"ไม่มีธาตุแล้วธรรมมันจะอยู่ยังไง..." ท่านกล่าวแบบนี้ครับ แต่ก่อนหน้านั้น ผมนึกไม่ออกครับว่าท่านกล่าวอะไร ยังนึกอยู่เลยนึกไม่ออกจริง แต่.... ประโยค ว่า
ประกอบเหตุ สังเกตุผล
ทนเอาเถิดประเสริฐนัก คำสอนหลวงพ่อสด ท่านเอามากล่าวทิ้งท้ายบ่อยมากๆครับ

...ในทัศนะของข้าพเจ้าเมื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในธรรมจึงรู้อย่างนี้ว่า
...ธรรมะคือสัจจธรรม(ความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติของทุกๆสิ่งที่เวียนวนเป็นวัฏฏะ)...
...แม้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็เป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน...
...และเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้...ธรรมชาตินั้นจึงถูกเปิดเผยออกมา...
...ธรรมชาติที่ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น...ตั้งอยู่ไม่ได้นาน...ก็ดับไปตลอดเวลา...
...เช่นต้องเปลี่ยนอิริยาบทยืน เดิน นั่ง นอน บ่อยๆ อยู่ท่าเดียวนานๆไม่ได้...
...มีก้าวเท้าซ้ายดับไปแล้วก้าวเท้าขวาตามสลับไปมาจึงเรียกว่าเดิน...เป็นต้น
...ธรรมชาติที่ทุกสิ่งที่มีความไม่เที่ยง...เป็นอนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา...
...บาปมี...บุญมี...เปรต ผีประเภทต่างๆมี...นรก-สวรรค์-พรหมโลก-นิพพานมี...
...ให้รักษาทาน ศีล ภาวนา...จงละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส...
...ตถาคตรู้เห็นตามจริงในธรรมชาติที่มีอยู่และเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น...
...ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์คือเป็นลูกศิษย์ของตถาคตเจ้าค่ะ...

นิพพานเที่ยงครับพระสูตรมีบอก

เจริญในธรรม..... ท่านหลับอยู่.....
นิพพาน...... ก็อยู่ในกลุ่ม...อัพยากตธรรม.... (ตามความรู้สึกของโคตรภู)
..... เที่ยงหรือไม่เที่ยง......
......โคตรภู... ขอเว้นไม่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ.........

ส่วนที่กล่าวว่า .....ไม่มีธาตุแล้วธรรมจะอยู่ได้อย่างไร.....
...ว่ามีนัยยะอยู่(เป็นความรู้สึกของโคตรภูเอง)... อย่างที่บอก... เหมือนรู้...เหมือนไม่รู้......
........ณ เวลานี้....
ความรู้ที่มี....
ความเข้าใจในธรรม.....
สภาวะธรรมที่เคยเห็น.....
อีกทั้งคุณธรรมที่มีอยู่...
....ตอนนี้เหมือนภาพจิ๊กซอ.... ยังไม่รวมเข้าเป็นภาพที่ชัดเจน.... จึงยังตอบท่านตอนนี้ไม่ได้ครับ...
จึงต้องขออภัยท่านหลับอยู่ด้วย..ที่ต้องขอผ่านไปก่อน....

เจริญในธรรมครับ

เจริญในธรรมครับ ท่าน Rosarin........

....โคตรภู.....ขออนุโมทนา....สาธุการ....กับความเลื่อมใสศรัทธาในธรรม.....ครับ..
และขอขอบพระคุณที่เข้ามาร่วมแสดงความเห็นว่า... ธรรมะคืออะไร....

...ท่าน Rosarin...มายืนยันอีกท่านหนึ่งว่า.... ธรรมะคือ... สัจจธรรม....คือความจริงในวัฎฎะว่า
เป็น...."อนิจัง.... ทุกขัง.... อนัตตา....."



.....โคตรภู... ขออนุโมทนากับความคิด......นี้ครับ...

เจริญในธรรมครับ

เจริญในธรรม.....ครับ...ท่านลิ้มธรรม....

...โคตรภู.... มิได้โกรธเคืองประการใด... มีแต่ยินดีด้วยที่ท่านลิ้มธรรม....
สามารถนำลิงค์ youtube มาใส่ได้..... ยินดีด้วยครับ.....

.......กุศลจิต.... จะมีอยู่ในจิตที่มีความสุข.... ความสบาย... มีปีติ... ฯลฯ... เท่านั้น......

อย่าคิดมากครับจิตหม่นหมองเปล่าๆ... พลอยทำให้เกิด..อกุศลจิต...เท่านั้น...

เจริญในธรรมครับ

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๑
วันจันทร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
(ฉบับไม่เป็นทางการ)

ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๑ แล้ว ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพร แก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ในน้ำใจไมตรี ที่ทุกคน ทุกฝ่ายแสดงให้เห็น ทั้งในคราวที่เจ็บป่วย และในการจัดงานวันเกิดครบ ๘๐ ปี รวมทั้งได้แสดงความวิตกห่วงใยอย่างจริงใจ ในการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าพเจ้า

สถานการณ์ของบ้านเมืองเราจากปีก่อน และต่อเนื่องมาถึงปีที่แล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นที่ทราบกันอยู่แก่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มีรัฐธรรมนูญ และได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่าประเทศชาติของเรา ได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ที่จะต้องช่วยกันประคับประคอง กิจการของบ้านเมือง ให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่น และร่มเย็นเป็นปกติสุข

ทางที่เราจะช่วยกันได้ ก็คือการทำความคิดให้ถูกตรง และแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นที่หมาย แต่ละคน แต่ละฝ่าย จะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน ด้วยไมตรีจิตและความเมตตากรุณา อย่าก่อปัญหา และก่อเงื่อนไข อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ และความแตกแยก

ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จ ลุล่วงไป ให้ทันการณ์ ทันเวลา ผลงานของทุกคน ทุกฝ่าย จะได้ประกอบส่งเสริมกัน ให้ประเทศชาติ อันเป็นที่อยู่ ที่อาศัยของเรา ดำรงมั่นคงอยู่ ด้วยความผาสุข ร่มเย็น ตลอดไป

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธื์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงคุ้มครอง รักษา ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขสบาย สุขใจ และประสบแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดย

...ขอให้คุณโคตรภูเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป...

สวัสดีท่านโคตรภู

ธรรมะ คืออะไร? เป็นคำถามที่ถามกันบ่อยมากคำถามหนึ่ง ก็มีผู้อธิบายกันหลายท่าน เท่าที่อ่านมา ลักจำมา ก็มีหลายประเด็นที่ น่าสนใจจึงนำมาแปะไว้บ้างในกระทู้นี้

ธรรมะ ด้วยความเป็นสัจจะ คือจริงแท้ เป็นความจริงแท้ที่ พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ เ็ป็นของเก่า ธรรมะในนิยามนี้เรียกว่า "สัจจะธรรม" หรือ ธรรมะคือสัจจะ

ธรรมะ ด้วยความเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ซึ่งทำให้เป็นที่เรียกว่า ศาสนาพุทธ ส่วนนี้เรียกว่า "ศาสนธรรม" คือธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ และนำมาสั่งสอน กล่าวคือ สัจจะธรรมที่พระองค์นำมาสั่งสอน เมื่อเป็นสัจจะ คือจริงแท้ พระธรรมนี้ จึง งามในเบื้องต้น งามในท่านกลาง และงามในที่สุด
เพราะเป็นธรรมะที่นำมาปฏิบัติและบังเกิดผลสมจริง เป็นประโยชน์ในปัจจุบันบ้าง เป็นประโยชน์ในภายหน้าบ้าง หรือเป็นประโยชน์ในกาลต่อๆไป

ธรรมะ ด้วยความเป็นธรรมชาติแห่งจิต คือธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นอัพยกฤต หมายเอาธรรมชาติหนึ่งที่เกิดขึ้นอันมีเหตุปัจจัย ทรงไว้ซึ่งความเป็นสัตว์ในภพทั้งหลาย และเมื่อธรรมชาตินั้น สิ้นเหตุปัจจัยอันก่อให้เกิดภพแล้ว ธรรมชาติแห่งจิตนั้นก็ดับไป

ธรรมะ ด้วยความเป็นเหตุ หรือพยัญชนะที่ทรงไว้ซึ่งผล หรืออรรถ เช่น ทุกขสมุทัย เป็นธรรม ทุกข์เป็นอรรถ มรรคเป็นธรรม นิโรธเป็นอรรถ เป็ฯต้น

ธรรมะ โดยปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม กล่าวคือ
ปริยัติธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏเป็นบันทึกในหนังสือพระธรรม พระธรรมจะเป็นปริยัติธรรมก็ต่อเมื่อเกิดความเข้าใจ และทรงจำได้

ปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติตามปริยัติธรรมนั้น เพื่ออบรมจิต ชำราะกายวาจาให้สะอาดบริสุทธิ์ กล่าวคือ ศีล สมาธิ และปัญญา

ปฏิเวธธรรม คือการรู้แจ้งแทงตลอดธรรมที่ได้เข้าใจ ได้ปฎิบัติอบรมจิตนั้น และผลก็ปรากฏโดยลำดับๆไป

นิพพาน ในศาสนธรรมนี้ "เที่ยง" เพราะออกจากสังสารวัฏฏ์ เท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น
นิพพาน ในศาสนธรรมนี้ "สุข" เพราะ ไม่มีความปราถนา อีกทั้งไม่มีความไม่ปราถนา จึงไม่มีความไม่เป็นดั่งใจ และความเป็นดั่งใจ ด้วยความไม่ข้องในสังสารวัฏฏ์
นิพพาน ในศาสนธรรมนี้ "อนัตตา" เพราะหากไม่ยังจิตให้ นิโรธคือความดับสนิทแห่งอกุศลมูล ด้วยสังขารธรรมคืออริยมรรคแล้ว จิตย่อมแจ้งนิพพานไม่ได้

ก็อยากถามคุณเช่นนั้น อีกว่า
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็น อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน) สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)
แปลว่า นิพพานเป็นทุกข์?
หรือจะแปล แบบนี้ครับ นิพพานไม่ใช่ตัวตน?

แบบไหนดีครับ หรือยังมีแบบอื่นอีก

บ้างก็ว่า นิพพานเป็นอัตตา บ้างก็ว่า เป็นอนัตตา บ้างก็ว่าไม่ใช่ทั้งอัตตาและไม่ใช่ทั้งอนัตตา

สวัสดีครับ ท่านหลับอยู่ ก็เช่นเคยครับ เช่นนั้นเพียงแต่ ลักจดลักจำมาร่วมแสดงความเห็น นะครับ

คุณหลับอยู่ แยกสังขตะธรรม คือขันธ์ 5 และอสังขตะธรรม คือนิพพาน เป็นธรรม 2 เสียก่อนนะครับ
ธรรม 2 นั้น ก็มีสามัญลักษณะ 2 เช่นกัน ไม่ปะปนกัน ทำความเข้าใจแยกจากกัน

ไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ 3 เป็นสัจจะที่แสดงลักษณะโดยทั่วๆ ไปแก่ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นสังขตะธรรม โดยสังขตะธรรมทุกชนิด ปรากฏความเกิด ความเสื่อม ความดับ ความแปรปรวน ไม่อาจบังคับบัญชาให้เป็นไปในอำนาจของจิตได้ ตามที่ได้ศึกษามา ก็คือ อนิจจัง อนัตตา ทุกขัง

โดยลักษณะที่เพียรอธิบาย อสังขตะธรรม หรือนิพพานก็อย่าพึงนำไปเปรียบเทียบเช่นดั่งคู่ตรงข้ามกับสังขตะธรรม เพราะเป็นการอธิบายเพียงเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติอันเป็นอย่างนั้นเท่านั้นครับ กล่าวคือ นิพพาน มิใช่ขันธ์ 5 มิได้เป็นขันธ์ใดๆ จึงไม่ปรากฏความเกิด แต่ปรากฏความดับประการเดียวไม่เป็นอื่นเหมือนเปลวเทียนที่ดับไปฉะนั้น นิพพานจึงไม่ตั้งอยู่โดยความทุกข์ เพราะไม่มีความกระวนกระวายอันเกี่ยวกับโลก ซึ่งนิพพาน ก็ไม่อาจคิดเองเออเองตามใจปราถนาให้แจ้งให้บรรลุึในกาลไหนๆ ได้ จึงกล่าวอธิบายว่า อนัตตา