วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 03:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 15:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 11:59
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแสดงความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆนะครับว่า แตกต่างกันอย่างไร ถ้าเป็นผมก็ง่ายนิดเดียวสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นจริงหรือไม่ เช่นเห็นคนกำลังจะตายแล้วเขาตายหรือเปล่า ถ้าไม่ตายแสดงว่าเป็นสิ่งปรุงแต่งนะครับการปฏิบัติธรรมจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเองนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าได้ปฏิบัติตามที่ผู้รู้กล่าวไว้หรือไม่(พระธรรม) คำถามเหล่านี้จะไม่เกิดถ้าผู้นั้นใส่ วิริยะความเพียรในการปฏิบัติครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้กลับมาอ่านกระทู้เก่าๆ ก็เกิดประโยชน์
เมื่อนำ หัวข้อกระทู้นี้ มาพิจารณาเฉพาะ หัวข้อโดยตัดเอาความเห็นความคิด ข้างต้นออกทั้งหมด
คือ สิ่งที่จิตปรุงแต่ง กับ สิ่งที่เห็นจริง

การแยกแยะ โดยความเข้าใจในขณะที่โพสต์นี้ ก็จะบันทึกดังนี้ว่า

สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏ นั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง

ถ้ามีอัตตา หรือมีความมีความเป็นเรา เข้าไปยุ่งเข้าไปเกี่ยวด้วย ให้เป็นความชอบใจ ความไม่ชอบใจ หรือเฉยๆ ความปรากฏของความเห็นไปตามนี้ เป็น "ภาวะ" ที่จิตกำหนดขึ้น โดยไม่เห็นจริงตามความเป็นจริงต่อสิ่งที่ปรากฏ

การเห็นจริงต่อสิ่งที่ปรากฏ จึงเป็นวิปัสสนาญาณ ที่เห็นสิ่งต่างๆ ที่ปราฏก โดยความเป็น "สภาวะ" ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ของสิ่งที่ปรากฏนั้น โดยปราศจาก ความเข้าไปชอบใจ ไม่ชอบใจ หรืออคติใดๆ ที่มีตัวเราของเรา เป็นเรา. เป็นการเห็นสิ่งที่ปรากฏ ตามที่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น (คือ เห็นโดยสัจจะ ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เลย) โดยปราศจากการแทรกแซงของอัตตา.

สิ่งนี้คือ ความต่างระหว่าง ภาวะธรรม กับ สภาวะธรรม ที่ปรากฏ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออีกหน่อย หง่ะ

หงิ หงิ

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


จะลองตอบดู จะรู้ว่าสิ่งใดปรุงแต่ง ก็พิจารณาดูว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการรับรู้เพียงอย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งน่าจะพิจารณายากอยู่เหมือนกัน

ถ้าการรับรู้นั้น มีความคิดตามมาไม่ว่าจะในรูปแบบใด สิ่งนั้นก็มีการปรุงแต่งขึ้นแล้ว เช่น ถ้าเราเห็นภาพๆ หนึ่ง แล้วเราก็คำนึงว่า นี่เห็นจะเป็นอดีตชาติของเรา นั่นก็คือเกิดการปรุงแต่งขึ้นแล้ว
ถ้าเห็นภาพภัยพิบัติ เราก็คำนึงว่า กรรมนั้นปรากฎแล้วหนอ นั่นก็คือการปรุงแต่งเช่นกัน...

จิตที่รับรู้อย่างเดียว โดยไม่มีการเสริมแต่งใดๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และยากที่จิตทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจได้
เพราะแม้แต่เห็นภาพ แล้วเห็นว่านี่สีแดง สีเขียว นั่นก็เป็นการปรุงแต่งแล้ว แต่ในระดับผู้ฝึกสมาธิ การไม่มีการปรุงแต่ง เขาจำกัดเพียงแค่ว่า ไม่มีการเสริมเรื่องราวให้ขยายขึ้นไปจากที่เห็น ไม่ได้จริงจังถึงระดับ ขาดการเสริมแต่งอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ฝึกฌาณอย่างเอกอุ


ขอเขียนต่ออีกหน่อย สำหรับผู้ที่มีคุณวิเศษ...
จิตที่ไม่มีการปรุงแต่ง สามารถใช้เป็นเครื่องวัดได้อย่างดี ว่าผู้มีคุณวิเศษนั้น รู้วาระจิต (เจโตปริยญาณ) จริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงทิพยโสต-จักษุ ที่ต้องรอให้จิตนั้นปรุงแต่งออกมาเป็นเสียง-ภาพเสียก่อน ผู้มีคุณวิเศษนั้นจึงค่อยรู้ ว่าง่ายๆ คือ ผู้ที่ดูอยู่นั้น รู้ก่อนได้ยิน-เห็น หรือรู้จากการได้ยิน-เห็น

พึงรู้ว่า การรู้วาระจิตนั้น ตำราใช้คำว่า รู้ ไม่ใช่เห็นหรือได้ยิน
การระลึกชาติก็เช่นกัน ระลึก คือการจำได้ ซึ่งย่อมเกิดขึ้นก่อนการได้เห็น-ได้ยินเช่นกัน

เปรียบเทียบว่า ถ้ามีคนถามว่าเรารู้จักคอมพิวเตอร์หรือไม่ ถ้าเรารู้ เราก็จะรู้ได้ทันทีว่าเรารู้ จากนั้นคำอธิบายจึงตามมา
ถ้ามีคนถามว่า เราเคยไปเที่ยวเกาะสมุยไหม ถ้าเราเคยไป เราจะจำได้ว่าเราเคยไป จากนั้นการระลึกภาพจึงค่อยปรากฎ

การรู้และระลึก จะเกิดขึ้นก่อนการปรุงแต่งออกมาเป็นภาพหรือเสียงเสมอ...
แต่ก็ใช่ว่า การรู้จากการเห็นหรือได้ยินจะไม่จริงเสมอไป ทุกสิ่งล้วนมีหลายปัจจัย เพียงแต่อย่ายึดมั่นปักใจว่า มันต้องเป็นจริงตามนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2011, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 189


 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าเม้า เขียน:
เพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิ
แต่ชอบมีภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆแวบเข้ามา
เชื่อว่าเกิดจากจิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเห็น อันไหนจิตเราสร้างขึ้นมาเอง


ทำความรู้สึกซึมซาบรู้อยู่กับที่รู้อยู่กับตัวเองไม่ให้ความสนใจกับภาพนิมิตรใดๆ ถ้ามันส่งออกไปให้ทำความรู้ตัวกลับมาที่ตัวเอง หรือเรียกว่าดูผู้ที่ไปรู้เขานั่นเอง ใจเรานั่นเองไปรู้ไปดูเขา ให้รู้สึกตัวกลับมาที่ตัวเองรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ที่ตัวเอง แล้วสิ่งที่จิตหลงสร้างขึ้นมันจะดับไป ถึงจะไม่ดับก็ไม่มีคุณค่าความหมายอะไรให้เราต้องใส่ใจ เหมือนหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผู้เห็นหน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นมันไม่จริง" ที่ว่าสิ่งที่เห็นมันไม่จริงคือมันตกอยู่ในอำนาจของความเกิดตาย เปลี่ยนแปลงไม่รู้จบสิ้น ไม่ควรให้ความสำคัญมั่นหมายยึดถือกับ แต่ให้ย้อนมาดูใจเจ้าของนี้อย่างเดียวในการที่จะไม่หลงปรุงแต่งยึดถือสิ่งใดๆในโลกนี้เลย.

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2011, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

อิ อิ ชอบความคิดเห็นส่วนตัวจร้า

แล้วก็หลงว่าตนได้บรรลุแล้ว....ฌาณไม่มีประโยชน์อะไร :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2011, 10:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริง....ก็ไม่น่าต้องมานั่งคิดจะแยกหรือไม่แยก

มาทำงัยให้เกิดปัญญาดีกว่า...

ปัญญาอบรมสมาธิ...รึจะ...สมาธิอบรมปัญญา...อย่างไหนก่อนก็ได้..เพราะสุดท้ายก็จะมาลงที่ปัญญาอยู่ดี

พอมีพละกำลังแล้ว...มันก็ทำได้ของมันเองแหละ

คิดจะแยกนั้นแยกนี้..แต่ไม่มีกำลัง...ที่ทำก็ทำได้แต่ของปลอม ๆไปเท่านั้นเอง

แล้วจะรู้ตัวมั้ย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2011, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสวัสดีค่ะ คุณป้าเม้า

จริง ๆ หนูติดสมถะมาก แต่การนั่งสมถะมันยึดติดที่อารมณ์เดียวคือความสงบ มันดับกิเลสไม่ได้ มันข่มไว้เฉย ๆ พอเลิกนั่งก็มีกิเลสอีกนั่นแหละค่ะ

ตอนนี้เปิ้ลใช้วิปัสสนาเข้ามาเสริม แรก ๆ ก็หลุดบ่อยค่ะ หลุดยาวเป็นเรื่องเป็นราวก็มี แต่พอรู้สึกตัวก็จะกลับมาระลึกรู้รูปเดิมต่อ พอปฏิบัติทุกวัน ทุกวัน ก็จะเริ่มหลุดน้อยลง แล้วก็จะสั้นลง ตอนนี้บางครั้งการระลึกรู้รูปที่ทำอยู่ พอนั่งนาน ๆ มันก็จะมองไม่เห็นรูปที่เราระลึกรู้เลยค่ะ พระท่านก็แนะนำว่าไม่ต้องตามหารูปที่ระลึกอยู่ ให้เปลี่ยนเป็นตามดูจิตแทน ว่าจิตขณะนั้นไปรู้อารมณ์ไหน ทุกวันนี้เปลี่ยนมาเป็น กายปสาทรูป กับ วิสยรูป ๗ สังเกตุการเกิดดับตลอดเวลา ถ้าคุณป้าเม้าศึกษาให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เปิ้ลคิดว่าจะดีขึ้นนะคะ เป็นหนึ่งกำลังใจให้ค่ะ

อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron