วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 12:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2011, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามกระทู้เลยครับ เห็นหลายๆ กระทู้ กลัวได้ ฌาณ บ้าง
กลัวเกิด เป็นพรหมบ้าง อย่างกับได้ง่ายๆ เพ่งนิดๆ หน่อยๆ ได้พรหมเลยเหรอ


สมมุตินะครับ ถ้าได้ฌาณ หรือได้เกิดเป็นพรหม มันไม่ดีตรงไหน
มันไปขัดขวางมรรคผล นิพพานอย่างไร
มันน่าจะดีกว่าเกิดเป็น จิ้งจก ตุ๊กแก ไม่ใช่เหรอ
กลัวเป็นพรหม แต่ทำไมไม่กลัวเป็นพรม :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ตามกระทู้เลยครับ เห็นหลายๆ กระทู้ กลัวได้ ฌาณ บ้าง
กลัวเกิด เป็นพรหมบ้าง อย่างกับได้ง่ายๆ เพ่งนิดๆ หน่อยๆ ได้พรหมเลยเหรอ

สมมุตินะครับ ถ้าได้ฌาณ หรือได้เกิดเป็นพรหม มันไม่ดีตรงไหน
มันไปขัดขวางมรรคผล นิพพานอย่างไร
มันน่าจะดีกว่าเกิดเป็น จิ้งจก ตุ๊กแก ไม่ใช่เหรอ
กลัวเป็นพรหม แต่ทำไมไม่กลัวเป็นพรม :b10:


เราต้องรู้ก่อนว่า เราทำกรรมฐานเพื่อจุดประสงค์อะไร ส่วนใหญ่ก็เพื่อความหลุดพ้น
ทั้งฌาณทั้งพรหมถ้าได้มาเพราะความอยาก มันเป็นกิเลส

และสิ่งที่ผู้รู้เขากลัวก็คือ ตายในขณะจิตว่างแล้วไปเกิดเป็นพรหม
พรหมก็เหมือนกับเทวดา ยังต้องลงมาเกิดใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้นานเท่าไร

จิ้งจกตุ๊กแกที่ท่านว่า อาจจะมาเกิดเป็นคนก่อนและสำเร็จมรรผลไปไหนต่อไหนแล้วครับ

ความเห็นส่วนตัว พระพรหมสี่หน้าที่เป็นเทวดา ใส่ชุดลิเก ผมว่ามันไม่จริงหรอกครับ
ตายขณะจิตว่าง จิตก็ต้องวนเวียนอยู่กับความว่าง ที่เป็นอรูป ต้องเป็นแบบนี้เพื่อรอการเกิดใหม่
ซึ่งมันยากมาก เพราะสภาวะของมนุษย์จะเกิดต้องอาศัย สภาวะของสัญญาเป็นเชื้อ
จิตที่ว่างมันเหมือนจิตที่ยังไม่มีจุดหมาย ต้องรอจนกว่าสภาวะจะตรงกับจิตตัวเอง
อย่าลืมจิตว่างของ พรหมกับจิตว่างของอรหันต์แตกต่างกัน
จิตว่างของพรหม มีความว่างเป็นอารมณ์มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
จิตว่างของของหันต์ ว่างจากอารมณ์
ดังนั้นพรหมยังต้องมาเกิดใหม่ แต่พระอรหันต์ไม่เกิดแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
และสิ่งที่ผู้รู้เขากลัวก็คือ ตายในขณะจิตว่างแล้วไปเกิดเป็นพรหม
พรหมก็เหมือนกับเทวดา ยังต้องลงมาเกิดใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้นานเท่าไร


อย่างนั้นหรือคับ ถ้าสามารถทำจิตให้ว่างได้ตอนตายมันก็ขั้นเทพแล้ว จะทำได้ซักกี่คนกัน
ทำไมไม่กลัวตอนตายจิตไหลลงต่ำ

แล้วพวกกลัวเป็นพรหมเนี่ยนะครับส่วนมาก
นั่งสมาธิ ซัก 1-2 ชม ก็แทบตายแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 07:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
และสิ่งที่ผู้รู้เขากลัวก็คือ ตายในขณะจิตว่างแล้วไปเกิดเป็นพรหม
พรหมก็เหมือนกับเทวดา ยังต้องลงมาเกิดใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้นานเท่าไร


อย่างนั้นหรือคับ ถ้าสามารถทำจิตให้ว่างได้ตอนตายมันก็ขั้นเทพแล้ว จะทำได้ซักกี่คนกัน
ทำไมไม่กลัวตอนตายจิตไหลลงต่ำ

แล้วพวกกลัวเป็นพรหมเนี่ยนะครับส่วนมาก
นั่งสมาธิ ซัก 1-2 ชม ก็แทบตายแล้ว

ความเห็นของท่านที่ตอบมา มันไม่ใช่ความเห็นของผมเสียที่เดียว
มันเป็นการคาดคะเนในความคิดคนอื่นเขา ผมจะอธิบายในส่วนที่ท่านตอบมา แต่เป็นเพียงการคาดคะเน
เพราะมันเป็นความเห็นคนอื่นเขา
อายะ เขียน:
อย่างนั้นหรือคับ ถ้าสามารถทำจิตให้ว่างได้ตอนตายมันก็ขั้นเทพแล้ว จะทำได้ซักกี่คนกัน
ทำไมไม่กลัวตอนตายจิตไหลลงต่ำ

ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ท่านจะนั่งไปทำไมครับ?
แล้วไอ้เรื่องจิตไหลลงต่ำนี่ ผมก็ได้ตอบไปแล้วว่า กรรมมันไม่ได้มาตัดสินกันเฉพราะตอนตายหรอกครับ
ชั่วชีวิตทำกรรมอะไร ยึดมั่นถือมั่นอะไรไว้ ก็ต้องไปใช้กันหมดนั้นแหล่ะครับ
นอกเสียจากบรรลุอรหันต์ในชาติปัจจุบัน
อายะ เขียน:
แล้วพวกกลัวเป็นพรหมเนี่ยนะครับส่วนมาก
นั่งสมาธิ ซัก 1-2 ชม ก็แทบตายแล้ว

ผมเคยได้ยินมาว่า คนพวกนี้เขาปฏิบัติกันด้วยวิธี เจริญสติในชีวิตประจำวัน
เขาต้องปฏิบัติกันทั้งวัน แบบนี้ไม่สาหัสสากันกว่าหรือครับ อีกอย่างครับเขาเน้นไป
ในทางวิปัสสนาครับ ผัสสะจริงๆ อารมณ์จริงและเป็นปัจจุบันที่แท้จริงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ตามกระทู้เลยครับ เห็นหลายๆ กระทู้ กลัวได้ ฌาณ บ้าง
กลัวเกิด เป็นพรหมบ้าง อย่างกับได้ง่ายๆ เพ่งนิดๆ หน่อยๆ ได้พรหมเลยเหรอ


สมมุตินะครับ ถ้าได้ฌาณ หรือได้เกิดเป็นพรหม มันไม่ดีตรงไหน
มันไปขัดขวางมรรคผล นิพพานอย่างไร
มันน่าจะดีกว่าเกิดเป็น จิ้งจก ตุ๊กแก ไม่ใช่เหรอ
กลัวเป็นพรหม แต่ทำไมไม่กลัวเป็นพรม :b10:


ที่กลัวไปเป็นพรหม..นี้..กระผมว่า..มันมีสาเหตุ

มิจฉาสมาธิ..กับ..สัมมาสมาธิ

ถ้ามิจฉา..ก็ไปเป็นพรหมอยู่อย่างนั้น..เสียโอกาสไป
หากเป็นสัมมา..เป็นพรหมก็ยังต่อยอดได้

เทวดา..พรหม..ก็ไปนิพพานได้

ที่กลัวเพราะไม่เข้าใจ

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนพวกนี้เขาปฏิบัติกันด้วยวิธี เจริญสติในชีวิตประจำวัน
เขาต้องปฏิบัติกันทั้งวัน แบบนี้ไม่สาหัสสากันกว่าหรือครับ อีกอย่างครับเขาเน้นไป
ในทางวิปัสสนาครับ ผัสสะจริงๆ อารมณ์จริงและเป็นปัจจุบันที่แท้จริงครับ


มันจะไปสาหัสอะไรคับ สติ เกิดเป็นช่วงๆ แวบๆ วับๆ
ทำไป 10 ปี มันก็คงอยู่อย่างนี้ อย่างนี้ ไม่ไปไหน
แล้วตอนว่างๆ ทำไมไม่ยอมเดินจงกรม นั่งสมาธิ จริงๆ จังๆ ครับ
กลับมีคำสอนห้ามเด๋วกลายเป็นเพ่งไป ก็จะผิดหลักที่ไม่เคยมี

เจริญสติในชีวิตประจำวันโดยการดูอาการของจิตนั้น
ผมคิดว่าไปลอกสภาวะมาจาก
การเจริญสมถะช่วงที่ร่างกายหาย คำบริกรรมหาย เหลือเฉพาะจิตเท่านั้นก็เลยต้องตามดูอาการของจิตไป
ก็เลยยกส่วนนี้เอามาสอนให้ตามดูจิตไปเลย
ผลมันก็เลยออกมาไม่เหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 17:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 09:54
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


ในความเห็นของข้าพเจ้า การเจริญสติ ก็ไม่มีอะไรที่ยาก หรือต้องลำบากอะไร และการนั่งสมาธิหนึ่งหรือสองชั่วโมงหรือมากกว่า อาจจะดูยากลำบากกว่า แต่สำหรับท่านผู้เพียรก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกัน หากแต่เรานั่งสมาธิ เดินจงกรม เพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำกิจอันก่อประโยชน์แก่โลกใบนี้เลย ชีวติก็คงไม่สมบูรณ์ครบถ้วน การหมั่นเจริญสติ บ่อย ๆอย่างน้อย ก็จะกลั้น กิเลสที่จะไหลเข้าสู่จิตเราได้ แล้วก็ใช้สมาธิยาม เมื่อจิตอ่อนล้าจิตเศร้าหมอง หรือเมื่อต้องการที่จะชัดเจนกับอะไรบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ควร แต่ทั้งสองก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการพ้นทุกข์ ...ท่านที่กลัวเป็นพรหม นั้นก็คงเป็นเพราะท่านเหล่านั้นคงไม่ต้องการความเนิ่นนานตามมีผู้กล่าวไว้ จะด้วย มิจฉาหรือสัมมา ก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆ สวรรค์ พรหม นิพพาน ก็เป็นสุขติภูมิ ที่หลายคนปราถนา รวมทั้งข้าพเจ้า ครูบาอาจารย์ข้าพเจ้าท่านสอนไว้ว่า "หมั่นรู้ ๆ ดู ๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ถึงเอง" เพราะ ทุกอย่างเป็นคะแนนสะสม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
คนพวกนี้เขาปฏิบัติกันด้วยวิธี เจริญสติในชีวิตประจำวัน
เขาต้องปฏิบัติกันทั้งวัน แบบนี้ไม่สาหัสสากันกว่าหรือครับ อีกอย่างครับเขาเน้นไป
ในทางวิปัสสนาครับ ผัสสะจริงๆ อารมณ์จริงและเป็นปัจจุบันที่แท้จริงครับ


มันจะไปสาหัสอะไรคับ สติ เกิดเป็นช่วงๆ แวบๆ วับๆ
ทำไป 10 ปี มันก็คงอยู่อย่างนี้ อย่างนี้ ไม่ไปไหน
แล้วตอนว่างๆ ทำไมไม่ยอมเดินจงกรม นั่งสมาธิ จริงๆ จังๆ ครับ
กลับมีคำสอนห้ามเด๋วกลายเป็นเพ่งไป ก็จะผิดหลักที่ไม่เคยมี

มันแล้วแต่วิธีการปฏิบัติครับ ที่เขาไม่นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมจริงๆจัง
ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า พวกนี้เขากลัวได้ฌาณกลัวเป็นพรม

เรามามองในมุมกลับกันในคำพูดของท่านที่ว่า 10ปีไม่ไปไหน สติเกิดแว๊บๆ
คนประเภทนี่ ก็คือคนขี้เกียจครับ ขี้เกียจที่จะคอยตามระลึกรู้อารมณ์
สู้มานั่งเฉยๆ นั่งเพ่งนั่งจ้องมันเลยดีกว่าง่ายดี ไม่ต้องไปคอยตามให้เหนื่อยใจ

อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
เจริญสติในชีวิตประจำวันโดยการดูอาการของจิตนั้น
ผมคิดว่าไปลอกสภาวะมาจาก
การเจริญสมถะช่วงที่ร่างกายหาย คำบริกรรมหาย เหลือเฉพาะจิตเท่านั้นก็เลยต้องตามดูอาการของจิตไป
ก็เลยยกส่วนนี้เอามาสอนให้ตามดูจิตไปเลย
ผลมันก็เลยออกมาไม่เหมือนกัน

อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ เอาคำคนนั้นที่ คนนี่ที่ ผมฟังแล้วงงครับ
ท่านอย่าลืมซิว่ากำลังคุยอยู่กับผม ไม่ใช่พระรูปนั้น ผมไปตอบในสิ่งที่ผมไม่รู้หรือกระทำไม่ได้
สรุปก็คือเราต้องคุยกันในหลักการทั่วๆไปครับ อย่าไปคุยเรื่องความคิดคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มันแล้วแต่วิธีการปฏิบัติครับ ที่เขาไม่นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมจริงๆจัง
ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า พวกนี้เขากลัวได้ฌาณกลัวเป็นพรม


ผมบ่ได้บอกเช่นนั้นครับท่านโฮ
ผมบอกว่า พวกที่กลัวเป็นพรหม (ไม่ใช่พรม นะครับ) ส่วนมาก ไม่ทำสมาธิจิงจังตะหากคับ

อ้างคำพูด:
10ปีไม่ไปไหน สติเกิดแว๊บๆ
คนประเภทนี่ ก็คือคนขี้เกียจครับ ขี้เกียจที่จะคอยตามระลึกรู้อารมณ์
สู้มานั่งเฉยๆ นั่งเพ่งนั่งจ้องมันเลยดีกว่าง่ายดี ไม่ต้องไปคอยตามให้เหนื่อยใจ


ต่อให้พวกขยันเลยครับ เอาแบบวิธีสติแว๊บ นี้นะครับ
10 ปี อยู่อย่างนี้ อย่างนี้

อ้างคำพูด:
สู้มานั่งเฉยๆ นั่งเพ่งนั่งจ้องมันเลยดีกว่าง่ายดี


ง่ายจิงเหรอคับ เคยทำจิงหรือป่าวคับ

อ้างคำพูด:
ไม่ต้องไปคอยตามให้เหนื่อยใจ

ตอนไม่ได้ เิดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือเรียกว่าอริยาบทหลัก
เขาก็อยู่กับคำบริกรรม หรือกรรมฐานของเขานะคับ
เช่น ถ้าพุทโธ เดินไปก็นึกพุทโธ ไปด้วยนะครับ
มิใช่เดินว่างไป ว่างมา แว๊บๆ


อ้างคำพูด:
อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ เอาคำคนนั้นที่ คนนี่ที่
สรุปก็คือเราต้องคุยกันในหลักการทั่วๆไปครับ อย่าไปคุยเรื่องความคิดคนอื่น


ขอโทษครับ ผมก็แค่อยากให้รู้ที่มาของวิธีการแว๊บ ๆ ก็เท่านั้นละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
มันแล้วแต่วิธีการปฏิบัติครับ ที่เขาไม่นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมจริงๆจัง
ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่า พวกนี้เขากลัวได้ฌาณกลัวเป็นพรม


ผมบ่ได้บอกเช่นนั้นครับท่านโฮ
ผมบอกว่า พวกที่กลัวเป็นพรหม (ไม่ใช่พรม นะครับ) ส่วนมาก ไม่ทำสมาธิจิงจังตะหากคับ

เช่นกันครับ ท่านไม่ลองมาทำวิธีของคนอื่นที่ท่านกำลังตำหนิ
ลองมาทำแบบเขาอย่างจริงจังดูซิครับ แล้วลองดูว่าผลเป็นอย่างไร
มันดีหรือไม่ดีตรงไหน ไม่ใช่ว่าเขามาบอกวิธีการ แต่ท่านคอยตำหนิว่าไม่ใช่ไม่ได้
ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยทำหรือว่าทำแต่ไม่จริงจัง
เรื่องที่ผมว่ายังพอเข้าใจครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว ขอร้องอย่าทำเลยครับ
เรื่องตัวบุคคลเสียหายไม่เป็นไร แต่ธรรมเสียนี่ซิ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
10ปีไม่ไปไหน สติเกิดแว๊บๆ
คนประเภทนี่ ก็คือคนขี้เกียจครับ ขี้เกียจที่จะคอยตามระลึกรู้อารมณ์
สู้มานั่งเฉยๆ นั่งเพ่งนั่งจ้องมันเลยดีกว่าง่ายดี ไม่ต้องไปคอยตามให้เหนื่อยใจ

ต่อให้พวกขยันเลยครับ เอาแบบวิธีสติแว๊บ นี้นะครับ
10 ปี อยู่อย่างนี้ อย่างนี้

ขยันอย่างเดียวก็ไม่ได้ครับต้องเข้าใจในสิ่งที่จะปฏิบัติด้วย
แล้วใครกันหรือครับ10ปี ยังอยู่แบบนี้ อย่าอ้างอะไรลอยๆซิครับมันผิดหลักการสนทนา
อายะ เขียน:
[
อ้างคำพูด:
สู้มานั่งเฉยๆ นั่งเพ่งนั่งจ้องมันเลยดีกว่าง่ายดี

ง่ายจิงเหรอคับ เคยทำจิงหรือป่าวคับ

เคยซิครับ ผมไม่นิยมพูดอะไรลอยๆหรอกครับ ผมมันพวกบุญน้อยครับ
นั่งอย่างไร นั่งนานแค่ไหนมันได้แต่ความว่างครับ ไม่เหมือนกับพวกที่นั่งแล้วได้เป็นพรหม
ได้เป็นเทวดานางฟ้า บ้างคนระลึกชาตได้หลายสิบชาติ เคยเป็นทหารเอกพระนเรศวร
เป็นทหารคู๋กายพระเจ้าตาก เอาเถอะครับจะเป็นจะได้อะไรก็เอาเถอะครับ
อายะ เขียน:

อ้างคำพูด:
อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ เอาคำคนนั้นที่ คนนี่ที่
สรุปก็คือเราต้องคุยกันในหลักการทั่วๆไปครับ อย่าไปคุยเรื่องความคิดคนอื่น


ขอโทษครับ ผมก็แค่อยากให้รู้ที่มาของวิธีการแว๊บ ๆ ก็เท่านั้นละครับ

ผมว่าต้องเป็นท่านต่างหาก ที่จะต้องอธิบายวิธีแว็บๆ ท่านเป็นคนอ้างเป็นคนเปิดประเด็น
ไอ้เรื่องแว๊บๆ นี่มันยังไงกันครับกลับมาย้อนถามคนอื่นทั้งๆที่เคยได้ยิน
แบบนี้ไงผมถึงได้บอก อย่าพูดอะไรลอยๆ มันเหมือนนินทาคนอื่นไม่มีเหตุผลครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร