คือ การกระทำ อย่าสร้างเหตุออกไปตามความรู้สึกยินดี ยินร้ายหรือแรงผลักดันของกิเลสต่างๆที่เกิดขึ้น ณขณะนั้นๆ



การปฏิบัติทำมาก ทำน้อยไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ ความต่อเนื่อง ทำทุกวัน ทำเท่าที่ทำได้ ทำตามความสะดวก ทำตามความถนัด ทำแล้วสุข ทำแล้วทุกข์ ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น มีรูปแบบหรือไม่มีก็ได้

อยากทำตอนไหนก็ทำ ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว เพราะเหตุของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน สภาวะที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย

ทำ สมาธิให้ชำนาญ สมาธิเป็นอาหารของจิต ไม่ต้องไปสนใจในคำเรียกต่างๆ ไม่ว่าจะฌาน มิจฉาสมาธิหรือสัมมาสมาธิ เรียกง่ายๆว่า สมาธิแค่นั้นพอ


ทำจนรู้ชัดในอาการของจิตขณะกำลังจะเกิดเป็นสมาธิ รู้ได้อย่างนั้น จึงค่อยมาปรับอินรีย์ระหว่างสมาธิกับสติให้เกิดความสมดุลย์


นิมิต ต่างๆ ภาพ แสง สี เสียง กลิ่น เกิดอะไร รู้ไปตามนั้น อย่านำความมีตัวตนที่มีอยู่ใส่ลงไป เพราะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัย สงสัยสักแต่ว่าสงสัย ยอมรับไปตามนั้น



ส่วนจะเพ่งหรือไม่เพ่ง หรือรู้สึกนึกคิดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น(อาการ) รู้ไปตามนั้น เพราะเป็นเรื่องของสภาวะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา สักแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง รู้บ่อยๆไปแบบนี้ จิตจะปล่อยวางลงไปเอง จะแค่รู้มากขึ้น


ไม่ว่าจะเพ่งหรือนิวรณ์ต่างๆไม่ได้เป็นตัวปิดกั้นสภาวะ ไม่ได้ทำให้จิตไม่เป็นสมาธิหรือ ไม่ได้ทำให้เห็นตามความเป็นจริง

ตัวที่ปิดกั้นสภาวะไม่ให้เห็นตามความเป็นจริงหรือทำให้จิตไม่ตั้งมั่น คือ ความทะยานอยากต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต



สิ่ง ต่างๆที่ปรากฏอยู่ ที่เป็นสื่อในคำสอน แม้กระทั่งคำแนะนำ เป็นเพียงสภาวะของบุคคลนั้นหรือท่านนั้น รู้แบบไหน ย่อมนำมาอธิบายแบบนั้น

เมื่อได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษาตำราหรือแนวทางต่างๆ รู้ได้ อย่ายึด เพราะนั่นคือสภาวะของผู้อื่น ไม่ใช่สภาวะของตัวเอง เป็นเพียงเหตุหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก อาจจะมีเหมือนหรือคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันบ้าง เป็นเรื่องปกติ



ถ้า ใจอยากยึด ยึดได้หากอยากจะยึด ยอมรับไปตามนั้น เหตุมี ผลย่อมมี เชื่อกันก็เพราะเหตุ ไม่เชื่อกันก็เพราะเหตุ อย่านำเหตุของความยึดไปสร้างวิวาทะเท่านั้นพอ


ทุกๆสภาวะหรือสิ่ง ที่เกิดขึ้น คือ ครูมาสอน เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว วันนี้อาจจะเห็นประโยชน์บ้าง หรือยังไม่เห็นประโยชน์ อาจจะคลุมเครือ วันหน้าย่อมเห็นประโยชน์อย่างชัดเจนแน่นอน



รู้จริงหรือไม่จริง ให้ดูการกระทำ


รู้จริงมีแต่หยุด หยุดสร้างเหตุภายนอก รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ

รู้ไม่จริง มีแต่การสร้างเหตุ





เมื่อนึกคิดสิ่งใดๆ แล้ว เพียงแค่รู้และยอมรับ ไม่ปล่อยสู่การกระทำเดิมๆใช่ไหม

ถามตรงๆนะครับ พี่ พวกการดูหนัง หรือ ภาพที่เป็นไปเพื่อกระตุ้นอารมณ์ กามราคะนั้นควรหลีกเลี่ยงไหม

ติด กาแฟ นี้ควรลด ละ เลิกไหม จะมีผลต่อความก้าวหน้าในปฎิบัติไหมครับพี่ ตรงนี้ข้องใจอยู่ครับ


ตอบ เคยบอกไปแล้วนี่ ไม่ได้มีการห้ามกระทำใดๆทั้งสิ้น เพราะ เมื่อปฏิบัติต่อเนื่อง แค่รู้ แค่ดู ตามความเป็นจริง ไม่สร้างเหตุนอกตัว

เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม สิ่งต่างๆที่คิดพยายามเลิก ถึงเวลา เลิกเอง คือ มีเหตุให้ต้องเลิก โดยไม่ต้องไปพยายามเลิกเลย บัญญัติต่างๆน่ะ วางลงไปเสียบ้าง

แต่ถ้าความอยากเป็น เป็นเหตุให้เกิดความเพียร ก็ให้รู้ว่าอยาก เท่านั้นแหละค่ะ ไม่ต้องไปกด ไปข่มอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติมากๆ แค่รู้และยอมรับไปเท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๑/๖/๒๕๕๕



พี่ครับ วันนี้พาแม่ไปทำบุญที่วัดอัมพวัน มาก็เลยมีโอกาสพาพระอาจารย์ ที่วัดไปซื้อของที่ตัวเมือง และทำบุญกับหลวงพ่อ ก็เลยได้สนทนาธรรมกัน ท่าน บอกว่า แค่ รู้ แค่ดู ไป เดี๋ยวก็เคยชิน

ท่านบอกว่า พวกกาแฟ ก็เหมือนบุหรี่ คือ เป็นของหยาบไม่ได้ติดมาตั้งแต่เกิด เลยได้แง่คิด การบรรลุนั้น ที่ว่าเดินรอยเดียวกัน ไม่ซ้ำรอยกัน พระอริยะท่านบรรลุได้หลายแบบ เน้นสติอย่างเดียวก็มี

ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่า ที่ว่าสุขวิปัสโก ท่านก็เคยบอกว่าเอาตัวเราเองก่อน คนอื่นอย่าเพิ่ง ครับ เพราะทุกข์จากเรื่องนี้ยังวนเวียนอยู่เพราะเราฝืนเอง อนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับพี่

ที่เราไปกดข่มจิตนั้น เมื่อเกิดความคิดที่ชินอยู่กับสิ่งเดิมๆนั้น ให้เอาสติมารู้ที่ฐานกายเอาไว้ใช่ไหมครับ ขอบคุณพี่มากๆนะครับทุกครับ เมื่อเห็นความเป็นจริงมากๆว่าไม่เที่ยงก็ จะคลายความยึดมั่นถือมั่นๆไปเองใช่ไหมครับ



ตอบ อ่านหนังสือพุทธลีลามหาปัญญา ที่คุณแนบมาแล้ว เพียงจะบอกว่า



แล้วแต่เหตุที่ทำมา แนวทางของแต่ละคนจึงแตกต่างไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใส่สำทับลงไป ล้วนเป็นเพียงบัญญัติ อยากใส่ก็ใส่ลงไป เป็นเรื่องปกติของอุปทานที่ยังมีอยู่

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หยุดสร้างเหตุเท่านั้นเอง นอกนั้นให้แค่รู้ไป เพราะมันเป็นเพียงสภาวะของสัญญา

ถ้าเป็นสัญญา รู้แล้ว ยังมีการสร้างเหตุอยู่ ทางกายกรรมบ้าง วจีกรรมบ้าง ตามความรู้สึกยินดี ยินร้าย ที่เกิดจากเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ถ้าเป็นสภาวะปัญญา รู้แล้วจะหยุด หยุดการสร้างเหตุทั้งปวง มันมีแค่นี้เอง


สิ่งที่คุณถามมา คุณก็กระทำเดิมๆแบบทุกวันนี่แหละ ยังทำงานอยู่ก็ทำงานไป ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ หากยังมีอู้ มีแอบ มีหลบ ยอมรับไปตามนั้น

เวลาผลมาแสดง ในเหตุที่คุณทำไว้ สภาวะจะเป็นตัวบีบบังคับสภาวะหรือการกระทำต่างๆของคุณที่เป็นอยู่ ให้เข้าที่เข้าทางเอง


เวลาผัสสะเกิด คุณมีหน้าที่เพียง แค่รู้ แต่อย่าสร้างเหตุออกไป


ส่วนการปฏิบัติ ที่ว่าเต็มรูปแบบนั้น จะทำได้มากหรือน้อยแค่ไหน ไม่ต้องไปกังวล เพราะเหตุสร้างมาไม่เหมือนกัน เจอทุกข์มากๆ คุณจะทำได้เองแหละ

เจอสุขๆมากๆ ก็อย่าเหลิง เพราะทุกๆสภาวะมาสอนความไม่เที่ยงตลอดเวลา โลกธรรม ๘ ไง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๕/๖/๒๕๕๕


เวลาเกิดผัสสะ ปัจจุบันก็เริ่มดึงกลับมารู้ที่ฐานกายมากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มออโต้แล้วครับ เหมือนมันเคยชินที่จะมาเข้าฐาน ครับพี่


พี่ครับ ตอนนี้ก็พยายาม มาดูอยู่ที่ฐานกาย ให้มากที่สุด จนกว่าจะชิน เพราะ ใจมันคอยจะเบียดเบียนกาย กายมันก็คอยจะเบียดเบียนใจ หมุนวน เป็น ผล และ ก็เหตุ

ความคิดเป็นตัวที่จะนำ การกระทำเป็นตัวตาม สติมันไม่ทัน สมาธิไม่มากพอ เสร็จทุกที ก็เริ่มตั่งใหม่ ขอบคุณพี่มากๆนะครับ สำหรับคำแนะนำ และกัลยณมิตร ร่วมเดินทาง เพราะที่พี่เขี่ยนเส้นทางนี้ ต้องการกำลังใจที่จะก้าวต่อไป


สุดท้ายมันอยู่ที่ตัวเรา ที่จะเอาชนะใจตัวเองได้ไหม บางคำถาม เช่น เรื่อง กาแฟ และ หนังโป๊ บางอย่างก็ไม่รู้ไป วิตกเกินไปไหม กลัวจะเป็น สีลัพพตปรามาส เลยอยากใหพี่ชี้แนะให้ครับ


ตอบ สีลัพพตปรามาส คือ การลูบคลำศิล เช่น คุณสมาทานศิล ตั้งใจถือศิลอย่างเคร่งครัด ด้วยหวัง มรรค ผล นิพพาน แต่ยังไม่หยุดสร้างเหตุนอกตัว แบบนี้ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส


ไม่ต้องสมาทาน แค่ดู แค่รู้ โยนิโสมนสิการ หยุดสร้างเหตุนอกตัว นี่แหละ สภาวะของ ปกติศิล หรือ ศิล ที่แปลว่า ปกติ


ขึ้นชื่อว่า ศิล ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจสมาทาน จะเสียสัจจะเปล่าๆ เมื่อเสียสัจจะบ่อยๆ ทำอะไรก็โลเล ผลเสียตามมามันเยอะ

แต่ถ้าอยากจะลอง ก็ตามสะดวก บอกแล้ว ไม่มีกฏเกณฑ์ หรือ ข้อห้ามใดๆตายตัว แล้วแต่เหตุน่ะ ถ้ายังมีเหตุ ย่อมมีผล เรื่องปกติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๖/๖/๒๕๕๕

ความลังเลสงสัย ที่มาจากตนเป็นคนให้ค่า‏


วันนี้หลังจากที่คุยกับพี่ รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความลังเลสงสัยออกไป ที่พี่ว่า เป็นผู้รู้ ผู้ดู อยู่กับกายและใจ ของตนเอง เหตุของใครของย่อมเป็นของคนๆนั้น

เราทำเต็มที่เพียงชี้ทาง เมื่อเขาพร้อมที่จะเดิน แต่อย่าไปกำหนดทางเดินของเขา ความคิดห้ามไม่ได้ แต่พยายามอย่า ปล่อยการกระทำ สู่ทาง กาย และวาจา

ศีลทั้งหลาย นั้น มีจุดประสงค์ เพื่อ รักษาตนเอง จากผัสสะ เพื่อละเหตุแห่งทุกข์ ของตน ที่เกิดจาก การเบียดเบียน กายและใจ ผู้อื่น โดยเจตนา ใช่ไหมครับ

ตอนนี้ก็ทำความเพียรต่อไป และ ยอมรับกิเลสที่ยังมีอยู่จากการกระทบ ตามความเป็นจริงใช่ไหมครับ



จาก บล็อค



วิจิกิจฉา

วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ได้แก่ผู้มีความสงสัยต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม เรียกว่า ทั้งภายนอกกายและภายในกาย

ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น คือ จะชอบกล่าวโทษนอกตัวเนืองๆ ชอบกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น จึงทำให้เป็นเช่นนี้ สภาวะที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดา สำเร็จด้วยความคิด หาใช่สภาวะการเห็นตามความเป็นจริงไม่

เมื่อยังไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ ย่อมยังชอบกล่าวโทษนอกตัว เมื่อยังมีการกล่าวโทษนอกตัวอยู่ นั่นคือ ยังเป็นผู้ที่มีความสงสัยอยู่

การละวิจิกิจฉา มีตั้งแต่สภาวะหยาบๆจนกระทั่งละเอียด





เหตุแห่งทุกข์

มีผู้คนอีกมากมายที่มีความทุกข์ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปของทุกข์ หรือเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่าทุกข์นั้นๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองนั้น เกิดจากอะไร


เพราะเมื่อยังมีความไม่รู้ มีกิเลสครอบงำอยู่ ปิดบังดวงจิตให้มืดบอด เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ จึงเป็นเหตุให้หลงก่อเหตุแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้นเนืองๆ นี่แหละความไม่รู้เพียงตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนเราต้องมาทุกข์ตลอดทั้งชีวิต


บางทีทุกข์แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ เพราะอุปทานหลงให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆว่านั่นคือ สุข เลยหลงหนักไปอีกว่า ทำแบบนี้ ทำแบบนั้นแล้วทำให้เกิดสุข ซึ่งโดยตามความเป็นจริงแล้วคือ กำลังสร้างเหตุแห่งทุกข์ขึ้นมาใหม่


เมื่อรู้แล้ว อาจจะรู้ด้วยเหตุของการฟัง การอ่าน การคิด การภาวนา จะรู้มากหรือน้อย ย่อมพยายามที่จะไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป หยุดสร้างเหตุทั้งปวงที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปหยุดที่คนอื่นๆ


เหตุของคนอื่นๆ เราไม่อาจจะไปหยุดให้ได้ เหตุของใคร นั่นของคนนั้นๆ เขาต้องหยุดด้วยตัวของเขาเอง ไม่วันนี้ หรือ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆก็ตาม


สักวันเมื่อทุกคนเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ คือ ตัวของตัวเองนี่แหละที่สร้างขึ้นมาเองทั้งหมด เขาย่อมหยุดที่จะสร้างเหตุทั้งปวงด้วยตัวเองได้ และไม่คิดจะสร้างเหตุใหม่อีกต่อไป

เหตุที่ยังก่อให้เกิดเหตุใหม่อยู่เนืองๆ ล้วนเกิดจากความคาดเดาตามอุปทานที่มีอยู่มากน้อยแตกต่างกันไป ตามเหตุที่ทำมาและในปัจจุบันที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่



ตอบ ยังไม่ต้องไปคิด ชี้แนะใครเขาหรอก กิเลสน่ะ ตราบใดที่ยังมีกิเลส อย่าไปเอาทุกข์เข้าหาตัวเอง โดยใช่เหตุ

แต่ถ้าอยากลอง เพื่อรู้ผล ก็ลองดู



พี่ครับ ที่ว่าให้ไปอ่านบล็อกเก่าๆ ดู เริ่มตั้งแต่ ปีอะไรครับ 2010 ใช่ไหมครับ ถ้าบางทีโทรไปตอนพี่ยุ่งอยู่ข้อโทษด้วยนะครับ ผมเข้างานกะดึกนะครับ ทำงาน เป็นกะนะครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๘/๖/๒๕๕๕

ขอบคุณพี่มากๆครับในความกรุณา‏


ขอบคุณพี่มากๆครับ ที่ให้แนวทาง ที่ให้ปล่อยจิตให้เป็นอิสระ มันไม่วางก็รู้ว่ามันยังยึดอยู่ มันวางก็รู้ว่ามันวาง มีกามราคะก็รู้ ไม่มีก็รู้ไปตามนั้น ยอมรับตามความเป็นจริง ทุกๆสิ่งล้วนมีค่าเสมอกันที่ความไม่เที่ยงแท้และแน่นอน

ที่ว่าเราทำมาในอดีต ล้วนหลงเล่นในตัวตนที่มันไม่มีอยู่จริง เอาลมที่ผ่านมาแล้วสร้างเป็นมรสุมร้ายภายในใจ หลงผิดไป ทั้งนั้น ที่ว่าไปว่าเขา โกรธเขา เราก็ทำร้ายตัวเองแท้ๆ มันเป็นกระแสของเหตุและผลทั้งนั้น



๑๐/๖/๒๕๕๕

ดาบสองคมจริงๆ‏


กูรู้ - รู้กู

เหตุของการเกิด อันดับแรก ได้แก่ ทิฏฐิกิเลส

ซึ่งมีผัสสะ/สิ่งที่มากระทบ/สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นปทัฏฐาน/เป็นเหตุปัจจัย


ทิฏฐิกิเลส/สักกายะทิฏฐิ มีการประพฤติออกทางด้าน วจีกรรมและกายกรรม

การกระทำภายนอก เป็นการแสดงออก ที่สามารถ จะหยุดพฤติกรรมนั้นๆได้


มานะกิเลส มีการประพฤติแสดงออกทางด้าน มโนกรรม

มโนกรรม เป็นความคิด ที่ไม่สามารถห้ามได้ แต่สามารถกดข่มสิ่งที่เกิดจากความยินดีและยินร้ายที่ยังมีอยู่

ตราบ ใดที่ยังมีกิเลส การห้ามไม่ให้คิด ห้ามไม่ได้ แต่สามารถกดข่มความคิดที่ไม่ต้องการ ให้หยุดคิดได้ ชั่วครั้งชั่วคราว หรือสามารถกดข่มด้วยอำนาจของสมาธิ หรือใช้วิธีหลีกเลี่ยง โดยการหักเหความสนใจไปจุดอื่นๆแทน



กูรู้

เห็นแต่กูรู้ จึงมีแต่ "กูรู้"


รู้กู


เห็นรู้กู ทุกสรรพสิ่ง ล้วนไม่แตกต่างกัน



ทางแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ที่แตกแยก เพราะ กูรู้ แต่ยังไม่รู้กู


เมื่อใดที่เห็นต่าง นั่นแหละ "กู" ที่เข้าไปรู้

เหตุจาก ชอบเอา "กู" ไปรู้

ผล คือ ไม่รู้ "กู" สักที

เหตุมี ผลย่อมมี เมื่อถึงเวลา ถึงเหตุปัจจัย ย่อมรู้ "กู" เหมือนๆกันหมด



ขอบคุณพี่มากๆ ครับที่ช่วยแก้สมการชีวิตให้ผม ไม่รู้นึกอย่างไรเปิด ได้ฟังเทศน์ หลวงพ่อจรัญ บ่อบุญ บ่อบาป เรายังดีไม่พอ เอาน้ำสกปรก ไปล้างชามสกปรก ต้องแก้ใจเราเอง ไม่ต้องไปแก้ใครเขา



เขาร้ายมา อย่าร้ายตอบ

เข้าไม่ดีมา จงเอาความดีเข้าแก้ไข

คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ

คนพูดเหลวไหล เอาความจริงจริงเข้าไปสนทนา



๑๕/๖/๒๕๕๕


ชีวิตนี้ยังไม่สิ้นหวัง ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะครับ ผมที่มันหลงจริงๆ ผมจะน้อมรับมาพิจารณาและปฎิบัติครับ



หมาเหตุ ส่วนมากคุยกันทางโทรฯ ส่วนทางเมล์ คือ สิ่งที่เขาต้องการระบายออกมา เพราะคุยกับคนอื่น เขาเจอแต่เหตุ

มีบางเมล์ ตอบกลับไป บางเมล์ ไม่ตอบ เพราะ เมื่อเขาโทรฯมา ก็จะพูดเดิมๆซ้ำๆว่า แค่ดุ แค่รู้ไป ทำต่อเนื่อง หยุดสร้างเหตุ

นอกนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เลือกเอาเองนะ สร้างเมื่อไหร่ ผลเกิดทันที ห้ามกันไม่ได้หรอกนะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๕/๖/๒๕๕๕

โลกธรรม‏

ที่พี่เน้นเรื่อง โลกธรรม นั้นน่าคิดและพิจารณา มากๆ ที่ มีสุข ก็ มีทุกข์ และสำคัญที่สุด ก็คือ ถ้ามีตน ก็มีของๆตน ก็มีที่เกิดแห่งเหตุของทุกข์ สติไม่ทันเมื่อไหร่ ยึดตัวยืดตนเมื่อไหร่ เสร็จทุกที




๒๖/๖/๒๕๕๕


ส่งการบ้านหน่อยครับพี่



ขอบคุณมากครับ สำหรับความกรุณา หลังจากที่พยายามอยู่กับตัวเองให้มากๆที่สุด นั้นก็ มีความสุขที่ได้จากความสงบ วาจา ส่งผลทางใจได้มากๆจริง พยายามจะไม่ พูดมากจนเกินไป ถ้าไม่มีเหตุที่ต้องพูดจริงๆ

แฟนหลังจากที่เมื่อก่อนไม่ได้มาสวดมนต์ด้วยกันก็หันสวดมนต์ แต่ไม่รู้แปลกไหม แต่ก่อนแฟนประจำเดือนไม่มาหลายเดือนมาก หลังจากสวดมนต์ประจำก็มา ทั้งที่แต่ก่อนกินยายังไงก็ยังไม่มา อาจเป็นผลจากความเครียดด้านอารมณ์หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ

ทะเลาะกันน้อยลง เรียนรู้และยอมรับที่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็นมากขึ้น บางทีแฟนเรานี้เป็นสนามสอบอารมณ์ชั้นดีเลยครับพี่ มันมีแต่เหตุและผลจริงๆ

ถ้าเราหยุดภายนอก แล้วรู้อยู่ภายใน ความคิดที่มันมากมันก็น้อยลง ทาน ตัด ความโลภ ศีล นั้น ลดความโกรธ ลดเหตุที่จะมีผลแก่ตน ระงับเวร ที่จะหมุนวนต่อไป ภาวนา ระงับ ความหลง ในความคิด เพื่อละความปรุงแต่งให้เป็นเหตุแห่งทุกข์

อยู่กับผู้รู้ภายใน ลดที่จะส่งจิตออกภายนอก ไปรู้ในสิ่งที่เป็นเหต่แห่งทุกข์ ตาบใดที่มีการรับ ต้องมีการรู้ แต่จะรู้ หรือ จะหลงนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ

ขอบคุณพี่มากๆครับ หนี้เก่าใช้ทะยอยไป หนี้ใหม่รู้เท่าทัน ให้มากจะได้ไม่สานต่อไปให้ยืดยาว




๒๗/๖/๒๕๕๕

ขอบคุณครับ

‏บางครั้งโทรหาพี่ ก็ลืมเรื่องที่จะถามไป แต่ในใจลึกๆนั้น คือ เพียงกำลังใจ ในการเก้าวเดินต่อไป เพราะ เป็นการยอมรับ และยอมรับ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ

ขอบคุณที่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ผม ก้าวต่อ เพื่อใจที่มั่นคงในทุกๆสถานกาลที่จะเกิดขึ้นต่อไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๓ กค.๕๕

ต้นครับ

การที่เราเพียรทำอยู่สม่ำเสมอนั้น จนเป็นอาจารย์ตัวเราเองนั้น เรียนผิด เรียนถูก จนเป็นประสบการณ์ขึ้นมา มีอะไรก็รู้ แล้วก็ วาง

เพียร วางทั้งรู้ วางทั้งคิด อยู่บ่อยๆนั้น ย่อมเจริญมรรค ดำเนินอยู่อย่างไม่ละวาง อารมณ์ และ หมั่นแก้ไขสิ่งที่บกพร่องของตน ด้วยการรู้จัก กิเลสของตนเอง ทำความเพียรให้เต็มที่ ตามเวลาและความเหมาะสมของเรา แล้ว

ก็ย่อมไม่เหินห่งจาก มรรค เป็นเป็นเหตุแห่ง มรรค ผล และ นิพพาน ใช่ไหมพี่

เรื่องสมาธิต่างๆนั้น ขอบคุณพี่มาก ที่ช่วยแก้ไข ความหลง ในบัญญัติ ต่างๆ เพราะ ไม่ว่าจะ ทำการงานอระไร ก็คือสมาธิ

เพราะเรามีสติ จดจ่อในงานนั้นๆ แต่สมาธิทำความสงบนั้น เพราะว่า ช่วยให้กายได้ มีกำลังขึ้นมาก เหมือนคนนอนเต็มอิ่ม เหมือน เข้าภวังค์แต่รู้สึกตัวอยู่ตลอด

แต่ก็เป็นการเก็บหน่วยกิต ทางจิตวิญญาณ ให้สูงขึ้นเพื่อเป็นกำลังให้สติ พิจาณา อารมณ์ ที่จะมากรทบ เพราะไม่ว่าจะทำให้ชีวิต ให้ไม่มีอุปสรรคแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องมี

เพราะ ที่พี่บอกว่าตราบใดที่มีการรับ ย่อมมีการรู้ อารมณ์นั้นๆ แต่เราจะอยู่เหนือ อุปสรรค และปัญหา ต่างๆนั้น มันอยู่ที่ กำลัง สติ สมาธิ และปัญญา ที่จะมาเป็นวิชชา ที่จะรู้เท่ารู้ทัน และ เข้าใจสิ่งนั้นๆไหม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


6/7/2555


ไม่มีและ ไม่เป็น‏


ขอบคุณครับพี่ ที่ทำให้ผมเกิด ดวงตาที่เห็นธรรม เห็นตัวเอง และเข้าใจ ตัวเอง รู้จักกิเลสของตนเอง

ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ สิ่งใดเกิดแต่เหตุ สิ่งนั้นย่อมมีผล เหตุเกิดที่ใด เหตุย่อมดับลงที่นั้นๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป ตามกระแสแห่งกรรม คือการกระทำของตน หนี้สินเก่ายอมรับใช้ไป การกระทำใหม่ๆเพียรรู้เท่าทัน และละอย่ากระทำเพิ่ม กรรมเก่าย่อมน้อยลงและหมดไป เพราะไม่ต่อยอดให้เพิ่มเติม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

เราต่างเป็นทาสตัวตนของตัวเราเอง เรียนเพื่อรู้ เรียนเพื่อละ เรียนเพื่อที่สละและปล่อย วาง ตัวตน ของๆตน วางทั้งรู้ วางทั้งคิด อยู่อย่างไม่ทุกข์ จากไปอย่างสงบสุข วางกายเสียได้ ใจย่อมสงบสุข ความรู้ที่จะรู้นั้น ไม่พ้นกายและใจของตนเอง คืออุนิสัย และ พฤติจิต พฤติกาย ของตนเอง ปัจุบันคือ อดีตที่สร้างมา อนาคต นั้นคือ ปัจจุบันเพียรกระทำอยู่ อดีตคือ ความฝัน ปัจจุบันคือความเป็นจริง อนาคต เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

ชนะสิ่งใดๆ ไม่เท่าชนะใจตนเอง แพ้สิ่งใดๆก็ไม่เท่าแพ้ใจตนเอง ชนะกิเลสของตนเอง

รู้สิ่งใดๆไม่เท่ารู้จักใจตนเอง รักษาสิ่งใดๆไม่ เท่ารักษาใจของตนเอง

เรียนถูกเพื่อจะไม่ผิด เรียนผิดเพื่อ ความไม่ผิดอีก เรียนทั้งผิด ทั้งถูก ดี และ ชั่ว เพื่อสอนใจตนเอง สิ่งทั้งหลายย่อม มีทั้งสองด้านในตัวของตัวเอง ย่อมเป็นไปเพื่อการเรียนรู้ทั้งคู่ ย่อมมีค่าเสมอเหมือนกันตรงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนได้ยาก เกิด ดับ เป็นธรรมดา

ใช่สมมุติเพื่อเข้าถึง วิมุติ อยู่กับโลกแต่ไม่ติดในโลก มีในความไม่มี และไม่เป็นอะไร

โกรธ ก็เพราะ ความคิดที่มันหลง โลภก็เพราะ ความคิดที่มันหลง หลงก็เพราะไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง หลงสิ่งใดๆไม่เท่าหลงในความคิดของตนเอง ความคิดไม่ใช่ความทุกข์ แต่การยึดว่าความคิดว่าเป็นตัวตนของตนเองเป็นเหตุแห่งทุกข์

ความรู้สึกตัวนั้นเป็นความจริง เพราะเป็นสิ่งที่เป็นปัจจุบัน สติ ที่สืบเนื่อง มีผลคือสมาธิ สมาธิที่ตั่งมั่นเป็นเหตุใกล้ของปัญญา สติเป็นเหตุ สมาธิเป็นผล สมาธิเป็นเหตุ ปัญญาเป็นผล เหตุมีผลย่อมมี สตินั้นก็ไม่เที่ยง เพราะเกิด จากการหมั่น ที่จะรู้กายและใจ ไม่หลงลืมกาย และใจ ของตนเอง ไปตามกระแส ของอดีต และ อนาคต เป็นที่อยู่แห่งปัจจุบัน

เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ ขณะหลงย่อมไม่รู้ ขณะคิดไม่รู้ ขณะรู้ไม่คิด เปลี่ยนปัญหาเป็นปัญญา เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ เพราะรู้และเข้าใจทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ก็เพื่อละเหตุแห่งทุกข์ คือ ภพและชาติ ในการเกิด เพื่อความพ้นทุกข์

สมถะ มีผลคือความสงบ วิปัสสนา มีผลคือความ รู้และเข้าใจ สรรสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่แก้ไขในสิ่งภายนอก แต่เรียนรู้และยอมรับ เพื่อมาชนะใจของตนเอง ชนะเวรของตนเอง

เรียนกายเพื่อรู้แจ้งในใจ เรียนรู้ใจเพื่อแจ้งในกาย สะอาด สว่าง และ สงบ สว่างเพราะ รู้และเข้าใจ สงบ ก็เพราะ ใจที่ตั่งมั่น สะอาดก็เพราะ รู้ด้วยจิต เห็นด้วยปัญญา จึงละเว้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ผู้ใดเห็นภัย ของการเกิด ผู้นั้น คือ ภิกษุ ภิกษุณี ตราบใดที่มีการเกิด ตราบนั้นย่อมมีความทุกข์ สัมมาทิฎฐิ นั้นคือ ความเห็นชอบ เห็นอะไร เห็นทุกข์ เห็นอริยสัจธรรมอันประเสริฐ รู้ทุกข์ ย่อมละ สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ย่อม ถึงบรมสุขอันแท้จริง

ผู้รู้ ผู้ดู ผู้ละ ผู้วาง สุขเพียงชั่งคราว ย่อมตามมาด้วยเหตุแห่งทุกข์ สุขที่เที่ยงแท้ คือละเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง เพราะรู้และเข้าใจ ในสิ่งทั้งหลายภายนอก และ เข้าใจตัวตนของตนเอง เหตุทั้งหลายย่อมน้อยลงและหมดไป ตามเหตุและปัจจัย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร