วันเวลาปัจจุบัน 20 พ.ค. 2025, 22:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนาจริงๆไม่ใช่เอาตัวไหนทั้งสิ้นหรอก ภาวนาเพื่อให้เห็นเลยว่า ทุกสิ่งมันไม่มีตัวเรา เป็นแต่สภาวธรรมล้วนๆ มีแต่สภาวธรรมนะ รูปธรรม นามธรรม ตัวจิตก็เป็นสภาวธรรม ตัวรู้นี่เป็นสภาวธรรม ตัว “เจตสิก” คือสิ่งที่มาประกอบจิต เช่น ความสุข ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เรียก “เจตสิก” เป็นสิ่งที่มาประกอบจิต ทำให้จิตแต่ละดวงหน้าตาไม่เหมือนกัน

จิตโดยตัวของมันเอง เป็นแค่ธรรมชาติรู้ เป็นธรรมชาติรู้เหมือนกันหมดเลย เป็นแค่นี้เอง เหมือนไฟมีธรรมชาติร้อนอย่างนี้ เป็นอย่างนี้แหละ เป็นลักษณะเฉพาะตัว จิต มีลักษณะเฉพาะตัวคือเป็นธรรมชาติรู้ แต่ธรรมชาติรู้ดวงนี้ กับธรรมชาติรู้อีกดวงหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน เพราะเจตสิกที่มาประกอบกัน มันไม่เหมือนกัน

คล้ายๆจิตเป็นน้ำที่สะอาดนะ ใส..ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสี เราเอาสีเข้าไปใส่ เอากลิ่นเข้าไปใส่ อัดแก๊สลงไปแล้วก็เรียก นี่เป๊บซี่ นี่โคล่า นี่แฟนต้า นี่น้ำหอม นี่น้ำเน่า ถามว่าน้ำ มันก็น้ำเดียวกันใช่ไหม พอแยกธาตุออกมาแล้วมันก็เป็นอันเดียวกัน น้ำใสๆไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่มันแตกต่างกันขึ้นมา เรารู้น้ำขวดนี้กับน้ำขวดนี้เป็นคนละอย่างกัน เราเห็นเลยว่ามันเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างอันนี้น้ำหอมนะ เก็บไว้หลายวันกลายเป็นน้ำเน่าน้ำเหม็น เราก็จะเห็น แต่ละอันๆมันเปลี่ยน ไม่คงที่ จิตนี้ก็ไม่คงที่หรอก เดี๋ยวก็เป็นจิตโลภ เดี๋ยวก็เป็นจิตไม่โลภ เดี๋ยวเป็นจิตโกรธ เดี๋ยวเป็นจิตไม่โกรธ เดี๋ยวเป็นจิตหลง เดี๋ยวเป็นจิตไม่หลง

แต่ถ้าเราไปจ้องใส่ตัวรู้ เราจะรู้สึกเที่ยง เพราะเพ่งใส่ตัวรู้จะเป็นพรหมนะ จะไปเป็นผีใหญ่ นิ่งๆอยู่อย่างนั้นเอง รู้สึกเที่ยง แต่ถ้าเราเห็นเลย จิตมันทำงาน มันเกิดดับ มันเกิดดับร่วมกับเจตสิกแต่ละดวงๆ เจตสิกแต่ละดวงมันไม่เหมือนกันนี่ เช่น ความโกรธกับความโลภไม่เหมือนกัน จิตที่โกรธจิตที่โลภมันก็เลยไม่เหมือนกัน เราเห็นเลยว่ามันเป็นคนละดวงกัน เราเห็นแล้วจิตเป็นคนละดวงๆ เราเห็นจิตเป็นคนละดวงได้เพราะว่าเจตสิกที่มาประกอบกันนั้นน่ะ ไม่คงที่ เปลี่ยนไป เราก็เลยเห็นเลย จิตก็เกิดดับเหมือนกัน

ถ้าจะดูแต่ตัวจิตจริงๆนะ ไปเพ่งใส่ตัวจิตเลย จะเห็นว่าไม่เกิดดับนะ เห็นเที่ยงน่ะ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ ถึงสอนว่า “ผู้ใดเห็นว่าจิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ” นี่ท่านว่าซะเสียหาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ จริงๆไม่เที่ยง มันเกิดดับ ดูตัวมันเกิดดับ ดูตัวมันตรงๆไม่ได้ จะไม่เห็น ให้ดูว่ามันเกิดร่วมกับเจตสิก จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ จิตสุขจิตทุกข์เกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้

ที่มา http://www.dhammada.net/page/4/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2011, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นี่ท่านว่าซะเสียหาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ จริงๆไม่เที่ยง มันเกิดดับ ดูตัวมันเกิดดับ ดูตัวมันตรงๆไม่ได้ จะไม่เห็น ให้ดูว่ามันเกิดร่วมกับเจตสิก จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ จิตสุขจิตทุกข์เกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้


อันนี้ไม่ได้เห็นจิตเกิดดับหรอก
คิดเอาเองว่าจิตมันเกิดดับ
ถ้าสติดีขนาดเห็นจิตเกิดดับได้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปให้จิตปรุงแต่งจนเกิด โกรธหลง ขึ้นมาได้

ที่ผมว่าถูกหรือผิดครับท่าน จขกท.
คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2011, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ต.ค. 2010, 17:27
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
นี่ท่านว่าซะเสียหาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ จริงๆไม่เที่ยง มันเกิดดับ ดูตัวมันเกิดดับ ดูตัวมันตรงๆไม่ได้ จะไม่เห็น ให้ดูว่ามันเกิดร่วมกับเจตสิก จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ จิตสุขจิตทุกข์เกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้


อันนี้ไม่ได้เห็นจิตเกิดดับหรอก
คิดเอาเองว่าจิตมันเกิดดับ
ถ้าสติดีขนาดเห็นจิตเกิดดับได้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปให้จิตปรุงแต่งจนเกิด โกรธหลง ขึ้นมาได้

ที่ผมว่าถูกหรือผิดครับท่าน จขกท.
คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท.


จขกท.หมายถึงเวลาที่จิตเกิดสภาวะอะไรขึ้นมาก็แค่ตามดูจิตไปเรื่อยจนเห็นสภาวะจิตว่า มีเกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นเอง ที่เขียนมาก็ถูกเพราะถ้าขาดสติก็จะหลงไปตามกิเลสทำให้เกิดอกุศลขึ้นมา จริงๆแล้วจิตก็ยึดไม่ได้ แค่ตามรู้สภาวะจิตไปเรื่อย ๆ ได้แค่นั้นเองจนกระทั่งจิตเห็นตามเป็นจริงว่า มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ที่เรียกว่า ใช้จิตสอนจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จขกท.หมายถึงเวลาที่จิตเกิดสภาวะอะไรขึ้นมาก็แค่ตามดูจิตไปเรื่อยจนเห็นสภาวะจิตว่า มีเกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นเอง ที่เขียนมาก็ถูกเพราะถ้าขาดสติก็จะหลงไปตามกิเลสทำให้เกิดอกุศลขึ้นมา จริงๆแล้วจิตก็ยึดไม่ได้ แค่ตามรู้สภาวะจิตไปเรื่อย ๆ ได้แค่นั้นเองจนกระทั่งจิตเห็นตามเป็นจริงว่า มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ที่เรียกว่า ใช้จิตสอนจิต


อธิบายไม่ครบนะครับ แค่ตามรู้ไปเรื่อยๆ ๆๆๆ ครับ (ถ้าจะให้ครบต้องห้ามบังคับด้วย เด๋วจะเป็นเพ่ง)
สมมุติอยากกินไฮเนเก้นซักกั๊ก ก็ตามดูจิตที่อยากกินไป แล้วก็กินไป 1 กั๊ก แล้วก็ตามดูจิตไปด้วย
ตอนนี้จิตที่อยากกินมันก็ดับไปแล้ว เพราะได้สนองกิเลสเรียบร้อย ได้เห็นจิตเกิดดับด้วย
กรรมสำเร็จเรียบร้อย จิตคิดที่จะกระทำ ลงมือกระทำ กระทำสำเร็จ ทำอย่างนี้เข้าหลักการใช้จิตสอนจิตหรือเปล่าถูกผิดประการใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 06:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
จขกท.หมายถึงเวลาที่จิตเกิดสภาวะอะไรขึ้นมาก็แค่ตามดูจิตไปเรื่อยจนเห็นสภาวะจิตว่า มีเกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นเอง ที่เขียนมาก็ถูกเพราะถ้าขาดสติก็จะหลงไปตามกิเลสทำให้เกิดอกุศลขึ้นมา จริงๆแล้วจิตก็ยึดไม่ได้ แค่ตามรู้สภาวะจิตไปเรื่อย ๆ ได้แค่นั้นเองจนกระทั่งจิตเห็นตามเป็นจริงว่า มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ที่เรียกว่า ใช้จิตสอนจิต


อธิบายไม่ครบนะครับ แค่ตามรู้ไปเรื่อยๆ ๆๆๆ ครับ (ถ้าจะให้ครบต้องห้ามบังคับด้วย เด๋วจะเป็นเพ่ง)
สมมุติอยากกินไฮเนเก้นซักกั๊ก ก็ตามดูจิตที่อยากกินไป แล้วก็กินไป 1 กั๊ก แล้วก็ตามดูจิตไปด้วย
ตอนนี้จิตที่อยากกินมันก็ดับไปแล้ว เพราะได้สนองกิเลสเรียบร้อย ได้เห็นจิตเกิดดับด้วย
กรรมสำเร็จเรียบร้อย จิตคิดที่จะกระทำ ลงมือกระทำ กระทำสำเร็จ ทำอย่างนี้เข้าหลักการใช้จิตสอนจิตหรือเปล่าถูกผิดประการใด

ท่านอายะครับ ก่อนอื่นผมต้องขออนุญาติที่จะอธิบายความในส่วนนี้ครับ
ความเห็นของท่าน บ่งบอกถึงความไม่รู้หรือเข้าใจผิดอยู่ครับ

ท่านครับที่ท่านบอก ห้ามบังคับ มันถูกแล้วครับแต่มันยังไม่ถูกเสียที่เดียว
ส่วนที่ผิดมันอยู่ตรงที่ท่านไปเข้าใจว่า การห้ามบังคับ
คือการไปห้ามบังคับจิตมันผิดครับ เพราะจิตเป็นสภาวะที่บังคับไม่ได้
มันเกิดตาม เหตุปัจจัยที่เรียกว่า ผัสสะครับ

แท้จริงแล้วบังคับนี้คือ การไปบังคับในส่วนที่เป็นรูปธรรมที่เรียกว่าร่างกายครับ

ขออธิบายในส่วนความเห็นท่านครับ ที่ท่านบอกว่าอยากกินไฮเนเก้น
ความอยากเกิดขึ้นจาก อายตนะภายในที่เรียกว่าร่างกาย อาจเป็นว่าท่านเห็น
หรือหวนคิดถึง การเห็นเราเห็นด้วยตา ความคิดเราคิดด้วยสมอง

ความอยากมันเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นโดยมีผัสสะของอายตนะเป็นเหตุปัจจัย
เมื่อหมดเหตุ สภาวะนั้นก็หมดไป แต่ถ้าท่านไปมองอีกหรือไปคิดถึงอีก ความอยากก็เกิดอีก
การเห็นการคิดที่ผ่านไปแล้ว ถ้ายังกลับไปทำใหม่เขาเรียกว่า บังคับ
สภาวะที่เกิด มันเป็นสภาวะตัวใหม่ จิตตัวเก่าดับไปนานแล้ว สภาวะใหม่ถึงจะเป็นกิเลสที่เหมือนเดิม
แต่หาใช่จิตตัวเดิมไม่

ดังที่บอกมาแล้ว จิตเป็นสภาวะเกิดจากผัสสะที่มากระทบ
การที่ท่านบอก เกิดความอยากขึ้นท่านก็สนองตัณหาไปกิน
นี้มันไม่ใช่การดูจิตนะครับ การกระทำของท่านมันเป็นการบังคับกายให้สนอง
สนองตอบผัสสะที่มากระทบ
การดูจิตต้องดูที่สภาวะเพียงอย่างเดียว วิธีของท่านหาใช่การดูจิต
มันเป็นปกติของร่างกาย สภาวะความอยากมันเกิดขึ้นจริง แต่ได้ดับไปแล้ว
ที่ท่านยังไม่หยุดเป็นเพราะ สมองของท่านเริ่มคิดเริ่มสั่งการแล้วล่ะครับ
มันไม่ใช่เรื่องของจิต มันเป็นเรื่องของร่างกายครับ
เขาถึงบอกว่าอย่าเพ่ง อย่าบังคับ อดีตหรือผัสสะที่ได้รับมันผ่านไปแล้ว
ถ้าเอามันกลับมามันเป็นเพียงความคิดที่เกิดจากสมอง หาใช่จิตหรือสภาวะเดิม


แก้ไขล่าสุดโดย โฮฮับ เมื่อ 15 ก.พ. 2011, 07:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
นี่ท่านว่าซะเสียหาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ จริงๆไม่เที่ยง มันเกิดดับ ดูตัวมันเกิดดับ ดูตัวมันตรงๆไม่ได้ จะไม่เห็น ให้ดูว่ามันเกิดร่วมกับเจตสิก จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ จิตสุขจิตทุกข์เกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้


อันนี้ไม่ได้เห็นจิตเกิดดับหรอก
คิดเอาเองว่าจิตมันเกิดดับ
ถ้าสติดีขนาดเห็นจิตเกิดดับได้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปให้จิตปรุงแต่งจนเกิด โกรธหลง ขึ้นมาได้

ที่ผมว่าถูกหรือผิดครับท่าน จขกท.
คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท.

ที่เราเข้าใจว่าจิตไม่เกิดดับ ก็เพราะ เราไปเพ่งครับ
จิตหรือสภาวะมันเกิดจาก การกระทบกับกันของอายตนะภายนอกและภายใน
กระทบกันครั้งหนึ่งมันก็เกิดสภาวะขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป


โดยธรรมชาติแล้ว ถ้าร่างกายของคนปกติจะมีอายตนะครบ เรียกว่าอายตนะภายใน
อายตนะภายในมีด้วยกันหกส่วนคือ หูตาจมูกลิ้นกายและใจ ทุกส่วนที่ว่า มันจะทำงาน
โดยอัตโนมัติของมันเอง แต่ถ้าเราไปบังคับให้อายตนะอันใดอันหนึ่งทำงานแต่อย่างเดียว
โดยไม่ยอมสนใจกับอายตนะส่วนอื่น แบบนี้เขาเรียกว่า การเพ่ง มันฝื่นธรรมชาติ


การที่เราไม่เห็นจิตเกิดดับเป็นเพราะ สภาวะที่เกิดดับมันเป็นสภาวะหรือจิต
ที่เกิดจาก ผัสสะอย่างเดียวที่ต่อเนื่อง จิตหรือสภาวะจึงเกิดดับอย่าง
ต่อเนื่องรวดเร็วจนมองไม่ทัน


ท่านอายะครับ รบกวนท่านช่วยอธิบายความเห็นที่ท่านกล่าวว่า
" คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท."

มันขัดกันด้วยเหตุไรอย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ท่านอายะครับ รบกวนท่านช่วยอธิบายความเห็นที่ท่านกล่าวว่า
" คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท."
มันขัดกันด้วยเหตุไรอย่างไรครับ


ลองไปฟังหลวงพ่อสงบ ดูครับ แจ่มชัวร์

ถ้าให้ผมยกตัวอย่างนะครับ อย่างของหลวงตา หรือหลวงพ่อพุธ หรือจะหลวงปู่ดุลย์ ก็ตาม
ท่านก็ให้ทำสมาธิให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์เป็นอัปปนาก่อน
แล้วก็ถอนจิตมาที่อุปจาระ แล้วก็พิจารณาในตอนนั้น ที่บอกว่าแปะน่ะครับ ไปลอกเอาบางสภาวะในช่วงพิจารณามาแปะ ใส่ความคิดตัวเองลงไปด้วย ยกพระไตรปิฎก หรือคำเทศน์ของพระอริยะเจ้ามา แล้วก็ใส่ความคิดตัวลงไป

แต่แนวเพ่งใส่ตัวรู้ กำหนดพุทโธ ก็ไม่ได้ ทำสมาธิก็ไม่ได้ (แต่หลังๆ บอกไม่ได้ห้าม เฮ้อ) ได้แต่คอยตามดูอาการของจิต แว๊บๆๆๆๆๆ เอาเฉพาะฐานจิตแว๊บๆ อย่างเดียว ตอนจิตไม่แว๊บก็ไม่รู้เอาจิตไปไว้ไหน ฐานเวทนานี่ไม่เอาเลย โดยเฉพาะเวทนาทางกาย เด๋วจะกลายเป็นทรมานตนให้ลำบาก บอกว่ามันไม่ใช่ทางสายกลาง(เอาแต่สบายอย่างเดียว) แล้วก็ชอบทายจิตชาวบ้าน ถ้าจะให้ชัวร์นะถ้าอยู่ต่อหน้าท่าน ให้ลองนึกเลขในใจ 1 ถึง 1000 ตัวใดตัวหนึ่งนะ แล้วก็ถามท่านซิว่าเลขอะไร เอาแบบตรงๆ นะ ไม่เอาโต๊ด ถ้ายทายถูกนะผมจะวิ่งขอขมาจากกรุงเทพไปชลบุรีเลย ผมกลัวจะตอบว่า ภาวนาดีแล้ว และก็เพ่งไปนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านอายะครับ รบกวนท่านช่วยอธิบายความเห็นที่ท่านกล่าวว่า
" คำสอนของพระอริยะทั้งหลายที่ท่านเอามาแปะเช่น ของหลวงตา
กับแนวคำสอน เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม มันขัดกันท่านรู้หรือไม่ครับท่าน จขกท."
มันขัดกันด้วยเหตุไรอย่างไรครับ

ลองไปฟังหลวงพ่อสงบ ดูครับ แจ่มชัวร์

ถ้าให้ผมยกตัวอย่างนะครับ อย่างของหลวงตา หรือหลวงพ่อพุธ หรือจะหลวงปู่ดุลย์ ก็ตาม
ท่านก็ให้ทำสมาธิให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์เป็นอัปปนาก่อน
แล้วก็ถอนจิตมาที่อุปจาระ แล้วก็พิจารณาในตอนนั้น ที่บอกว่าแปะน่ะครับ ไปลอกเอาบางสภาวะในช่วงพิจารณามาแปะ ใส่ความคิดตัวเองลงไปด้วย ยกพระไตรปิฎก หรือคำเทศน์ของพระอริยะเจ้ามา แล้วก็ใส่ความคิดตัวลงไป

ขอถามหน่อยครับ หลวงพ่อสงบเป็นใครครับ เป็นพระอริยะหรือครับ? (ไม่ได้ปรามาสนะครับ)

ผมไม่เห็นท่านบอกเลย ว่าที่ใส่ความคิดลงไปมันคืออะไร
แล้วพระอริยะเจ้าคือใครกันครับ ฟังแล้วงง
คำพูดของท่าน ทำให้ผมสับสนในเนื้อหาพระวินัย เรื่องอวดอุตริอยู่นะครับ(ไม่เกี่ยวกับสงฆ์นะครับ)
อายะ เขียน:
แต่แนวเพ่งใส่ตัวรู้ กำหนดพุทโธ ก็ไม่ได้ ทำสมาธิก็ไม่ได้ (แต่หลังๆ บอกไม่ได้ห้าม เฮ้อ) ได้แต่คอยตามดูอาการของจิต แว๊บๆๆๆๆๆ เอาเฉพาะฐานจิตแว๊บๆ อย่างเดียว ตอนจิตไม่แว๊บก็ไม่รู้เอาจิตไปไว้ไหน ฐานเวทนานี่ไม่เอาเลย โดยเฉพาะเวทนาทางกาย เด๋วจะกลายเป็นทรมานตนให้ลำบาก บอกว่ามันไม่ใช่ทางสายกลาง(เอาแต่สบายอย่างเดียว)

ความเห็นตอนต้น ผมไม่ขอกล่าว ฟังแล้วเหมือนไปนินทาคนอื่น หลักฐานไม่แน่ชัด
ไม่รู้ว่า ท่านห้ามหรือไม่ห้าม

แต่เรื่องของจิดแว๊บๆ พออธิบายได้ว่า เป็นการรู้อาการของจิต จิตมีคุณสมบัติที่เกิดดับรวดเร็ว
การจะรู้ได้ทันทีทันใดมันยาก

ส่วนตอนจิตไม่แว๊บ ก็คือตอนที่เราหลง จิตเป็นสภาวะเกิดดับตลอดเวลา
จิตมีทั้งสภาวะกุศลและอกุศล และที่สำคัญจิตเป็นตัวรู้ด้วย ยามใดที่จิตเกิดสภาวะ
ระลึกรู้นั้นแหล่ะจิตแว๊บๆ (อันนี้ผมวิเคราะห์เอาเองตามเหตุผลนะครับ)
อายะ เขียน:
แล้วก็ชอบทายจิตชาวบ้าน ถ้าจะให้ชัวร์นะถ้าอยู่ต่อหน้าท่าน ให้ลองนึกเลขในใจ 1 ถึง 1000 ตัวใดตัวหนึ่งนะ แล้วก็ถามท่านซิว่าเลขอะไร เอาแบบตรงๆ นะ ไม่เอาโต๊ด ถ้ายทายถูกนะผมจะวิ่งขอขมาจากกรุงเทพไปชลบุรีเลย ผมกลัวจะตอบว่า ภาวนาดีแล้ว และก็เพ่งไปนะ

มันเป็นการเข้าใจผิดของท่านเองครับ ตอนแรกผมได้ยินเรื่องนี้ใหม่ๆ ผมก็แปลกใจเหมือนกัน
แต่พอไปฟังดูแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
สิ่งที่ท่านอายะบอกมันเป็นเรื่องของความคิดครับ แต่เรื่องทายจิตของพระ
มันเป็นเรื่อง การบอกถึงสภาวะอารมณ์ วิธีการมันง่ายมากครับ
หลักการของมันก็ค์อ สภาวะจิตเกิดจาก ผัสะที่ได้รับทางกาย เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์ขึ้น
ก็จะแสดงออกทางกาย พระท่านสังเกตุอาการทางกายแล้วจึงบอกสภาวะทางจิตครับ

ที่สำคัญอย่าลืมนะครับว่า สภาวะอารมณ์ ไม่ใช่ความคิดหรือเนื้อหาการปรุงแต่ง
อารมณ์ของคนเราไม่หนีไปจาก โลภ โกรธ หลง กุศล อกุศลหรอกครับ
และการแสดงออกทางกายของคนปกติ มันก็ไม่แตกต่างกันหรอกครับ
เราสามารถเอาตัวเราเป็นต้นแบบได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เทศน์ของพระอริยะเจ้ามา

ประเภทต้มยำรวมมิตร ไม่รู้มีของใครมั่ง
น่าจะมีแน่ๆ ก็หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อพุธ หลวงตา แล้วเอามาผสมกันนะครับ


อ้างคำพูด:
หลวงพ่อสงบเป็นใครครับ เป็นพระอริยะหรือครับ? (ไม่ได้ปรามาสนะครับ
)
พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต


อ้างคำพูด:
สิ่งที่ท่านอายะบอกมันเป็นเรื่องของความคิดครับ แต่เรื่องทายจิตของพระ
มันเป็นเรื่อง การบอกถึงสภาวะอารมณ์ วิธีการมันง่ายมากครับ
หลักการของมันก็ค์อ สภาวะจิตเกิดจาก ผัสะที่ได้รับทางกาย เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์ขึ้น
ก็จะแสดงออกทางกาย พระท่านสังเกตุอาการทางกายแล้วจึงบอกสภาวะทางจิตครับ


ฟังไปเกือบเคลิ้มเหมือนกัน
ที่ท่านบอกว่าสังเกตุจากอาการทางกายเนี่ยครับ มันเป็นอย่างไร
- เพ่งไป
- ภาวนาดีแล้ว
- จิตตื่นแล้ว

ที่สำคัญ พวกได้โสดาบันนี่ อาการทางกายมันเป็นอย่างไร
อย่างคุณดังตูม เนี่ยลองเล่าให้ฟังซิครับ


ส่วนเรื่องจิต แว๊บเอาไว้ทีหลัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
เทศน์ของพระอริยะเจ้ามา

ประเภทต้มยำรวมมิตร ไม่รู้มีของใครมั่ง
น่าจะมีแน่ๆ ก็หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อพุธ หลวงตา แล้วเอามาผสมกันนะครับ

แล้วพระท่านได้ศึกษาคำสอนจาก หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตาเหล่านี้มาบ้างหรือเปล่าครับ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
หลวงพ่อสงบเป็นใครครับ เป็นพระอริยะหรือครับ? (ไม่ได้ปรามาสนะครับ
)
พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

แล้วพระอาจารย์สงบนี่น่ะ เป็นอริยเจ้าหรือเปล่าครับ
เห็นท่านอายะ ให้ผมไปฟังท่านเทศน์เรื่องอริยเจ้า ท่านเทศน์ได้แจ่ม แสดงว่าพระสงบ
ท่านรู้เรื่องอริยเจ้าเป็นอย่างดี
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
สิ่งที่ท่านอายะบอกมันเป็นเรื่องของความคิดครับ แต่เรื่องทายจิตของพระ
มันเป็นเรื่อง การบอกถึงสภาวะอารมณ์ วิธีการมันง่ายมากครับ
หลักการของมันก็ค์อ สภาวะจิตเกิดจาก ผัสะที่ได้รับทางกาย เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์ขึ้น
ก็จะแสดงออกทางกาย พระท่านสังเกตุอาการทางกายแล้วจึงบอกสภาวะทางจิตครับ


ฟังไปเกือบเคลิ้มเหมือนกัน
ที่ท่านบอกว่าสังเกตุจากอาการทางกายเนี่ยครับ มันเป็นอย่างไร
- เพ่งไป
- ภาวนาดีแล้ว
- จิตตื่นแล้ว

ท่านอายะครับ ท่านเอาเรื่องการสนทนาของคนอื่นมาถามผม แล้วผมจะรู้ไม่เนี่ย
การจะรู้อารมณ์คนอื่นจะต้องเห็นสีหน้าสีตา ต้องฟังวาจาเป็นส่วนประกอบครับ
อายะ เขียน:
[ที่สำคัญ พวกได้โสดาบันนี่ อาการทางกายมันเป็นอย่างไร
อย่างคุณดังตูม เนี่ยลองเล่าให้ฟังซิครับ
ส่วนเรื่องจิต แว๊บเอาไว้ทีหลัง

เอ๋! คำถามนี้เอาไงดีล่ะ คุณดังตูมนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้จักแกเสียด้วย
เคยเห็นชื่อแกในหนังสือ เคยหยิบมาดูมาจะซื้อเสียหน่อย แต่เห็นราคาแล้ว
เลิกซื้อและเลิกคิดถึงคนชื่อดังตูมเลยครับ ผมพูดแบบไม่เข้าข้างใครแล้วนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วพระท่านได้ศึกษาคำสอนจาก หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตาเหล่านี้มาบ้างหรือเปล่าครับ

ก็เพราะเคยอ่านเคยฟัง มาบ้างละครับถึงได้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแว๊บๆ


อ้างคำพูด:
แล้วพระอาจารย์สงบนี่น่ะ เป็นอริยเจ้าหรือเปล่าครับ


ไม่สามารถทราบได้ครับ ภูมิธรรมไม่ถึงครับ



อ้างคำพูด:
ท่านอายะครับ ท่านเอาเรื่องการสนทนาของคนอื่นมาถามผม แล้วผมจะรู้ไม่เนี่ย
การจะรู้อารมณ์คนอื่นจะต้องเห็นสีหน้าสีตา ต้องฟังวาจาเป็นส่วนประกอบครับ


อ้าวท่านโฮ ขอรับ ก็ท่านบอกเองพระคุณเจ้าทำนายทายทักจิต จากการดูอาการทางกายประกอบ
ไฉน ท่านโฮ บอกเป็นเรื่องของคนอื่นๆ คุยกัน
แล้วท่านโฮเอาข้อมูลมาจากไหนคับ ว่าดูจากอาการทางกาย หรือคิดเอาเองคับ




อ้างคำพูด:
เอ๋! คำถามนี้เอาไงดีล่ะ คุณดังตูมนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้จักแกเสียด้วย
เคยเห็นชื่อแกในหนังสือ เคยหยิบมาดูมาจะซื้อเสียหน่อย แต่เห็นราคาแล้ว
เลิกซื้อและเลิกคิดถึงคนชื่อดังตูมเลยครับ ผมพูดแบบไม่เข้าข้างใครแล้วนะครับ


ไม่อ่านนะดีแล้วครับ ผมนะแย่เลยอ่านแล้วอยากร้องให้
เสียดายตังก์ เสียดายที่ได้อ่าน
ถ้าไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรครับ เพราะนักดูจิตที่ผมเจอทั้งหลายเห็นแกเป็นไอดออออล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วพระท่านได้ศึกษาคำสอนจาก หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตาเหล่านี้มาบ้างหรือเปล่าครับ

ก็เพราะเคยอ่านเคยฟัง มาบ้างละครับถึงได้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแว๊บๆ

ท่านเอาสติอยู่กับการสนทนาหน่อยซิครับ ท่านกำลังสนทนากับผม ไอ้เรื่องเหน็บชาวบ้าน
เอาไว้ทีหลังได้มั้ยครับ เดียวเนื้อหาของเรามันจะเป็นยำรวมมิตรแบบที่ท่านว่าคนอื่นเขา

ทีท่านบอกว่าพระที่ท่านกล่าวอ้าง ไปเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มายำรวมมิตร
ผมถึงได้ถามว่า พระท่านได้ศึกษาคำสอนจากครูบาอาจารย์เหล่านี้มั้ย
ถ้าท่านได้ศึกษามาท่านก็มีสิทธิที่จะ เก็บเอาส่วนดีๆของคำสอนเหล่านั้นมารวบรวม
ให้เป็นเรื่องเดียวกัน
แล้วที่ท่านบอกมันขัดกันกับของครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวในส่วนนี้มันไม่ถูกครับ
ก็พระท่านเอามาจากหลายๆอาจารย์ เราจะดูจะดูในส่วนที่ตรงกันครับ
หรือถ้าท่านเลือกดูที่ขัดกัน เพื่อจะจับผิดพระ ผมว่ามันยังไม่ใช่สาเหตุครับ
ถ้าดูกันจริงๆแล้ว มันขัดกันไม่ใช่พระไปขัดกับครูบาอาจารย์ แต่เป็นครูบาอาจารย์ไปขัดกันเอง
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วพระอาจารย์สงบนี่น่ะ เป็นอริยเจ้าหรือเปล่าครับ

ไม่สามารถทราบได้ครับ ภูมิธรรมไม่ถึงครับ

อ้าว! เห็นท่านบอกว่า พระอาจารย์สงบ รู้เรื่องอริยะเป็นอย่างดี ผมถึงได้ถามว่า
พระสงบเป็นอริยเจ้าหรือเปล่า และก็เป็นตัวท่านอีกนั้นแหล่ะที่แนะนำผม ให้ไปฟัง
ท่านอาจารย์สงบเทศน์เรื่องอริยเจ้า ท่านบอกว่า แจ่ม ผมยังคิดไปเองเลยว่า ท่านก็เป็น
อริยบุคคลไปด้วย แต่ไหงท่านบอกว่า ภูมิธรรมไม่ถึง งงครับ
อายะ เขียน:

อ้างคำพูด:
ท่านอายะครับ ท่านเอาเรื่องการสนทนาของคนอื่นมาถามผม แล้วผมจะรู้ไม่เนี่ย
การจะรู้อารมณ์คนอื่นจะต้องเห็นสีหน้าสีตา ต้องฟังวาจาเป็นส่วนประกอบครับ

อ้าวท่านโฮ ขอรับ ก็ท่านบอกเองพระคุณเจ้าทำนายทายทักจิต จากการดูอาการทางกายประกอบ
ไฉน ท่านโฮ บอกเป็นเรื่องของคนอื่นๆ คุยกัน
แล้วท่านโฮเอาข้อมูลมาจากไหนคับ ว่าดูจากอาการทางกาย หรือคิดเอาเองคับ

เรื่องแบบนี้มันเป็นข้อมูลทางวิชาการครับ ถ้าเราศึกษาเราก็รู้ครับ
แต่ถ้าอยากจะรู้เฉพาะบุคคล เราต้องคุยต้องเห็นหน้าเห็นตาครับ
ตัวอย่างง่ายๆ ถ้าจะวินิจฉัยโรคให้กับคนไข้ซักคน หมอเขาต้องพูดคุยกับคนไข้เป็นการส่วนตัว
ไม่มีที่ไหน ให้นางพยาบาลคุย พยาบาลตรวจ แล้วให้หมอบอกว่าเป็นโรคอะไรหรอกครับ
อายะ เขียน:

อ้างคำพูด:
เอ๋! คำถามนี้เอาไงดีล่ะ คุณดังตูมนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้จักแกเสียด้วย
เคยเห็นชื่อแกในหนังสือ เคยหยิบมาดูมาจะซื้อเสียหน่อย แต่เห็นราคาแล้ว
เลิกซื้อและเลิกคิดถึงคนชื่อดังตูมเลยครับ ผมพูดแบบไม่เข้าข้างใครแล้วนะครับ

ไม่อ่านนะดีแล้วครับ ผมนะแย่เลยอ่านแล้วอยากร้องให้
เสียดายตังก์ เสียดายที่ได้อ่าน
ถ้าไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรครับ เพราะนักดูจิตที่ผมเจอทั้งหลายเห็นแกเป็นไอดออออล

ท่านก็อย่าไปว่าคนอื่นเขาเลยครับ เรื่องแบบนี้แล้วแต่ครับ ใครชอบใครโค้งใครครับ
มันก็เหมือนกับท่านนั้นแหล่ะครับ ท่านก็มีไอดอลประจำใจ เพียงแต่ท่านเกรดดีกว่าครับ
ไอดอลของท่านเป็นพระเป็นอริยเจ้า แต่ของคนอื่นเป็นแค่ฆราวาสหรือจะเป็นโสดาบัน
ก็เป็นโสดาบันที่แต่งหนังสือขาย ขอบอกอีกครั้งครับ"หนังสือธรรมะอะไรแพงๆๆๆๆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร