วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 17:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




พระมหากัสสปะนิพพาน.jpg
พระมหากัสสปะนิพพาน.jpg [ 110.6 KiB | เปิดดู 3512 ครั้ง ]
"พระมหากัสสปะตรวจดูอายุสังขาร"
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

ความเดิมจากตอนที่แล้ว... เมื่อกาลได้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงยุคพุทธกาล (ยุคของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า)-พระมหากัสสปเถระก็ได้ลงมาบังเกิดสร้างบารมีเป็นภพชาติสุดท้าย โดยในภพชาตินี้ ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และถือเป็นหนึ่งในพระอสีติมหาสาวกในยุคสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อท่านมีอายุครบ 120-ปีพอดี ท่านก็ได้ตรวจดูอายุสังขารด้วยญาณทัศนะของตัวท่านเอง แล้วก็พบว่า...อายุสังขารของท่าน เหลืออีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ดังนั้น พอถึงรุ่งเช้า พระมหากัสสปะจึงได้บอกแก่เหล่าพระภิกษุสงฆ์ที่พำนักอยู่ในวัดเวฬุวันว่า “เราจะปรินิพพานที่กุกกุฏสัมปาตบรรพตในเวลาเย็นของวันนี้”

ครั้นถึงเวลาเย็น พระมหากัสสปเถระก็ได้เดินทางมาที่กุกกุฏสัมปาตบรรพต ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านจะปรินิพพาน
เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึงแล้ว ท่านก็ได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดมหาชนเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นพอท่านแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ท่านก็ได้เดินเข้าไปในซอกของกุกกุฏสัมปาตบรรพตซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสามลูกในทันที

หลังจากนั้น พระมหากัสสปเถระก็ได้นั่งสมาธิ(Meditation)เข้าฌานสมาบัติ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “หากเราสิ้นอายุสังขารเข้านิพพานเมื่อใด ขอให้ภูเขาทั้งสามลูกนี้...จงมารวมกันเป็นภูเขาลูกเดียวเพื่อบรรจุร่างของเราเอาไว้อยู่ภายใน และเพื่อรอวันเวลาที่พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จเดินทางมาสลายร่างของเรา บนฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์”

มาถึงจุดนี้ พวกเราหลายๆคนคงแอบสงสัยว่า ทำไม...พระมหากัสสปเถระจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานลงไปเช่นนั้น ทั้งๆที่ท่านสามารถปรินิพพานด้วยอาการปกติอย่างที่พระอสีติมหาสาวกรูปอื่นๆทำกัน แต่ท่านกลับไม่ทำ และเลือกที่จะให้พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จเดินทางมาสลายร่างให้กับตัวท่านด้วยฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์

ถ้าเรามองให้ลึกลงไปกว่านั้น เราจะพบว่า...จริงๆแล้ว พระมหากัสสปเถระไม่ได้มีความคิดที่จะไปรบกวนให้พระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ เสด็จมาสลายร่างของท่านแต่อย่างใด แต่ที่ท่านต้องอธิษฐานจิตลงไปเช่นนั้น ก็เป็นเพราะท่านได้เห็นถึงบุพกรรมในอดีตที่ตัวท่านและพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้เคยกระทำกรรมร่วมกันมา กล่าวคือ ในสมัยที่ตัวท่านเกิดเป็นช้างมงคลพระที่นั่ง ส่วนพระศรีอริยเมตไตรย์ทรงเกิดเป็นนายหัตถาจารย์ ดังนั้น เมื่อเรื่องราวทั้งหมดยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม จึงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรื้อผังแห่งวิบากกรรมตรงนี้ไปได้ แม้แต่ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะรื้อผังแห่งวิบากกรรมในอดีตที่แต่ละพระองค์ทรงเคยกระทำผิดพลาดเอาไว้ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 16:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้...เป็นคติสอนใจ...เราเรื่องอะไร...ครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




Image00013.jpg
Image00013.jpg [ 165.67 KiB | เปิดดู 5167 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
เรื่องนี้...เป็นคติสอนใจ...เราเรื่องอะไร...ครับ?


เรื่องนี้น่าจะเป็นคติสอนใจได้ว่า กรรมในอดีตที่ผ่านมา ๒๐ กว่าอสงไขยแสนกัปป์
พระศรีอริยเมตตรัยก็ไม่อาจที่จะหนีพ้นไปได้ ยังต้องมาทำให้สรีระของพระมหากัสสปะสลายสิ้นไป
ในสมัยที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และเพื่อที่จะบอกให้รู้ว่าสรีระของพระมหากัสสปะยังอยู่ที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต
เป็นการนิพพานที่แปลกกว่าพุทธสาวกพระองค์อื่นๆ
v
v
ณ สมัยนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจุติจากเทวโลกแล้ว ได้มาบังเกิดในขัตติยตระกูล
ณ เมืองสิริมดี เมื่อมีพระชนพรรษาเจริญแล้ว สมเด็จพระชนการาชเสด็จทิวงคตล่วงเลยไป
พระองค์ก็ได้เสวยราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมสืบมา พระองค์จึงทรงพระนามว่า
สัตตุตาปนาราธิราชด้วยอรรถว่า เป็นที่ยังหมู่อริราชทั้งหลายให้ร้อนตัวกลัวเกรงพระเดชด้วยประการฉะนี้
พระบรมโพธิสัตว์เจ้านั้นมีพระหฤทัยรักใคร่ในหัตถิพาหนะมากนัก แม้พระองค์ได้สดับว่า
มีมงคลคชสารประเสริฐอยู่ ณ ประเทศใดๆ ก็จะเสด็จไปพักแรมจับมงคลคเชนทร์นำมาสู่พระนคร

อยู่มาวันหนึ่ง มีพราณป่าผู้หนึ่งได้เข้าไปแสวงหาเนื้อในป่าลึก และได้พบพญาช้างใหญ่เชือกหนึ่ง
งามผ่องพรรณด้วยงวงงาปรากฏขาวราวกะว่าขนทรายจามรี ถ้าเราคิดเอาเพียงงวงงาไปขายเพื่อนำ
ไปเลี้ยงบุตรภรรยาก็คงได้เงินเพียงเล็กน้อย แต่หากเรานำเนื้อความนี้ไปกราบทูลให้พระราชา
ทรงทราบเราคงจะได้ทรัพย์มากกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็ทำเครื่องหมายไว้เพื่อจดจำ
แล้วกลับเข้าพระนครเพื่อกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ เมื่อพระองค์ทรงทราบความจากนายพราน
แล้ว ก็ทรงโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่งและได้พระราชทานทรัพย์ให้แก่นายพราน แล้วสั่งให้นายพราน
นำทางไป พระบรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยเสนามาตย์ทหารราชองครักษ์
โดยมีนายพรานเป็นผู้นำทางไปยังที่ทำเครื่องหมายไว้ เมื่อเสด็จถึงถิ่นที่พญาคชสาร ก็ทอดพระเนตร
เห็นพญาคชสาร จึงมีรับสั่งให้ควาญช้างนำเอานางช้างเข้าไปเป็นช้างต่อ แล้วนำเอาพญาคชสารนั้น
ไปสู่พระนคร

เมื่อเสด็จมาถึงพระนครจึงได้มีรับสั่งให้ควาญช้างฝึกสอนโดยเร็วภายใน ๗-๘ วันนี้ เราจะทรงนักขัตฤกษ์
เมื่อควาญช้างรับสนองพระราชโองการแล้วก็นำช้างกลับไปยังเรือนตนเพื่อฝึกสอน
ครั้นถึงวันที่กำหนดก็ได้นำช้างเข้าไปถวายแต่พระบรมโพธิสัตว์ พระองค์ทรงรับสั่งให้นายช่างประดับ
ประดาพญาช้างด้วยเครื่องทรง แล้วประกอบพิธีอุสาภิเษก ยกช้างนั้นขึ้นเป็นช้างมงคล

กาลนั้นในเวลาราตรีล่วงเลยไปแล้วมามีโขลงช้างทั้งหลายมาแต่ราวป่าเข้าลุยเล่นในสวนพระราช
อุทยาน ได้ทำลายต้นไม้ไว้มากมายทั่วบริเวณเป็นจำนวนมาก คนผู้ดูแลอุทยานเห็นเช่นนั้นจึงนำความ
ทูลต่อพระราชาให้ทรงทราบ พระบรมโพธิสัตว์จึงได้เสด็จไปยังอุทยานด้วยพญาช้างมงคลนั้น
ในระหว่างนั้นพญาคชสารได้กลิ่นอายนางช้างป่าจึงเกิดมีความกระสันสลัดกายทำเอานายควาญช้างให้
กระเด็นตกลงไป แล้วพาพระบรมโพธิสัตว์วิ่งเข้าป่าไปตามกลิ่นของนางช้าง ถึงแม้พระเองจะเหนี่ยวรั้ง
ด้วยขอสับสักเท่าใดก็ไม่อาจจะยับยั้งได้ พระองค์จึงทรงดำริพระทัยว่า หากเรายังอยู่บนหลังของพญา
คชสารนี้เห็นจะนำเราเข้าไปยังฝูงของนางช้างและอาจถูกฝูงนางช้างฆ่าตายเป็นแน่ จึงคิดหาทางลงจาก
หลังช้างให้ได้โดยเร็วในขณะนั้นเองพญาช้างได้วิ่งเข้าไปใกล้ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งซึ่งมีกิ่งน้อมลงมา
พระบรมโพธิสัตว์ จึงได้จับกิ่งไม้นั้นไว้ขึ้นไปประทับนั่งบนกิ่งต้นมะเดื่อ

ฝ่ายพวกพลนิกายก็ตามรอยรอยช้างล่วงถึงกึ่งโยชน์เป็นประมาณ กระทำอุโฆษประสานศัพท์บันลือลั่น
สนั่นมาฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงสดับ จึงขานรับตอบทันที ข้าราชบริพารจึงไปตามยังเสียงของพระองค์
ได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์นั่งอยู่บนกิ่งมะเดื่อ จึงได้นำพระบรมโพธิสัตว์ลงจากกิ่งมะเดื่อ
แล้วทูลเชิญกลับสู่พระนคร
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เสด็จกลับถึงพระนครแล้ว จึงตรัสให้นายควาญช้างเข้าเฝ้า พระบรมโพธิสัตว์จึง
ตรัสว่า ช้างมงคลเชือกนี้ เจ้ายังฝึกสอนมันยังไม่ดีเลย แต่เจ้ากลับบอกว่าฝึกสอนไว้ดีแล้ว
นายควาญช้างกราบทูลว่า ขึ้นชื่อว่าราคะดำกฤษณาย่อมมีคมเป็นติกขณชาติเฉียบแหลมยิ่ง
เกินกว่าคมพระแสงขอนั้นได้ร้อยเท่าพันทวี ชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงราคะนี้ ร้อนรุ่มอยู่ในทรวงแห่งสัตว์นั้น
ย่อมร้อนเหลือร้อนๆ แรงจัดจริงๆยิ่งกว่าเพลิงที่เป็นปกติ ถ้าจะว่าพิษเล่าเพลิงราคะย่อมมีพิษฉุนเฉียวเรี่ยวแรงรวดเร็วยิ่ง
เกินกว่าพิษแห่งจตุรพิธภุชงทั้ง ๔ ชาติเพราะเหตุนั้นพระเจ้าข้า ข้าแต่มหาราชช้างมงคลเชือกนี้
ข้าพระองค์ฝึกสอนไว้ดีแล้วจึงได้นำมาถวายพระองค์ แต่เพราะนางช้างนั้นด้วยแรงราคะพระองค์ไม่สามารถเกี่ยวกดพญามงคลราชหัตถีให้หยุดยั้งด้วยพละกำลังแสงขอนั้นได้ เมื่อถึงเวลานั้นช้างมงคลเชือกนี้จะกลับมาสู่โรงช้างเองพระเจ้าข้า พระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงรอคอยมันอยู่ที่นี่
ก่อนหากช้างมงคลกลับมาเราจะให้ทรัพย์เจ้า หากมันไม่กลับมาเหมือนที่เจ้าว่า เราจะไม่ให้ชีวิตแก่เจ้า
หลังจากนั้นต่อมาอีก ๗ วันพญาช้างมงคลเชือกนั้นก็กลับสู่โรงช้างตามเดิม นายควาญช้างจึงนำช้างเข้า
ไปกราบทูล พระบรมโพธิสัตว์ให้ทรงทราบ เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงทราบก็เสด็จสู่โรงช้าง เห็นช้างอยู่
ในโรงจึงลูบคลำงวง แล้วจึงตรัสถามว่า ดูก่อนนายควาญช้าง เจ้าฝึกสอนนั้นดีแล้ว แต่เหตุไฉนเราใช้ขอ
เกี่ยวสับเหนี่ยวรั้งสักเท่าไรพญาช้างก็ไม่กลับ ควาญช้างจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าราคะ มี
ความทารุณเผ็ดร้อนยิ่งกว่าไฟ มีพิษร้ายกาจยิ่งกว่าพิษของพญานาค ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่สามารถ
บังคับมันได้ พระองค์ตรัสถามต่อไปว่าเหตุใดมันจึงมาสู่โรงช้างเองเล่า นายควาญช้างมิได้ทูลตอบ แต่
ได้นำเอาเหล็กแท่งใหญ่ที่ถูกเผาไฟจนร้อนแดง แล้วสั่งว่า ดูก่อนพญาช้าง เจ้าจงใช้งวงนี้อุ้มเอาแท่ง
เหล็กแดงนี้ไว้ จนกว่าเราจะสั่งให้เจ้าวางลง พญาช้างก็ทำตามคำสั่งของนายควาญช้างด้วยความกลัว


ได้รับความเจ็บปวดจากแท่งเหล็กแดงนั้นจนล้มตายในที่สุด

พระบรมโพธิสัตว์เห็นดังนั้นแล้ว ก็บังเกิดความสังเวชสลดใจขึ้นมาว่า โอ!หนออำนาจแห่งราคะนี้ทารุณ
ยิ่งนัก สัตว์ทั้งหลายต้องไปหมกไหม้ในอบายอยู่ในนรกทั้ง ๘ ขุมก็เพราะราคะนี้เป็นเหตุ

(ใน “ตำนานมูลศาสนา” ได้กล่าวถึงนายควาญช้างได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ชื่อว่า พระศรีอริยเม
ตตรัยส่วนช้างมงคลเชือกนั้นมาเป็น”พระมหากัสสปะเถระ พระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน )


พระบรมโพธิสัตว์ ตรัสแสดงเห็นโทษแห่งราคะกิเลส จึงพระราชทานโภคทรัพย์แก่นายควาญช้างเป็นอัน
มากแล้วคำนึงถึงในพระทัยว่าในโลกสันนิวาสนี้ จักพ้นจากวัฏฏทุกข์ได้ด้วยธรรมประการใดทรงเห็นแท้แน่พระทัยว่าธรรมทั้งหลายอื่นๆ นอกจากพุทธกรณธรรม ก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งไรจะมี ก็ทรงสละสิริสมบัติ ประหนึ่งว่าบุคคลสลัดเสียซึ่งก้อนข้าวอันคั่งค้างอยู่ปลายชิวหาก็ปานนั้น แล้วพระองค์ท่องเที่ยวไปสู่ป่าหิมวันต์ แล้วก็ทรงบรรพชาเป็นดาบส ปฏิบัติอยู่เท่าพระชนมายุขัยแล้วขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




dharama_m4-6_U3-59-3.png
dharama_m4-6_U3-59-3.png [ 393.69 KiB | เปิดดู 3507 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8: ทุกผู้ทุกนามเมื่ออุบัติมาแล้ว ย่อมไม่เที่ยงแท้ถาวร
มีแต่ปรวนแปรไปเป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ย่อมตรัสสอนเหมือนกันว่า
เมื่อสังขารเกิดขึ้นมาแล้วก็ย่อมเป็นอนิจจัง จะหนีกฏข้อนี้ไม่ได้เลย เห็นกันอยู่ดีๆ ในเวลาเช้า
ครั้นเวลาสายบ่ายเย็นก็หายไป หรือบางที่เจรจากันอยู่เมื่อเย็นรุ่งเช้าก็หายไปเสียแล้ว

บุคคลทั้งหลายเกิดขึ้นมาในโลกนี้แล้ว ย่อมต้องประสบกับอนิจจัง
ในการข้างหน้าทุกท่าน จะไม่มีการหลีกเลี่ยงได้เลยแม้แต่คนเดียว พึงปฏิบัติ
ทำความเพียรให้จริงจัง ตามรอยที่พระอริยะเจ้าได้เสด็จล่วงหน้าไปแล้ว
เมื่อนั้นท่านก็จะพ้นความเป็นอนิจจังตลอดกาล :b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 16:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

เอกอนชอบเรื่องนี้นะ...

ในบรรดา อัครสาวก เอกอนรู้สึกมีใจผูกพันกับพระกัสสปะ ที่สุด...

เรื่องนี้ อย่างละเอียดชัด ๆ เอกอนเพิ่งจะได้อ่านก็ที่ท่านลุงหมานเอามาลงนี่ล่ะ

แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เอกอนจะสนใจเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา ... :b12: :b9:

ในสภาวะหนึ่ง เอกอนใช้คำว่าเกิดการ Touching
การ Touching นี้ มันก็เหมือนกับว่า ตาเราไปกระทบสีแดง และปรากฏสีแดงที่การเห็น
มือเราเอื้อมไปแตะแก้วเย็น ๆ และปรากฎความรู้สึกเย็นที่การรู้สึกสัมผัส
แต่ Touching ที่ปรากฎ ไม่ใช่การที่แสงสีกระทบตา ไม่ใชความเย็นกระทบมือ
แต่เป็น ... อะไร ... ที่เอกอนรับรู้ถึงความมีปรากฎของสิ่งนั้น
แต่เอกอนยังไม่รู้ว่าจะเทียบมันลงกับอะไรในภาษามนุษย์ ที่จะสื่อกันเข้าใจได้ ถือว่า ละไว้

เอกอนเห็นภาพ พระธาตุ ที่ฝังตัวอยู่ใต้ดิน
พระธาตุนี้ เป็นพระธาตุเกี่ยวพันกับพระพุทธเจ้า เป็นสาวกผู้ที่มีความสำคัญมาก ๆ
ตรงที่ว่า เหมือนกับว่า พิธีประชุมเพลิง ขาดท่านผู้นี้ไม่ได้ เหมือนพระพุทธองค์รอท่านผู้นี้
และในวันที่ท่านผู้นี้จะปลงชีวิตลง ท่านเดินเข้าไปและภูเขาโดยรอบก็ยุบเข้ามารวมกัน
พระธาตุนี้อยู่ใต้ดิน ไม่มีใครรู้ตำแหน่ง และจะไม่มีใครหาพบ
มีแต่ ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะเดินทางมา ยังจุดนั้น
และจะนำพระธาตุนี้ขึ้นมา และพระธาตุนี้ก็จะลุกไหม้บนพระหัตถ์ ...
และพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะเล่ากล่าวถึง เรื่องราวแห่ง พระธาตุนั้น ๆ
ให้กับประชาชนในกาลนั้น ๆ ได้รับรู้ ...
ก็เป็นเรื่องราวที่น่ายกย่องของศิษย์และอาจารย์นั่นล่ะ ...

เมื่อเอกอนมาศึกษา เอกอนก็รู้เรื่องราวต่าง ๆ ในภายหลัง
...
ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในใจที่น่าขบคิดของเอกอนไปตามประสา...

คือจริง ๆ เอกอนเห็นก็จะเข้าใจในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว
เมื่อมันมีอายตนะที่ทำงานได้ของมันอย่างนั้น มันก็มีจุดสัมผัสให้รับรู้ได้
การทรงสภาพอยู่ของพระธาตุ ไม่ใช่อยู่แบบเหมือนเอาก้อนหินไปฝังดิน
พระธาตุมีการแสดงสภาวะการมีอยู่ มีลักษณะที่เป็นสนามพลังงาน ปรากฎกระแสธรรม
การ Touching นั้นเป็นการ Touching ด้วยกระแส และสิ่งที่สัมผัสก็ปรากฎที่ทัศนะของเรา
ที่เราก็จะรู้สึกราวกับว่านั่นเป็นเรา...

หลายคนพลาดไปกับการคิดว่าตนเป็นใครกลับชาติมาเกิด...
เพราะการ Touching ในรูปแบบนั้น มันไม่เหมือนกับการยื่นมือไปจับแก้ว...
ที่เราจะแยกแยะออกว่า แก้วกับเรา แก้วเป็นสิ่งที่ถูกเราเห็น
กับความเย็นเป็นสิ่งที่ถูกเรารู้
ซึ่งการรับรู้สัมผัสโดยอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้น
คงไม่มีใครสัมผัสแก้ว แล้วจะมองเห็นว่า
ที่แท้ตนนั้นก็คือแก้วกลับชาติมาเกิดไปได้อย่างแน่นอน...
...
Touching ในระดับนั้น ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ และมีการเข้าไปรู้... :b1:

เอกอนไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงมีพระเจ้าอโศกมหาราชกลับชาติมาเกิดกันเยอะนัก...

:b1:

การที่เราเข้าใจคิดว่าเราเป็นใคร ก็คือ แท้จริงแล้วเราไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจจริง ๆ นั่นเอง...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 17:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:
แปลก...ดี...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1530750366783.jpg
FB_IMG_1530750366783.jpg [ 20.34 KiB | เปิดดู 3507 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
เอกอนชอบเรื่องนี้นะ...

ในบรรดา อัครสาวก เอกอนรู้สึกมีใจผูกพันกับพระกัสสปะ ที่สุด...

เรื่องนี้ อย่างละเอียดชัด ๆ เอกอนเพิ่งจะได้อ่านก็ที่ท่านลุงหมานเอามาลงนี่ล่ะ

แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เอกอนจะสนใจเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา ...

ในสภาวะหนึ่ง เอกอนใช้คำว่าเกิดการ Touching
การ Touching นี้ มันก็เหมือนกับว่า ตาเราไปกระทบสีแดง และปรากฏสีแดงที่การเห็น
มือเราเอื้อมไปแตะแก้วเย็น ๆ และปรากฎความรู้สึกเย็นที่การรู้สึกสัมผัส
แต่ Touching ที่ปรากฎ ไม่ใช่การที่แสงสีกระทบตา ไม่ใชความเย็นกระทบมือ
แต่เป็น ... อะไร ... ที่เอกอนรับรู้ถึงความมีปรากฎของสิ่งนั้น
แต่เอกอนยังไม่รู้ว่าจะเทียบมันลงกับอะไรในภาษามนุษย์ ที่จะสื่อกันเข้าใจได้ ถือว่า ละไว้


จะว่าเป็นคำถามก็ไม่ใช่ แต่ดูเหมือนว่าคงจะเล่าให้ฟังมากกว่า
ดังนั้นก็ขอสนทนากันไปแล้วกัน สภาวะแบบนี้มีจริงตามที่เล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้
เช่น "ตาเราไปกระทบสีแดง" ลุงหมานจะพูดตามสภาวะที่เป็นจริง คือแยกออกมาเป็นที่ละอย่าง
"ตา" หมายถึง เป็นรูปวัตถุอย่างหนึ่ง ที่มีความใสเป็นที่เกิดของจิต ที่เรียกว่า จักขุวิญญาณ
"เรา" นี้หมายถึง ตัวอุปาทานที่เข้าไปยึดไว้ว่าเป็นเรา
"ไปกระทบ" หมายถึงอายตนะภายนอกกับอายตนะภายในมากระทบกันเรียกอีกอย่างว่าสัมผัส
"สี" คือรูปารมณ์ ซึ่งเป็นวัตถุรูปภายนอกที่มากระทบทางตา
"แดง" คำนี้เป็นบัญญัติ ที่สามารถรู้ได้ทางใจเท่านั้น "แดง" ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตา

และพอเราเปลี่ยนเป็นมือเข้าไปกระทบสีแดงที่เห็นนั้น
มือก็จะไปกระทบกับ เย็น ร้อน แข็ง อ่อน
ทันที่ที่เป็นเช่นนั้นความรู้สึกก็จะไปรู้ที่กายคือมือทันที
รู้สีแดงก็จะหายไป จะไปรู้ที่เย็นร้อนอ่อนแข็งทันที

เย็นกับร้อน เป็นธาตุไฟ แข็งกับอ่อน เป็นธาตุดิน ฉะนนั้นที่เอกอนว่ากระทบกับความเย็นนั้น
ก็หมายถึงเอกอนเอามือไปกระทบกับธาตุไฟคือความเย็นนั่นเอง
มือที่กระทบธาตุนั้น จะกระทบได้ที่ละอย่างเท่านั้น ทั้งๆที่แก้วนั้นเย็น และแข็ง
ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจความเกิดดับที่เร็วของจิต จนดูเหมือนว่าเรารู้ธาตุทั้ง ๒ อย่างได้ไปพร้อมๆ กัน

แต่ด้วยความเข้าใจของลุงหมานว่า เอกอนคงได้พบกับสภาวะที่แท้จริงคือการเกิดดับของจิต
แต่เอกอนเองไม่สามารถที่จะบัญญัติคำออกมาใช้ได้ คือจะเอาออกมาสื่อสารทางคำพูดไม่เป็น

ฉะนั้น เอกอนมาถูกทางแล้ว เพียรพยายามไปเรื่อยๆ นิพพานอยู่ไม่ไกล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b8: :b8: :b8:

เอกอนชอบเรื่องนี้นะ...

ในบรรดา อัครสาวก เอกอนรู้สึกมีใจผูกพันกับพระกัสสปะ ที่สุด...

เรื่องนี้ อย่างละเอียดชัด ๆ เอกอนเพิ่งจะได้อ่านก็ที่ท่านลุงหมานเอามาลงนี่ล่ะ

แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เอกอนจะสนใจเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา ... :b12: :b9:

ในสภาวะหนึ่ง เอกอนใช้คำว่าเกิดการ Touching
การ Touching นี้ มันก็เหมือนกับว่า ตาเราไปกระทบสีแดง และปรากฏสีแดงที่การเห็น
มือเราเอื้อมไปแตะแก้วเย็น ๆ และปรากฎความรู้สึกเย็นที่การรู้สึกสัมผัส
แต่ Touching ที่ปรากฎ ไม่ใช่การที่แสงสีกระทบตา ไม่ใชความเย็นกระทบมือ
แต่เป็น ... อะไร ... ที่เอกอนรับรู้ถึงความมีปรากฎของสิ่งนั้น
แต่เอกอนยังไม่รู้ว่าจะเทียบมันลงกับอะไรในภาษามนุษย์ ที่จะสื่อกันเข้าใจได้ ถือว่า ละไว้

เอกอนเห็นภาพ พระธาตุ ที่ฝังตัวอยู่ใต้ดิน
พระธาตุนี้ เป็นพระธาตุเกี่ยวพันกับพระพุทธเจ้า เป็นสาวกผู้ที่มีความสำคัญมาก ๆ
ตรงที่ว่า เหมือนกับว่า พิธีประชุมเพลิง ขาดท่านผู้นี้ไม่ได้ เหมือนพระพุทธองค์รอท่านผู้นี้
และในวันที่ท่านผู้นี้จะปลงชีวิตลง ท่านเดินเข้าไปและภูเขาโดยรอบก็ยุบเข้ามารวมกัน
พระธาตุนี้อยู่ใต้ดิน ไม่มีใครรู้ตำแหน่ง และจะไม่มีใครหาพบ
มีแต่ ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะเดินทางมา ยังจุดนั้น
และจะนำพระธาตุนี้ขึ้นมา และพระธาตุนี้ก็จะลุกไหม้บนพระหัตถ์ ...
และพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะเล่ากล่าวถึง เรื่องราวแห่ง พระธาตุนั้น ๆ
ให้กับประชาชนในกาลนั้น ๆ ได้รับรู้ ...
ก็เป็นเรื่องราวที่น่ายกย่องของศิษย์และอาจารย์นั่นล่ะ ...

เมื่อเอกอนมาศึกษา เอกอนก็รู้เรื่องราวต่าง ๆ ในภายหลัง
...
ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในใจที่น่าขบคิดของเอกอนไปตามประสา...

คือจริง ๆ เอกอนเห็นก็จะเข้าใจในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว
เมื่อมันมีอายตนะที่ทำงานได้ของมันอย่างนั้น มันก็มีจุดสัมผัสให้รับรู้ได้
การทรงสภาพอยู่ของพระธาตุ ไม่ใช่อยู่แบบเหมือนเอาก้อนหินไปฝังดิน
พระธาตุมีการแสดงสภาวะการมีอยู่ มีลักษณะที่เป็นสนามพลังงาน ปรากฎกระแสธรรม
การ Touching นั้นเป็นการ Touching ด้วยกระแส และสิ่งที่สัมผัสก็ปรากฎที่ทัศนะของเรา
ที่เราก็จะรู้สึกราวกับว่านั่นเป็นเรา...

หลายคนพลาดไปกับการคิดว่าตนเป็นใครกลับชาติมาเกิด...
เพราะการ Touching ในรูปแบบนั้น มันไม่เหมือนกับการยื่นมือไปจับแก้ว...
ที่เราจะแยกแยะออกว่า แก้วกับเรา แก้วเป็นสิ่งที่ถูกเราเห็น
กับความเย็นเป็นสิ่งที่ถูกเรารู้
ซึ่งการรับรู้สัมผัสโดยอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้น
คงไม่มีใครสัมผัสแก้ว แล้วจะมองเห็นว่า
ที่แท้ตนนั้นก็คือแก้วกลับชาติมาเกิดไปได้อย่างแน่นอน...
...
Touching ในระดับนั้น ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ และมีการเข้าไปรู้... :b1:

เอกอนไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงมีพระเจ้าอโศกมหาราชกลับชาติมาเกิดกันเยอะนัก...

:b1:

การที่เราเข้าใจคิดว่าเราเป็นใคร ก็คือ แท้จริงแล้วเราไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจจริง ๆ นั่นเอง...

:b1:


ความเห็นเรา น่าจะเป็นสังขารขันธ์ระงับลงจากสิ่งที่ผูกรุมเร้าใจด้วยเรื่องต่างๆเอาไว้ด้วยความศรัทธาที่มีต่อพระมหากัสสปะ

เราก็มีความศรัทธาและชอบพระมหากัสสปะมากเช่นเดียวกัน เมื่อใดที่กล่าวถึงท่าน บางทีก็ซาบซึ้งในความเป็นผู้นำการสังคยานาพุทธศาสนา จนน้ำตาไหลครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




20180708_173857.jpg
20180708_173857.jpg [ 207.55 KiB | เปิดดู 3507 ครั้ง ]
เรื่องนี้นับเป็นกรรมที่เคยผูกกันไว้นานนับได้ก่อน ๒๐ อสงไขยแสนกัป
เมื่อยังไม่มีโอกาสให้ผล ก็จะรอจนกว่าโอกาสจะให้ผลจึงจะเป็นอันจบ
หรือจนกว่าผู้สร้างกรรมจะปรินิพพานไปเสียก่อน กรรมที่ยังไม่ให้ผลจึงจะเป็นอโหสิกรรม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2018, 14:00 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2539

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร