วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:


คำว่าปรมัตถ์อย่างถูกต้อง
คือ
1.อริยะมัคค 4 ได้แก่โสดาปัตติมัคค สกทาคามีมัคค อนาคามีมัคค และอรหัตตมัคค

2.อริยะผล 4 ได้แก่โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล

3.นิพพาน


ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามที่คุณอโศกะเชื่อถือหรอกครับ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือความรู้เพื่อประกอบการศึกษาไปสู่มัคคผลในพระพุทธศาสนาครับ


ขอจงยกตัวอย่างพระไตรปิฏกมาแสดงด้วยเถิด
ว่าปรมัตถ์ได้แก่อริยมรรคอริยผลอย่างที่คุณว่านะครับ

เด๊่ยวเขาจะหาว่า double standard
เพราะวันนี้ก็ยึดถือพระไตรปิฏก อักวันหนึ่งก็ยึดถือทิฐิตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมผมเข้าใจคุณอโศกะพูดล่ะเนียะ

ลองเปลี่ยนจากเกลือเป็นอย่างนี้สิ

ผมทำอาหารขึ้นมา เป้นเมนูสูตรผมเอง ไม่เคยมีใครกินมาก่อน
แต่ผมไม่ให้คุณๆกินนะ มีชื่อว่า "แกงวิจิตร"

ช่วยบอกผมหน่อยสิว่ามันมีรสชาติยังไง
คราวนี้ล่ะ อธิบายได้ไหม

แล้วต่อให้ผมอธิบายให้คุณฟัง

ถามจริงๆเถอะ ว่าคุณ"รู้รส"จริงๆเหรือ
รู้รสเท่าผมที่ได้เคยกินแล้ว หรือเปล่า

อธิบายไม่ถูกต้องจ่ายผมนะ
ไม่เอามากหรอก เอาบาทเดียว

ถ้าทะลึ่งอธิบายถูก ผมจะจ่ายให้ 2 บาท
กำไรตั้งบาทนึง

หรือถ้ายังแกล้งไม่เข้าใจอีก ผมจะยกตัวอย่างอย่างนี้นะว่า
คุณกับผมรู้จักสีแดง สีเขียว สีทั้ง 12 สีน่ะ
อธิบายได้เป้นฉากๆเลยนะ สีเนียะอธิบายกันเป้นเล่มๆยังได้

แต่ช่วยไปอธิบายให้คนตาบอดแต่กำเนิดรู้จักสีหน่อยเถอะ
ถ้าเขารู้จักสีได้ด้วยการอธิบาย ชี้ถูกว่าสีไหนเป้นสีไหน
ผมมีเท่าไหร่ผมให้หมดเลย

แต่ถ้าอธิบายไม่ได้ ผมขอนิดเดียว
ขอเขกกะโหลกทีนึง ข้อหาหมั่นไส้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
แต่ช่วยไปอธิบายให้คนตาบอดแต่กำเนิดรู้จักสีหน่อยเถอะ
ถ้าเขารู้จักสีได้ด้วยการอธิบาย ชี้ถูกว่าสีไหนเป้นสีไหน
ผมมีเท่าไหร่ผมให้หมดเลย

แต่ถ้าอธิบายไม่ได้ ผมขอนิดเดียว
ขอเขกกะโหลกทีนึง ข้อหาหมั่นไส้



สวัสดีครับคุณชาติสยาม

วันนี้คุณชาติสยามน่ารักที่สุดครับ


จากคำตอบนี้แสดงว่าการที่เราจะอธิบายเรื่องอะไรให้ใครเข้าใจ
ผู้พูดและผู้ฟังต้องรู้เรื่องเหล่านั้นตรงกันเหมือนกันมาก่อนใช่ไหมครับ ??

ถ้าเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสของจริงมาก่อนก็อธิบายให้เข้าใจกันไม่ได้ใช่ไหมครับ ??


ขอคำยืนยันอีกครั้งครับ



ขอบคุณในความเป็นกัลยาณมิตรอย่างยิ่งครับ


อย่างนี้รักกันตายเลย จะเขกหัวกี่ทีก็ไม่ว่าครับ ไม่ถือครับสำหรับคนรักกัน


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ขอจงยกตัวอย่างพระไตรปิฏกมาแสดงด้วยเถิด
ว่าปรมัตถ์ได้แก่อริยมรรคอริยผลอย่างที่คุณว่านะครับ

เด๊่ยวเขาจะหาว่า double standard
เพราะวันนี้ก็ยึดถือพระไตรปิฏก อักวันหนึ่งก็ยึดถือทิฐิตนเอง



มหาราชันย์ เขียน:
สำหรับผมคำว่าปรมัตถ์ ไม่ต้องรอถึงอีก 3 - 5 ปีข้างหน้าหรอกครับคุณอโศกะ
ผมบอกคุณได้วันนี้เลยครับ


คำว่าปรมัตถ์อย่างถูกต้อง
คือ
1.อริยะมัคค 4 ได้แก่โสดาปัตติมัคค สกทาคามีมัคค อนาคามีมัคค และอรหัตตมัคค

2.อริยะผล 4 ได้แก่โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล

3.นิพพาน


ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามที่คุณอโศกะเชื่อถือหรอกครับ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือความรู้เพื่อประกอบการศึกษาไปสู่มัคคผลในพระพุทธศาสนาครับ





ขอขอบคุณในความเป็นกัลยาณมิตรอย่างสุดซึ้งครับ
อย่างนี้สิเรียกว่ารักกันจริง
คนที่รักผมเมตตาผมไม่มีใครเกินคุณชาติสยามจริง ๆ
แสดงธรรมทีไรก็คอยบอกคอยเตือนว่าถูกหรือผิด

ว้า...งานนี้ผมคงแสดงธรรมผิดอีกแล้ว


แต่ก่อนผมจะเชื่อว่าผิดจริง
ผมต้องการเห็นคำตอบที่ถูกต้องจากคุณชาติสยามและคุณอโศกะครับว่า

คำว่าปรมัตถ์อย่างถูกต้อง คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ของจริงแท้นั้นอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหนหน้าที่เท่าไหร?

จะยกมาให้คนอื่นได้อ่านในเว็ปนี้ได้ยิ่งดี หรือส่งลิ้งมาให้ตามไปอ่านก็ได้ครับ


ขอร้องว่า เอามาจากพระไตรปิฎกเท่านั้นนะครับคุณชาติสยาม - คุณอโศกะ

หามาให้ผมได้เห็นเป็นขวัญตาหน่อยครับ


ประโยคที่ว่า
ปรมัตถ์ คือ/หรือได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ปรมัตถ์ คือ/หรือได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ปรมัตถ์ คือ/หรือได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน


ถ้าไม่มีอย่างนี้ก็ขอที่ใกล้เคียงที่สามารถตีความได้ว่า ปรมัตถ์อย่างถูกต้อง คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็ได้ครับ


ขอบคุณครับ


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมหามาให้ไม่ได้น่ะ
นั่นย่อมแสดงว่า คุณต้องหามาให้ดูได้แน่เลย


อย่ากระนั้นเลย ไหนๆผมก็หามาให้ดูไม่ได้
งั้นขอเชิญคุณเอามาลงให้ดูเป็นบุญตาดีกว่า

งานเข้าละนะ
ถ้าหาไม่ได้เหมือนกัน นี่ก็จบข่าวเลย
พอกันทั้งสองฝ่ายเลยนะเนียะ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 17:04
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อโศกะ เขียน:
เรียนเชิญคุณมหาราชันย์อธิบายความเค็ม หรือรสเค็ม ว่าเป็นอย่างไร ให้ชาวโลกเข้าใจได้เลยนะครับ หากอธิบายได้ดีจะโอนเงินเข้าบัญชีให้ แต่ต้องขอเพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลายช่วยกรุณาเป็นกรรมการและพยานให้ด้วยนะครับ (ด้วยการร่วมแสดงความเห็น)


เครื่องบินลำหนึ่ง บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มลำ และหนึ่งในเครื่องบินลำนั้น มีผู้หญิงท้องแก่ร่วมโดยสารมาด้วย ระหว่างทางเกิดพายุและฝนโหมอย่างรุนแรง

เครื่องยนต์ด้านซ้ายของเครื่องบินดับลงอย่างกะทันหัน หัวเครื่องบินปักดิ่งลง
ทะเล ด้วยสัญชาตญาณ ของนักบิน จึงพยายามดึงให้หัวเครื่องบินยกขึ้น แต่ก็ไม่ทันการณ์ เครื่องบินประทะกับพื้นน้ำอย่างแรง แล้วไถลขึ้นไปบนเกาะ ผู้โดยสารนอนตายเกลื่อน รวมทั้งนักบินและช่างประจำเครื่อง

เมื่อพายุและฝนสงบ กลับมีเสียงทารกร้องจ้า ...พร้อมกับมีอาการหนาวสั่น
...ใครเป็นคนสอนให้ร้อง...ทำไมเด็กหนาว จึงมีอาการสั่น..


เพราะโลกนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับมีสัญชาตญาณ เป็นของแถม แล้วสัญชาตญาณคืออะไร..?

สัญชาตญาณ [ชาดตะ] น. ความรู้ที่มีมาแต่กําเนิดของคนและสัตว์ทําให้มี
ความรู้สึกและกระทําได้เองโดยไม่ต้องมีใครสั่งสอน

( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 )


แก้ไขล่าสุดโดย เณรน้อย เมื่อ 16 ต.ค. 2009, 17:46, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 17:04
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




R520-21.gif
R520-21.gif [ 49.45 KiB | เปิดดู 3355 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พรหมชาลสูตร
เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ

สัญญีทิฏฐิ ๑๖


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วย ปัญญา อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ


แก้ไขล่าสุดโดย เณรน้อย เมื่อ 16 ต.ค. 2009, 18:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
งานเข้าละนะ
ถ้าหาไม่ได้เหมือนกัน นี่ก็จบข่าวเลย
พอกันทั้งสองฝ่ายเลยนะเนียะ



อสิตฤาษีได้ฟังเสียงที่เทวดาทั้งหลายกล่าวแล้วก็รีบลง (จาก
ชั้นดาวดึงส์) เข้าไปยังที่ประทับของพระเจ้าสุทโธทนะ นั่ง
ณ ที่นั้นแล้ว ได้ทูลถามเจ้าศากยะทั้งหลายว่า พระกุมาร
ประทับ ณ ที่ไหน แม้อาตมภาพประสงค์จะเฝ้า ลำดับนั้น
เจ้าศากยะทั้งหลายได้ทรงแสดงพระกุมารผู้รุ่งเรือง เหมือน
ทองคำที่ปากเบ้าซึ่งนายช่างทองผู้เฉลียวฉลาดหลอมดีแล้ว ผู้
รุ่งเรืองด้วยศิริ มีวรรณะไม่ทราม แก่อสิตฤาษี อสิตฤาษี
ได้เห็นพระกุมารผู้รุ่งเรืองเหมือนเปลวไฟ เหมือนพระจันทร์
อันบริสุทธิ์ ซึ่งโคจรอยู่ในนภากาศ สว่างไสวกว่าหมู่ดาว
เหมือนพระอาทิตย์พ้นแล้วจากเมฆ แผดแสงอยู่ในสรทกาล
ก็เกิดความยินดีได้ปีติอันไพบูลย์ เทวดาทั้งหลายกั้นเศวตฉัตร
มีซี่เป็นอันมาก และประกอบด้วยมณฑลตั้งพันไว้ในอากาศ
จามรด้ามทองทั้งหลายตกลงอยู่ บุคคลผู้ถือจามรและเศวตฉัตร
ย่อมไม่ปรากฏ ฤาษีผู้ทรงชฎาชื่อกัณหศิริ ได้เห็นพระกุมาร
ดุจแท่งทองบนผ้ากัมพลแดง และเศวตฉัตรที่กั้นอยู่บน
พระเศียร เป็นผู้มีจิตเฟื่องฟู ดีใจ ได้รับเอาด้วยมือทั้งสอง
ครั้นแล้ว อสิตฤาษีผู้เรียนจบลักษณะมนต์ พิจารณาพระราช
กุมารผู้ประเสริฐ มีจิตเลื่อมใส ได้เปล่งถ้อยคำว่า พระกุมาร
นี้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า ทีนั้น อสิตฤาษี
หวนระลึกถึงการบรรลุอรูปฌานของตน เป็นผู้เสียใจถึงน้ำตา
ตก เจ้าศากยะทั้งหลายได้ทอดพระเนตรเห็นอสิตฤาษีร้องไห้
จึงตรัสถามว่า ถ้าอันตรายจักมีในพระกุมารหรือหนอ อสิต-
ฤาษีได้ทูลเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ไม่ทรง
พอพระทัยว่า อาตมภาพระลึกถึงกรรมอันไม่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลในพระกุมารหามิได้ อนึ่ง แม้อันตรายก็จักไม่มีแก่
พระกุมารนี้ พระกุมารนี้เป็นผู้ไม่ทราม ขอมหาบพิตรทั้งหลาย
จงเป็นผู้ดีพระทัยเถิด พระกุมารนี้จักทรงบรรลุพระสัพพัญ-
ญุตญาณ พระกุมารนี้จักทรงเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จักทรงประกาศธรรม-
จักร พรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย แต่อายุของ
อาตมภาพ จักไม่ดำรงอยู่ได้นานในกาลนี้ อาตมภาพจัก
กระทำกาละเสียในระหว่างนี้ จักไม่ได้ฟังธรรมของพระกุมาร
ผู้มีความเพียรไม่มีบุคคลผู้เสมอ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึง
เป็นผู้เร่าร้อนถึงความพินาศ ถึงความทุกข์ อสิตฤาษียังปีติ
อันไพบูลย์ให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลายแล้ว ออกจากพระ
ราชวัง ไปประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อจะอนุเคราะห์หลาน
ของตน ได้ให้หลานสมาทานในธรรมของพระผู้มีพระภาคผู้มี
ความเพียรไม่มีบุคคลผู้เสมอ แล้วกล่าวว่า
ในกาลข้างหน้า
เจ้าได้ยินเสียงอันระบือไปว่า พุทโธ ดังนี้ไซร้ พระผู้มี
พระภาค ได้ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว
ย่อมทรงเปิด
เผยทางปรมัตถธรรม
เจ้าจงไปทูลสอบถามด้วยตนเอง ใน
สำนักของพระองค์ แล้วประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักพระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้นเถิด อสิตฤาษีนั้นผู้มีปรกติเห็นนิพพาน
อันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคต มีใจเกื้อกูลเช่นนั้น ได้สั่งสอน
นาลกดาบส นาลกดาบสเป็นผู้สั่งสมบุญไว้ รักษาอินทรีย์
รอคอยพระชินสีห์อยู่ นาลกดาบสได้ฟังเสียงประกาศในการ
ที่พระชินสีห์ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ได้ไปเฝ้า
พระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤาษีแล้ว เป็นผู้เลื่อมใส ได้ทูลถาม
ปฏิปทาอันประเสริฐของมุนีกะพระชินสีห์ ผู้เป็นมุนีผู้
ประเสริฐ ในเมื่อเวลาคำสั่งสอนของอสิตฤาษีมาถึงเข้า
ฉะนี้แล ฯ


จบวัตถุกถา


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
อสิตฤาษีนั้นผู้มีปรกติเห็นนิพพาน
อันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคต มีใจเกื้อกูลเช่นนั้น ได้สั่งสอน
นาลกดาบส นาลกดาบสเป็นผู้สั่งสมบุญไว้ รักษาอินทรีย์
รอคอยพระชินสีห์อยู่ นาลกดาบสได้ฟังเสียงประกาศในการ
ที่พระชินสีห์ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ได้ไปเฝ้า
พระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤาษีแล้ว



ท่านนาลกดาบสเถระฟังพระธรรมเทศนาแล้ว บรรลุมัคค 4 ผล 4 และนิพพานใช่หรือไม่ ??

มัคค 4 ผล 4 และนิพพาน เป็นปรมัตถธรรมหรือไม่ ??


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๓. เตลุกานิเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระเตลุกานิเถระ.
[๓๘๗] เรามีความเพียรค้นคิดธรรมอยู่นาน ก็ไม่ได้ความสงบใจ จึงได้ถาม
สมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอในโลกเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ใครเล่า
เป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่งลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใคร ซึ่ง
เป็นเครื่องให้รู้แจ้งปรมัตถ์
เราเป็นผู้มีความคด คือ กิเลสอันไปแล้วใน
ภายใน เหมือนปลาที่กินเหยื่อฉะนั้น เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่ คือ กิเลส
เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะฉะนั้น เรากระชาก
บ่วง คือ กิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นไปจากความโศกและความร่ำไร
ใครในโลกจะช่วยเราผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้น ประกาศทางเป็นเครื่อง
ตรัสรู้ให้เรา เราจะรับสมณะหรือพราหมณ์ คนไหนไว้เป็นผู้แสดงธรรม
อันกำจัดกิเลสได้จะปฏิบัติธรรมเครื่องนำไป ปราศจากชราและมรณะ
ของใคร
จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบด้วยความ
แข่งดีเป็นกำลัง ฉุนเฉียว ถึงความเป็นจิตกระด้างด้วยใจ เป็นเครื่อง
รองรับตัณหา สิ่งใดมีธนู คือ ตัณหาเป็นสมุฏฐานมีประเภท ๓๐ เป็น
ของมีอยู่ในโลก เป็นของหนัก ทำลายหทัยแล้วตั้งอยู่ ขอท่านจงดูสิ่ง
นั้นเถิด การไม่ละทิฏฐิน้อยๆ อันลูกศร คือ ความดำริผิดให้อาจหาญ
แล้ว เราถูกยิงด้วยลูกศร คือ ทิฏฐินั้น หวั่นไหวอยู่ เหมือนใบไม้ที่
ถูกลมพัดฉะนั้น กรรมอันลามก ตั้งขึ้นแล้วในภายในของเราย่อมพลัน
ให้ผล กายอันเนื่องด้วยสัมผัส ๖ เกิดแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปในที่นั้น
ทุกเมื่อ เราไม่เห็นหมอผู้ที่จะถอนลูกศรของเราได้เลย หมอไม่สามารถ
จะเยียวยาเรา ด้วยศาตราอย่างอื่นต่างๆ ชนิด ใครไม่ต้องใช้ศาตรา
ไม่ทำให้ร่างกายเราเป็นแผล ไม่เบียดเบียนร่างกายเราทั้งหมด จักถอน
ลูกศรอันเสียบอยู่ภายในหทัยของเราออกได้ ก็บุคคลผู้นั้นเป็นใหญ่ใน
ธรรม เป็นผู้ประเสริฐ ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้ ช่วยยกเราผู้ตกไป
ในห้วงน้ำ คือ สงสารอันลึกขึ้นสู่บกได้ เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่
อันเป็นที่สุดแห่งธุลี เป็นห้วงน้ำลาดไปด้วยมายา ริษยา ความแข่งดี
และความง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีใครจะนำออกได้ ความดำริทั้งหลาย
อันอาศัยซึ่งราคะ เป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ มีเมฆ คือ อุทธัจจะเป็น
เสียงคำรน มีสังโยชน์เป็นฝน ย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทร
คือ อบาย กระแสตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหา
เพียงดังเถาวัลย์เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ ใครจะพึงกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นได้
ใครเล่าจะตัดตัณหา อันเป็นดังเถาวัลย์นั้นได้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอันเป็นเครื่องกั้นกระแส ตัณหาเหล่านั้นเถิด
อย่าให้กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ พัดท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน ดัง-
กระแสน้ำ พัดต้นไม้อันตั้งอยู่ริมฝั่งฉะนั้น พระศาสดาผู้มีอาวุธ คือ
ปัญญา ผู้อันหมู่ฤาษีอาศัยแล้วเป็นที่พึ่งแก่เราผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหา
ฟั่ง คือ นิพพานจากที่มิใช่ฝั่ง พระองค์ได้ทรงประทานบันไดอันนาย
ช่างทำดีแล้วบริสุทธิ์ทำด้วยไม้แก่น คือ ธรรม เป็นบันไดมั่นคงแก่เรา
ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไปอยู่ และได้ตรัสเตือนเราว่า อย่ากลัวเลย
เราได้ขึ้นสู่ปราสาท คือ สติปัฏฐานแล้ว พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้ยินดี
ในร่างกายของตน ที่เราได้สำคัญในกาลก่อนโดยเป็นแก่นสาร ก็เมื่อใด
เราได้เห็นทางอันเป็นอุบายขึ้นสู่เรือ เมื่อนั้นเราจักไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน
ได้เห็นท่า คือ อริยมรรคอันอุดม พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูง
สุดเพื่อไม่ให้บาปธรรมทั้งหลาย มีทิฏฐิและมานะเป็นต้น ซึ่งเป็นดัง
ลูกศรเกิดในตน เกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ เป็นไปได้ พระพุทธ-
เจ้าทรงกำจัดโทษอันเป็นพิษได้ ทรงบรรเทากิเลสเครื่องร้อยกรองของเรา
อันนอนเนื่องอยู่ในสันดานอันตั้งอยู่แล้วในใจของเราตลอดกาลนาน
.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




b16.jpg
b16.jpg [ 48.19 KiB | เปิดดู 3297 ครั้ง ]
:b12: อ้างอิงคุณมหาราชันย์
คำว่าปรมัตถ์อย่างถูกต้อง
คือ
1.อริยะมัคค 4 ได้แก่โสดาปัตติมัคค สกทาคามีมัคค อนาคามีมัคค และอรหัตตมัคค

2.อริยะผล 4 ได้แก่โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล

3.นิพพาน


ไม่ใช่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามที่คุณอโศกะเชื่อถือหรอกครับ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือความรู้เพื่อประกอบการศึกษาไปสู่มัคคผลในพระพุทธศาสนาครับ


มีความเห็นอย่างนี้หรือครับ น่าสงสาร กอดตำราเสียจน หูตามืดมัว กลับไปอ่านซ้ำตัวอย่างเรื่องแกงรสพิเศษของคุณชาติสยามใหม่อีกสักหลายร้อยรอบ อย่าอ่านแล้วเทียบกับสัญญาวิปลาสเก่าๆ
อ่านแล้วให้สังเกต พิจารณาในจิตของตนไปด้วยว่า อธิบายรสแกง ที่คุณชาติสยามเอามาให้ชิมได้ไหม เท่านี้ก็จะได้คำตอบในใจของคุณเอง ว่า ปรมัตถธรรมคืออย่างไร
:b34: :b22: :b10: :b18: :b26: :b29:

คุณที่บอกว่าความรู้จักร้องให้ หัวเราะ ตั้งแต่เกิดเป็นสัญชาติญานโดยธรรมชาติ อีกไม่นานคงจะรู้และเข้าใจถึงพระนิพพานโดยสัญชาติญานบ้างนะครับ อนุโมทนา :b8:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 17:04
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




maha_mekaoombu.jpg
maha_mekaoombu.jpg [ 16.23 KiB | เปิดดู 3266 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
อโศกะ

คุณที่บอกว่าความรู้จักร้องให้ หัวเราะ ตั้งแต่เกิดเป็นสัญชาติญานโดยธรรมชาติ อีกไม่นานคงจะรู้และเข้าใจถึงพระนิพพานโดยสัญชาติญานบ้างนะครับ อนุโมทนา


จะมีใครปฎิเสธหรือไม่ ว่าการร้องไห้ การหัวเราะ นั้นไม่ต้องมีการฝึกอบรม และเณรน้อยมิได้บอกว่า การจะมีความเข้าใจถึงพระนิพพานนั้น สัญชาตญานพาไปได้

สัญชาตญาณสำหรับคนและสัตว์นั้น มีมาแต่กำเนิดนั้น เพราะพอลืมตามาก็ต้องพบกับผัสสะ ดังนั้นคนเกิดมาก็ต้องพบกับความทุกข์ และสัญชาตญาณของคนและสัตว์ ก็คืออยากแสวงแต่สุข จึงเกิดการดิ้นรน เพราะยังไม่มีการเรียนรู้

สัณชาตญาณมิสามารถควบคุมได้ เมื่อเจ็บก็ต้องร้อง เมื่อหิวก็ต้องมีอาการ เมื่ออิ่มก็ต้องมีอาการ เมื่อเอื้อมมือไปเจอความร้อนก็ต้องชักมือกลับ สามารถ ปฏิบัติได้เองโดยไม่ต้องมีการเรียนรู้ แต่การจะไปให้ถึงและเข้าใจในนิพพานนั้น ต้องมีการเรียนรู้ ต้องมีการอบรม ทางธรรมตามคำสอนของพุทธองค์


แต่ก็มีนะผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ใช่ว่าจะไม่มี...

เจริญในธรรมขอรับ


แก้ไขล่าสุดโดย เณรน้อย เมื่อ 17 ต.ค. 2009, 13:38, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เณรน้อย เขียน:
แต่ก็มีนะผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ใช่ว่าจะไม่มี...



มีสิ
ท่านเหล่าัน้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ปัจเจกพระพุทธเจ้า"

แต่ก็ "ไม่ใช่ความบังเอิญนะ"
พูดอีกนัยย์ว่าไม่ใช่สัญญาชาตญาน

ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่ "สะสม" มาทั้งนั้น
บารมีมันเต็มเปี่ยม เหตุปัจจัยมันสุกงอมพร้อมพรั่ง
ผมว่าคำว่า
... "ผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง" เป็นคนละคำกับคำว่า "บังเอิญ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร