วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 20:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
[๕๓] อินทรีย์ด้วยความว่าเป็นใหญ่ พละด้วยความว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์ด้วยความว่านำออก มรรคด้วยความว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานด้วยความว่าตั้งมั่นสัมมัปปธานด้วยความว่าตั้งไว้อิทธิบาทด้วยความว่าสำเร็จ สัจจะด้วยความว่าเที่ยงแท้ สมถะด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสนาด้วยความว่าพิจารณา สมถะและวิปัสนาด้วยความว่ามีกิจเสมอกัน ธรรมชาติที่เป็นคู่ด้วยความว่าไม่ล่วงเกินกันควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
[๕๓] อินทรีย์ด้วยความว่าเป็นใหญ่ พละด้วยความว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์ด้วยความว่านำออก มรรคด้วยความว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานด้วยความว่าตั้งมั่นสัมมัปปธานด้วยความว่าตั้งไว้อิทธิบาทด้วยความว่าสำเร็จ สัจจะด้วยความว่าเที่ยงแท้ สมถะด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสนาด้วยความว่าพิจารณา สมถะและวิปัสนาด้วยความว่ามีกิจเสมอกัน ธรรมชาติที่เป็นคู่ด้วยความว่าไม่ล่วงเกินกันควรรู้ยิ่งทุกอย่าง


ธรรมที่ท่านยกมา...ไม่มีประโยคหรือความหมายตรงไหนที่สนับสนุนคำอธิบายของท่าน
อ้างคำพูด:
สมาธิส่วนสมาธิ วิปัสสนาส่วนวิปัสสนา ไม่เกี่ยวกัน ต่อยอดกันไม่ได้ เหมือนต้นมะม่วงกับต้นมะละกอ

สมาธิและวิปัสสนา ถึงจะเกิดพร้อมกันแต่ก็ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ไม่หักล้างกัน และก็ไม่ส่งเสริมกัน


คำว่า..ไม่ล่วงเกินกันควรรู้ยิ่งทุกอย่าง
ไม่ได้หมายความว่า..ไม่เกี่ยวกัน ต่อยอดกันไม่ได้..ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ไม่หักล้างกัน และก็ไม่ส่งเสริมกัน ...
เป็นการตีความหมายผิด...จากธรรมที่แท้จริง


คำว่า..ไม่ล่วงเกินกัน
หมายความว่า...ทั้งสมถะและวิปัสสนานั้น...คือไม่ทำลายกันและเป็นโทษต่อกัน..แต่ไม่ได้หมายถึงจะไม่ส่งเสริมกัน

คำว่า..ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง
หมายความว่า...ทั้งสมถะและวิปัสสนานั้น...นั้นควรกระทำให้รู้แจ้งทั้งสองสิ่ง..
ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้..เพราะเป็นธรรมคู่ที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน....


เพราะการปฏิบัติภาวนา..
การทำสมถะเพื่อให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ดับนิวรณ์ธรรมที่ครอบงำจิต
อันจะทำให้การยกจิตขึ้นพิจารณาด้วยปัญญาเป็น วิปัสสนา นั้น เป็นไปได้ยาก...
เนื่องด้วยจิตไม่มีสมาธินั้นไม่มีกำลัง เนื่องจากหิวในอารมณ์ เกิดความฟุ้งซ่าน..
เปรียบน้ำขุ่นสกปรกย่อมไม่เห็นตะกอนนอนก้น...


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทโธ เมื่อ 14 ก.ย. 2009, 20:17, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


... ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


อ้างคำพูด:
..แต่ไม่ได้หมายถึงจะไม่ส่งเสริมกัน

อย่าตีความเข้าข้างตัวเองสิท่าน, ไม่ก้าวก่าย = ไม่เกี่ยวข้อง = ไม่ขัดแย้ง = ไม่ส่งเสริม

พระพุทธองค์ให้พระอเสขะทำสมาธิเพื่อให้อยู่กันอย่างสงบ ไม่ได้ให้นำมาใช้วิปัสสนา ในพระเสขะใช้สมาธิเพื่อให้บบรลุอรหันต์เร็วขึ้น พวกที่มีสมาธิอยู่ก่อนบวช พระพุทธองค์ก็ให้พิจารณาการเกิดดับขององค์ธรรมในฌาน ผู้ออกบวชมีเนกขัมมะสมาธิก็เจริญวิปัสสนาสติปัฏฐานได้ คนปกติมีขณิกกะสมาธิก็วิปัสสนาได้เลย โดยการพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ประกอบกับการให้ทานถือศีล หรือเรียกว่า ทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา (บุญกิริยาวัตถุ)

อ้างคำพูด:
การทำสมถะเพื่อให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ดับนิวรณ์ธรรมที่ครอบงำจิต
อันจะทำให้การยกจิตขึ้นพิจารณาด้วยปัญญาเป็น วิปัสสนา นั้น เป็นไปได้ยาก...

ในพระไตรปิฎกมิได้มีคำสอนตอนใดตอนหนึ่งหรือสูตรใดสูตรหนึ่งที่บอกว่าต้องใช้สมาธิข่มนิวรณ์หรือต้องทำสมถะก่อนจึงจะมาวิปัสสนาได้ คนเราปกติมีสมาธิอยู่แล้ว(ขณิกกะ) การฝึกสมาธิก่อนแล้วมาวิปัสสนาเป็นความเข้าใจผิดของนักปฏิบัติที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจในระดับที่เพียงพอสำหรับการเริ่มปฏิบัติ เป็นการนำวิชาพราหมณ์มาปนกับพุทธ พวกที่ทำๆ ตามๆ กันมาก็เพราะไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมโดยตรงจากพะรไตรปิฎกจนจบกันเลย

จุดหมายของสมาธิคือสงบ สงบแล้วก็ไม่คิดอะไร นิ่งอย่างเดียว มีอภิญญาเป็นอานิสงค์ (ปัญญายิ่ง) ถ้าไปทำสมาธิก่อนได้ปัญญา สมาธิที่ได้ก็เป็นมิจฉาสมาธิ เอามาใช้อะไรในทางโลกุตตรไม่ได้เลย

จุดมุ่งหมายของวิปัสสนาคือ มีปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ ปัญญาตัวแรกที่เกิดจากการวิปัสนาก็คือ สัมมาทิฏฐิที่สิ้นสาสวะแล้ว (เห็นจริงตามจริงทันปัจจุบัน หรือเรียกว่าปัญญารู้จริง) สิ่งที่เป็นบาทเป็นฐานสำคัญของการวิปัสสนาคือ ศรัทรากับปัญญา ไม่ใช่สมาธิ

ถ้าบอกว่า เอาสมาธิมาสร้างปัญญา อันนี้เป็นวิชาพรมหมณ์ พระพุทธองค์ก็เป็นพราหมณ์มาก่อน เคยปฏิบัติแบบนี้ แล้วก็สรุปว่าไม่มีปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ เป็นเพียงการหลบทุกข์ชั่วคราว เพราะพระพุทธองค์ใช้ปัญญาในการวินิจฉัยธรรม จึงตรัสรู้ได้ และบอกกับเราชาวพุทธว่า ให้ใช้ ปัญญาสร้งวิชชาเพื่อดับอวิชชา เราจะไปทำตามแบบพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ การตรัสรู้แบบนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะในพระพุทธเจ้าเท่านั้น (สัพพสัญญู ปักเจกก แลัสะมมมาสัมพุทธเจ้า)

ปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิทำให้เกิดศีล
ศีลทำให้เกิดอวิปปฏิสาร
อวิปปฏิสารทำให้เกิดปราโมทย์
ปราโมทย์ทำให้เกิดปีติ
ปีติทำให้เกิดปัสสัทธิ
ปัสสัทธิทำให้เกิดสุข
สุขทำให้เกิดสมาธิ
สมาธิทำให้เกิดยถาภูตญาณทัสสนะ
ถาภูตญาณทัสสนะทำให้เกิดนิพพิทาวิราคะ
นิพพิทาวิราคะทำให้เกิดวิมุตติญาณทัสสนะ

กล่าวว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นลูก สมาธิเป็นหลาน

ดูกรอานนท์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีความปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตโดยลำดับด้วยประการดังนี้แล ฯ

พะรไตรปิฎกมิได้มีเพื่อเอาไว้กราบใหว้ มิได้มีเพื่อเอาไว้เก็บในตู้ มีเอาไว้ศึกษา มีเอาไว้เรียน เรียนให้จบก่อนแล้วปฏิบัติจะได้ไม่ผิดพลาด วิศวกรเรียนไม่จบไปสร้างตึกสร้างสพาน ก็พังกันเท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 14 ก.ย. 2009, 21:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 00:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak Mulpong ครับ..ไม่มีใคร(เท่าที่เห็น) ว่า..สมาธิ.หรือสมถะ.ไม่ดี..แม้แต่คุณเอง..ก็ว่า..ใช้แค่ขณิกสมาธิ..ก็พอ..ก็แสดงว่า..ทุกคนเห็นประโยชน์ของสมาธิกันทั้งนั้น

แต่ที่..คุณ Supareak Mulpong ว่า..สมถะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องส่งเสริมวิปัสสนา..ก็เหมือนกล่าวว่า..สมาธิ..ไม่ได้มาส่งเสริม..ปัญญา..ตัวนี้แหละครับ..ที่ใคร ๆ หลายคนพยายามชี้ข้อบกพร่องของคุณ

พระสูตรที่คุณยกมา..ไม่มีใครไปว่าเลยนะ..แต่..ความคิดของคุณที่แนบมากับพระสูตรนี้ซิ..ใช้ตรรกะ..ระดับ..ผิว ๆ ..A เหมือน..B..และ B..คล้าย C..ดังนั้น A..เหมือน..C บางทีก็เป็นอันตรายสำหรับผู้เริ่มต้น..

หากคุณจะวิปัสสนาอย่างเดียว..ก็ตามสะดวก..แม้ปากคุณว่าไม่เอาสมถะ..ก็ตามสะดวก..แต่สมถะก็ไม่ได้ไปจากคุณหรอก..มันติดอยู่กับวิปัสสนาของคุณนั้นแหละแต่คุณมันไม่รู้ตัว..ถ้ามีน้อย..ปัญญาคุณก็เจริญน้อย..ถ้ามีมาก..ปัญญาคุณก็เจริญมาก

จึงไม่แปลกใจ..แม้แต่น้อย..ที่ได้อ่านข้อความของคุณที่โพสต์ออกจาก..ความคิดของคุณเอง..มันก็แสดงอะไร ๆ ได้หลายอย่าง..

กัลยาณมิตรหลาย ๆ ท่าน..แรก ๆ ก็เข้ามาวิสัจฉนา..หวังเป็นธรรมทาน..คุณก็ทำตัวเป็นแก้วที่มีน้ำเติมแล้ว..สังเกตดูซิ..คุณแทบไม่เคยยอมรับว่าความคิดของตัวผิดเลย..บางทีก็สวนกัลยาณมิตรกลับด้วยสำนวนที่ดูเหมือนอ่อนโยน..ดั่งสุภาษิต..ปากปราศัยน้ำใจ....คอ

สังเกตดูซิ..หลาย ๆ ท่านที่เขารู้มาก่อน..เขาก็ไม่มาในกระทู้ของคุณแล้ว..ที่มานี้ก็ปรารถณาการสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว..

เอานี้..ลองอ่านดู..พิจารณาดู..แต่ก่อนจะอ่าน..ให้คลายความยึดมั่นถือดี..ของตัวลงก่อนนะ..ทำแก้วให้ว่าง..เพื่อรับน้ำใหม่..ไม่ได้ปรามาสคุณธรรมที่คุณมีคุณได้นะ..แต่อยากให้เพิ่มให้พูน..โสดง..โสดา..สำหรับผมแล้ว..ก็งั้น ๆ ..ยังน่าสงสารอยู่..ยังต้องเพียรต่ออีกมากนะ..

ของคุณ ตรงประเด็น..ที่เพิ่งจะโพสต์เมื่อครู่นี้เอง..เป็นความรู้ความเห็นของผู้ที่ถึงแล้ว..ที่ได้แจกแจงให้อย่างละเอียด..จากผลที่เกิดจริง

อ้างคำพูด:
ปัญญาอบรมสมาธิ (ภาคสมาธิ)

โดยพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ความจริงการภาวนาเพื่อให้ใจสงบ ถ้าสงบด้วยวิธีปลอบโยนโดยทางบริกรรมไม่ได้ ต้องภาวนาด้วยวิธีปราบปรามขู่เข็ญ คือค้นคิดหาเหตุผลในสิ่งที่จิตติดข้องด้วยปัญญา แล้วแต่ความแยบคายของปัญญา จะหาอุบายทรมานจิตดวงพยศ จนปรากฏใจยอมจำนนตามปัญญาว่า เป็นความจริงอย่างนั้นแล้ว ใจจะฟุ้งซ่านไปไหนไม่ได้ ต้องหยั่งเข้าสู่ความสงบ เช่นเดียวกับสัตว์พาหนะตัวคะนอง ต้องฝึกฝนทรมานอย่างหนักจึงจะยอมจำนนต่อเจ้าของ

ฉะนั้น ในเรื่องนี้ จะขอยกอุปมาเป็นหลักเทียบเคียง เช่น ต้นไม้บางประเภท ตั้งอยู่โดดเดี่ยวไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง ผู้ต้องการต้นไม้นั้นก็ต้องตัดด้วยมีดหรือขวาน เมื่อขาดแล้ว ไม้ต้นนั้นก็ล้มลงสู่จุดที่หมาย แล้วนำไปได้ตามต้องการ ไม่มีความยากเย็นอะไรนัก แต่ไม้อีกบางประเภท ไม่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกิ่งแขนงของต้นอื่นๆ อีกมาก ยากที่จะตัดให้ลงสู่ที่หมายได้ ต้องใช้ปัญญาหรือสายตาตรวจดูสิ่งเกี่ยวข้องของต้นไม้นั้นโดยถี่ถ้วน แล้วจึงตัดต้นไม้นั้นให้ขาด พร้อมทั้งตัดสิ่งเกี่ยวข้องจนหมดสิ้นไป ไม้ย่อมตกหรือล้มลงสู่ที่หมายและนำไปได้ตามความต้องการฉันใด จริตนิสัยของคนเราก็ฉันนั้น

คนบางประเภทไม่ค่อยมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก เพียงใช้คำบริกรรมภาวนา พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เป็นต้น บทใดบทหนึ่งเข้าเท่านั้น ใจก็ได้รับความสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิลงได้ กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญา ให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสบาย ที่เรียกว่า สมาธิอบรมปัญญา

แต่คนบางประเภทมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก และเป็นนิสัยชอบคิดอะไรมากอย่างนี้ จะอบรมด้วยคำบริกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะยังจิตให้หยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุผล ตัดต้นเหตุของความฟุ้งซ่านด้วยปัญญา เมื่อปัญญาได้หว่านล้อมในสิ่งที่จิตติดข้องนั้นไว้อย่างหนาแน่นแล้ว จิตจะมีความรู้เหนือปัญญาไปไม่ได้ และจะหยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ฉะนั้นคนประเภทนี้ จะต้องฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิได้ด้วยปัญญา ที่เรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ตามชื่อหัวเรื่องที่ให้ไว้แล้วในเบื้องต้นนั้น . เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นด้วยอำนาจปัญญา อันดับต่อไปสมาธิก็กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้มีกำลังก้าวหน้า สุดท้ายก็ลงรอยเดียวกันกับหลักเดิมที่ว่า สมาธิอบรมปัญญา

ผู้ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพื่อความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของกิเลส
อย่ายึดปริยัติจนเกิดกิเลส แต่ก็อย่าปล่อยวางปริยัติจนเลยศาสดา ผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ทั้งสองนัย

คือ ในขณะที่ทำสมาธิภาวนา อย่าส่งใจไปยึดปริยัติจนกลายเป็นอดีตอนาคตไป ให้ตั้งจิตลงสู่ปัจจุบัน คือ เฉพาะหน้า มีธรรมที่ตนเกี่ยวข้องเป็นอารมณ์เท่านั้น เมื่อมีข้อข้องใจ ตัดสินใจลงไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เวลาออกจากที่ภาวนาแล้ว จึงตรวจสอบกับปริยัติ แต่จะตรวจสอบทุกขณะไปก็ผิด เพราะจะกลายเป็นความรู้ในแบบ ไม่ใช่ความรู้เกิดจากภาวนา ใช้ไม่ได้

สรุปความ ถ้าจิตสงบได้ด้วยอารมณ์สมถะ คือ คำบริกรรมด้วยธรรมบทใด ก็บริกรรมบทนั้น ถ้าจะสงบได้ด้วยปัญญาสกัดกั้นโดยอุบายต่างๆ ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อความสงบเสมอไป ผลรายได้จากการอบรมทั้งสองวิธีนี้ คือ ความสงบ และ ปัญญาอันจะมีรัศมีแฝงขึ้นจากความสงบนั้นๆ


ขอให้..ทุก ๆ ท่าน..เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมในชาตินี้..ด้วยเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak Mulpong ครับ..

คุณพยายามเอาความเชื่อในความคิดเห็นของคุณแยก ศีล สมาธิ ปัญญา ออกจากกัน..

ทั้งๆ..ไตรสิกขา เป็นธรรมที่ส่งเสริมเกื้อกูลกัน..ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้...

ถ้าตำหนิ...สมาธิ แสดงผู้นั้นยังไม่ถึงพร้อม...ในสมาธิ เพราะไม่รู้จักคุณค่าของสมาธิ จึงตำหนิสมาธิ

ทั้งยังไม่เกิดปัญญาญาณ ย้ำอีกที..ปัญญาญาณ..ที่เกิดในองค์อริยมรรค

ไม่ใช่ปัญญาทางตรรกความคิดนึกของตนแบบที่คุณเข้าใจ...

มันเป็นแค่ปัญญาที่อบรมจากสัญญา..เท่านั้น

ยังอยู่ในส่วนของสุตปัญญา จินตปัญญา มิใช่ภาวนามยปัญญา

ผมคงไม่สามารถทำให้คุณเชื่อได้....

ถ้าคุณอยากรู้ที่คุณเข้าใจถูกหรือผิด...เอาคำถามเรื่องสมาธิและปัญญาของคุณ

เข้าไปถามองค์หลวงตามหาบัว...ตามนี้เลยครับ

http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_show.php

หลวงตามหาบัวท่านจะเป็นผู้ตอบปัญหาให้แก่คุณเอง..คุณจะได้คำตอบที่ถูกต้องแน่นอน


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทโธ เมื่อ 16 ก.ย. 2009, 02:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอากัณฑ์เทศน์นี่ไปฟัง...จะได้เลิกฟุ้งซ่าน เรื่องจิต และขันธ์ สมาธิ

http://www.sa-ngob.com/media.php?id=210&con=1


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวิสุทโธ ที่ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมาถือศีลกัน นั่งสมาธิ เพื่อที่จะได้ภาวนาปัญญานั้น พระพทุธองค์ได้ตรัสสอนไว้ตอนใหน ตรงใหน เมื่อใหร่ เป็นคำถามของผมประการที่ ๑

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ได้แก่ปัญญาอะไรบ้าง แล้วปัญญาอะไรแบบใหนที่นำมาดับทุกข์ได้ นี่คือคำถามของผมเป็นประการที่ ๒

คำถามข้อสุดท้าย ปัญญาที่อยู่ในองค์มรรค มีอะไรบ้าง แต่ละอย่างได้มาอย่างไร?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตอธิบายนะคะ ด้วย 'ปัญญาธรรม' ระดับสกิทาคามี ค่ะ

ศีล สมาธิ ปัญญาธรรม เป็นไปตามลำดับค่ะ

โอวาทปาติโมกข์ว่าด้วย: การทำดี ละชั่ว ทำใจให้เบิกบาน อันนี้เกี่ยวเนื่องกันกับ ศีล สมาธิ ปัญญา

ใจเบิกบาน ย่อมมาจากการรักษาศีลด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นเป็นการละชั่วพื้นฐาน

เมื่อใจเบิกบาน แล้วทำสมาธิ จิตก็เปิดรับธรรมได้มากขึ้น

และเมื่อทำความดี เป็นบุญหนุนเนื่องกันไป ปัญญาธรรม ก็เกิดได้ง่ายขึ้น

ปัญญาธรรม เป็นปัญญาที่ละเอียดอ่อนค่ะ ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่รู้จริง รู้จริงเรื่องสัจธรรม เรื่องกรรม รู้อดีตของตัวเอง รู้อนาคตของตัวเอง นั่นเพราะเป็นผลมาจากกรรมทั้งนั้น

'ปัญญา' ที่ใช้กันทั่วๆไป มันคือ 'ความฉลาดและรู้มาก' ไม่ใช่ปัญญาธรรม ปัญญาทั่วไปจะเป็นสิ่งที่รวมเอากิเลส อคติ ฯลฯ ไว้ด้วย เพราะมันมาจากสมองที่คนเราคิดต่างๆกันไป

แต่ 'ปัญญาธรรม' เป็นปัญญาที่มาจากการจดจำได้ของจิต จิตที่ผ่านอะไรมามากมายหลายภพชาติ ปัญญาธรรมก็มีสามแบบ คือ
สุตมยปัญญา - ปัญญาจากการเห็นและการฟัง เป็นความจริงที่ไหลออกมาจากจิตเมื่อเห็นหรือฟัง อยู่ดีๆก็รู้ เช่น ดูภาพของไอสไตน์ แล้วก็รู้ขึ้นมาในใจเลยว่า เออ เราเคยเป็นไอนสไตน์มาก่อน เป็นต้น กรณีของการฟังก็เหมือนกัน เช่น ดูสารคดีแล้วฟังชื่ออเล็กซานเดอร์มหาราช ฟังๆแล้วดันรู้ขึ้นมาในใจว่า เออ เราเคยเป็นมาก่อน สุตมยปัญญา มาแบบที่เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อไหร่ แต่รู้สึกได้เองว่า เออ ใช่ ถูกต้อง

จินตามยปัญญา - ปัญญาจากการคิด เป็นความจริงที่ได้จากการคิดโดยกระบวนการของสมอง แล้วผลที่ได้คือความจริง ที่เราไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไม แต่รูสึกได้เองว่า เออ จริง เออ ถูกต้อง เช่น เรารู้จากสุตมยปัญญาว่า เราเป็นทั้งไอสไตน์ และเป็นทั้งวินสตัน เชอร์ชิลล์ สมองบอกเราว่า เป็นไปไม่ได้เพราะ สองคนนี่เกิดในช่วงเดียวกัน แล้วจินตามยปัญญา ก็คิดๆว่า เป็นไปได้ ก็จิตของสองคนนั้น มารวมอยู่ที่เรานี่นา เราไม่ได้ไปเกิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนี่ อีกเหตุผลที่จินตามยปัญญาคิดได้คือ สองคนนี่รักแผ่นดิน เราเองก็รักแผ่นดิน รักจากจิต เออ แบบนี้เลยเป็นไปได้

ภาวนามยปัญญา - ปัญญาที่เกิดจากการพัฒนาจิตอันเป็นสมาธิ รู้และเห็นจริงในสัจธรรม รู้มากขึ้น มากขึ้นเป็นลำดับขั้น แล้วก็มีสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ช่วยเสริมให้สิ่งที่รู้มากขึ้นๆนั้น อธิบายเหตุและผลของทุกสิ่งได้

ปัญญธรรมล้ำลึกและมหัศจรรย์ค่ะ ปัญญาทางโลกหยาบเกินไป และคนเข้าใจผิดกันมาก

จะเข้าใจได้ และรู้ได้ มีวิธีเดียวค่ะ ถือศีล 'ทำ'สมาธิ (ไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งสมาธิ) แล้วปัญญาธรรมจะเกิดเองค่ะ แล้วแต่บุญแต่กรรม ซึ่งก็ไปพ้องกับโอวาทปาติโมกข์ อย่างที่อธิบายข้างบนค่ะ

ขอให้เจริญในธรรมค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณวิสุทโธ ที่ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมาถือศีลกัน นั่งสมาธิ เพื่อที่จะได้ภาวนาปัญญานั้น พระพทุธองค์ได้ตรัสสอนไว้ตอนใหน ตรงใหน เมื่อใหร่ เป็นคำถามของผมประการที่ ๑

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ได้แก่ปัญญาอะไรบ้าง แล้วปัญญาอะไรแบบใหนที่นำมาดับทุกข์ได้ นี่คือคำถามของผมเป็นประการที่ ๒

คำถามข้อสุดท้าย ปัญญาที่อยู่ในองค์มรรค มีอะไรบ้าง แต่ละอย่างได้มาอย่างไร?



ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงมาถือศีลกัน นั่งสมาธิ เพื่อที่จะได้ภาวนาปัญญานั้น
ผมคงถามกลับไปเช่นกัน...แล้วที่คุณเข้าใจว่า ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลต้องทำปัญญาก่อน แล้วจึงมาถือศีลกัน นั่งสมาธิ เพื่อที่จะได้มรรคผลนั้น ปัญญาที่ทำเป็นปัญญาอะไร ทำไมต้องทำเช่นนั้น เพื่ออะไร พระพทุธองค์ได้ตรัสสอนไว้ตอนใหน ตรงใหน เมื่อใหร่...

ที่สำคัญปัญญาตรงนี้ไม่ใช่ปัญญาทางโลก แต่เป็นปัญญาทางธรรม
ไม่เช่นนั้น ไอน์สไตน์ เป็นผู้มีปัญญาไอคิวฉลาดมาก ก็เป็นพระอรหันต์..

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ได้แก่ ภาวนามยปัญญา ประการเดียว นอกนั้นเป็นสุตปัญญา จินตปัญญา

ปัญญาที่อยู่ในองค์มรรค คือ สัมมาทิฐิ แต่ปุถุชนเป็นสัมมาทิฐิหยาบ
เมื่อเกิดมรรคสมังคี จึงเป็นสัมมาทิฐิละเอียด..จึงเป็นภาวนามยปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง สัมมาทิฐิ มีกันในพุทธศาสนิกชนทุกคน
แต่ไม่ใช่สัมมาทิฐิ ที่อยู่ในองค์อริยมรรค ที่เป็นเรื่องของจิต
ไม่ใช่เรื่อง..การศึกษาในพระธรรมอย่างแตกฉาน


ในพระไตรปิฏก...เรื่องเถรใบลานเปล่า..
ท่านโปลิตะ..ท่านแตกฉานในพระไตรปิฏก..เป็นอาจารย์ใหญ่มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นพระอรหันต์หลายรูป
แต่ตัวท่านเอง..พระพุทธองค์เรียกท่านว่า..เถรใบลานเปล่า...
เพราะมีแต่ความรู้ความจำความเข้าใจแตกฉานในพระไตรปิฏก
แต่การฝึกตนและปฏิบัติตนของท่านโปลิตะไม่เป็นไปอย่างที่ตนเองรู้จำเข้าใจจากพระไตรปิฏก..

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
ผู้มีแต่ความรู้ความจำความเข้าใจแตกฉานในพระไตรปิฏกแต่ไม่ฝึกปฏิบัติตน เป็นคนเลี้ยงโค
แต่ผู้ที่ไม่มีความรู้ความจำความเข้าใจแตกฉานในพระไตรปิฏกแต่เป็นผู้ฝึกตนได้ เป็นเจ้าของโค

สุดท้ายไปให้ลูกศิษย์ของตนที่เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีองค์ไหนกล้าสอน เพราะรู้มาก ทิฐิมาก
ต้องมาให้เณรสอน..โดนเณรหลอกให้ห่มจีวรเฉวียงบ่าลุยลงไปในน้ำ
เพื่อแก้ไขลดทิฐิมานะ..ตัวใหญ่ ของตนเอง
ตอนหลังเณรออกอุบาย ให้จับเหี๊ยในรู..จนสำเร็จธรรม


พิจารณาดู..


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทโธ เมื่อ 23 ก.ย. 2009, 20:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


โอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธองค์สอนอรหันต์ เป็นการกล่าวธรรมโดยย่อโดยสรุป การที่ไปตีความเป็นศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เป็นเพียงความเห็น

ไตรสิกขา ไม่ช่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ปัญญา ศีล สมาธิ

ไตรสิกขานั้นพระพุทธเจ้าสอนกับภิกษุวัชชีบุตร มีเหตุมาจากพระพุทธเจ้าได้กำหนดธรรมวินัยไว้ขณะนั้น 150 ข้อ แล้วภิกษุวัชชีบุตรเห็นว่าสิกขามีมากถึง 150 ข้อ ตนเองไม่สามารถปฏิบัติได้ทั่วถึง จึงเข้าพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ถ้าเธอปฏิบัตศีลสิกขา 150 ข้อไม่ได้ เธอจะปฏิบัติอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ได้ใหม ภิกษุวัชชีบุตรบอกว่า ถ้า 3 ข้อแบบนี้ปฏิบัติได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระอริยะ ที่บุคคลทั่วไปจะนำมาปฏิบัติก็ยังไม่ได้ ถ้าจะปฏิบัติ อย่างน้อยก็ต้องได้โสดาปัตติผลก่อน

อธิสีลปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด เกิดขึ้นแก่ผู้สำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวรศีล นี้เรียกว่า อธิสีลปัญญา

อธิจิตปัญญา เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด เกิดขึ้นแก่โยคาวจรบุคคลผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติ และอรูปาวจรสมาบัติ นี้เรียกว่า อธิจิตตปัญญา

อธิปัญญาปัญญา เป็นไฉน
ปัญญาในมรรค ๔ ผล ๔ นี้เรียกว่า อธิปัญญาปัญญา


ที่ไปลากไตรสิกขามาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะฟังเขาต่อๆ มา

คนที่ได้ปัญญาไม่ใช่คนที่ถือศีล แต่มีศีล กล่าวคือ เมื่อมีปัญญา รู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ชั่ว ศีลจึงเกิดขึ้น เมื่อกายสงบใจสงบเพราะศีลแล้ว สมาธิก็เกิดขึ้น จะเห็นว่า ศีลและสมาธิ เป็นผลได้จากการมีปัญญา

ปัญญาที่พูดถึง ก็คือ ปัญญาเห็นจริงตามจริง กิริยาที่รู้ชัด ความไม่หลง ความวิจัยธรรม ก็คือ สัมมาทิฏฐิ หากท่านต้องการทราบที่มาที่ไป ก็ลองศึกษาจากพระสูตร ตั้งแต่เล่มที่ 8 ถึงเล่มที่ 11 (ที่จริงอ่านทั้งหมด 25 เล่มก็จะเป็นการดี) สัมมาสังกัปปะก็เป็นปัญญาอีกตัวหนึ่ง แต่ก็ได้มาจากสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นชอบแล้วก็ทำให้คิดชอบ

สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค คือ ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความไม่หลง ความวิจัยธรรม ความเห็นชอบ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

หากปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ต้องได้จากสมาธิ ทำไมในพระไตรปิฎกถึงไม่ได้มีแสดงไว้เลยแม้แต่สูตรเดียว พระพุทธองค์ทำไมไม่ให้ความสำคัญหรือแสดงรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับสมาธิ ตั้งแต่เริ่มจนจบ นางวิสาขาได้โสดาปัตติผลตั้งแต่ ๗ ขวบ ไปนั่งสมาธิตอนใหน หรือยสกุลบุตรบรรลุอรหันต์ ไปฝึกสมาธิตอนใหน

ปัญญาทั้งหมดในพุทธศาสนา มี 72 ประการ ปัญญาดับทุกข์ไม่ได้มาจากสมาธิ ภาวนามยปัญญาโดยความหมายคือปัญญาที่เกิดจากผู้ที่เข้าฌานสมาบัติ ปัญญาดับทุกข์ได้มาจากการวิปัสสนา มีโอกาส ก็ลองศึกษารายละเอียดได้ ในพระสูตร

ปัญญาทั้งหมดที่พระสารีบุตรจำแนกไว้
1. ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่การฟัง] ๑
2. ปัญญาในการฟังธรรมแล้ว สังวรไว้ เป็นสีลมยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่ศีล] ๑
3. ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็นภาวนามยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่การเจริญมาธิ] ๑
4. ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ [ญาณในเหตุธรรม] ๑
5. ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนอดีตส่วนอนาคตและส่วนปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณ [ญาณในการพิจารณา] ๑
6. ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบันเป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม] ๑
7. ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสนาญาณ [ญาณในความเห็นแจ้ง] ๑
8. ปัญญาในการปรากฏโดยความเป็นภัย เป็นอาทีนวญาณ [ญาณในการเห็นโทษ] ๑
9. ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ๑
10. ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอก เป็นโคตรภูญาณ ๑
11. ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ ๑
12. ปัญญาในการระงับประโยคเป็นผลญาณ ๑
13. ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ๑

14. ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุมในขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ ๑
15. ปัญญาในการกำหนดธรรมภายใน เป็นวัตถุนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งวัตถุ] ๑
16. ปัญญาในการกำหนดธรรมภายนอก เป็นโคจรนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งโคจร] ๑
17. ปัญญาในการกำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งจริยา] ๑
18. ปัญญาในการกำหนดธรรม ๔ เป็นภูมินานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งภูมิ] ๑
19. ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ เป็นธรรมนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งธรรม] ๑
20. ปัญญาที่รู้ยิ่ง เป็นญาตัฏฐญาณ [ญาณในความว่ารู้] ๑
21. ปัญญาเครื่องกำหนดรู้เป็นตีรณัฏฐญาณ [ญาณในความว่าพิจารณา] ๑
22. ปัญญาในการละ เป็นปริจจาคัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสละ] ๑
23. ปัญญาเครื่องเจริญ เป็นเอกรสัฏฐญาณ [ญาณในความว่ามีกิจเป็นอันเดียว] ๑
24. ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง เป็นผัสสนัฏฐญาณ [ญาณในความว่าถูกต้อง] ๑
25. ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ เป็นอัตถปฏิสัมภิทาญาณ ๑
26. ปัญญาในความต่างแห่งธรรม เป็นธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑
27. ปัญญาในความต่างแห่งนิรุติ เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑
28. ปัญญาในความต่างแห่งปฏิภาณ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑
29. ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็นวิหารัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องอยู่] ๑
30. ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติเป็นสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสมาบัติ] ๑
31. ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าวิหารสมาบัติ] ๑
32. ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ [ญาณในสมาธิอันมีในลำดับ] ๑
33. ทัสนาธิปไตย ทัสนะมีความเป็นอธิบดี วิหาราธิคม คุณเครื่องบรรลุ คือวิหารธรรมอันสงบ และปัญญาในความที่จิตเป็นธรรมชาติน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต เป็นอรณวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก] ๑
34. ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วยความระงับสังขาร ๓ ด้วยญาณจริยา ๑๖และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ [ญาณในนิโรธสมาบัติ] ๑
35. ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณ ๑
36. ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาดโดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมอันสงบและธรรมอันเป็นประธาน] ๑
37. ปัญญาในความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆ และเดชเป็นสัลเลขัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องขัดเกลา] ๑
38. ปัญญาในความประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และจิตที่ส่งไป เป็นวิริยารัมภญาณ ๑
39. ปัญญาในการประกาศธรรมต่างๆ เป็นอรรถสันทัสนญาณ [ญาณในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม] ๑
40. ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกันในการแทงตลอดธรรมต่างกันและธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ ๑
41. ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นขันติญาณ ๑
42. ปัญญาในความถูกต้องธรรมเป็นปริโยคาหนญาณ [ญาณในความย่างเข้าไป] ๑
43. ปัญญาในการรวมธรรมเป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] ๑
44. ปัญญาในความมีกุศลธรรมเป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] ๑
45. ปัญญาในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยใจ] ๑
46. ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปแห่งจิต] ๑
47. ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า เป็นญาณวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยญาณ] ๑
48. ปัญญาในความสลัดออก เป็นวิโมกขวิวัฏฏญาณ[ญาณในความหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์] ๑
49. ปัญญาในความว่าธรรมจริงเป็นสัจจวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยสัจจะ] ๑
50. ปัญญาในความสำเร็จด้วยการกำหนดกาย [รูปกายของตน] และจิต [จิตมีญาณเป็นบาท] เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา [สัญญาประกอบด้วยอุเบกขาในจตุตถฌานเป็นสุขละเอียด] และลหุสัญญา [สัญญาเบาเพราะพ้นจากนิวรณ์และปฏิปักขธรรม] เป็นอิทธิวิธญาณ [ญาณในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ] ๑
51. ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการแผ่วิตกไป เป็นโสตธาตุวิสุทธิญาณ [ญาณอันหมดจดแห่งโสตธาตุ] ๑
52. ปัญญาในการกำหนดจริยาคือ วิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยความแผ่ไปแห่งจิต๓ ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นเจโตปริยญาณ [ญาณในความกำหนดรู้จิตผู้อื่นด้วยจิตของตน] ๑
53. ปัญญาในการกำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสสติญาณ [ญาณเป็นเครื่องระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้] ๑
54. ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักขุญาณ ๑
55. ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ [ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย] ๑
56. ปัญญาในความกำหนดรู้ เป็นทุกขญาณ ๑
57. ปัญญาใน อรรถว่าเป็นสิ่งควรละละ เป็นสมุทยญาณ ๑
58. ปัญญาในความทำให้แจ้ง เป็นนิโรธญาณ ๑
59. ปัญญาในความเจริญ เป็นมรรคญาณ ๑
60. ทุกขญาณ [ญาณในทุกข์] ๑
61. ทุกขสมุทยญาณ [ญาณในเหตุให้เกิดทุกข์] ๑
62. ทุกขนิโรธญาณ [ญาณในความดับทุกข์] ๑
63. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ [ญาณในข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับทุกข์] ๑
64. อรรถปฏิสัมภิทาญาณ ๑
65. ธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑
66. นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑
67. ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑
68. อินทริยปโรปริยัติญาณ [ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย] ๑
69. อาสยานุสยญาณ [ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย] ๑
70. ยมกปาฏิหิรญาณ [ญาณในยมกปาฏิหาริย์] ๑
71. มหากรุณาสมาปัตติญาณ ๑
72. สัพพัญญุตญาณ ๑
73. อนาวรณญาณ ๑


ถามจริงๆ เถอะท่าน นอกจากจะฟังธรรมจากท่านโน้นท่านนี้มา ท่านมีโอกาสศึกาพระธรรมตรงๆ จากพระไตรปิฎกบ้างหรือเปล่า?

ในพระไตรปิฎกมีพูดถึงพระโปฐิละไว้แค่นี้ โดลพระมหาโมคคลนะ
พระโปฐิละไม่เห็นพระสัทธรรม เพราะเป็นผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้แล้ว เดินไปสู่ทางผิดซึ่งเป็นทางคดไม่ควรเดิน พระโปฐิละหมกมุ่นอยู่ในสังขารติดอยู่ในลาภและสักการะ ดังตัวหนอนที่ติดอยู่ในคูถ จึงเป็นผู้ไม่มีแก่นสาร

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 23 ก.ย. 2009, 20:53, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
ขออนุญาตอธิบายนะคะ ด้วย 'ปัญญาธรรม' ระดับสกิทาคามี ค่ะ

ศีล สมาธิ ปัญญาธรรม เป็นไปตามลำดับค่ะ

โอวาทปาติโมกข์ว่าด้วย: การทำดี ละชั่ว ทำใจให้เบิกบาน อันนี้เกี่ยวเนื่องกันกับ ศีล สมาธิ ปัญญา

ใจเบิกบาน ย่อมมาจากการรักษาศีลด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นเป็นการละชั่วพื้นฐาน

เมื่อใจเบิกบาน แล้วทำสมาธิ จิตก็เปิดรับธรรมได้มากขึ้น

และเมื่อทำความดี เป็นบุญหนุนเนื่องกันไป ปัญญาธรรม ก็เกิดได้ง่ายขึ้น

ปัญญาธรรม เป็นปัญญาที่ละเอียดอ่อนค่ะ ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่รู้จริง รู้จริงเรื่องสัจธรรม เรื่องกรรม รู้อดีตของตัวเอง รู้อนาคตของตัวเอง นั่นเพราะเป็นผลมาจากกรรมทั้งนั้น

'ปัญญา' ที่ใช้กันทั่วๆไป มันคือ 'ความฉลาดและรู้มาก' ไม่ใช่ปัญญาธรรม ปัญญาทั่วไปจะเป็นสิ่งที่รวมเอากิเลส อคติ ฯลฯ ไว้ด้วย เพราะมันมาจากสมองที่คนเราคิดต่างๆกันไป

แต่ 'ปัญญาธรรม' เป็นปัญญาที่มาจากการจดจำได้ของจิต จิตที่ผ่านอะไรมามากมายหลายภพชาติ ปัญญาธรรมก็มีสามแบบ คือ
สุตมยปัญญา - ปัญญาจากการเห็นและการฟัง เป็นความจริงที่ไหลออกมาจากจิตเมื่อเห็นหรือฟัง อยู่ดีๆก็รู้ เช่น ดูภาพของไอสไตน์ แล้วก็รู้ขึ้นมาในใจเลยว่า เออ เราเคยเป็นไอนสไตน์มาก่อน เป็นต้น กรณีของการฟังก็เหมือนกัน เช่น ดูสารคดีแล้วฟังชื่ออเล็กซานเดอร์มหาราช ฟังๆแล้วดันรู้ขึ้นมาในใจว่า เออ เราเคยเป็นมาก่อน สุตมยปัญญา มาแบบที่เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อไหร่ แต่รู้สึกได้เองว่า เออ ใช่ ถูกต้อง

จินตามยปัญญา - ปัญญาจากการคิด เป็นความจริงที่ได้จากการคิดโดยกระบวนการของสมอง แล้วผลที่ได้คือความจริง ที่เราไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไม แต่รูสึกได้เองว่า เออ จริง เออ ถูกต้อง เช่น เรารู้จากสุตมยปัญญาว่า เราเป็นทั้งไอสไตน์ และเป็นทั้งวินสตัน เชอร์ชิลล์ สมองบอกเราว่า เป็นไปไม่ได้เพราะ สองคนนี่เกิดในช่วงเดียวกัน แล้วจินตามยปัญญา ก็คิดๆว่า เป็นไปได้ ก็จิตของสองคนนั้น มารวมอยู่ที่เรานี่นา เราไม่ได้ไปเกิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนี่ อีกเหตุผลที่จินตามยปัญญาคิดได้คือ สองคนนี่รักแผ่นดิน เราเองก็รักแผ่นดิน รักจากจิต เออ แบบนี้เลยเป็นไปได้

ภาวนามยปัญญา - ปัญญาที่เกิดจากการพัฒนาจิตอันเป็นสมาธิ รู้และเห็นจริงในสัจธรรม รู้มากขึ้น มากขึ้นเป็นลำดับขั้น แล้วก็มีสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ช่วยเสริมให้สิ่งที่รู้มากขึ้นๆนั้น อธิบายเหตุและผลของทุกสิ่งได้

ปัญญธรรมล้ำลึกและมหัศจรรย์ค่ะ ปัญญาทางโลกหยาบเกินไป และคนเข้าใจผิดกันมาก

จะเข้าใจได้ และรู้ได้ มีวิธีเดียวค่ะ ถือศีล 'ทำ'สมาธิ (ไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งสมาธิ) แล้วปัญญาธรรมจะเกิดเองค่ะ แล้วแต่บุญแต่กรรม ซึ่งก็ไปพ้องกับโอวาทปาติโมกข์ อย่างที่อธิบายข้างบนค่ะ

ขอให้เจริญในธรรมค่ะ




เลี้ยวกลับมานะจ๊ะ

กลับมาดูที่กายและจิตให้มากๆนะจ๊ะ :b1:

อย่าไปยึดติดกับบัญญัติศัพท์หรือคำเรียก โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์นะจ๊ะ smiley

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ในประโยค ป.ธ. ๓ พระธรรมบทภาค ๑ เรื่อง ภิกษุสองสหาย มีใจความเล่าว่า

เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวันกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุสองสหายได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 19 และพระคาถาที่ 20 นี้


ครั้งหนึ่งมีภิกษุสองรูปเป็นสหายกันจากตระกูลคฤหบดีในกรุงสาวัตถี ในภิกษุสองรูปนี้รูปหนึ่งศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏกจนมีความเชี่ยวชาญสามารถท่องจำความในพระคัมภีร์ต่างๆได้มากมาย ท่านรูปนี้ยังได้สอนพระภิกษุอื่นอีกเป็นจำนวน 500 รูป และยังได้เป็นผู้แนะนำภิกษุอื่นๆอีก 18 กลุ่มด้วยกัน ส่วนภิกษุอีกรูปหนึ่งนั้นมีความขยันหมั่นเพียรตามแนวทางของวิปัสสนากัมมัฏฐานจนได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา

ครั้งหนึ่งเมื่อพระภิกษุรูปที่สองนี้มาเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน พระภิกษุทั้งสองรูปนี้ก็ได้มาพบกัน พระภิกษุรูปที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกไม่ทราบว่าพระภิกษุอีกรูปหนึ่งได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงดูหมิ่นพระภิกษุรูปที่เป็นพระอรหันต์โดยคิดว่าท่านเป็นพระภิกษุชรารู้เรื่องคัมภีร์ต่างๆแต่เพียงเล็กน้อย ไม่ความรู้เรื่องนิกายต่างๆสักนิกาย หรือไม่มีความรู้เรื่องในปิฎกใดปิฎกหนึ่งในพระไตรปิฎก ดังนั้นท่านจึงคิดที่จะถามปัญหากับพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ให้เกิดความอับอาย พระศาสดาทรงทราบเจตนาที่เป็นอกุศลของพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก และพระองค์ยังทรงทราบด้วยว่า จากผลของการสร้างความลำบากให้แก่พระภิกษุรูปที่พระอรหันต์จะทำให้พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกไปเกิดในนรกได้

ดังนั้นพระศาสดาทรงมีพระกรุณาต่อพระภิกษุผู้คงแก่เรียน จึงได้เสด็จไปหาพระภิกษุทั้งสองรูปนั้นเพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุรูปที่คงแก่เรียนถามปัญหาพระภิกษุรูปที่เป็นพระอรหันต์ พระศาสดาจึงได้ทรงตรัสถามปัญหาเสียเอง โดยได้ตรัสถามปัญหาที่เกี่ยวกับฌานต่างๆ และมรรคต่างๆกับพระภิกษุรูปที่คงแก่เรียนที่ชำนาญในพระไตรปิฎก พระภิกษุรูปนี้ไม่สามารถตอบปัญหาของพระศาสดาได้เพราะตนไม่เคยนำสิ่งที่ตนสอนมาปฏิบัติ สำหรับกับพระรูปที่เป็นพระอรหันต์นั้น ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสามารถตอบคำถามของพระศาสดาได้ทุกข้อ พระศาสดาทรงยกย่องพระที่ปฏิบัติธรรมะแต่ไม่ทรงยกย่องพระที่คงแก่เรียน


พวกพระที่เป็นสัทธิวิหาริกไม่เข้าใจสาเหตุที่พระศาสดาทรงยกย่องพระภิกษุชราที่เป็นพระอรหันต์แต่ไม่ยกย่องพระภิกษุที่คงแก่เรียน พระศาสดาได้ทรงอธิบายเรื่องนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นว่า พระภิกษุคงแก่เรียนที่รู้มากแต่ไม่ปฏิบัติตามธรรมะนั้นก็เหมือนกับคนเลี้ยงโค คอยแต่เลี้ยงโคเพื่อรับค่าจ้าง ในขณะที่พระที่ปฏิบัติธรรมนั้นเหมือนกับเจ้าของโคที่ได้เสวยผลของผลิตผลห้าอย่างของโค ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุผู้คงแก่เรียนนั้นได้แต่การอุปัฏฐากจากศิษยานุศิษย์แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร ส่วนพระภิกษุสายปฏิบัติธรรมนั้น แม้ว่าจะมีความรู้น้อยและท่องจำพระคัมภีร์ได้น้อย แต่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของธรรมะและนำไปปฏิบัติอย่างมุมานะขยันหมั่นเพียร จึงได้ชื่อว่า “อนุธัมมจารี”(ผู้ปฏิบัติตามธรรม) สามารถขจัดราคะ โทสะ และโมหะได้ จิตของท่านจึงปลอดพ้นจากตัณหานุสัยและความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ท่านจึงเป็นผู้ได้เสวยผลประโยชน์ของมรรคและผลจริงๆ


จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 19 และพระคาถาที่ 20 ดังนี้


พหุ ปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน

น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต

โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ

น ภาควา สามญฺญสฺส โหติฯ

คนที่ได้แต่ท่องจำตำราได้มาก

แต่มัวประมาท ไม่ปฏิบัติตามคำสอน

ย่อมไม่ได้รับผลที่ควรจะได้จากการบวช

เหมือนคนเลี้ยงโค นับโคให้คนอื่นเขา.





อปฺปมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน

ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี

ราคญจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ

สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต

อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา

ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติฯ


คนที่ท่องจำตำราได้น้อย แต่ประพฤติตามธรรม

ละราคะ โทสะ โมหะได้

รู้แจ้งเห็นจริง มีจิตหลุดพ้น

ไม่ยึดมั่นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

เขาย่อมได้รับผลของการบวช.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากบรรลุพระโสดาบันป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.


อ่านเต็มๆฉบับได้ที่นี่นะคะ

viewtopic.php?f=7&t=25488

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
:b32:


:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 23 ก.ย. 2009, 21:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร