วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2010, 13:04
โพสต์: 33

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำงานได้เงินเดือน 9 พัน ให้ที่บ้าน 2 พัน ทำงานใจกลางเมือง ค่าใช้จ่ายไม่ต้องพูดถึง
เงินที่เหลือนิดหน่อยก็พาแม่พ่อไปนวดบ้าง กินข้าวนอกบ้านบ้าง ไม่ให้เครียด

พ่อบอก แค่ ไอ 2พันนี้ มันจะไปช่วยอะไรได้ แล้วก็ส่ายหน้า หัวเราะเย้ยหยัน

(พ่อผมเคยเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่งเงินเดือนเกือบ 3 แสน
ตอนนี้ตกอับ เงินเก็บไม่มี ซื้อรถใหม่ บ้านใหม่ก่อนเกษียณ
สรุปโดน เออรี่รีไทร์
เงินที่ได้จากเออรี่รีไทร์พอแค่ค่าบ้าน รถใหม่ต้องขายแม้เพิ่งผ่อนแค่4เดือน)

เงินให้แม่เก็บ เดือนละ 5 หมื่น
ผ่านมา30ปี เงินในธนาคารของบ้านมีแค่1ล้าน
ไม่แปลกเพราะแม่ผมเอาเงินไปเล่นการพนัน
ไปอยู่ต่างจังหวัด หน้าใหญ่ งานศพตา ไอ้แขกที่มาดันมาบอก เหล้าหมดแล้วขอเงินหน่อย
ญาติก็ดูดเงิน หลอกเงิน ก็ให้ตลอด
พ่อก็มือเติบ มีอีหนู ชอบสังคม ชอบดูถูกคนจน แทบไม่ค่อยดูแลปู่หรือย่า


ย้ายมาบ้านใหญ่กว่าเดิม ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ผมทำงานลำบาก พ่อตกงาน

ล่าสุดเงินที่เพียงพอให้ที่บ้านอยู่ได้ถึง 5 ปี แม่เอาไปสร้างบ้านใหม่ต่างจังหวัด
ทั้งๆที่บ้านเงินจะอยู่รอดก็อยู่ได้ไม่นาน
บ้านไม่เสร็จ เงินเหมือนหายไปต่อหน้าต่อตา
ตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้าน อยู่กับญาติที่ดูดเงิน
"แม่ทำอะไรผิดหรอลูก"
"..........................ไม่รู้เลยหรือว่าแม่ผิดอะไร..............."

พ่อถอนเงิน5หมื่นบาทจากธนาคาร
ผ่านไป 1 เดือน
ล่าสุดบอกไม่พอ จะถอนอีก

ค่าใช้จ่ายต่อเดือน พ่อบอก3หมื่นบาท ที่บ้านเราค่าใช้จ่ายเยอะ

ผมมาดูๆแล้ว ไหนลองแจง
มันมีแต่ค่าใช้จ่ายพ่อหมดเลย
ค่าแชร์ ค่าน้ำมัน ค่าบันเทิง ค่าเล่นกอล์ฟ ค่าเบียร์
เชื่อว่ามีค่าอีหนูและการพนันด้วย

ในขณะที่ครั้งหนึ่ง พ่อแม่ไปตลาด
แม่ผมอยากกินกล้วยทอด แต่แม่ไม่มีเงิน กะให้พ่อออกให้
แม่สั่งแม่ค้า แม่ค้าห่อให้ พ่อไม่ยอมจ่ายตังให้
แล้วก็เดินหนีไป ก่อนกลับพ่อซื้อกุ๊ยช่าย เพราะตัวเองอยากกิน
กลับมาถึงบ้าน แม่เล่าให้ผมฟัง น้ำตาผมไหล
นี่หรือ!!!!!!!!!!!!!!!!พ่อผม

ผมช๊อกความเห็นแก่ตัวพ่อผมอีกเรื่อง
วันตรุษจีน ต้องให้อั่งเปาย่า พ่อผมตกงาน ก็เลยให้แค่ 2 พัน
ย่าบอกไม่เป็นไร ลื้อตกงาน เก็บไว้ๆ
แล้วพ่อผมก็เก็บเงินเข้ากระเป๋า พร้อมเอาของกินที่บ้านย่ากลับมากินด้วย


ผมเงินเดือน 9 พันนั่งรถไฟไปทำงาน รถไฟชั้น3จริงๆนะ ไม่ใช่รถไฟฟ้า
ข้าวกินมื้อเดียว
ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนเลย เพราะเงินเอามาให้ที่บ้านกับตัวเอง
เพื่อนๆคิดว่าผมงก
ผมนอนไม่มีแอร์ได้
ไม่มีรถอยู่แล้ว ไม่มีค่าน้ำมัน
สังคมผมก็ไม่มี ตอนนี้ไม่มีเพื่อนแล้ว
ของฟุ่มเฟือยไม่ใช้ เสื้อใส่วันละตัว
ผู้หญิงผ่านเข้ามา แต่ผมก็สนใจไม่ได้ เพราะพ่อและแม่ไม่รู้จักพอ ผมคงเลี้ยงคุณไม่ได้หรอก
ตอนนี้ยังใส่เสื้อเก่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วอยู่เลย

แต่ทั้งแม่และพ่อยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม
ผมทำไงดี เวลาคุยกับพ่อและแม่ พยายามขันติ คิดเสียว่า เราเกิดแต่ตัว
สิ่งนอกกายต้องคืนให้เขาหมดแหละ

ทำไม่ได้ ผมรู้สึกโกรธ ทำไมผมทุ่มเทให้ขนาดนี้ แกไม่เห็นใจเลย
พยายามจะไม่โกรธ
เวลาแม่ถามตอนบอลโลกว่าเล่นพนันบอลได้หรือเปล่า
พยายามจะไม่โกรธ แต่ความรู้สึกที่แกสบายๆ แล้วยังมองว่าเราจะทำตัวเหมือนแก
"ไม่ได้เล่น อย่ามองคนอื่นเหมือนตัวเองได้ไหม"
เงินที่บ้านเราพอแค่อยู่ก่อนนะ เงินเดือนผมอาจต่อชีวิตไปได้ ฉะนั้นแม่อย่าทำอะไรนะ ขอร้อง อยู่เฉยๆ
แต่แม่ผมไม่เคยอยู่เฉยๆ เล่นหวย เล่นแชร์ ซื้อของเก่า เอาเงินไปให้น้องทำโน่นนี่
"แม่ ทำไมไม่เชื่อผม บอกให้อยู่เฉยๆไงอ่ะ แค่กินข้าว ดูทีวีไป เดี๋ยวหน้าที่หาเงินผมทำเอง"
"แม่ ผิดอะไรอ่ะลูก"
"................................."

คุยกันทีไรไม่ว่าพ่อหรือแม่ มันจะมีความรู้สึกในใจว่าทำไมแกทั้งสองเห็นแก่ตัวอย่างนี้

มันเครียดจริงๆ ผมพยายามบอกให้เกิดปัญญาในการใช้เงิน
ไม่เกิดผลใดๆ ไม่ว่าจะทำเป็นตัวอย่าง หรือ บอกกล่าวเตือนใดๆ
ผมเคยพูดกับแม่
"หากผมตายไป แม่ถึงจะรู้สึกหรือเปล่า กับการใช้เงินของแม่และพ่อ"

จริงๆเรื่องผมมันเยอะกว่านี้
เยอะขนาดที่รุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า
เมิงอยู่ไปทำไม ตายไปเหอะ

เป็นคำแนะนำที่...หึหึ
แล้วแกก็เอาเรื่องผมไปเล่าต่ออีก อืม...แล้วผมก็ไม่มีคนที่ไว้ใจได้อีกต่อไป

สรุปผมทำไงดี จะไม่ให้โกรธ ไม่เกลียดพ่อแม่ เพราะผมรู้สึกผิดมากแต่ความโกรธมันเยอะเหลือเกิน
พอนั่งสมาธิ พอช่วยได้ กลับมาสนทนากับแกทั้งสองใหม่ ก็เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
หรือใครเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้แก้ไขอย่างไรบ้างครับ

ปล.เคยคิดว่าจะหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เรามีหน้าที่ของลูก ตั้งเจตนาไว้ให้ดี แล้วทำไป
มีหน้าที่หาข้าวน้ำมาเลี้ยง ก็ทำไป
ถ้าเอาไปให้เขาแล้ว เขาปัดทิ้ง ไม่เอา ไม่กิน ก็อย่าไปโกรธ
เพราะนั่นมันเรื่องของเขา แต่ส่วนของเรา เราทำดีแล้ว

คุณพลาดตรงที่ไปคิดว่าข้าวน้ำที่คุณหามาให้ท่านนั้น
ถึงมันจะน้อย แต่มันมีค่านะ ทำไม ทำไม พ่อแม่ถึงไม่รู้จักพอใจ
ฉันทำได้ที่สุดเท่านี้ พ่อแม่สมควรต้องพอใจเท่าที่ฉันหามา

มันก็เลยเป็นปัญหา เพราะว่าความคาดหวังมันไม่เท่ากัน
พ่อแม่ว่ามันน้อย คุณว่ามันพอดีแล้ว
และมันไม่ใช่เรื่องว่าต้องหาคนถูกคนผิด

คุณต้องเข้าใจว่าพ่อแม่เคยมีการงาน มีเงินมาก มีคนนับหน้าถือตามาก
มันเป็นเรื่องยากที่คนที่เคยใช้เงินทองสบายมือมานานหลายสิบปี
อยู่ดีจะมาใช้เงินน้อยได้ อยู่น้อย ใช้น้อย สุงสิงน้อย
ความเคยชินนับสิบๆ ต้องใช้เวลากระเทาะไม่น้อยเหมือนกัน
อย่าไปรีบบังคับเขา

คุณต้องปล่อยให้เวลาทำงานของมันไป

คนส่วนมาก เวลาเริ่มอาวุโสนั้น มักจะอาวุโสแต่ร่างกาย
อารมณ์กลับไม่อาวุโสด้วย ซ้ำร้าย ยิ่งดื้อ ยิ่งเด็กลงทุกวัน เอาแต่ใจ และเจ้าอารมณ์
เรื่องนี้ มันเป็นกันแทบทุกบ้าน มันคือธรรมชาติของสังคมเรา

เดี๋ยวพอเวลามันผ่านไป เพื่อนเริ่มเหลือน้อย เงินเริ่มไม่มีใช้จริงๆ เริ่มป่วยไข้
ทางเลือกในการมีความสุขน้อยลงๆ ของเล่นน้อยลง
เริ่มจำนนต่อความจริงในชีวิต เขาก็จะค่อยๆคลายทิฐิลงเอง

ถ้าเขาไม่อยากได้เงินน้อยของคุณ คุณก็เก็บออมกันเอาไว้เถอะ
คนแก่ยังไงก็ป่วย ป่วยทีก็เล่นเอาหมดเนื้อหมดตัว ยังไงเขาก้ต้องใช้รักษาโรคแน่นอน
ถึงวันนั้นแล้ว เงินน้อยๆนี้แหละ จะซื้อใจพ่อแม่คุณได้

ปล่อยวางให้มากๆนะคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 01:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วชื่นชมคุณจริงๆ

ไม่ได้เล่นบอลโลก นี่ผมก็ชื่นชม
ให้เงินอังเปาย่า น่าชื่นชมมากแม้ท่านไม่เอา
กล้าเปิดเผย ไม่มีแฟนเพราะไม่มีเงิน
ให้เงินพ่อแม่ใช้ น่ายกย่องมาก
ที่น่ายกย่องที่สุดคือ คุณถือคติเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริง
อ่านแล้วรู้สึกว่าผมได้เรียนธรรมะดีดีจากอีกคนหนึ่ง

แต่ไม่ไช่ไม่รับรู้ปัญหาคุณนะครับ ก็ขอเอาใจช่วยนะครับ
เหมือนคุณชาติสยามเขียน เวลาจะเป็นตัวจัดระบบของทุกอย่างเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีโอกาสได้กระทำความดีต่อบุพการี
นับว่าเป็นโชคมาหาศาลของคุณ พยายามอย่าเจือปน
ด้วยความไม่ชอบใจ ไม่พึงใจ ท่านจะเป็นอย่างไร?
ก็ไม่ควรตำหนิ เพราะจะทำให้การทำความดีของเราสูญเปล่า

ทำหน้าที่ของเราไป ตามสมควร มีหน้าที่ให้ เราก็ให้ ไม่ควรขัดข้องใจว่า
ท่านจะเอาเงินไปทำอะไร?.....ให้ได้เท่าที่ให้ ให้แต่พอควร
เท่าที่มีกำลัง อย่าให้ตัวเองเดือดร้อน แค่นี้ความดีก็จะสนองผลเอง

ต้องเข้าใจว่า ท่านเคยมีมาก่อน บางคนก็รู้เท่าทันโลกว่าไม่มีอะไร
ที่แน่นอน พอถึงคราวพลิกผัน ก็สามารถปรับตัว ปรับใจให้ทันเหตุการณ์ได้
แต่บางคน ไม่ทันรู้ตัว ไม่ทันระวังตัว ก็ไม่สามารถรับได้กับความเปลี่ยนแปลง
ติดอยู่กับความเคยชินที่เคยมีมา เราเป็นลูกทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า
ค่อยๆบอกกล่าว..แต่มิใช่สั่งสอน..งให้ท่านได้เข้าใจสถานะภาพของปัจจุบัน
ไม่ควรยึดติดกับอดึต ทำได้เท่าที่จะทำ หากท่านเข้าใจก็ถือเป็นอานิสงส์
ในความกตัญญูของคุณ แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจ ก็ต้องถือว่าเป็นหน้าที่
ที่เราควรจะทำให้ท่านเข้าใจให้ได้มากที่สุด

อย่าย่อท้อต่อการทำความดีเลย เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นล่ะครับคือ....พ่อ-แม่ ของเรา
ที่เราจะตอบแทนบุญคุณท่าน ที่ให้ชีวิตเรามา เลี้ยงถนอมให้นมให้ข้าว เราแต่ทารก
เพราะชาตินี้คงจะตอบบุญคุณไม่หมดแน่...นอกจากว่าจะชักชวนเข้า ปฏิบัติธรรม สามารถชักจูงเข้าหาธรรม จนสามารถมองเห็นธรรม เข้าสู่พระอริยะ โน่นล่ะ จึงจะถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณท่านโดยสมบูรณ์
ชีวิตคนก็ยังงี้ล่ะครับ ถึงมีเงิน แต่ไม่มีปัญญา ในการบริหาร เงิน มันก็ไม่งอก มีแต่จะหมดไป
ขอให้มีสติครับ...เรื่องอย่างนี้อย่าไปถือสาว่าความท่านเลย
มันอยู่ที่เราที่จะจัดการว่าจะให้ท่านใช้อย่างฟุ่มเฟือย หรือประหยัดอย่างพอเพียง
เมื่อเห็นว่าสมควร ดีแล้ว นั่นก็ถือว่าเราทำหน้าที่ลูกได้อย่างสมบูรณ์
ขอเป็นกำลังใจ
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณNothigครับ พระพุทธเจ้าสอนคนให้รู้จักกตัญญูต่อบิดามารดาจริงครับ
แต่พระองค์ไม่ได้สอนให้ทดแทนด้วยการ ตะบี้ตะบันตอบแทนโดยไร้เหตุผลครับ

การทดแทนบุญคุณพ่อแม่มันสมควรอยู่ครับ แต่ต้องทำไปด้วยความรัก ไม่ใช่ทำไป
เพราะหน้าที่หรือเป็นเพราะเราเป็นชาวพุทธ

อย่าลืมนะครับว่า ลูกไม่ใช่ทาสของพ่อแม่ การกระทำที่จะแสดงให้ท่านเห็นว่า
เรารักหรือรู้คุณท่าน ก็แค่ดูแลยามแก่เฒ่าและยามเจ็บป่วย ไม่ใช่หาเงินมาเท่าไร
ก็มาให้ท่านใช้แบบชนิดที่ไม่รู้จักคุณค่าเงิน เงินไม่ค่อยเท่าไรแต่ไม่รู้จักรักและเห็นใจลูกนี่ซิ

ผมว่าตัวคุณเองนั้นแหล่ะจะต้องคุยกับท่านให้เข้าใจว่าคุณต้องการอะไร
อยากให้ท่านทำอย่างไร และคุณมีความสามารถที่จะหาเงินให้ท่านใช้ได้แค่ไหน

หน้าที่ของลูกที่แท้จริง คือการประพฤติตัวดีอยู่ในศีลธรรม
ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่ไปทำสิ่งผิดกฎหมายซึ่งจะนำความเดือดร้อน
หรือไม่สบายใจมาสู่พ่อแม่ แค่นี้แหล่ะครับหน้าที่ของลูกที่พึ่งกระทำ

ส่วนการดูแลยามท่านเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่าต้องเกิดจากความรักครับ
ไม่ใช้หน้าที่หรือตอบแทนบุญคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อแม่บุตรธิดาต่างก็มีหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อกัน ในแบบท่านกล่าวถึงหน้าที่ของคนในครอบครัวไว้เหมือนกัน นำมาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้

-บุตรธิดา บำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้า โดย
1) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
2) ช่วยทำกิจธุรการงานของท่าน
3) ดำรงวงศ์สกุล
4) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
5) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน

-มารดาบิดา ย่อมอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
1) ห้ามกันจากความชั่ว
2) ฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี
3) ให้ศึกษาศิลปวิทยา
4) เป็นธุระในการมีคู่ครองที่สมควร
5) มอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อถึงโอกาส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 20:44
โพสต์: 341

ที่อยู่: ภาคตระวันออก

 ข้อมูลส่วนตัว




6-1.jpg
6-1.jpg [ 41.35 KiB | เปิดดู 9076 ครั้ง ]
ผมขอเป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏและเป็นกำลังใจให้ท่านกัลญาณมิตรพึงมีกำลังใจกำลังชีวิตในการก้าวเดินต่อไปครับอย่าท้อในสิ่งที่รับรู้อยู่ทุกครั้ง...ปัญหามีทางออกวันนี้คุณอาจจะรู้สึกท้อและเหนื่อยในสิ่งที่เป็นอยู่....แต่ในทางกลับกันคุณต้องเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นครับอย่าท้อเลย..ชีวิตของแต่ละชีวิตมีปัญหาแตกต่างกันค่อยแก้ไขนะ.สักวันท่านทั้งสองจะเข้าใจ..ปัญหาของคุณในเร็ววัน..ธรรมะช่วยได้และจะทำให้ท่านมีสติ..ในการแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องครับ...ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆปัญหาไปในทางที่ดีครับ
พยามอบรมจิตให้เข้มแข็งแล้วคุณจะผ่านไปได้ สาธุ

เทพบุตร

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ท้งปวง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2010, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2010, 12:21
โพสต์: 637

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




family.jpg
family.jpg [ 71.44 KiB | เปิดดู 9012 ครั้ง ]
คุณ ทำดีแล้วในส่วนหนึ่ง ให้ภูมิใจในความดีนั้นได้เลย
ก็เหลือแต่เรื่องละเอียด คือ หงุดหงิด และโกรธนั่นเอง
จะแก้ไขอย่างไร

ผมคิดว่า ให้คิดว่า ที่ทำมานั้นยังน้อยเกินไป นักหนา เมื่อเทียบ กับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้เรามา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย
กำลัง สติปัญญา ความสุข ทั้งหมดที่คุณมี ทุกอย่างเป็นของพ่อแม่ให้มาหมดเลย

ไม่มีท่าน เราไปเกิดเป็นสัตว์ ต่ำๆ ที่ไหนก็ได้
ไม่ได้มีร่างกาย และจิตใจ อย่างนี้เลย

พยายามคิดอย่างนี้นะครับ จะช่วยได้มากจริงๆ
อีกประการ ให้คิดว่า การได้อดทน เพื่อคุณพ่อ คุณแม่ เป็นบุญ บารมีอย่างเอกจริงๆ
คนอื่นทั่วไป บางคนไม่ได้มีโอกาสเลี้ยงดูคุณพ่อ คุณแม่อย่างนี้เลย

ท่านกำลังเป็นเนื่อนาบุญ อันอุดม ของคุณ อยู่ที่เดียว

ขอให้คุณ อดทน ทำดี เรื่อยไป ด้วยใจเบิกบาน
เจริญในโลก และในธรรม นะครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 พ.ย. 2009, 19:23
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นับถือความตั้งใจดีของคุณเจ้าของกระทู้จริงๆ และเราเข้าใจว่า นี่เป้นเรื่องหนักอกแค่ไหน เจ็บช้ำแค่ไหนที่ความพยายามของเรามันไร้ค่า

ไม่รู้จะแนะนำอะไรแต่ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับลูกที่ดีอีกหนึ่งคน เรื่องอารมณ์โกรธน่ะ เราเป็นปุถุชนก็หนีไม่พ้น แต่อย่าให้ความโกรธบงการเราก็พอนะคะ สู้ๆค่ะ

.....................................................
....รักษาใจ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


Nothing:

อ้างคำพูด:
ทำอย่างไรดี เมื่อบุพการีไม่รู้จักพอ


สัตว์และสังขารทั้งหลาย เกี่ยวข้องกันด้วยกรรมและกิเลส วัฏฏะจึงเป็นไป...

ในกฏธรรมชาติสากล มีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงล้วนไหลมาแต่เหตุทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่มี"ความบังเอิญ"ในโลก...

การที่คุณต้องประสบสิ่งที่น่าอึดอัดขัดเคืองจากพ่อแม่ เพราะเหตุแห่งการเบียดเบียนด้วยทรัพย์ สะท้อนถึง"เหตุไกล"ในสังสารวัฏอันหาเบื้องต้นไม่ได้ ที่คุณเองได้เคยทำมาแล้ว....มีการเบียดเบียนผู้อื่นมาในลักษณะคล้ายกับที่กำลังถูกเบียดเบียนในเวลานี้... เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าำัพันธ์..กรรมนั้นจึงจัดแจงให้คุณมาพบเจอพ่อแม่เช่นนี้ นี่คือ"เหตุใกล้"ในปัจจุบันที่ทำให้วิบากของบาปเก่ามาส่งผลได้...

คุณอาจลืมไปแล้วว่าในชาติใดชาติหนึ่ง แม้เมื่อแสนกัปป์ที่ผ่านมา เพราะกิเลสตัณหาอันแรงกล้า คุณจึงบันเทิงในการทำอกุศลกรรม เบียดเบียนผู้อื่นมีลูกของคุณในชาตินั้นเป็นต้น ให้ได้รับทุกข์เดือดร้อนสาหัส ไม่ต่างจากความรู้สึกที่คุณกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน...เจตนาหรือกรรมนั้น แม้จบไปนานแล้ว แต่เขาหาได้ลืมคุณไม่ บัดนี้ อาศัยเหตุปัจจัยประชุมพร้อมเพรียงบาปกรรมนั้นจึงได้ช่องมาส่งผลให้ได้เสวยเช่นนี้ ...บาปทำไว้แล้วแม้ไม่ต้องการผลเขาก็ตามมาให้ได้เสวยอยู่ดี เพราะบาปและบุญไม่ได้มาส่งผลตามความชอบใจของใคร ๆ จะชอบหรือไม่เขาก็นำผลส่งเสมอเมื่อไ้ด้เหตุปัจจัยที่เหมาะสม...ความจริงเช่นนี้ แม้ไม่อาจทราบชัดได้ทีเดียว แต่โดยหลักแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ย่อมสามารถอนุมานหาเหตุที่มาได้เช่นนั้นทีเดียว ...ยกเว้นว่าจะเป็นผู้ศรัทธาลัทธิอื่น ๆ ก็ย่อมไม่อาจยอมรับความจริงเช่นนี้ได้..

จึงสมควรจะทำใจ"ยอมรับ"ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า เป็นผลงานที่ตนนั่นเองทำไว้ก่อน เมื่อยอมรับได้เพราะเข้าใจในหลักแห่งกรรม...ความโทมนัสอันเป็นบาปย่อมลดลงหรือหมดไป เป็นอันดับแรก ทั้งยังสามารถมีใจกรุณาสงสารบุพการีผู้กำลัง"ทำเหตุใหม่" เพื่อจะได้ไปทุกข์อย่างเราในอีกหลายอัตภาพหน้า นี้เป็นกุศลในลำดับต่อมา(กรุณา)....แม้จะทำการตอบแทนคุณท่านก็ย่อมทำได้อย่างเต็มใจ ไม่ตกไปสู่ความโทมนัสอึดอัดคับแค้น ซึ่งเป็นอกุศลซึ่งมีแต่จะบั่นทอนกำลังของบุญที่ตนตั้งใจทำด้วยการตอบแทนคุณพ่อแม่ให้มีอานิสงค์น้อยลงเมื่อคิดถึงด้วยโทสะในภายหลัง...เรียกว่า อปราปรเจตนาเสียหายนั่นแล..

สำหรับการตอบแทนพ่อแม่ในลักษณะนี้ ก็พึงทราบว่า ใครๆจะถมกิเลสตัณหาของใครๆได้หมดย่อมไม่มี... เพราะพ่อแม่เป็นผู้ไม่รู้ประมาณในฐานะของตน ทั้งไม่เคยคำนึงถึงความทุกข์กังวลของท่านผู้ถาม ก็เพราะความที่ท่านได้สั่งสมอุปนิสัยแห่งการมีตัณหามานะมายาวนาน เมื่อถึงคราวที่ขัดสนเงินทอง ความที่ไม่เคยได้สดับธรรมะมาก่อน ไม่เคยฝึกหรือคิดจะฝึกตนให้ยอมรับความจริงและทั้งไม่คิดจะปรับสภาพชีวิตตามความจริง ท่านจึงยังคงหลงไปกับการใช้ชีวิตแบบเดิม อันเป็นการเบียดเบียนทั้งตนและบริวารรอบข้างอยู่..ก็อุปนิสัยสั่งสมมานานย่อมมีกำลังกล้า สามารถกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมและผิดทั้งทางโลก(โลกวัชชะ)ได้อย่างต่อเนื่อง...การที่ท่านผู้ถามจะกระทำการใดๆเพื่อให้ท่านเปลี่ยนแปงปรับปรุงย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้..ท่านพึงหันมาพิจารณาปรับปรุงใจของท่านเองและวิธีการตอบแทนคุณพ่อแม่เช่นนี้ดังนี้..

๑. เมื่อท่านสามารถส่งเสียทรัพย์ให้พ่อแม่ได้ ก็พึงทำไปตามที่สามารถ กำหนดเป็นจำนวนที่แน่นอน เก็บส่วนที่เหลือไว้เพื่อใช้สอยส่วนตัว เก็บส่วนหนึ่งไว้ใช้ยามชราเมื่อไม่สามารถหาทรัพย์ได้อีกจะได้มีเสบียงไว้เลี้ยงตัว..

๒. หากพ่อแม่ยังใช้จ่ายเกินฐานะจริงๆ ท่านผู้ถามไม่พึงให้ทรัพย์เพิ่มเติม อันจะเป็นไปเพื่อส่งเสริมกิจกรรมพอกพูนตัณหาราคะของท่าน เมื่อท่านไม่มีทรัพย์เข้าถึงความขัดสน ย่อมคิดหาทางปรับปรุงตนเพื่อความอยู่รอด(คนเรากลัวตายมากที่สุดเป็นปกติ) บางที ในเวลานั้นอาจได้สติปัญญาขึ้นมาได้..หากพอมีบุญเก่าอยู่บ้าง..นี้เท่ากับยุติการทำบาปมีการเบียดเบียนของพ่อแม่ให้หมดไป..(หากท่านขาดแคลนเพราะเรื่องจำเป็นเกี่ยวกับปัจจัย๔ ก็พึงช่วยเหลือตามที่เห็นควร)

๓. ยุติความโทมนัสขัดเคืองที่มีต่อพ่อแม่โดยทันที นี้เป็นโทสะที่มีโทษมาก ยุติความเดือดร้อนใจว่าเราไม่อาจหาทรัพย์มาให้ท่านได้มากอย่างที่ท่านต้องการ เมื่อเรามีเจนาตอบแทนคุณท่านอยู่ กำลังทำเต็มกำลังแล้ว กุศลตรงนี้สำเร็จแล้วด้วยดี พึงปิติโสมนัสเนืองๆ...ส่วนกิเลสตัณหาของพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน เราไม่มีส่วนได้รับผลคือความเดือดร้อนเพราะเหตุนั้น พึงวางอุเบกขาเสียว่าหากแม้นท่านทำการใดๆเพื่อไปสู่ความเดือดร้อน ก็เพราะบาปกรรมของท่านเอง เรามิได้มีส่วนในบาปเหล่านั้นเลย เราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีเหตุอันพึงเสียใจ..แม้เทวดาทั้งหลายผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมทราบและอนุโมทนาในกุศลของเรา..

๔. ให้เลิกคบเพื่อนที่แนะนำให้ฆ่าตัวตาย มิตรเช่นนั้นเรียกว่า"พาลมิตร" มีแต่ชักนำไปสู่ทางหายนะ ให้เข้าหากัลยาณมิตรให้มาก ย่อมเป็นทางสู่ความเจริญ แม้จนถึงความดับทุกข์ได้ในที่สุด

๕. หมั่นประพฤติศีล ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง เจริญสมถะวิปัสสนา อันเป็นประโยชน์แก่ตนทั้งในโลกนี้แลโลกหน้า บุคคลที่จะมีบุญเก่ามารองรับให้ได้พบพระพุทธศาสนานั้น หาได้ยากยิ่งกว่าหนวดเต่าจริงๆ..พึงทราบความพิเศษอันไม่ธารณะแก่สัตว์ทั้งปวงดังนี้แล..

ขอให้พ้นทุกข์ไวๆครับ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 02 ก.ย. 2010, 14:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การขัดใจ ไม่ทำตามใจบุพการีในสิ่งที่ผิด ที่ไม่ชอบธรรมหรือผิดศีลธรรม
อบายมุขนั้นเป็นโทษทั้งตัวเองและครอบครัว เราไม่สนับสนุน ไม่ใช่อกตัญญูนะค่ะ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2010, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ใส่เสื้อเมื่อสิบปีที่แล้ว......................นึกถึงผมเลย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ห้ามคิดอกุศลกับพ่อแม่เด็ดขาด
ทำเท่าที่ทำได้
แล้วก็แผ่เมตตาให้พ่อแม่วันละอย่างน้อย 1-2 ชม.
ถ้าไม่ใช่กรรมหนักจริงๆ คงจะดีขึ้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2010, 13:04
โพสต์: 33

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ รู้สึกดีขึ้นเยอะ โทสะลดลง
วันนี้ผมเพิ่งไปช่วยงานบุญ แล้วก็อธิษฐานขอกุศลที่มาช่วยงานวันนี้ส่งถึงพ่อและแม่

ปล.เมื่อวานผมถามอายุพ่อและแม่ของผม ทำให้ผมรู้สึกว่าเราเหลือเวลาน้อยเหลือเกิน
กลัวทุกขณะ เวลาพ่อนอน ปกติจะมีเสียงกรน พอไม่มี ผมก็เอามือไปแตะตรงจมูกดู กลัวมากๆ
ผมจะทำความดีและดูแลท่านต่อไปครับ ขอบคุณครับทุกท่าน

ปล.เมื่อวานพ่อผมเริ่มมีทีท่าสนใจนั่งสมาธิเมื่อเราเริ่มพูดเรื่องสมาธิกับการไหว้พระขอท่านนั้นต่างกัน
ดีใจมากเลยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร