วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 18:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณสมบัติสำคัญของบุคคลโสดาบัน



เนื่องด้วยธรรม ๕ ประการ คือ ศรัทธา ศีล (สุตะ) จาคะ และปัญญา

ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ-(องค์คุณเครื่องบรรลุโสดาบัน) เป็นคุณสมบัติของอริยสาวก

ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสเน้นอยู่เสมอ และใช้เป็นเครื่องวัดความเจริญก้าวหน้าของอริยสาวก

ทั้งก่อนบรรลุโสดาปัตติผล และเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว

นอกจากนั้น ยังมีขอบเขตครอบคลุมโสตาปัตติยังคะ เข้าไว้ทั้งหมด และพึงสังเกตคุณสมบัติ

ข้อที่ ๑ คือ ศรัทธาไว้เป็นพิเศษ ว่าเหตุใด จึงเป็นคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้า

ตรัสไว้ในทุกกรณี สำหรับการปฏิบัติระดับนี้

ทั้งที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ถือปัญญาเป็นธรรมสำคัญสุดยอดในกระบวนการปฏิบัติ


พิจารณาพุทธพจน์นี้ก่อน


“ภิกษุทั้งหลาย โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้ กล่าวคือ การเสวนากับสัตบุรุษ,

การฟังธรรมของสัตบุรุษ, การคิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี, การปฏิบัติธรรมหลักย่อยคล้อยแก่หลักใหญ่” *

(สํ.ม.19/1427/434)


“ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว

ย่อมเป็นไปเพื่อการประจักษ์แจ้งโสดาปัตตผล”

(สํ.ม.19/1634/516)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 07:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1588005lhu1nq7vr7.gif
1588005lhu1nq7vr7.gif [ 27.38 KiB | เปิดดู 9509 ครั้ง ]
ขยายความ คห.บน ที่มีเครื่องหมาย *


* ธรรม ๓ ข้อแรก (เสวนาสัตบุรุษ, การฟังธรรมของสัตบุรุษ, การคิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี)

ก็คือ ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญ (เสวนาสัตบุรุษ = กัลยาณมิตตตา

ฟังธรรมของสัตบุรุษ = ปรโตโฆษะฝ่ายดี)


ส่วนข้อสุดท้าย ธรรมานุธรรมปฏิบัติ หมายถึงการปฏิบัติธรรม

ให้ถูกต้องตามหลักการ ตามความมุ่งหมาย คือ หลักย่อยคล้อยตามหลักใหญ่

หลักเบื้องต้นเอื้อแก่หรือเป็นไปเพื่อหลักเบื้องปลาย เช่น ปฏิบัติศีลถูกหลัก เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรค

ผล นิพพาน มิใช่ปฏิบัติโดยงมงาย ไร้หลักการ หรือ ทำให้เขวไปด้วยตัณหาและทิฏฐิ -

ขุ.จู. 30/797/417)

แสดงตัวอย่าง ธรรมหรือธรรมหลักใหญ่ เช่น สติปัฏฐาน ๔ มรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น

(คือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ นั่นเอง)

ธรรมหลักย่อย เช่น การบำเพ็ญศีล การสำรวมอินทรีย์ ความรู้จักประมาณในอาหาร

ชาคริยานุโยค และสติสัมปชัญญะ เป็นต้น พึงปฏิบัติธรรมหลักย่อย เช่น ศีล

และการสำรวมอินทรีย์นี้อย่างมีจุดหมาย

โดยสอดคล้องและอุดหนุนแก่ธรรมหลักใหญ่เช่น สติปัฏฐาน ๔ เป็นต้นนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 07:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงธรรมหมวดนี้ มิใช่จะเป็นไปเพื่อโสดาปัตติผลเท่านั้น แต่อำนวยผล

เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางปัญญาทุกระดับจนถึงการบรรลุอรหัตผล จึงอาจเรียกชื่ออื่นๆ ได้อีก

หลายอย่าง แต่ท่านเน้นสำหรับการปฏิบัติข้อนี้ จึงมีชื่อเฉพาะว่า โสตาปัตติยังคะ

สํ.ม. 19/1635-1653/517-518 ขุ.ปฏิ.31/662-3/568-9

กล่าวว่าธรรม ๔ อย่างนี้เป็นไปเพื่อประจักษ์สกทาคามิผล จนถึงอรหัตผล และเป็นไปเพื่อ

ประโยชน์ในทางปัญญาอีกมากมายหลายอย่างเช่น เพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญา

เพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา

เพื่อความมีปัญญาเฉียบแหลมคม เพื่อความมีนิพเพธิกปัญญา คือ ปัญญาที่จะทำลายกิเลสได้

โดยเฉพาะที่เรียกว่า เป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ทำให้ได้ชื่อว่า ปัญญาวุฒิธรรม

ด้วย ซึ่งภายหลังนิยมเรียกกันเพียงสั้นๆว่า วุฒิ ๔ หรือ วุฒิธรรม ๔

ใน องฺ.จตุกฺก. 21/248-9/332

ก็แสดงไว้ในแง่ว่า เป็นไปเพื่อความเจริญปัญญา คือ เป็นปัญญาวุฒิธรรม

และเป็นธรรมมีอุปการะมาก แก่ผู้เป็นมนุษย์ ซึ่งอาจเรียกง่ายๆว่า พหุการธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 07:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม ๕ ประการ มีความหมาย ดังนี้


๑. ศรัทธา ความเชื่อ ความมั่นใจ เพราะได้พิจารณาใคร่ตรองมองเห็นเหตุผลด้วยปัญญา

แล้วแยกย่อยออกได้เป็น ๓ ด้าน คือ

ก. ความเชื่อ ความมั่นใจในพระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นบุคคลต้นแบบ ซึ่งยืนยันถึงวิสัย

ความสามารถของมนุษย์ว่า มนุษย์สามารถหยั่งรู้สัจธรรม เข้าถึงความจริงและความดีงาม

สูงสุดได้ ด้วยสติปัญญาและความเพียรพยายามของมนุษย์เอง

มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เจริญงอกงามขึ้นได้ ทั้งในด้านระเบียบชีวิตที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม

ทางกายวาจา

ทั้งในด้านคุณธรรมที่พึงอบรมให้แก่กล้าขึ้นในจิตใจ ทั้งในด้านปัญญาความรู้คิดเหตุผล

จนสามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัดบีบคั้นที่เรียกว่า กิเลสและกองทุกข์ ทำทุกข์ให้สิ้นไป

ประสบความเป็นอิสระดีงามเลิศล้ำสมบูรณ์ได้ และในการที่จะเข้าถึงภาวะเช่นนี้

ย่อมไม่มีสัตว์วิเศษใดๆไม่ว่าจะโดยชื่อว่า เทวะ มาร หรือพรหม ที่จะเป็นผู้ประเสริฐมีความสามารถ

เกินกว่ามนุษย์ ซึ่งมนุษย์จะหันเหไปหาหรือรีรอเพื่อขอฤทธานุภาพดลบันดาล


:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:


อนึ่ง บุคคลผู้ฝึกตนจนลุถึงภาวะนี้แล้ว ย่อมมีคุณความพิเศษมากมาย ซึ่งสมควรดำเนินตาม

และเมื่อมนุษย์มั่นใจในความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็ควรพยายามปฏิบัติสร้างคุณความดี

พิเศษนั้นให้มีขึ้นในตน หรือปฏิบัติให้เข้าถึงความที่บุคคลต้นแบบนั้นได้ค้นพบ

และนำมาแสดงไว้แล้ว


ข. ความเชื่อ ความมั่นใจในพระธรรม ทั้งความจริงและความดีงาม ที่บุคคลต้นแบบ

ซึ่งเรียกว่า พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้นั้น ว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ปฏิบัติเห็นผลประจักษ์กับตนเอง

มาก่อน เรียกว่าค้นพบแล้ว จึงนำมาประกาศเปิดเผยไว้ ธรรมนั้นเป็นสภาวะดำรงอยู่

หรือเป็นไปตามธรรมดาของมันเอง เป็นกฎเกณฑ์อันแน่นอน คือนิยามแห่งเหตุและผล

อย่างที่เรียกว่า เป็นกฎธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับการอุบัติของตถาคต

คือไม่ว่าจะมีใครค้นพบหรือไม่

เป็นกลาง เที่ยงธรรมต่อทุกคน ท้าทายต่อปัญญาและการเพียรพยายามฝึกอบรมตน

ของมนุษย์

บุคคลทุกคนเมื่อพัฒนาตนให้พร้อม มีปัญญาแก่กล้าพอแล้ว ก็รู้และลุได้ประจักษ์กับตน

เมื่อรู้หรือบรรลุแล้ว ก็สามารถแก้ปัญหา ดับทุกข์ หลุดพ้นเป็นอิสระได้จริง


ค. ความเชื่อ ความมั่นใจในพระสงฆ์ คือ ชุมชนหรือสังคมแบบอย่าง ซึ่งเป็นพยานยืนยัน

ว่า มนุษย์ทั่วไปมีความสามารถที่จะบรรลุความจริงความดีงามสูงสุดได้อย่างบุคคลต้นแบบ

แต่ชุมชนหรือสังคมนั้นจะมีขึ้นได้ เป็นไปได้ ก็ด้วยการยอมให้ธรรม คือความจริงความดีงาม

ปรากฏผลประจักษ์ออกมาทางบุคคลด้วยการปฏิบัติ

ชุมชนหรือสังคมนี้ ย่อมประกอบด้วยบุคคลทั้งหลายผู้ฝึกปรือ ศึกษา ซึ่งมีความสุกงอมแก่กล้า

ไม่เท่ากัน ก้าวหน้างอกงามอยู่ในระดับแห่งพัฒนาการต่างๆกัน

แต่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะมีหลักการร่วมกัน คือมีธรรมเป็นแกนร่วม

มีธรรมเป็นเครื่องวัด เป็นที่รองรับผลประจักษ์ และเป็นที่แสดงออกของธรรม

จึงเป็นชุมชนที่มีความดีงามน่าชื่นชม ควรเชิดชูรักษาและเข้าร่วม เพราะเป็นสังคม

ที่มีสภาพเอื้ออำนวยมากที่สุด แก่การที่จะดำรงธรรมให้สืบต่อไว้ในโลก

เป็นแหล่งแพร่ขยายความดีงามและประโยชน์สุขแก่โลก


รวมความหมายของศรัทธา ๓ อย่างนั้น ได้แก่ ความมั่นใจว่า ความจริงความดีงาม และกฎเกณฑ์แห่งเหตุ

และผล มีอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ

มนุษย์มีความสามารถที่จะเข้าถึงและหยั่งรู้ความจริงความดีงามและกฎธรรมชาตินั้นได้

และได้มีบุคคลผู้ประเสริฐซึ่งได้ค้นพบ เข้าถึง และนำความจริงนั้นมาเปิดเผย เป็นเครื่องยืนยันและนำทางไว้แล้ว

ผู้ที่มีความมั่นใจในกฎธรรมดาแห่งเหตุผล และมั่นใจในความสามารถของมนุษย์แล้ว

ย่อมเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดจากเหตุคือการกระทำ เชื่อการกระทำและผลของการกระทำ

ที่เป็นไปตามนิยามแห่งเหตุและผล จนมีหลักประกันความเข้มแข็งทางจริยธรรม พยายามศึกษาให้รู้เข้าใจ

และกระทำการไปตามทางแห่งเหตุปัจจัยอย่างมั่นคง ไม่หวังพึ่งอำนาจดลบันดาลจากภายนอก และจะมั่นใจว่า

สังคมที่ดีงาม หรือสังคมอุดมคตินั้น มนุษย์สามารถช่วยกันสร้างขึ้นได้ และประกอบด้วยมนุษย์ผู้ดำเนินชีวิตดี

งามตามเหตุผลนี้เอง ซึ่งได้ฝึกอบรมตน เพื่อเข้าถึงธรรม หรือ เพื่อบรรลุคุณความดีพิเศษ

อย่างพระพุทธเจ้า


สรุปอีกชั้นหนึ่งว่า เมื่อตรองเห็นเหตุผลแล้ว มั่นใจว่าพระพุทธเจ้ารู้จริงดีจริง

จึงเชื่อว่าธรรมที่พระองค์ตรัสเป็นจริงดีจริง แล้วเชื่อว่า หมู่ชนที่เป็นอยู่ด้วยธรรมนั้น มีได้จริง ได้มีจริง

ควรให้มี และควรเข้าร่วมจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 04 มิ.ย. 2010, 17:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. ศีล คือ ระเบียบความประพฤติ

หรือถ้าจะพูดให้เต็มความหมายแท้จริง คือระเบียบความเป็นอยู่ ทั้งส่วนตัว

และที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางกายวาจา ตลอดถึงทำมาหาเลี้ยงชีพ

ซึ่งได้กำหนดวางไว้เพื่อทำให้ความเป็นอยู่นั้น กลายเป็นสภาพอันเอื้ออำนวยแก่การปฏิบัติกิจต่างๆ

ที่เป็นไปเพื่อเข้าถึงจุดหมายอันดีงาม ซึ่งเป็นอุดมคติของคนในสังคมหรือชุมชนนั้น


โดยทั่วไป ระเบียบความประพฤตินี้ จะมีลักษณะเป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะทำความชั่ว

และส่งเสริมโอกาสสำหรับทำความดี

โดยฝึกคนให้รู้จักสร้างความสัมพันธ์ด้านกายวาจาที่ดีงาม กับสภาพแวดล้อม อันจะเป็นผลเอื้ออำนวย

แก่การดำรงอยู่ทั้งของตนและชุมชน หรือ สังคมของตน และเอื้ออำนวยแก่การทำกิจต่างๆ

ที่ยิ่งๆขึ้นไป

พร้อมกันนั้น ก็เป็นการฝึกอบรมชีวิต ด้านกายและวาจาของบุคคล ให้มีความพร้อมยิ่งขึ้น

ในอันที่จะเสวยผลและที่จะทำกิจเช่นนั้นด้วย

เฉพาะอย่างยิ่ง เน้นความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางสังคม คือการอยู่กันด้วยดีระหว่างมนุษย์

ด้วยกัน ในสภาพที่เกื้อกูลเช่นนั้น

สมาชิกแต่ละคนนอกจากจะสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดีแล้ว ยังมีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่ดีงาม

หรือเข้าถึงสิ่งที่มีคุณค่าสูงขึ้นไปอีกด้วย


:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


สำหรับสังคมมนุษย์ในวงกว้าง ระเบียบความประพฤติขั้นต้นอย่างน้อยที่สุด หรือศีลขั้นพื้นฐาน

ที่จะสร้างสภาพเกื้อกูลในเกิดขึ้น ก็คือ

หลักที่เรียกว่าศีล ๕ ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ การไม่ละเมิดต่อชีวิต ต่อทรัพย์สิน ต่อของรัก

ของกันและกัน

การไม่ใช้วาจาละเมิดความจริง เพราะเห็นแก่ตนและมุ่งทำลายผู้อื่น

และการไปยอมทำลายสติสัมปชัญญะ หรือ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีของตนด้วยการตกไป

ในอำนาจของสิ่งเสพติด *

ส่วนระเบียบความประพฤติที่ซับซ้อนไปกว่านี้ ย่อมรวมไปถึงข้อกำหนดกฎเกณฑ์ขนบธรรมเนียม

และข้อปฏิบัติปลีกย่อยต่างๆ ที่วางไว้เพื่อความเรียบร้อยดีงาม และเพื่อให้เกิดสภาพการดำรงชีวิต

อันเกื้อกูล แก่การเข้าถึงจุดมุ่งหมายจำเพาะของชุมชนนั้น สังคมนั้น หรือระบบการนั้นๆ

ศีลจึงมีความเข้มงวดกวดขัน เคร่งครัด หยาบ ประณีต และรายละเอียดต่างๆ กัน

ดังมี ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นตัวอย่าง


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

* สติสัมปชัญญะ หรือ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีนี้ ย่อมเป็นหลักประกันหรือเครื่องคุ้มกันของศีล

ทั้งหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 07:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อว่าโดยสรุป ศีลตามความหมายของพระพุทธศาสนามีลักษณะสำคัญ คือ



๑)ทำให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ ที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติกิจต่างๆ เพื่อเข้าถึงจุดหมายที่ดีงาม

โดยลำดับจนถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต

๒)ทำให้สมาชิกของสังคม หรือ ชุมชนนั้นอยู่ร่วมกันด้วยดี สังคมสงบเรียบร้อย

สมาชิกต่างดำรงอยู่ด้วยดี และมุ่งหน้าปฏิบัติกิจของตนๆ โดยสะดวก

๓) ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ทำให้กิเลสเบาบางลง ด้วยการควบคุมยับยั้งสังวร

ปรับการแสดงออกทางกายวาจา ให้เอื้อแก่สภาพความเป็นอยู่ที่เกื้อกูลและการอยู่ร่วมกันด้วยดีนั้น

อันเป็นขั้นต้นของการพัฒนาชีวิตของตนให้พร้อม ที่จะเป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลาย

เฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นพื้นฐานของสมาธิ หรือการฝึกปรือคุณธรรมทางจิตใจที่สูงขึ้นไป *


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:


แม้ว่า จะมีศีลที่สูงกว่าศีล ๕ อีกหลายระดับหลายประเภท

แต่ศีลหรือระเบียบความประพฤติทุกอย่าง ซึ่งเป็นที่ต้องการในการปฏิบัติธรรม ดังที่เรียกว่า

ศีลซึ่งอริยชนชื่นชมนั้น ก็มีสาระสำคัญอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ เป็นศีลที่ประพฤติปฏิบัติถูกต้อง

ตามหลักการ ไม่เขวไปเพราะตัณหาที่มุ่งแสวงหาอิฏฐารมณ์เป็นผลตอบแทน

หรือเพราะทิฏฐิ ที่นำเอาความยึดถือเกี่ยวกับตัวตนมาปิดบังวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของศีล

ปฏิบัติโดยเข้าใจความมุ่งหมาย

มิใช่สักว่ายึดถือ ทำตามๆกันไปโดยงมงาย

สำหรับชาวบ้านทั่วไป เมื่อปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้แล้ว แม้เพียงศีล ๕ ก็เป็นปฏิปทาของพระโสดาบัน


:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


* พึงสังเกตว่า ศีลขั้นพื้นฐานที่สุด (เช่น ศีล ๕) จะมีสาระที่มุ่งเพื่อการไม่เบียดเบียน

ซึ่งเป็นต้นที่สุด ของการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อกูล

ศีลต่อจากนั้นขึ้นไป จะหันไปเน้นการสร้างสภาพเกื้อกูลทั้งของสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่

ส่วนตัว และการฝึกหัดขัดเกลาตนเอง เพื่อจุดหมายที่จำเพาะมากยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 07:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. สุตะ แปลว่า สิ่งที่ได้สดับ

หมายถึงความรู้ที่ได้จากการได้ยินได้ฟัง การสดับ การอ่าน การเล่าเรียน ความรู้ที่ได้จากกรศึกษา

ศิลปวิทยาต่างๆ เกี่ยวกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ และการประกอบกิจต่างๆในโลก แม้จะเป็นสุตะ

แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับความเป็นอริยสาวก

บุคคลหนึ่งๆ อาจมีสุตะในศิลปวิทยาเพียงอย่างหนึ่ง ก็พอสำหรับการดำรงชีวิต

คนหนึ่งก็มีสุตะในเรื่องหนึ่ง

ต่างคนก็ต่างสุตะกันไป

สุตะของคนหนึ่ง ไม่จำเป็นสำหรับอีกคนหนึ่ง

ไม่มีสุตะใดที่จำเป็นสำหรับทุกคนเสมอเหมือนกัน

นอกจากนั้น สุตะประเภทนี้ ยังมิใช่สุตะที่ปราศจากโทษ แม้ว่าโดยความมุ่งหมายเดิมสุตะเหล่านี้

จะเป็นสิ่งที่มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์ ประสบอิสรภาพ

และมีความสุข แต่มีบ่อยครั้งที่กลับเกิดผลตรงข้าม กลายเป็นเครื่องมือสร้างปัญหา

ก่อความทุกข์ให้หนักและซับซ้อนแก้ไขยากยิ่งขึ้น จึงไม่ใช่สุตะที่เต็มตามความหมายในที่นี้

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

สุตะที่เป็นคุณสมบัติของอริยสาวกนั้น

หมายถึงความรู้ ที่จำเป็นสำหรับทุกคน เพื่อให้รู้จักวิธีที่จะดำเนินชีวิตให้ดีงาม ทำให้รู้จักใช้สุตะอื่นๆ

มีวิชาชีพเป็นต้น ไปในทางที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นส่วนเสริมสำหรับ

ปิดกั้นโทษ

ช่วยทำให้สุตะอื่นมีคุณค่าเต็มบริบูรณ์ เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาตามความหมายที่แท้จริง

เป็นคุณด้านเดียว ยิ่งกว่านั้นสุตะอย่างนี้เท่านั้น เป็นความรู้ที่ทำปุถุชนให้กลายเป็นอริยะ

หรืออารยะได้ สุตะนี้ก็คือความรู้ในอริยธรรม คือ หลักความจริงความดีงามที่อริยชนแสดงไว้

หรือคำแนะนำสั่งสอนต่างๆที่แสดงหลักการครองชีวิตประเสริฐ ชี้มรรคาไปสู่ความเป็นอริยชน

สุตะในศิลปะต่างๆ จะต้องมีสุตะในอริยธรรมนี้ควบหรือแทรกอยู่ด้วยเป็นส่วนเติมเต็มเสมอไป

จึงจะพอให้เกิด

ความมั่นใจว่า จะเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาไม่ใช่เครื่องมือสร้างเสริมปัญหา

อย่างไรก็ตาม สุตะทุกอย่างรวมทั้งสุตะในอริยธรรม แม้จะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง

แต่ก็ยังเป็นเพียงความรู้อย่างคลังสำหรับเก็บสะสมวัตถุดิบ ยังไม่สำเร็จกิจแท้จริง

อย่างดี ถ้าก้าวไปอีกขั้นหนึ่งก็กลายเป็นความรู้ที่ย่อยเข้าเป็นของตัวเองแล้ว

ที่เรียกว่า ทิฏฐิหรือความรู้ระดับทฤษฎีซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ จะต้องนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ของปัญญา

ซึ่งเป็นความรู้ระดับแยกคัดจัดสรรและวินิจฉัย

แล้วนำไปปฏิบัติ ตามหลักที่ว่าหลักย่อยคล้อยแก่หลักใหญ่ (ธรรมานุธรรมปฏิบัติ) จึงจะสำเร็จผล

ในการใช้งานอย่างแท้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




00029_10.gif
00029_10.gif [ 20.8 KiB | เปิดดู 9500 ครั้ง ]
๔. จาคะ แปลว่า การสละ หรือสละให้

หมายถึงการให้ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการสละออกไป สละทั้งข้างนอกและข้างใน

ข้างนอกสละวัตถุ ข้างในสละกิเลสความโลภ ไม่มีความรู้สึกตระหนี่หวงแหน

ไม่ปรารถนาผลได้ตอบแทน เพราะการให้ของอริยสาวกท่านกระทำด้วยจิตที่สูงพ้นระดับความต้อง

การผลตอบแทนใดๆไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สุข หรือสวรรค์ก็ตาม

ลักษณะด้านจาคะของอริยสาวกเท่าที่บรรยายไว้ เช่นคำว่า ชอบให้ ชอบบริจาค

(ทานสังวิภาครัต) แสดงอยู่ในตัวถึงการมีความสุข สบายใจในการกระทำเช่นนั้น

และการที่มิได้กระทำ เพราะมุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทนแก่ตน

อริยสาวกจึงไม่มีปัญหา ในเรื่องที่จะมาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน หรือ ความเศร้าโศกผิดหวัง

ในภายหลังว่า ทำแล้วไม่ได้อย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้

เพราะ ในเมื่อความโลภไม่ครอบงำใจ ไม่หมายใจคิดจะเอา ไม่มีความหวงแหนปิดบังอยู่ข้างใน

แล้วใจก็เปิดกว้างออก ความเข้าใจผู้อื่นก็เกิดขึ้น

มองเห็นความทุกข์ความเดือดร้อนของเขาโดยง่าย จิตใจโน้มน้อมไปเองในทางที่จะให้

มุ่งแต่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือ ให้เขาได้รับประโยชน์ แก้ปัญหาให้เขา

ทำให้เขามีความสุข มีความยินดีพอใจสุขใจในการให้การสละและการแบ่งปันนั้นๆ


:b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50:


ถ้าจะคิดในแง่ผลตอบแทน การให้นั่นแหละเป็นการได้อยู่ในตัว เพราะอริยสาวกมีฉันทะ

ในกุศลธรรม คือต้องการทำความดี หรือ ต้องการให้มีสิ่งที่ดีงามด้วยการให้นั้น

อริยสาวกก็เป็นอันได้กระทำสิ่งที่ดีงาม และความดีงามก็ได้เกิดมีขึ้น

อริยสาวกมีเมตตา ปรารถนาให้โลกมีความสุข และที่ให้นั้นก็ด้วยอำนาจเมตตากรุณา

ด้วยการให้นั้น โลกก็มีความสุขเพิ่มขึ้นแล้ว

นอกจากนั้น อริยสาวกยังได้ความมีใจบริสุทธิ์ ความมีจิตผ่องใส ความมีกิเลสลดน้อยลงไป

การได้ฝึกฝนอบรมตน ความก้าวหน้าในธรรม

ความสุขความอิ่มใจจากสภาพที่เป็นบุญเป็นกุศลเหล่านั้น และความเข้าใกล้จุดหมาย

ของพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น



ในเรื่องนี้ พึงอ้างวจนะของพระสารีบุตรที่ว่า

“บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้ทานเพราะเห็นแก่อุปธิสุข

(สุขเจือกิเลสหรือโลกียสุข หรือสุขในไตรภพ)

ย่อมไม่ให้ทานเพื่อภพใหม่ แต่บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมให้ทานเพื่อกำจัดกิเลส เพื่อไม่ก่อภพต่อไป”

(ขุ.ม. 29/825/517)


อนึ่ง ในฐานะที่อริยสาวกเป็นสัตบุรุษ ย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ ( *)

ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ท่านเน้นไว้เกี่ยวกับการให้อย่างสัตบุรุษ ได้แก่ การให้โดยเคารพ

คือให้ด้วยความตั้งใจจริง ให้ความสำคัญแก่ผู้รับ แก่สิ่งของที่ให้ และแก่การให้นั้น

ไม่ว่าผู้รับจะตกอยู่ในสภาพอย่างใด ต่ำต้อยเพียงไร ก็ไม่ดูถูกเหยียดหยาม

ไม่แสดงอาการดังว่าจะทิ้งเสีย หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดรำคาญ

แต่มีเมตตากรุณา ให้ด้วยความเต็มใจ มุ่งให้เขาได้รับประโยชน์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




47.jpg
47.jpg [ 70.8 KiB | เปิดดู 9500 ครั้ง ]
(ขยายความที่มีเครื่องหมาย * คห.บน)

(*) ให้อย่างสัตบุรุษ เรียกว่าสัปปุริสทาน

กำหนดอาการและคุณสมบัติต่างๆ ของผู้ให้ที่นอกเหนือออกไปจากการคำนึงถึงความต้องการ

ของผู้รับ ท่านแสดงไว้หลายหมวด

หมวดหนึ่งมี ๕ คือ ๑. ให้โดยเคารพ ๒.ให้โดยอ่อนน้อม ๓. ให้ด้วยมือของตน

๔. ให้มิใช่ดังทิ้งขว้าง ๕. ให้โดยเข้าใจถึงผลที่จะตามมา -

(อาคมนทิฏฐิก อรรถกถาว่า เห็นว่าจะมีผลบ้าง เชื่อกรรมและผลของกรรมบ้าง)


ม.อุ.14/151/114 ฯลฯ


อีกหมวดหนึ่งมี ๕ คือ ๑. ให้ด้วยศรัทธา ๒. ให้โดยเคารพ ๓.ให้โดยกาลอันควร

คือถูกเวลา ๔. ให้โดยจิตใจไม่มีแง่งอน -

(คือ ใจโปร่งโล่ง มีจาคะเต็มที่ ไม่มีเงื่อนงำ นี้แปลตามอรรถกถา

บางท่านแปลว่า โดยมีจิตอนุเคราะห์ ) ๕ ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น

(เช่น ไม่ใช่ให้เพื่อยกตนข่มผู้อื่น)

องฺ.ปญูจก. 22/148/192

อีกหมวดหนึ่งมี ๘ คือ ๑. ให้ของสะอาด ๒. ให้ของประณีต ๓.ให้ถูกเวลา ๔.ให้ของสมควร

๕.ให้ด้วยวิจารณญาณ ๖. ให้เนื่องๆ ๗. เมื่อให้จิตใจผ่องใส ๘ .ให้แล้วเบิกบานใจ

(องฺ.อฏฐก. 23/127/248)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๕.ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว หรือ รู้ชัด ได้แก่ ความเข้าใจ ความหยั่งรู้เหตุผล

หรือ ความรู้ประเภทแยกคัดจัดสรร และ วินิจฉัย คือ แยกแยะวินิจฉัยได้ว่า จริง เท็จ ดี ชั่ว

ถูก ผิด ควร ไม่ควร ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์

รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล หรือ ปัจจัยต่างๆ

รู้ภาวะตามเป็นจริงของสิ่งต่างๆ รู้ว่าจะนำไปใช้ หรือ ปฏิบัติอย่างไร จึงจะแก้ปัญหาได้

หรือ ให้สำเร็จผลที่มุ่งหมาย เป็นความรู้ระดับใช้งานหรือแก้ปัญหา


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


แต่ในที่นี้ท่านหมายถึงเฉพาะความรู้ ที่จะใช้แก้ปัญหาชีวิตของมนุษย์ คือ ดับทุกข์

หรือ พูดอีกอย่างหนึ่ง ความรู้ที่จะทำให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงาม ไม่ให้เกิดปัญหา

ไม่ให้เป็นที่มาของทุกข์ ซึ่งมีวิธีพูด ได้หลายแง่หลายด้าน เช่นว่า ความเข้าใจโลก

และชีวิตตามความเป็นจริง

หรือ รู้อริยสัจ หรือ มองเห็นปฏิจจสมุปบาท หรือ ความคิดเหตุผลที่ไม่ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ

หรือ ที่ท่านแสดงไว้เป็นความหมายของปัญญาสัมปทา

ในฐานะคุณสมบัติของอริยสาวกว่า ปัญญาที่หยั่งถึงความเกิดขึ้น และความเสื่อมสิ้นไป -

(หรือ รู้เท่าทันคติธรรมดาของโลกและชีวิต เช่น เกิดแก่เจ็บตาย ความเจริญและความเสื่อม)

อันเป็นอริยะ ทะลวงกิเลสได้ (หรือ เจาะสัจธรรมได้)

มีชื่อเฉพาะว่า นิพเพธิกปัญญา อันจะให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ

แต่ไม่ว่า จะบรรยายโดยสำนวนความอย่างใด ก็มีสาระสำคัญอย่างเดียวกัน

:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ไม่ว่าใครจะมีโลกียปัญญายักเยื้องแก่กล้าแตกต่างกันไปอย่างไร ซึ่งทำให้เป็นผู้เก่งกล้าสามารถ

ในการดำเนินกิจการต่างๆในโลก เช่น โดดเด่นทางการเมือง รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ

เป็นนักประดิษฐ์เชี่ยวชาญประยุกตวิทยา หรือ เป็นนักค้นคว้าและค้นพบทางวิทยาศาสตร์

แต่ความรู้ที่ขาดมิได้ หรือ มีความจำเป็นสำหรับทุกคน ในการที่จะแก้ปัญหาชีวิตของตน

หรือที่จะดำเนินชีวิตอยู่ด้วยดี ก็คือปัญญาที่เป็นคุณสมบัติของอริยสาวกนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก็ดี ความรู้ประเภทสุตะ ก็เป็นอุปกรณ์สำคัญของปัญญา ซึ่งทำให้ปัญญาได้ข้อมูล

ที่จะนำไปใช้และสร้างความเข้าใจได้ชัดเจนกว้างขวางยิ่งขึ้น

สุตะ จึงเป็นปัจจัยแก่ปัญญาด้วย ไม่เฉพาะแต่สุตะทางธรรมเท่านั้นเป็นปัจจัยแก่ปัญญา

ของอริยสาวกได้

แม้แต่สุตะทางโลกก็เป็นปัจจัยแก่ปัญญาทางธรรมได้ โดยเฉพาะประสบการณ์ชีวิต เพราะผู้ที่รู้จักคิด-

(โยนิโสมนสิการ) อาจเกิดปัญญาเข้าใจโลกและชีวิตได้ จากสุตะในวิชาการและอาชีพต่างๆ

ที่ตนประกอบ

แต่เมื่อกล่าวอย่างรวบยอด สำหรับการดำเนินชีวิตที่ดีงามหรือความก้าวหน้าในธรรม

ความสำเร็จเด็ดขาดอยู่ที่ปัญญา


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

บางคนมีสุตะมาก แต่ไม่รู้จักคิดก็หาเกิดปัญญาไม่ และไม่สามารถใช้สุตะให้เป็นประโยชน์

บางคนสุตะเพียงเล็กน้อย จนแทบไม่ต้องพูดถึง แต่มีปัญญามาก รู้จักคิดก็รู้จักดำเนินชีวิตที่ดี

แก้ปัญหาได้

สำหรับผู้มีปัญญา ยิ่งมีสุตะมาก ปัญญาก็ยิ่งทำการสำเร็จประโยชน์มาก แต่ถึงขาดแคลนสุตะ

ก็อาจทำประโยชน์ให้สำเร็จได้

ในการแสดงคุณสมบัติของอริยสาวก จึงหลายครั้งที่ปรากฏว่า เมื่อจะต้องลดจำนวนข้อลงให้เหลือ

เพียง ๔

เอาไว้แต่ที่จำเป็นมากกว่า ท่านจึงลดสุตะออกไป เหลือเพียง ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา


อนึ่ง ปัญญาไม่เพียงแต่ให้ความสำเร็จแก่สุตะเท่านั้น แต่เป็นฐานรองรับและให้ความถูกต้อง

แก่คุณสมบัติข้ออื่นๆทั้งหมด

ปัญญาทำให้ศรัทธาเป็นศรัทธาที่ถูกต้องตามหลัก ไม่ผิดพลาดกลายเป็นความงมงาย

ปัญญาทำให้ประพฤติศีลได้ถูกต้อง เป็นศีลที่อริยชนชื่นชมยอมรับอย่างที่เรียกว่า อริยกันตศีล

ไม่กลายเป็นสีลัพพตปรามาส

ปัญญาทำให้มีจาคะ ที่เป็นความสละแท้จริงได้ เพราะถ้าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจโลกและชีวิต

ตามความเป็นจริง ยังไม่มองเห็นสภาวะที่แท้ และ คติธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย

และยังไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่าแล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องให้คุณค่าแก่

วัตถุกามเป็นอย่างสูง ยากที่จะไม่หลงใหลปรารถนามากขึ้นไปในโลกียสุข

และจึงยากที่จะทำการสละออกไปโดยไม่หวังผลได้ตอบแทนเป็นกามคุณ หรือ ความเป็นความมี

ในรูปใดรูปหนึ่ง

ปัญญาจึงเป็นแกนและเป็นตัวคุมคุณสมบัติอื่น เป็นคุณสมบัติหลักของอริยสาวก

และเป็นจุดมุ่งของการฝึกอบรมตนของอริยสาวกต่อๆไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




908650e6nbhrlj0r.gif
908650e6nbhrlj0r.gif [ 119.8 KiB | เปิดดู 9495 ครั้ง ]
สรุปว่า คุณธรรมที่เป็นหลักแท้ๆ มี ๔ อย่างคือ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา

๑. ศรัทธา ความเชื่อความมั่นใจในปัญญา คุณธรรมและความเพียรพยายามของมนุษย์

ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงความจริง ความดีงามสูงสุดได้ตามกฎธรรมดาแห่งเหตุและผล

ดังได้มีท่านผู้นำทางไว้ และ ซึ่งจะทำให้มนุษย์สร้างสังคมที่ดีงามอันดำรงอยู่โดยธรรมได้

๒. ศีล การรู้จักบังคับควบคุมตนได้ ซึ่งทำให้ความเป็นอยู่ พฤติกรรม และลักษณะ

ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและสภาพแวดล้อมของบุคคลนั้นๆ เกิดความเหมาะสมพอดี

ที่จะเกื้อกูลแก่ความเจริญงอกงามแห่งคุณธรรมของตน และความอยู่ร่วมกันด้วยดีของสังคม

๓. จาคะ ความสละ ที่ทำให้ไม่ตัดสินหรือคิดการต่างๆ เข้าข้างตนเอง และทำให้พร้อม

ที่จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแก่ผู้อื่น

๔. ปัญญา ความรู้ตระหนักเท่าทันถึงความเจริญของสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นไปตามกฎธรรมดา

มีความเกิดขึ้นเสื่อมสิ้นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งทำให้วางใจ วางท่าทีต่อสิ่งต่างๆ

ได้ถูกต้อง โดยมีจิตใจหลุดพ้นเป็นอิสระ สามารถวินิจฉัยแยกการอันควรมิควรทำ

กำหนดความพอเหมาะพอดี และการที่จะใช้หรือพัฒนาต่อไปของคุณธรรมอื่นๆ

ทั้งหมดอย่างเหมาะสม

ส่วนสุตะ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่มาในรูปของคำแนะนำชี้แจง คำกระตุ้นชักจูง ตักเตือน

หรือการเล่าเรียนก็ตาม ย่อมเป็นเครื่องช่วยเสริมคุณธรรมทั้ง ๔ ให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

ปฏิบัติต่อโลกและชีวิตได้ผลดียิ่งขึ้น แต่จะเป็นสิ่งที่ต้องการมากน้อยเพียงไร

ย่อมสัมพันธ์กับความรู้จักคิดของผู้นั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




559802.gif
559802.gif [ 57.14 KiB | เปิดดู 9494 ครั้ง ]
ศรัทธาควรเป็นศรัทธาเชื่อมต่อกับปัญญา



ในที่สุด ขอย้อนกลับไปย้ำความสำคัญของศรัทธาที่เป็นคุณสมบัติข้อแรกอีกครั้งหนึ่ง

โดยฐานเป็นคุณสมบัติจำเป็นยิ่งในขั้นต้น

สิ่งที่ต้องการให้สังเกตก็คือ ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

ในการบรรยายความหมายของศรัทธานั้น ตามปกติ

ท่านจะแยกออกเป็น ๓ อย่างคือ ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม และในพระสงฆ์

แต่บางคราว เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแสดงศรัทธาของอริยสาวก ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนเป็นโสดาบัน

ท่านแสดงศรัทธาเจาะจงลงไปแง่เดียวว่า

“เชื่อ โพธิ (ปัญญาตรัสรู้) ของตถาคตว่า ด้วยเหตุผลดังนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น

เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ”

ศรัทธาตามคำบรรยายนี้ ท่านเรียกสั้นๆว่า “ตถาคตโพธิสัทธา”

(ความเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต หรือ เชื่อปัญญารู้สัจธรรมของพระผู้ทรงค้นพบ)

ซึ่งดังที่ได้กล่าวแล้วว่า หมายถึงความเชื่อความมั่นใจ ในพระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้า

ในฐานะที่ทรงเป็นต้นแบบ หรือ องค์แทน หรือ ผู้นำของมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยืนยันถึงสมรรถวิสัย

ของมนุษย์ทั้งหลายว่า

มนุษย์สามารถหยั่งรู้สัจธรรม เข้าถึงความดีงามสูงสุดได้ด้วยสติปัญญา

และความเพียรพยายามฝึกฝนพัฒนาตนเอง

ดังคำอุปมาที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระองค์เองว่า

ทรงเป็นลูกไก่ตัวพี่ที่เจาะทำลายเปลือกไข่ คือ อวิชชาออกมาได้-

(วินย. 1/3/4) หรือ ทรงเป็นผู้ค้นพบทางเก่าและทรงชี้นำทางนั้นแก่หมู่ชน –

(สํ.นิ.16/253/129 ฯลฯ)


การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ คือ การประกาศยืนยันความสามารถนี้ของมนุษย์ทั้งหลาย

ตถาคตโพธิศรัทธา หรือ ความเชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือความเชื่อความมั่นใจ

ในปัญญาที่จะหยั่งรู้สัจธรรมของมนุษย์ หรือ ความเชื่อความมั่นใจ ในความสามารถของมนุษย์

นั่นเอง

เมื่อพูดให้สั้นเข้าอีก ตถาคตโพธิสัทธา -*

สำแดงถึงความเชื่อความมั่นใจในตนเองของมนุษย์ทุกๆคน

ความมั่นใจตนเองในที่นี้ มิใช่ความเชื่อตนเองอย่างเห็นแก่ตัว หรือ อย่างมีมานะอหังการ

แต่หมายถึง ความมั่นใจตนเอง ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

หรือความมั่นใจในความเป็นมนุษย์ของมนุษย์นั่นเอง และมิใช่ความยึดมั่น วางใจในปัญญา

ของตนเพียงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นๆ แต่หมายถึง ความเชื่อในปัญญาของมนุษย์อย่างเป็นกลางๆ

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

พูดอย่างสมัยใหม่ว่า เชื่อในศักยภาพแห่งปัญญาของตนในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งว่า

สามารถฝึกปรือจนได้ผลดีที่สุดพอแก่ความต้องการของมนุษย์ -**



พระพุทธเจ้า ทรงเป็นมนุษย์คนแรกที่ประกาศยืนยันความสามารถอันนี้ของมนุษย์

ทรงเป็นบุคคลแรกที่ไม่ทรงอ้างอานุภาพ หรือ แรงดลบันดาลของเทพเจ้า

หรืออำนาจสูงสุดใดๆ จึงทรงเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ แห่งความเชื่อมั่นในใจตนเอง

ของมนุษย์ทั้งหลาย

ในทางปฏิบัติ ตถาคตโพธิศรัทธา ย่อมครอบคลุมถึงศรัทธาในพระรัตนตรัยครบทั้งสามอย่าง

พร้อมในตัว ในเวลาเดียวกัน คือ เชื่อว่า มนุษย์มีปัญญา ที่สามารถพัฒนาขึ้นไปจนแก้ปัญหา

ขั้นสุดท้ายชั้นในที่สุดของตนได้

เชื่อว่า หลักการ และ จุดหมายในเรื่องนี้ เป็นความจริงที่ดำรงอยู่ตามธรรมดาแห่งเหตุและผล

และเชื่อว่า ได้มีบุคคล ผู้พัฒนาตนจนสำเร็จผลเช่นนั้น เป็นตัวอย่างยืนยันความจริงนำทางไว้

แล้ว


ในเมื่อ ตถาคตโพธิสัทธามีความหมายอย่างนี้ ศรัทธาจึงเป็นธรรมสำคัญยิ่ง

แม้ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาแห่งปัญญา

แต่ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่า ศรัทธานี้มีความหมายต่างจากที่เห็นกันทั่วๆไป คือเป็นศรัทธาในปัญญา

และเป็นศรัทธาเชื่อมปัญญา หรือนำไปสู่ปัญญา

ไม่เป็นศรัทธาที่งมงาย

แต่เป็นศรัทธาที่ทำให้หายงมงาย และเป็นสิ่งจำเป็นในตอนต้นๆ ก่อนที่จะบรรลุผล

แห่งความสามารถของตน หรือ ก่อนที่ปัญญาจะบริบูรณ์เท่านั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4944342.gif
4944342.gif [ 25.28 KiB | เปิดดู 9493 ครั้ง ]
ขยายความ คห.บน ที่มีเครื่องหมาย *


* การที่พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า ตถาคต ใน ตถาคตโพธิสัทธา ก็เป็นข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง

เพราะคำแทนองค์พระพุทธเจ้ามีหลายคำ

แต่ละคำก็มีความหมายเน้นคุณลักษณะ หรือ นัยที่ต่างกันไป

ในกรณีนี้ทรงใช้คำว่า ตถาคต ซึ่งตรงกับที่ทรงใช้ในกรณีที่ตรัสถึงกฎธรรมชาติว่า

เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดาของมันเอง

ไม่ว่าตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ตถาคตเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศเปิดเผย -

(ดู องฺ.ติก. 20/576/368 ฯลฯ )

นอกจากนั้น คำว่า ตถาคต ซึ่งในที่หลายแห่งท่านแปลว่า สัตว์

ม.ม. 13/147/143 ฯลฯ อธิบายใน ม.อ. 3/135 ฯลฯ

ผู้สนใจอาจค้นคว้าเปรียบเทียบ โพธิ นี้กับพุทธภาวะของฝ่ายมหายาน


** ข้อว่า ปัญญาของมนุษย์มีขอบเขตหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาในที่นี้ เพราะปัญญามนุษย์

ที่ฝึกปรือแล้วย่อมเป็นปัญญาสูงสุดเท่าที่จะมีหรือเป็นไปได้

ถ้าปัญญานั้นมีขอบเขต ก็ไม่มีแหล่งปัญญาเหนือกว่าใดๆ อีก ที่จะมาเสริมเติมแก่ปัญญามนุษย์

นั้นได้ ซึ่งจะพึงหันไปมัวหวังรออยู่

(แม้แต่ปัญญาของเทพเจ้าสูงสุด ก็เป็นเพียงปัญญาที่มนุษย์ปรุงถวาย)

ดูทัศนะ ในเกวัฏฏสูตร ที.สี. 9/343-350/244-283 พรหมนิมันตนิกสูตร ม.มู. 12/551-

6/590-9

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2009, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




7116792934869e6aa08880.gif
7116792934869e6aa08880.gif [ 870 ไบต์ | เปิดดู 9492 ครั้ง ]
(ต่อ)

อนึ่ง ในที่นี้จะเห็นความสำคัญสูงสุดของศรัทธาในพระรัตนตรัย

หรือ ตถาคตโพธิสัทธา อย่างน้อย ๒ ประการ คือ

หลักธรรม ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคำสอนเกี่ยวกับจุดหมายสูงสุด

หรือข้อปฏิบัติใดๆก็ตาม ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักการนี้ทั้งสิ้น คือ

หลักการแห่งตถาคตโพธิสัทธา ที่ยืนยันว่า

มนุษย์สามารถตรัสรู้สัจธรรม และ เข้าถึงความดีสูงสุดด้วยปรีชาญาณ และ ความเพียรพยามฝึกตน

ของมนุษย์เอง

และในการนี้ ไม่มีแหล่งอำนาจสูงสุดภายนอกใดๆ ที่จะทำได้ดีกว่ายิ่งกว่าหรือเกินกว่ามนุษย์

ถ้าหลักการ แห่งตถาคตโพธินี้ไม่เป็นจริงแล้ว จุดหมาย และระบบปฏิบัติทั้งปวง

ในพระพุทธศาสนา ก็ย่อมเป็นโมฆะทั้งสิ้น

คำสอนต่างๆ ก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายไปทั้งหมด

และประการที่สอง สำหรับผู้ปฏิบัติ

ถ้าสาวกหรือศาสนิก ไม่มีความเชื่อมั่นในหลักการแห่งตถาคตโพธินี้

เขาก็ไม่อาจก้าวหน้าไปในมรรคาของพระพุทธศาสนาได้

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เขาจะลงมือปฏิบัติธรรมต่างๆในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังได้อย่างไร

ว่าที่แท้ก็คือ เขาไม่อาจเป็นสาวก หรือ ศาสนิกแห่งพระพุทธศาสนาได้นั่นเอง

ตถาคตโพธิสัทธา จึงเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของอริยสาวกและของชาวพุทธทุกๆคน

ด้วยประการฉะนี้ *


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

* ข้อน่าสังเกตอย่างยิ่งในตอนนี้คือ ในสมัยหลังได้เกิดมีคำสอนเรื่องศรัทธา ๔ ขึ้น

ในพระพุทธศาสนา คือ

๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม

๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม

๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน

๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า


ศรัทธา ๔ ที่เป็นชุดอย่างนี้ ไม่มีในส่วนใดของพระไตรปิฎก

หรือแม้แต่ในอรรถกถาใดๆเลย

นอกจากตถาคตโพธิสัทธาอย่างเดียว ซึ่งตั้งรูปศัพท์ขึ้นมาจากข้อความในบาลีว่า

“สทฺทหติ ตถาคตสฺส โพธิ” = ตถาคต + โพธิ+สทฺธา ดังได้อธิบายมาแล้วในตอนนี้

การที่มีเป็นชุดหรือเป็นหมวดขึ้น

เกิดจากการเก็บรวมเอาธรรมข้อนั้นข้อนี้ จากที่นั่นบ้าง ที่โน่นบ้างมาผสมกัน

แต่ก็ไม่มีในรูปศัพท์อย่างนั้นจริง เช่น รูปศัพท์ว่า

กัมมัสสกตาสัทธา ไม่มี มีแต่กัมมัสสกตาญาณ เช่น ขุ.ม.29/337/227 ฯลฯ

ในพระสูตรยุคต้น มีแต่กัมมัสสกตา คือ องฺ. ปญฺจก.22/161/207

ส่วนในชั้นอรรถกถามีเพิ่มเป็นกัมมัสสกตปัญญา (เช่น ที.อ. 1/408 3/159 ฯลฯ)บ้าง

กัมมัสสกตาทิฏฐิ (เช่น ม.อ.1/1/259 สํ.อ.3/296) บ้าง เป็นต้น

แต่ล้วนเป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น

ส่วนกัมมสัทธา และวิปากสัทธา ก็เป็นศัพท์ที่ผูกขึ้นโดยถือตามหลักคำสอนเกี่ยวกับกรรม

ซึ่งโดยมากมาในเรื่องทิฏฐิ คือ มิจฉาทิฏฐิ และสัมมาทิฏฐิ เช่น ม.มู.12/485/525

แต่รูปศัพท์อย่างนั้นโดยตรงไม่มี

แม้แต่ที่แปลกันว่า เชื่อกรรม ในองค์คุณของอุบาสก หรือ อุบาสกธรรม ๕ ประการก็เป็น

“กมฺมํ ปจฺเจติ” -

(องฺ.ปญฺจก. 22/175/230) ซึ่งมีความหมายว่ามุ่งกรรม (คือ มุ่งความสำเร็จผล ด้วยการ

กระทำ) ไม่มุ่งหามงคล

อย่างไรก็ดี การศึกษาเรื่องนี้ อาจเป็นประโยชน์ในการสืบสาววิวัฒนาการแห่งทรรศนะ

และวัฒนธรรมของ พระพุทธศาสนายุคหลังพุทธกาล.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 08:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร