วันเวลาปัจจุบัน 06 ต.ค. 2024, 12:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool มาอีกแระ ฮิฮิ

ใตร่ตรองมาได้พักหนึ่ง เลยมาร่ายให้อ่านเล่น ยาวยืด :b32: :b32: :b32:

ก็... เป็นเรื่องทิพยจักษุกับตาที่สาม เริ่มว่า...

เป็นเรื่องจริงที่ ทิพยจักษุ เป็นเครื่องหมายของความเป็น อริยบุคคล

เราเข้าใจว่า มีเรื่องนี้ปรากฎอยู่ในพระสูตรใดพระสูตรหนึ่ง ที่มีใจความทำนองว่า โสดาบัน จะมีทิพยจักษุแจ่มชัดเหมือนมองในคืนเดือนมืด. สกิทาคามี จะแจ่มชัดเหมือนมองในตอนกลางคืน. อนาคามี จะแจ่มชัดเหมือนคืนพระจันทร์เต็มดวง. อรหันต์ จะแจ่มชัดเหมือนตอนย่ำรุ่ง
เนื้อความชัดๆ เราไม่แน่ใจนัก แต่ก็ใกล้เคียงกับที่ว่ามานี่แหล่ะ. ส่วนพระพุทธเจ้า จะมีทิพยจักษุแจ่มชัดเหมือนตอนเที่ยงวัน

เรื่องนี้ถูกมองข้ามไป เพราะไม่มีใครเข้าใจว่า มันหมายถึงอะไรแน่. และที่สำคัญ ในบรรดาคนที่เข้าถึงฌาณ ต่างพากันเข้าใจว่า ตาที่สาม คือทิพยจักษุ. แบบเดียวกับที่เข้าใจว่า การรู้วิธีเคลื่อนย้ายมวลสาร คืออิทธิฤทธิ์, การฟังเสียงความคิดของผู้อื่น คือเจโตปริยญาณ และการเห็นภาพนิมิตคือ การระลึกชาติ

นั่นก็อาจแปลว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน พวกบรรดาคนที่ว่ากันว่ามีฤทธิ์มีเดชนั้น ต่างก็เข้าไม่ถึงอภิญญา หรือยิ่งกว่านั้น อาจเข้าไม่ถึงฌาณ 4 ด้วยซ้ำไป. เพราะเท่าที่เราเข้าใจ การเข้าถึงตาที่สาม จัดอยู่ในขั้น ตติยฌาณ หรือฌาณ 3 เท่านั้น

:b6: :b6: :b6: ทิพยจักษุ คือการมองเห็นด้วย อายตนะของจิต
การมองเห็นด้วยอายตนะของจิต จะทำได้ก็ต่อเมื่อ ละสักกายทิฎฐิ ได้แล้วเท่านั้น (คือต้องมีความเป็นอริยบุคคล). ยิ่งละสังโยชน์ (กิเลส) ได้มากเท่าไร การมองเห็นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น. แต่อย่างไรเสีย การถูกจำกัดอยู่ในร่างมนุษย์ ก็ย่อมบั่นทอนความแจ่มชัดของทิพยจักษุลง
แม้จะสิ้นกิเลสเข้าถึงอรหัตตผล, ความแจ่มชัดของทิพยจักษุ ก็ยังอาจด้อยกว่าโอปปาติกะบางพวก ที่มีเจตสิกเบาบาง เช่น โอปปาติกะที่อยู่ในชั้นอนาคามี (ไม่มีกิเลสอย่างหยาบ)

:b6: แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า การเห็นที่เหนือมนุษย์ทั่วไปของเรานั้น คือตาที่สาม หรือคือทิพยจักษุ (เห็นด้วยอายตนะของจิต)
สิ่งที่พอจะบ่งบอกได้อย่างง่ายๆ คือ เราเห็น สี หรือไม่ และเราเห็น เนื้อวัสดุ หรือไม่
สี ไม่ใช่สิ่งสากลของชีวิตในวัฏสงสาร. สีเกิดจากการระบายขึ้นของวงจรประสาทในสมอง, ซึ่งน่าทึ่งมาก ว่าจิตใน Singularity (นิพพาน-พรหม) สามารถออกแบบกลไกนี้ขึ้นมาได้

การมองเห็นด้วยอายตนะของจิต ย่อมไม่มีสี, แต่จะเห็นเป็นกลุ่มพลังงาน หรือเส้นแสงที่สว่างมาก-น้อย เท่านั้น
อีกอย่างคือ การมองเห็นด้วยอายตนะของจิต ย่อมเห็นพลังงานในทุกรูปแบบ เช่นว่า เห็นคลื่นแสงในทุกช่วงความถี่ (ซึ่งจริงๆ แล้ว จักรวาลมีอะไรๆ มากกว่าคลื่นแสง)


:b6: :b6: :b6: แล้วอะไรคือตาที่สาม
ตาที่สามเป็นอีกกลไกหนึ่งของสมอง (แปลว่า ไม่ใช่อภิญญา). ไม่แน่ใจว่า กลไกนี้มีขึ้นเพื่ออะไร แต่มันอาจมีประโยชน์บางอย่างในยุคก่อนพุทธกาลก็ได้ เช่น มีไว้เพื่อค้นหาความจริงบางอย่าง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ซึ่งก็ต้องเป็นอริยบุคคลขั้นอนาคามีเสียด้วย จึงจะมีทิพยจักษุที่ใช้งานได้จริง
แต่ในยุคปัจจุบัน การมีอยู่ของเครื่องมือ บวกกับความเสื่อมของจิตที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์, ก็เป็นไปได้ว่า กลไกนี้จะถูกยุติลง


ตาที่สาม เป็นผลจากการทำงานของสิ่งที่บางคนเรียกว่า ตาใน
ตาใน เป็นกลไกที่เชื่อมต่ออยู่กับอายตนะของจิต มันทำหน้าที่ในการสร้าง ความมืด ในเวลาที่ไม่มีภาพใดๆ, เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเห็นใยประสาทของสมองทุกครั้งที่ปิดตา.
คำว่าเชื่อมต่อเป็นคำที่ใช้เพื่อให้เข้าใจง่าย, จริงๆ มันน่าจะเป็นกลไกของรูปปรมัตต์บวกกับเจตสิกบางอย่าง ที่จะดึงความสนใจของจิตไว้, ต่อเมื่อจิต ละ มันได้นั่นแหล่ะ จึงจะเกิดทิพยจักษุขึ้นมา

เมื่ออายตนะของจิต ถูกดึงไว้ให้อยู่กับความมืด. การเห็นภาพต่างๆ ที่จำเป็นต้องสร้างแสงสว่างขึ้น ซึ่งก็คือการเข้าถึง ฌาณ


:b6: :b6: :b6: ต่อจากนี้เป็นการคิดแบบคร่าวๆ มันอาจจะคลาดเคลื่อนอยู่มากก็ได้, แต่มันก็เป็นการตั้งต้นแนวคิด เผื่อใครอยากจะพิสูจน์ จะได้เอาไปต่อยอดให้ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป...

ตาใน จะมีการทำงานคล้ายฉากรับภาพ (แต่ไม่ได้หมายความว่า มันจะเป็นแผ่นแบนๆ) เป็นจุดที่เกิดของภาพความคิด (จินตนาการ ความฝัน) และเป็นฉากรับภาพจากดวงตา ที่จะถูกยิงเข้ามา.
การทำงานโดยรวม จะเหมือนทีวีแบบโปรเจคเตอร์ที่ฉายจากด้านหลังของจอ (ไม่ใช่โปรเจคเตอร์แบบโรงหนัง ที่ฉายเข้าที่ด้านหน้าของจอ)
หลังตาใน (ถัดออกไปทางด้านหน้าของสมอง) จะมีกลไกสร้างแสง มีลักษณะเหมือนขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วที่ตั้งอยู่ห่างกันในแนวเดียวกัน. ผู้ที่ฝึกจนสำเร็จปฐมฌาณ จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นระหว่างขั้วทั้ง 2 ขั้วนี้

:b6: ตาที่สาม จะยังไม่เกิดจนกว่าจะเข้าถึง ตติยฌาณ (ฌาณ 3). ความคิดจะต้องถูกระงับลง (แต่ไม่ดับ) เพื่อให้ตาในว่างเปล่า. ระบบประสาทสัมผัสก็ต้องถูกระงับลงเช่นกัน เพื่อให้ภาพที่จะเกิดขึ้น คมชัด (เรายังไม่ได้คิดว่า กลไกการลดทอนความชัดในขณะตื่น ทำงานอย่างไร, อย่าลืมว่า ตำราบอกไว้ รูปปรมัตต์มี 128 รูป)
เมื่อพร้อมแล้ว ผู้ฝึกจะใช้การจดจ่อเข้าไปในแสงสว่าง จนเกิดเป็นจุดดับ จากนั้นภาพที่เราต้องการเห็นจะปรากฎขึ้นมา


:b6: กลไกนี้ เป็นเรื่องของสนาม 2 มิติ เป็นวิธีเดียวกับ การเคลื่อนย้ายมวลสาร
สนาม 2 มิติ เป็นสนามที่ไม่มีระยะทางและเวลา, หากเราทำให้สนามในบริเวณหนึ่ง ปลอดอนุภาค 3 มิติอย่างสิ้นเชิง เราก็ย่อมสามารถเคลื่อนย้ายสนามนั้น ไป ณ จุดใดๆ ก็ได้
เช่น หากเราสามารถทำให้สนามรอบๆ หนังสือเล่มหนึ่งไม่มีอนุภาค 3 มิติแม้แต่อนุภาคเดียว, เราก็ย่อมสามารถย้ายหนังสือนั้น ไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการ
เขียนแบบนี้ บรรดานักวิทย์คงจะนึกถึงสนามแม่เหล็กขึ้นมาทันที. ปัญหาของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่การสร้างสนามแม่เหล็ก แต่อยู่ที่การกำหนดเป้าหมายปลายทางต่างหาก
จะว่าไป มันก็คือหลักของ ประตูมิติ นั่นแหล่ะ

:b6: หลักการนี้มีข้อจำกัดอยู่ที่ ระดับพลังงานของสนามต้นทางจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ระดับพลังงานของสนามที่ปลายทาง. ว่าให้ซับซ้อนหน่อยก็คือ ปริมาณของระนาบ 2 มิติที่ต้นทาง จะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ปริมาณระนาบ 2 มิติที่ปลายทาง
มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เราอาจจะเคลียร์อนุภาคทั้งหมดที่เกี่ยวกันอยู่กับระนาบ 1 แสนระนาบ, แต่ถ้าปลายทางมีระนาบอยู่ 5 แสนระนาบ มันก็ยังมีระนาบอีก 4 แสนระนาบ ที่ทำให้สนามบริเวณนั้น ไม่ว่างเปล่า

นี่ก็คือขีดจำกัดของตาที่สามเช่นกัน. บางคนอาจใช้คำว่า เราจะมองไม่เห็นในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ, แต่จริงๆ มันเป็นขีดจำกัดของกลไก

:b6: แม้จะหลักการเดียวกัน แต่ตาที่สาม ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายมวลสาร, มันเป็นการย่นระยะทาง จากตาในไปยังสิ่งที่ต้องการจะเห็น.
ภาพที่เห็น จะถูกส่งผ่านขั้วไฟฟ้าไปยังวงจรประสาท ก่อนจะถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง. เมื่อภาพไม่ได้ถูกลดทอนคุณภาพลงจากเลนส์ตา มันจึงคมชัดกว่า รายละเอียดสูงกว่า และนี่ก็ทำให้เราคิดว่า กลไกตาที่สามนี้เป็นกลไกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เพราะจะต้องมีวงจรพิเศษ ที่จะคัดกรองแสงที่ไม่ต้องการออกไป



:b6: :b6: :b6: ส่วน ทิพยจักษุ ซึ่งเป็นการมองเห็นด้วยอายตนะของจิตนั้น, ไม่มีขีดจำกัดในแง่นี้. การจะเห็นได้ชัดมาก ชัดน้อย ขึ้นอยู่กับเจตสิก (อันเกี่ยวเนื่องกับกิเลส)
อันที่จริง ทิพยจักษุ ในตัวภาษาจริงๆ เขาใช้ว่า จุตูปปาตญาณ. เป็นอภิญญา, เป็นการเห็นที่อยู่เหนือระบบ 3 มิติ อันเป็นอกาลิโก,
จะเห็นอย่างไร ย่อมเป็น อจินไตย (เกินกว่าระบบคิดของมนุษย์ จะคิดหรือจินตนาการเอาได้)

เราค่อนข้างมั่นใจว่า ในบรรดาคนที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันนั้น ไม่มีผู้ใดเข้าถึง อภิญญา
และหากมนุษย์ยุคหน้า กลไกตาที่สามถูกยกเลิก ก็จะไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่ดูจะเหนือมนุษย์อีก (คือจริงๆ ทุกคนก็มีกลไกนี้ มันจึงแค่ ดูเหมือน จะเหนือมนุษย์)

และหากกลไกตาที่สามถูกยกเลิก, ก็เป็นอันสิ้นสุดของสมถฌาณ และการฝึกแบบกสิน

อภิญญา จะเป็น ความรู้ยิ่ง ตามความหมายจริงๆ, ไม่มีการสับสนกับตาที่สามอีกต่อไป
และแน่นอน อภิญญาจะเป็นเครื่องหมายของ อริยบุคคล อย่างไม่มีข้อกังขา. เป็นการสิ้นสุดของเดรัจฉานวิชา

จบ

เอกอนว่าไง :b13: :b13: เห็นเป็นบุคคลประหลาด เห็นนู่นเห็นนี่ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
เอกอนว่าไง เห็นเป็นบุคคลประหลาด เห็นนู่นเห็นนี่


:b24: :b24: :b24:

เวิ๊ววววว์
กะลังอ่านเพลิน ๆ มีลงท้ายหันมาถามเอกอนเฉยเรย 5555

:b32: :b32: :b32:

:b1:

เรื่อง อายตนะ เป็นเรื่องที่ ... :b12: ...

อายตนะของจิต เพรียว ๆ เหมือนเป็นสิ่งที่ 100%
แต่ % ที่หย่อนลงมานั้น
สะท้อนถึงกำลังทิพย์ต่าง ๆ ที่แสดงออกมา

murano เขียน:
เราเข้าใจว่า มีเรื่องนี้ปรากฎอยู่ในพระสูตรใดพระสูตรหนึ่ง ที่มีใจความทำนองว่า โสดาบัน จะมีทิพยจักษุแจ่มชัดเหมือนมองในคืนเดือนมืด. สกิทาคามี จะแจ่มชัดเหมือนมองในตอนกลางคืน. อนาคามี จะแจ่มชัดเหมือนคืนพระจันทร์เต็มดวง. อรหันต์ จะแจ่มชัดเหมือนตอนย่ำรุ่งเนื้อความชัดๆ เราไม่แน่ใจนัก แต่ก็ใกล้เคียงกับที่ว่ามานี่แหล่ะ. ส่วนพระพุทธเจ้า จะมีทิพยจักษุแจ่มชัดเหมือนตอนเที่ยงวัน


คือเอกอนเข้าใจว่าน่าจะเป็น ฌาณทัศนะ
ซึ่งต้องดูว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงกล่าวเปรยอย่างนี้ออกมา
และก่อนที่พระองค์จะเปรยเช่นนี้ มีเหตุการณ์นัยสำคัญในลักษณะไหน

ซึ่งเอกอนไม่รู้ เพราะไม่เคยอ่าน
แต่ถ้าจะลองให้เอกอนทำ verb to เดาจากเท่าที่ท่านมูเอามาลง

เป็นการเปรียบเปรยเพื่อกล่าวถึง การกำหนดนิมิต
ในช่วงนั้น น่าจะมีผู้เข้ามาบวชมากมาย
และน่าจะมีผู้เข้ามาบวชที่เป็นพราหม์ ฤาษี ชีไพร ที่มีการบริกรรมนิมิต
พวกเล่นกสิน หรือประมาณมโนยิทธิ

ซึ่งวิชาตรงส่วนนี้ ส่วนใหญ่ คือนักบวชจะรู้แต่วิธีการทำให้ปรากฎนิมิต
และเล่นกับนิมิต และตรงส่วนนี้ ณาณที่เป็นทิพย์ต่าง ๆ ก็ปรากฎได้

ซึ่ง นิมิต/กสิน/มโนยิทธิ ต่าง ๆ ก็ยังเป็นการปรุงแต่ง และก็มีอุปทาน
แต่การดำเนินเข้าสู่การชำระนิมิตให้เป็นนิมิตที่บริสุทธิ์
ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
ซึ่งการสอนวิธีการชำระองค์กสินนั้น
มันเป็นภาษาที่ผู้ที่เป็นมาทางนี้ ไม่ต้องอธิบายยืดยาวเขาก็รู้กัน
ซึ่ง เมื่อพระพุทธองค์สอน
พวกที่นิยมฤทธิ์ ก็จะไปรวมกลุ่มปฏิบัติอยู่กับท่าน... :b21: :b13:
คือพระสาวกกลุ่มที่มีฤทธิ์ทั้งหลายน่ะ
ก็รวมกลุ่มชำระกสินกันไป
ชำระได้แค่ไหน ก็เป็นระดับ ๆ ไป

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 14:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
เรื่องนี้ถูกมองข้ามไป เพราะไม่มีใครเข้าใจว่า มันหมายถึงอะไรแน่. และที่สำคัญ ในบรรดาคนที่เข้าถึงฌาณ ต่างพากันเข้าใจว่า ตาที่สาม คือทิพยจักษุ. แบบเดียวกับที่เข้าใจว่า การรู้วิธีเคลื่อนย้ายมวลสาร คืออิทธิฤทธิ์, การฟังเสียงความคิดของผู้อื่น คือเจโตปริยญาณ และการเห็นภาพนิมิตคือ การระลึกชาติ

นั่นก็อาจแปลว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน พวกบรรดาคนที่ว่ากันว่ามีฤทธิ์มีเดชนั้น ต่างก็เข้าไม่ถึงอภิญญา หรือยิ่งกว่านั้น อาจเข้าไม่ถึงฌาณ 4 ด้วยซ้ำไป. เพราะเท่าที่เราเข้าใจ การเข้าถึงตาที่สาม จัดอยู่ในขั้น ตติยฌาณ หรือฌาณ 3 เท่านั้น



ส่วนนี้เอกอน ก็มีความเห็นใกล้เคียงท่านมูนะ
คือ ... ต้องดูลักษณะการเกิดประกอบเป็นปัจจัยดี ๆ

อย่างเรื่อง อะไรน๊าาาาา
เคยได้ดูเมื่อนานมาแล้ว
ที่ จอนห์ ทราโวตร้า เล่น
ที่เดิมทีเป็นคนที่เหมือนจะ โง่ ที่สุดในเมือง
แต่อยู่ ๆ เขาก็เกิด ฉลาด ขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน

ปรากฎว่า มีก้อนเนื้อในสมอง
และ ไปตรวจเจอ และไม่นาน เขาก็ตาย

คือ บางครั้งอะไรก็ตาม ที่ทำให้ระบบประสาทผิดเพี้ยนไปจากปกติ
ก็ทำให้เกิด ทัศนะ ที่พิเศษขึ้นมาได้
เพราะเกิด สนามพลังงาน ที่ต่างไปจากเดิม...

คือ สรุป กรูไม่ได้เป็นอะไร แค่กรูเป็นเนื้องอกในสมอง...น่ะ


:b6:

:b9: :b9: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 15:01, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
:b6: :b6: :b6: ทิพยจักษุ คือการมองเห็นด้วย อายตนะของจิต
การมองเห็นด้วยอายตนะของจิต จะทำได้ก็ต่อเมื่อ ละสักกายทิฎฐิ ได้แล้วเท่านั้น (คือต้องมีความเป็นอริยบุคคล). ยิ่งละสังโยชน์ (กิเลส) ได้มากเท่าไร การมองเห็นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น. แต่อย่างไรเสีย การถูกจำกัดอยู่ในร่างมนุษย์ ก็ย่อมบั่นทอนความแจ่มชัดของทิพยจักษุลง
แม้จะสิ้นกิเลสเข้าถึงอรหัตตผล, ความแจ่มชัดของทิพยจักษุ ก็ยังอาจด้อยกว่าโอปปาติกะบางพวก ที่มีเจตสิกเบาบาง เช่น โอปปาติกะที่อยู่ในชั้นอนาคามี (ไม่มีกิเลสอย่างหยาบ)



อายตนะของจิต เป็น ปัจจัยหนึ่ง

:b6:

น่าจะงั๊น...หน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

:b6: :b6: :b6: แล้วอะไรคือตาที่สาม
ตาที่สามเป็นอีกกลไกหนึ่งของสมอง (แปลว่า ไม่ใช่อภิญญา). ไม่แน่ใจว่า กลไกนี้มีขึ้นเพื่ออะไร แต่มันอาจมีประโยชน์บางอย่างในยุคก่อนพุทธกาลก็ได้ เช่น มีไว้เพื่อค้นหาความจริงบางอย่าง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ซึ่งก็ต้องเป็นอริยบุคคลขั้นอนาคามีเสียด้วย จึงจะมีทิพยจักษุที่ใช้งานได้จริง
แต่ในยุคปัจจุบัน การมีอยู่ของเครื่องมือ บวกกับความเสื่อมของจิตที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์, ก็เป็นไปได้ว่า กลไกนี้จะถูกยุติลง


ตาที่สาม เป็นผลจากการทำงานของสิ่งที่บางคนเรียกว่า ตาใน
ตาใน เป็นกลไกที่เชื่อมต่ออยู่กับอายตนะของจิต มันทำหน้าที่ในการสร้าง ความมืด ในเวลาที่ไม่มีภาพใดๆ, เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเห็นใยประสาทของสมองทุกครั้งที่ปิดตา.
คำว่าเชื่อมต่อเป็นคำที่ใช้เพื่อให้เข้าใจง่าย, จริงๆ มันน่าจะเป็นกลไกของรูปปรมัตต์บวกกับเจตสิกบางอย่าง ที่จะดึงความสนใจของจิตไว้, ต่อเมื่อจิต ละ มันได้นั่นแหล่ะ จึงจะเกิดทิพยจักษุขึ้นมา

เมื่ออายตนะของจิต ถูกดึงไว้ให้อยู่กับความมืด. การเห็นภาพต่างๆ ที่จำเป็นต้องสร้างแสงสว่างขึ้น ซึ่งก็คือการเข้าถึง ฌาณ



เอกอนเรียก พลังในการสร้างการรู้ที่พิเศษให้ปรากฎขึ้น
เป็นออกไปในทาง พลังจิต
เป็นการเข้าถึงการใช้พลังงานในรูปแบบนั้น ๆ

ซึ่ง บางครั้งพลังในลักษณะนี้จะมีกำลังงาน ในการทำให้เกิดปรากฎการณ์ตามภาพที่สร้างขึ้น
เช่นพวกศาสตร์เกี่ยวกับ ไศยศาสตร์ ต่าง ๆ

ซึ่งการชำระเพื่อไปเป็นศาสตร์ที่บริสุทธิ์ ก็อีกเรื่อง

:b9: :b9: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 14:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

:b6: กลไกนี้ เป็นเรื่องของสนาม 2 มิติ เป็นวิธีเดียวกับ การเคลื่อนย้ายมวลสาร
สนาม 2 มิติ เป็นสนามที่ไม่มีระยะทางและเวลา, หากเราทำให้สนามในบริเวณหนึ่ง ปลอดอนุภาค 3 มิติอย่างสิ้นเชิง เราก็ย่อมสามารถเคลื่อนย้ายสนามนั้น ไป ณ จุดใดๆ ก็ได้
เช่น หากเราสามารถทำให้สนามรอบๆ หนังสือเล่มหนึ่งไม่มีอนุภาค 3 มิติแม้แต่อนุภาคเดียว, เราก็ย่อมสามารถย้ายหนังสือนั้น ไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการ
เขียนแบบนี้ บรรดานักวิทย์คงจะนึกถึงสนามแม่เหล็กขึ้นมาทันที. ปัญหาของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่การสร้างสนามแม่เหล็ก แต่อยู่ที่การกำหนดเป้าหมายปลายทางต่างหาก
จะว่าไป มันก็คือหลักของ ประตูมิติ นั่นแหล่ะ

:b6: หลักการนี้มีข้อจำกัดอยู่ที่ ระดับพลังงานของสนามต้นทางจะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ระดับพลังงานของสนามที่ปลายทาง. ว่าให้ซับซ้อนหน่อยก็คือ ปริมาณของระนาบ 2 มิติที่ต้นทาง จะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ ปริมาณระนาบ 2 มิติที่ปลายทาง
มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เราอาจจะเคลียร์อนุภาคทั้งหมดที่เกี่ยวกันอยู่กับระนาบ 1 แสนระนาบ, แต่ถ้าปลายทางมีระนาบอยู่ 5 แสนระนาบ มันก็ยังมีระนาบอีก 4 แสนระนาบ ที่ทำให้สนามบริเวณนั้น ไม่ว่างเปล่า

นี่ก็คือขีดจำกัดของตาที่สามเช่นกัน. บางคนอาจใช้คำว่า เราจะมองไม่เห็นในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ, แต่จริงๆ มันเป็นขีดจำกัดของกลไก



ในส่วนนี้เอกอนก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่มี รูปแบบของสนามพลังงาน เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ไม่เคยล้วงเข้าไปขนาดท่านมู...น่ะ

ขืนอยากรู้ที่มาที่ไปมากเกินไป
เกรงจะคุ้ยไปเจอเนื้องอกในสมอง...น่ะ...55555

:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
แต่ในยุคปัจจุบัน การมีอยู่ของเครื่องมือ บวกกับความเสื่อมของจิตที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์, ก็เป็นไปได้ว่า กลไกนี้จะถูกยุติลง



:b6: ก็ถ้าปล่อยให้มีการพกกันมาแบบ 100% จะอยู่กันอีท่าไหนล่ะ...ท่านมู

เอะอะ...เด๋วก็ได้แสดงฤทธิ์ใส่กัน


กลไกทางคุณธรรมจึงเป็นตัวเข้ามาปิดกั้นทุกอย่างเอง

มั๊ง

:b32: :b32: :b32:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 15:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

เรดาร์....มีทั้งระบบ active และ passive

ตาของคนเรา...เป็นระบบ passive คือ..รับอย่างเดียว...อาศัยว่า...วัตถุสะท้อนพลังงานจากแหล่งอื่น

แต่...อายตนจิต...เป็นระบบ active คือ...ส่งพลังงานออกไปแล้วรอรับการสะท้อนกลับของพลังงานนั้น...
ตอนที่จิตยังปภัสสรอยู่เรียกความสามารถนี้ว่า...อภิชชา

การจะเห็นได้...จึงต้องมีการหยั่งใจ....ไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ตลอดเวลา....

ดังนั้น....จุดสำคัญของการเห็นของจิตคือคุณภาพของพลังงานที่ส่งออกไป...ว่า..ส่งออกไปขณะที่จิต..ณ. ตอนนั้น...สอาดมากน้อยแค่ไหน...

บางคราว...หากส่งออกไปพร้อมกับชุดความคิดที่คาดหวังใว้ล่วงหน้า...ที่เรียกว่า..อุปาทาน...สิ่งที่จิตเห็น...ก็จะเห็นภาพแห่งความคาดหวัง....ไม่ใช่ภาพที่แสดงความจริงแต่อย่างใด..

การเห็นด้วยจิต...จึงเป็นเรื่องธรรมชาติ..มิใช่เป็นเครื่องวัดความเป็นอริยะบุคคลแต่อย่างใด...แต่คุณภาพของการเห็นขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตในขณะนั้น....

อิอิ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
เป็นเรื่องจริงที่ ทิพยจักษุ เป็นเครื่องหมายของความเป็น อริยบุคคล
...
และแน่นอน อภิญญาจะเป็นเครื่องหมายของ อริยบุคคล อย่างไม่มีข้อกังขา. เป็นการสิ้นสุดของเดรัจฉานวิชา
อภิญญา มีสองส่วน คือ ..

ส่วนที่เป็นโลกียะ เรียกว่า อภิญญา ๕
ส่วนที่เป็นโลกุตระ เรียกว่า อภิญญา ๖

อภิญญา ประกอบด้วย

๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
๒. ทิพยโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพยจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ การทำอาสวะให้สิ้นไป

อภิญญา ๕ ข้อแรกเป็นโลกียะญาณ คือ ปุถุชนก็สามารถทรงได้ เช่น พระเทวทัต เป็นต้น
ข้อ ๖ มีเฉพาะในพระอริยบุคคลเท่านั้น

หมายถึง พระอริยบุคคล ที่ได้อภิญญา ต้องทรงอภิญญา ๖
ถ้าได้ อภิญญา ๕ ไม่เรียกพระอริยะบุคคล ..

ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ มีทิพยโสต มีทิพยจักขุ หรือมีเจโตปริยญาณ
อย่าพึ่งเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคล ...


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 20:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


และ...

ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ไม่ได้ ไม่มีทิพยโสต ไม่มีทิพยจักขุ หรือไม่มีเจโตปริยญาณ
อย่าพึ่งเข้าใจว่า ผู้นั้นไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ...


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2012, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

การเห็นด้วยจิต...จึงเป็นเรื่องธรรมชาติ..
อิอิ...


ที่พวกเรากำลังเป็นอยู่....ไม่สามารถเห็นได้ด้วยจิต....มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ..ที่ควรเป็น..
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ว๊าว อุดมด้วย comment Kiss Kiss Kiss

ฮิฮิ มาเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย. พิมพ์เสร็จตะกี้เอง grin s002 s002

:b6: :b6: :b6: เพราะแสง (โฟตอน) จากกระบวนการตาที่สาม ถูกส่งเข้าสู่วงจรการให้สีโดยตรง, ไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นเซลรับแสงแบบดวงตาปกติ ซึ่งต้องใช้แสงที่มีความเข้มพอสมควร.
ดังนั้น ภาพที่เกิดขึ้นจากกระบวนการตาที่สาม จึงสามารถเห็นแสงที่คนปกติมองไม่เห็น เช่น แสงที่เราเรียกว่า รัศมีกาย
แต่เรายังไม่แน่ใจนักว่า รัศมีกายเป็นแสงที่มีความเข้มน้อย หรือเป็นแสงที่ขาดความต่อเนื่องของความยาวคลื่น ซึ่งแม้จะมีความเข้มมาก แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นเซลรับแสงของดวงตาปกติให้ทำงานได้.
หรือรัศมีกาย อาจเป็นได้ในทั้ง 2 กรณี ขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของแต่ละจิต

:b6: ตาที่สาม ไม่สามารถเห็นเจตสิกได้ (กลุ่มของสนาม 2 มิติที่ไม่มีเวกเตอร์) แต่จะเห็นก็ต่อเมื่อเจตสิกถูก สลัด ออกมาโดยวงจรประสาท (กลายเป็นโฟตอน).


:b6: โดยสรุปคือ กระบวนการตาที่สาม เป็น ตา ชนิดหนึ่ง. คือจะเห็นได้ ก็ต่อเมื่อมีแสงเท่านั้น, อะไรก็ตามที่ไม่เปล่งแสง หรือสะท้อนแสง ตาที่สามก็ย่อมมองไม่เห็น
นั่นหมายความว่า แม้จะมีตาที่สาม ก็ไม่สามารถมองเห็นผีได้ ถ้าผีนั้นไม่ตั้งใจจะให้เห็น (ในภูมิผี เจตสิกจะไม่เกิด-ดับ ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิต)
ตรงนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า จะไม่เห็นผีเมื่อไม่มีกรรมร่วมกัน, เพราะผู้ที่เข้าถึงตาที่สาม มักจะคิดว่า ตนสามารถเห็นได้ในทุกสิ่ง และมีไม่น้อยที่คิดว่า โฟตอนเดี่ยวๆ ที่เกิดจากการสลัดเจตสิกออกมา คือกรรม

:b6: ความไม่เข้าใจในกลไกตาที่สาม ทำให้เกิดการหลงผิดนานาชนิด สุดท้ายก็กลายเป็นว่า ใครสามารถซ่อนตัวจากผู้อื่นได้ ผู้นั้นจะมีธรรมสูงกว่า
อันที่จริง ผู้ที่ใช้ตาที่สามก็มองเห็นผีไม่ได้ ถ้าผีไม่แสดงตน, ก็ไม่เห็นจะบอกว่า ผีเด็กๆ นั้น บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว
หรือหากมีเทคโนโลยีที่สามารถดูดซับ หรือเบี่ยงเวกเตอร์ของโฟตอน ก็ย่อมพ้นจากการมองเห็นของตาที่สามได้เหมือนกัน.

นี่ยังไม่นับขีดจำกัดของกลไก ที่ไม่สามารถย่อระยะทางไปยังบริเวณที่มีพลังงานสูงกว่าได้.
ขีดจำกัดนี่แหล่ะ ที่เป็นต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้ที่ใช้ตาที่สาม หลงผิดว่า ตนรู้แล้วในทุกสิ่ง ตนเห็นแล้วในทุกสิ่ง
และทำให้ผู้หลงผิดเหล่านี้ หยุดตนเองไว้ที่ ตติยฌาณ และจมอยู่กับตาที่สามอย่างไม่รู้จบ

จบ

เชิญชาวโลก ร่วมกัน comment :b32: :b32: :b32:

อ้อ ที่ท่านชาวโลกนาม "วิริยะ" ประกาศว่า เทวทัตมีอภิญญา. เท่าที่เราค้นมา เทวทัตมีอิทธิฤทธิ์บางอย่าง และมีญาณขั้นต่ำเท่านั้น

แต่ก็ขอแก้ไขคำตอนท้ายที่ว่า "อภิญญาจะเป็นเครื่องหมายของ อริยบุคคล" แก้ให้เหมือนคำตอนต้นคือ "ทิพยจักษุเป็นเครื่องหมายของอริยบุคคล"
อันที่จริง ต้องใช้ว่า จุตูปปาตญาณ เป็นเครื่องหมายของอริยบุคคล, แต่ในอริยบุคคลชั้นต้น (โสดาบัน-สกิทาคามี) จุตูปปาตญาณ เกิดก็เหมือนไม่เกิด

อ้อ ... :b6: :b6: :b6:

ตาที่สาม ไม่ใช่อภิญญา ไม่ใช่การมองเห็นด้วยจิต.
ตาที่สาม เป็นกลไกพิเศษที่มีมากับร่างมนุษย์ทุกคน.

อภิญญา เป็นความสามารถที่ พ้น ไปจากร่างกายของมนุษย์. ว่าอีกแบบคือ ไม่ใช่กลไกที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
ว๊าว อุดมด้วย comment Kiss Kiss Kiss

onion onion onion



ก็เล่นยิงมุข มอญซ่อนผ้า ไม่ให้ได้ตั้งตัวเลยนิ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
และ...

ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ไม่ได้ ไม่มีทิพยโสต ไม่มีทิพยจักขุ หรือไม่มีเจโตปริยญาณ
อย่าพึ่งเข้าใจว่า ผู้นั้นไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ...


:b32: :b32: :b32:

ยกตัวอย่างพระอชิตะเถระ ที่พระพุทธองค์ทำนายว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระอชิตะก็ไม่มีอภิญญา และพระเทวทัตผู้ทรงมีอภิญญา5 ลองพิจารณาดูสิเจ้าค่ะผู้มีปัญญาทั้งหลาย :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
อ้อ ที่ท่านชาวโลกนาม "วิริยะ" ประกาศว่า เทวทัตมีอภิญญา. เท่าที่เราค้นมา
เทวทัตมีอิทธิฤทธิ์บางอย่าง และมีญาณขั้นต่ำเท่านั้น
บทว่า โส ปมาทมนุจิณฺโณ อาสชฺช นํ ตถาคตํ

ความว่า พระเทวทัตนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ประมาณตน ถึงความประมาท
โดยแต่งตั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เสมอกับตนว่า

ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นศากยบุตร แม้เราก็เป็นศากยบุตร
ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นพระสมณะ แม้เราก็เป็นพระสมณะ

ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้มีฤทธิ์ แม้เราก็เป็นผู้มีฤทธิ์
ถึงพระพุทธเจ้าจะมีทิพจักษุ แม้เราก็มีทิพจักษุ

ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะมีทิพโสต แม้เราก็มีทิพโสต
ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้เจโตปริยญาณ แม้เราก็ได้เจโตปริยญาณ
ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะรู้ธรรมที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน แม้เราก็รู้ธรรมเหล่านั้น

ดังนี้ กระทบกระทั่ง เบียดเบียนพระตถาคตเจ้า เพราะถูกมารดลใจ (ให้ฮึกเหิม) ว่า
บัดนี้ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์.


http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=25&i=269

พระเทวทัตนั้น ท่านทรงอภิญญา ๕ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ แสดงฤทธิ์ได้
แต่ ไม่ใช่พระอริยะ .. เพราะท่านไม่ได้บรรลุคุณธรรม ข้อ ๖. อาสวักขยญาณ ..

murano เขียน:
อันที่จริง ต้องใช้ว่า จุตูปปาตญาณ เป็นเครื่องหมายของอริยบุคคล
จุตูปปาตญาณ เป็นองค์ธรรมของพระอรหันต์ประเภท วิชชาสาม

พระโสดาบัน สกิทาคามี พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสโก
ท่านจะไม่มีองค์ธรรมข้อนี้นะ ...


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร