วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 03:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 18:55
โพสต์: 8

ชื่อเล่น: เป็นใหญ่
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากเรียนถามผู้รู้จริงๆ ครับ เนื่องจากเป็นอะไรที่ค้างคาใจผมมาก ขอยกตัวอย่างนะครับ เนื่องจากมีป้าใกล้บ้านท่านหนึ่ง ป้าแกมีลูกชายและลูกสาว ป้าแกเป็นคนดีมาก ป้าแกมีอาชีพค้าขาย เป็นคนขยันทำมาหากินด้วยความสุจริต งานบุญนี่แกไม่เคยขาดเลย เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก นี่ป้าแกช่วยหมด ตามกำลังที่แกมี มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องได้ทำบุญทุกครั้ง ไม่ว่าจะศาสนาไหนก้อตาม ถ้ามาให้แกช่วย นี่แกช่วยเต็มที่ ครอบครัวป้าแกมีลูกสองคนเป็น ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน สามีแกมีเมียน้อย แกจับได้ก็เลยเลิกกัน สามีไปแต่งงานใหม่ ไม่เคยส่งเสียเงินทองช่วยเหลือแกเลย ทิ้งภาระให้แกต้องดูแลลูกทั้งสองคนเอง ด้วยความที่แกต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลลูก ลูกทั้งสองคนของป้าแกก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ช่วยทำงานทำการ เอาแต่เที่ยว ขอเงินใช้ทุกวัน คนแถวบ้านเห็นแล้วสงสารป้าแกมาก แต่ป้าแกก็ไม่เคยบ่นเลย ได้แต่โทษตัวเอง ว่าตัวป้าแกชาติก่อนคงทำกรรมไว้เยอะ ชาตินี้ถึงได้เป็นอย่างนี้ บางครั้งผมมีโอกาสว่างก้อจะไปนั่งคุยกับแก เหมือนกับว่าพอได้เจอผมแกก็จะพูดแต่เรื่องกรรม เรื่องอะไรประมาณนี้ ว่าไม่รู้จะทำยังไงดี ถึงจะใช้หนี้กรรมหมด อยากให้ลูกชายและลูกสาว กลับมาเป็นคนดีเหมือนคนอื่นเขามั่ง ทุกวันนี้ที่หาเงินก็กลัวว่าวันหนึ่งลูกทั้งสองคนจะลำบาก ไม่ได้หาไว้ให้ตัวเองเลย ได้ฟังแล้วรู้สึกหดหู่ใจพอสมควร ใจหนึ่งก็อยากจะช่วยป้าแก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง จะให้แกมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิเดินจงกรม คงเป็นไปไม่ได้ เพียงลำพังแค่เวลาจะนอนพักผ่อน ยังไม่มีเลย บางครั้งแกนั่งขายของ เป็นต้องเผลอหลับ นั่งสัปหงกอยู่นั่นแหละ ผมสงสารป้าแกจริง ๆ บางครั้งก็ช่วยอุดหนุนแก เพื่อให้แกขายของหมด จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน แต่ช่วยทุกวันก็ไม่ได้ ลำพังเงินเดือนผมก็เพียงแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ ส่วนที่จะหวังให้มีเงินเก็บคงยากเหมือนกัน วันนี้เป็นโอกาสดี จึงขอเรียนทุกท่านช่วยหาทางช่วยป้าแกด้วยเถอะครับ ... นึกเสียว่าได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก กุศลจะได้เกิดกับทุกท่าน เพราะผมนี่จนปัญญาจริงๆ หลาย ๆ คนช่วยกันคิด น่าจะดีกว่าครับ ผมฝากทุกท่านด้วยครับ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
ป้าแกทำหน้าที่ของชาวพุทธดีที่สุดแล้วครับ...การทำงานอย่างสุจริตนั่นแหละ..สัมมาอาชีพ..คือการปฏิบัติธรรม ...ส่วนเรื่องกรรมนั้นแก้ไม้ได้ครับ..ที่ได้กระทำมาแต่ปางก่อนนั้นมันจะส่งผลมาแน่นอนจะเร็วหรือช้า..จะเป็นกุศลหรืออกุศลกรรม..จะจัดสรรส่งผลมาอย่างยุติธรรมไม่เลือกหน้าไม่ละเว้น...หากแต่ว่าป้าแกไปคิดว่าที่ชีวิตต้องลำบากเช่นนี้เพราะกรรมเก่า..นั่นมันก็อาจจะถูกดังที่ป้าคิด..แต่ป้าจะต้องไม่คิดเรื่องอดีตเรื่องอกุศลกรรมที่ป้าเคยกระทำมา...เพราะเมื่อยิ่งคิดก็ดูเหมือนอกุศลกรรมมันก็ตามเล่นงานในจิตใจตลอดไม่รู้จักหมดสิ้น...ยิ่งคิดถึงมันก็ยิ่งส่งผลเป็นหลายเท่า...
....ป้าเป็นคนชอบทำบุญให้ทาน...และสงเคราะห์บุตร..นั่นคือการทำหน้าที่ของป้าที่ดีที่สุดและน่ายกย่อง...ถึงวันนี้ป้าทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำ..นั่นคือการปฏิบัติธรรมปฏิบัติหน้าที่ของชาวพุทธปฏิบัติงาน..ถ้าป้าคิดได้ดังนี้แล้วไม่เหนื่อยหรอกครับ...ขอยกบทกลอนของท่าน พุทธทาส ครับ

.....เหงื่อ คือ น้ำมนต์ที่แท้จริง.....
:b43: เหงื่อนั่นแหละ คือน้ำมนต์ ให้ผลเลิศ
.....นำให้เกิด สุขสวัสดิ์ พิพัฒน์ผล
.....น้ำมนต์รด รดเท่าไร ไม่ช่วยคน
.....จนกว่าตน จะมีเหงื่อ เมื่อทำจริงฯ
:b43: จงรักเหงื่อ เชื่อมั่น บากบั่นเถิด
....หน้าที่เกิด สมบูรณ์ดี มีผลจริง
.....เป็นพระเจ้า มาช่วยเรา อย่าประวิง
.....จะเป็นมิ่ง ขวัญแท้ แก่ทุกคนฯ
:b43: พระพุทธองค์ ทรงเคารพ ซึ่งหน้าที่
.....ทำให้ดี เหงื่อออกมา มหาผล
.....ใช้บูชา พระพุทธองค์ มิ่งมงคล
.....สาธุชน มีสุขเหลือ เพราะเหงื่อเอยฯ


ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 18:55
โพสต์: 8

ชื่อเล่น: เป็นใหญ่
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณท่านศรีสมบัติมากครับ ที่ให้คำชี้แนะ ผมก็คิดและพยายามหาเหตุผลมาหักล้างว่าการแก้กรรม นั้นสามารถทำได้จริงหรือ โดยส่วนมากแล้วที่ผมค้นหาในอินเตอร์เนท ก็ไม่สามารถชี้แจงเจาะจงลงไปได้เลย ว่ากรรมสามารถแก้ได้จริง หากแต่ผมได้ลองอ่านในพระไตรปิฏก ก็พอจะสรุปได้ว่า "กรรมนั้นจะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อได้ชดใช้กรรมนั้นแล้วเท่านั้น" ส่วนชีวิต ณ ปัจจุบัน ก็ควรจะสร้างกรรมดี เพื่อสะสมไว้ในภพภูมิหน้า ไม่สามารถนำมาหักล้างกันได้ ส่วนที่ผมค้นเจอในอินเตอร์เนท มีอยู่หลายท่านที่ได้แสดงตัว กล่าวอ้างว่าสามารถลบล้างกรรมเก่าได้ ผมคิดว่าจึงน่าจะเป็นเพียงอุบาย เพื่อให้คนเราเกิดความกลัว จึงต้องเร่งสร้างกรรมดีให้มาก ๆ เพื่อที่จะลบล้างกรรมเก่าที่จะตามมา ขอบคุณครับ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นใหญ่:

อ้างคำพูด:
ผมสงสารป้าแกจริง ๆ บางครั้งก็ช่วยอุดหนุนแก เพื่อให้แกขายของหมด จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน แต่ช่วยทุกวันก็ไม่ได้ ลำพังเงินเดือนผมก็เพียงแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ ส่วนที่จะหวังให้มีเงินเก็บคงยากเหมือนกัน วันนี้เป็นโอกาสดี จึงขอเรียนทุกท่านช่วยหาทางช่วยป้าแกด้วยเถอะครับ ... นึกเสียว่าได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก กุศลจะได้เกิดกับทุกท่าน เพราะผมนี่จนปัญญาจริงๆ หลาย ๆ คนช่วยกันคิด น่าจะดีกว่าครับ ผมฝากทุกท่านด้วยครับ.


สาธุ ๆอนุโมทนาในเมตตาและกรุณาจิตที่คุณ"เป็นใหญ่"มีต่อผู้ทุกข์ด้วยครับ... :b8: :b53:

อำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจกรรมคงไม่มี แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระอรหันต์และมีคุณยิ่งกว่าสรรพสัตว์ใดๆทั้งมวล แม้เมื่อยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงอกุศลวิบากได้เลย...

ที่เราเห็นใครบางคนว่า ในปัจจุบันนี้ เขาช่างดีไปเสียทุกอย่่าง หาข้อติไม่มีเลย แต่..แต่ทำไมจึงต้องประสบเรื่ิองราวที่น่าสลดหดหู่ ดังเช่นที่คุณเล่ามานี้ แล้วเลยเกิดสงสาร จากนั้นก็เกิดความคิดเลือนไหลไปว่า"ช่างไม่สมควรเลยหนอ ที่คนดีๆเช่นนี้ต้องประสบเรื่องราวแบบนี้ กรรมดีกรรมชั่วคงไม่มีจริงหรอกดูเถิด ขนาดทำดีอุกฤษณ์ขั้นนี้ยังเจอเรื่องเลวร้ายได้อย่างไร คำสอนในพระพุทธศาสนาคงไม่จริงเป็นแน่..."...กลายเป็นเหตุให้ตกไปจากคลองแห่งสัมมาทิฏฐิไปได้ง่ายๆด้วยประการฉะนี้ จึงพึงระวัง และศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจที่ถูกตรง..
..

ขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า สัตว์ทั้งหลายต่างเกิด-ตายมานับภพไม่ถ้วน จนหาเบื้องต้นแห่งสังสารวัฏไม่เจอมาแล้ว.....ก็ในกาลที่ผ่านมานั้น อย่าว่าแต่เมื่อแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาเลย แม้ในชาตินี้ก็เถิด เราทั้งหลายต่างทำกรรมดีและชั่วสลับคละเคล้ากันมาตลอดเวลาอยู่ กรรมนั้นคือเจตนาที่ล่วงออกมาทางกาย วาจาและใจ เมื่อทำแล้ว ผลย่อมปรากฏตามมาทันที เพียงแต่รอปัจจัยที่เหมาะพร้อมเพื่อส่งให้เราได้เสวยเท่านั้น..การส่งผลของกรรมก็หาได้มาส่งตามใจใครๆนึกอยากให้มาหรือไม่ให้มาก็หาไม่ แต่มาด้วยการประชุมของเหตุปัจจัยมากมายหลายอย่างอันเกินวิสัยที่ปุถุชนจะนึกคาดเดาเอาได้ ..แต่ได้มีท่านผู้รู้รวบรวมเพื่อง่ายแก่การศึกษาและเข้าใจ จึงขอเชิญให็ศึกษาได้ที่ link นี้ครับ...

หลักการให้ผลของกรรมโดยพิสดาร-- พระเทพวิสุทธิกวี
http://larndham.org/index.php?/topic/23 ... ge__st__16

ดังนั้น แม้ในปัจจุบัน ป้าเป็นคนดีมาก แต่ต้องรับทุกข์ด้วยเรื่องต่างๆนั้นก็ย่อมมีได้เพราะอำนาจของบาปเก่าที่มีกำลังมาส่งผลให้เสวย เป็นบาปเก่าหลายอย่างที่หนุนเนื่องกันมา ดังจะขอกล่าวคร่าวๆให้ทราบเพื่อความเข้าใจพอเป็นแนวทาง..

อ้างคำพูด:
งานบุญนี่แกไม่เคยขาดเลย เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก นี่ป้าแกช่วยหมด ตามกำลังที่แกมี มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องได้ทำบุญทุกครั้ง ไม่ว่าจะศาสนาไหนก้อตาม ถ้ามาให้แกช่วย นี่แกช่วยเต็มที่


ตรงนี้ แสดงว่าป้าเป็นผู้มีอุปนิสัยสั่งสมมาในการขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นมาแต่อดีตชาติแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดเฉพาะในชาติปัจจุบันเท่านั้นก็หาไม่ เพราะผู้ไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้คงไม่มีความขวนขวายในการช่วยใครๆได้ต่อเนื่องแน่ๆ อาจช่วยเพียงสองครั้งก็เลิกแล้วเป็นต้น..

อ้างคำพูด:
สามีแกมีเมียน้อย แกจับได้ก็เลยเลิกกัน สามีไปแต่งงานใหม่ ไม่เคยส่งเสียเงินทองช่วยเหลือแกเลย ทิ้งภาระให้แกต้องดูแลลูกทั้งสองคนเอง


การที่ต้องแตกแยกในชีวิตคู่ คนรักนอกใจนี้ มาจากบาปเก่าคือการที่เคยล่วงศีลข้อกาเมฯมาก่อน ในชาติใดชาติหนึ่งที่ผ่านมา นี้เป็นเศษกรรมเท่านั้น เพราะผลโดยตรงคือไปเกิดในนรก..และการที่ต้องรับภาระเลี้ยงลูกตามลำพังก็ด้วยอำนาจบาปเก่าจากการที่เคยล่วงศีลข้อ๒มา จึงต้องดิ้นรนเพื่อแบกภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกด้วยความลำบากแสนเข็ญ..หรือเพราะความตระหนี่ไม่มีก่รให้ทานมาก่อน ก็มีผลให้ต้องอับจนไม่รุ่งเรืองด้วยทรัพย์ก็เป็นได้..

อ้างคำพูด:
ด้วยความที่แกต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลลูก ลูกทั้งสองคนของป้าแกก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ช่วยทำงานทำการ เอาแต่เที่ยว ขอเงินใช้ทุกวัน


เหตุใกล้ในปัจจุับันคือป้าไม่มีเวลาอบรมลูก ลูกจึง"เสียคน"ด้วยอาการดังที่เล่ามา แต่เหตุไกลคือ ป้าเองได้เคยเกเรกับพ่อแม่ด้วยอาการคล้ายๆกับลูกในปัจจุบัน หรือทำความหนักใจแก่พ่อแม่มาด้วยอาการต่างๆ..การส่งผลของกรรม หรือวิบากนั้นจะมีลักษณะคล้ายๆกับอาการที่ตนเคยทำกรรมมาแล้ว

อ้างคำพูด:
ไม่รู้จะทำยังไงดี ถึงจะใช้หนี้กรรมหมด อยากให้ลูกชายและลูกสาว กลับมาเป็นคนดีเหมือนคนอื่นเขามั่ง


การที่ใครจะดีได้นั้น ไม่อาจเกิดขึ้นเพราะความอยากของใครอื่น แต่ต้องเกิดจากความอยากดีของตนเองเท่านั้น....

คนที่เคยสั่งสมสันดานพาลมานั้นแม้จะแก้ไขได้ก็ด้วยเหตุปัจจัยคือ ..
๑.เคยมีบุญเก่าสั่งสมมาดี ๒.พบกัลยาณมิตร มีโอกาสพบพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ๓. มีศรัทธา ๔.ตั้วตนไว้ชอบ


นอกจากเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว ก็ยากจะแก้ไขได้ มีแต่จะไปสู่ทางเื่สื่อมอย่างเดียว..

จึงควรอธิบายให้ป้าเข้าใจว่า เพราะสิ่งทั้งปวงไหลมาจากปัจจัยทั้งสิ้น ก็ปัจจัยทั้งหลายนั้นมิได้อยู่ในอำนาจ การบังคับบัญชาอะไรของใครในที่ใหนๆ ไม่ได้มีอะไรเกิดเองได้โดยปราศจากเหตุเลยแม้สักสิ่งเดียวก็เหตุปัจจัยเหล่านั้น มาจากกรรมและกิเลสของสัตว์แต่ละตัวตนนั่นเทียว ใครอื่นจะช่วยใครได้ย่อมไม่มีอย่างแท้จริง ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ของตน ที่จะพาตนรอดพ้นจากนรกอบายภูมิ และก็ตนเท่านั้นที่จะสามารถพาตนพ้นจากสังสารทุกข์ได้ แม้คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นเพียง"ปัจจัยภายนอก" ที่ไม่อาจพาใครพ้นทุกข์ได้เพียงเพราะได้ฟังมา แต่ปัจจัยภายนอกนี้ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดปัจจัยภายในต่างๆเกิดขึ้นได้เช่น ศรัทธา วิริยะ ตลอดจนถึงการปฏิบัติอย่างจริงจังอันจะเป็นการทำเหตุเพื่อผลที่ประสงค์ได้ในที่สุด..ดังนั้น ป้าจึงต้องวางใจให้ถูกเรื่องลูกว่า แม้เราปรารถนาให้เขาเป็นคนดี ทว่าเขาเป็นไม่ได้ เราก็หาได้เป็นคนทำให้เขาเสียคนไม่ เขาเองต่างหากทำตัวเอง สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของเฉพาะตนจริงๆ แม้เขาชั่วก็หาได้เป็นเหตุให้เราไปนรกไม่ แต่หากใจเราเสียเศร้าสลดเพราะเขานี่สิ กลับเป็นบาปใหม่ที่จะคร่าเราไปนรกเอง แล้วพึงวางอุเบกขาเสีย...

หากคุณใหญ่รู้จักลูกๆของป้า ก็ลองสงเคราะห์หาหนังสือธรรมะไปฝาก หรือจะส่งชื่อที่อยู่ไปยังผู้บริจาคหนังสือธรรมะตามเว็บธรรมะก็ได้ เผื่อเขามีบุญพอ อาจช่วยได้ในแง่นี้..ก็หวังว่าจะไม่ตกไปเป็นเหยื่อของธรรมะปลอมๆ ที่เหล่าคนพาลกำลังหมกมุ่นย่ำยีพระธรรมอย่างไม่กลัวนรกกันอย่างแพร่หลายในเวลานี้ ขออุเบกขาว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนจริงๆ..

อ้างคำพูด:
จะให้แกมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิเดินจงกรม คงเป็นไปไม่ได้ เพียงลำพังแค่เวลาจะนอนพักผ่อน ยังไม่มีเลย


ศาสนาพุทธนั้นมีดีอยู่มากมายหลายประการ อย่างหนึ่งคือการสอนสิ่งเป็นจริงขั้นปรมัตถ์ เช่น จิตที่เป็นไปกับทาน ศีล และภาวนาเป็นจิตที่เป็นกุศล..กุศลคือสภาพที่ผ่องใส ดังนั้น หากป้าสามารถประพฤติศีลได้ซึ่งไม่ต้องเสียเงินหรือต้องตระเวณหาที่เพื่อปฏิบัติที่ใหน ป้าก็ได้ชื่อว่ากำลังเจริญกุศลเนืองๆหรือทั้งวันได้ ทั้งการที่ป้าขวนขวายช่วยใครๆก็จักเป็น๑ในบุญยกิริยาวัตถุ๑๐แล้วอย่างหนึ่ง นี่ก็เป็นกุศลอีก แสดงว่าป้าก็ทำกุศลอยู่แล้ว..กุศลมีให้ทำได้ถึง๑๐อย่าง จึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจแก่ป้าเลย

บุญยกิริยาวัตถุ๑๐

1. ทานมัย การให้ทาน
2. ศีลมัย การักษาศีล
3. ภาวนามัย การอบรมจิตใจ
4. อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน
5. เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น
6.ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ
7. ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม
9.ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม
10. ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรง

ขอความมีเมตตากรุณาในจิตของคุณใหญ่ปกปักรักษาคุณใหญ่ให้มีความสุขเกษมปลอดภัย ได้รับความอุปถัมภ์ในที่ทั้งปวงในทุกกาล และสามารถเจริญยิ่งในพระธรรมที่ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเทอญ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 15 มิ.ย. 2010, 13:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณใหญ่

อ้างคำพูด:
"กรรมนั้นจะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อได้ชดใช้กรรมนั้นแล้วเท่านั้น"


คุณใหญ่เข้าใจถูกต้องแล้ว ...เรื่องแก้กรรมนั้นในทางปฏิบัติมีได้วิธีเดียวคือการได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน(ตาย)เท่านั้น ทีนี้ สำนวนว่าแก้กรรมนั้น หมายถึงการทำกรรมที่จะส่งวิบากตรงข้ามกับวิบากที่กำลังได้รับอยู่ อันเป็นความทุกข์ร้อน พูดง่ายๆคือทำกุศลเพื่อให้ได้รับวิบากดีๆมา"เบียดแซง"การให้ผลของบาปเก่าซึ่งทำได้ หากกุศลใหม่นี้มีกำลังพอ..นะครับ :b48: :b49: :b50:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ว่ากันว่าแก้กรรมน่ะทำไม่ได้หรอกค่ะแต่ลดทอนได้ด้วยบุญ ยังไงก็ต้องใช้กรรมให้หมดแล้วไม่ก่อเพิ่มก็เป็นอันจบในกรรมๆนั้น กรณีของป้าแกก็เคยเป็นลูกที่ไม่ดีมาก่อนน่ะค่ะชาตินี้ก็มาใช้หนี้ ป้าแกขยันและไม่ติดใจเอาโทษอะไรกับลูกนั่นก็เป็นการช่วยตัดกรรม แถมชาตินี้ยังสะสมบุญก็เป็นผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้านั่นแหละค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความรู้ด้วยน่ะค่ะ
คุณ dd - คุณศรีสมบัติ


อ้างคำพูด:
คุณใหญ่เข้าใจถูกต้องแล้ว ...เรื่องแก้กรรมนั้นในทางปฏิบัติมีได้วิธีเดียวคือการได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน(ตาย)เท่านั้น ทีนี้ สำนวนว่าแก้กรรมนั้น หมายถึงการทำกรรมที่จะส่งวิบากตรงข้ามกับวิบากที่กำลังได้รับอยู่ อันเป็นความทุกข์ร้อน พูดง่ายๆคือทำกุศลเพื่อให้ได้รับวิบากดีๆมา"เบียดแซง"การให้ผลของบาปเก่าซึ่งทำได้ หากกุศลใหม่นี้มีกำลังพอ..นะครับ


แล้วการที่พระท่านสอนว่า การสวดมนต์การนั่งสมาธินั้น
จะช่วยให้กรรมนั้นทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้าเราหยุด
กรรมนั้นก็จะเกิดผล ถ้าเรานั่งสมาธิสวดมนต์
จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อนั้น..ถือว่ากรรมนั้นไม่สามารถจะทำอะไรเราได้

คุณ dd - คุณศรีสมบัติคุณ2คน

พอจะอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังหน่อยได้มั๊ยค่ะ :b8:

คำถามของเราถ้าคุณงงๆ คุณถามเราอีกครั้งก็ได้น่ะค่ะ
เพราะเรื่องภาษานี่ บางครั้งไม่ได้คุยภาษาไทยบ่อย
เราก็งงๆกับตัวเองเหมือนกันค่ะ :b41: :b55: :b45: :b38: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby:

อ้างคำพูด:
แล้วการที่พระท่านสอนว่า การสวดมนต์การนั่งสมาธินั้น
จะช่วยให้กรรมนั้นทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้าเราหยุด
กรรมนั้นก็จะเกิดผล ถ้าเรานั่งสมาธิสวดมนต์
จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อนั้น..ถือว่ากรรมนั้นไม่สามารถจะทำอะไรเราได้


สวัสดีท่าน bbbyที่เคารพ ... อิ่มใจกับความเมตตาที่ท่านbbbyเลี้ยงลูกนกมากๆๆๆนะครับ ถือโอกาสตรงนี้อนุโมทนาด้วยอย่างมากๆๆๆๆนะขอรับ :b8: :b8: :b8: โอ้ ปลื้มแบบขนลุกเลยทีเดียวนะนี่ ...:b4: :b4: :b12: :b12: :b35: :b35: :b35: :b8: smiley cool tongue ..


หลักการคือ สิ่งทั้งปวงย่อมไหลมาแต่เหตุ ..หลักต่อมาคือ สิ่งทั้งหลายไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยเพียงอย่างใดแต่อย่างเดียว ตามคำสอนในพระพุทธศาสนาไม่มีอะไรเกิดด้วยเหตุเดียว จึงตัดปัญหาที่ว่า มีอะไรๆบันดาลให้เกิดอะไรๆได้โดยสิ้นเชิง..หรือทำบุญอะไรอย่างหนึ่งแล้วแก้ได้ทุกโรค ขจัดภัยทุกอย่าง อันนี้ไม่มีและเป็นไปไม่ได้ครับ..

ทีนี้ คำพูดที่ท่าน bbbyยกมานั้น จึง"ไม่ถูกตรง"กับหลักการของเหตุปัจจัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย .ข้อนั้นเพราะเหตุไร...การทำสมาธิและสวดมนตร์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์มิใช่เหตุเพื่อการป้องกัน"กรรมเก่า"มิให้ส่งผลแต่ประการใด แต่เพื่อการขัดเกลากิเลส เพื่อเจริญปัญญา อบรมวิปัสสนาจนละอนุสัยกิเลสจนหมดจดจึงได้บรรลุ คือเป็นพระอรหันต์อันเป็นผลโดยตรงของการกระทำนั้น......ส่วนกรรมเก่าที่ทำไปแล้ว ผลยังมีอยู่มิได้หายปิ๊งไปพร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งอรหัตผลไม่.. เพียงแต่รอปัจจัยที่เหมาะสมที่จะส่งผลเท่านั้น..ตราบที่ท่านผู้นั้นยังไม่สิ้นชีวิต.....ก็ถ้ากรรมเก่าไม่อาจส่งผลได้ในขณะปฏิบัติอย่างที่ยกมานั้น เหตุไฉนเลยพระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะผู้ทรงสละราชสมบัติออกบวชจึงต้องทรงประสบทุกข์ในการปฏบัติจนแทบสิ้นพระชนม์คือการบำเพ็ญทุกข์กิริยา นั้นเล่า นั่นกมาจากบาปเก่ามิใช่หรือจึงทรงต้องทำเช่นนั้น...แม้พระสาวกมากรูปก็ยังผจญผลของบาปเก่าในขณะปฏิบัติธรรมในลักษณะต่างๆ ดังจะยกตัวอย่างที่ชัดเจน คือเรื่องพระจักขุบาลจากพระไตรปิฎกมาเพื่อรองรับคำอธิบายว่า การปฏิบัติแม้จนเป็นพระอรหันต์ก็หาได้ระงับหรือป้องกันผลกรรม(ชั่ว)ไม่..ดังนี้..(คัดบางส่วน) อ่านเต็มที่นี่ครับ:http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=1......

อ้างคำพูด:
พระมหาปาละถือเนสัชชิกธุดงค์
ในวันจำพรรษา๑- พระเถระเรียกภิกษุเหล่านั้นมา (พร้อมกัน) แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจักให้ไตรมาสนี้น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถเท่าไร?”
ภิกษุทั้งหลายเรียนตอบว่า “จักให้น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถครบทั้ง ๔ ขอรับ.”
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นสมควรละหรือ? เราทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาทไม่ใช่หรือ? เพราะเราทั้งหลายเรียนพระกรรมฐานมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่. แลธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันคนมักอวดไม่สามารถจะให้ทรงยินดีได้, ด้วยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น อันคนมีอัธยาศัยงาม (จำพวกเดียว) พึงให้ทรงยินดีได้, และขึ้นชื่อว่าอบายทั้ง ๔ เป็นเหมือนเรือนของตัวเองแห่งคนผู้ประมาทแล้ว, ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
ภ. ก็ท่านเล่า ขอรับ.
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักให้ (ไตรมาสนี้) (น้อม)ล่วงไปด้วยอิริยาบถ ๓, จักไม่เหยียดหลัง.
ภ. สาธุ ขอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ขอรับ.
____________________________
๑- วสฺสปนายิกทิวเส

จักษุของพระมหาปาละพิการ
เมื่อพระเถระไม่หยั่งลงสู่นิทรา, เมื่อเดือนต้นผ่านไปแล้ว, โรคในจักษุก็เกิดขึ้น. สายน้ำไหลออกจากตาทั้ง ๒ ข้าง เหมือนสายน้ำอันไหลออกจากหม้ออันทะลุ. ท่านบำเพ็ญสมณธรรมตลอดราตรีทั้งสิ้นแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น เข้าห้องนั่งแล้ว. ในเวลาภิกขาจาร ภิกษุทั้งหลายไปสู่สำนักของพระเถระเรียนว่า “เวลานี้เป็นเวลาภิกขาจาร ขอรับ.” พระเถระตอบว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถือบาตรและจีวรเถิด” ดังนี้แล้ว ให้เธอทั้งหลายถือบาตรและจีวรของตนออกไปแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายเห็นตาทั้งสองของพระเถระนองอยู่ จึงเรียนถามว่า “นั่นเป็นอะไร ขอรับ”
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ลมแทงตาของข้าพเจ้า.
ภ. ท่านขอรับ หมอปวารณาเราไว้ไม่ใช่หรือ? เราควรบอกแก่เขา.
ถ. ดีละ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.

หมอปรุงยาให้หยอด
เธอทั้งหลายจึงได้บอกแก่หมอ. เขาหุงน้ำมันส่งไปถวายแล้ว. พระเถระเมื่อหยอดน้ำมันในจมูก นั่งหยอดเทียวแล้วเข้าไปภายในบ้าน.
หมอเห็นเรียนถามว่า “ท่านขอรับ ได้ยินว่า ลมแทงตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือ?”
ถ. เออ อุบาสก.
ม. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันแล้วส่งไป (ถวาย) ท่านหยอดทางจมูกแล้วหรือ?
ถ. เออ อุบาสก.
ม. เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ขอรับ.
ถ. ยังแทงอยู่ทีเดียว อุบาสก.

พระมหาปาละนั่งหยอดยา
หมอคิดฉงนใจ “เราส่งน้ำมันเพื่อจะยังโรคให้ระงับได้ด้วยการหยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไปถวายแล้ว, เหตุไฉนหนอแล โรคจึงยังไม่สงบ?” จึงเรียนถามว่า “ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด.”
พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้หมอซักถามอยู่ ก็ไม่พูด.
หมอนึกว่า “เราจักไปวิหารดูที่อยู่เอง” ดังนี้แล้ว กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ไปเถิด ขอรับ” ผละพระเถระแล้ว ไปสู่วิหารดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นแต่ที่จงกรมและที่นั่ง ไม่เห็นที่นอน จึงเรียนถามว่า “ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด" พระเถระได้นิ่งเสีย. หมออ้อนวอนซ้ำว่า “ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้น, ธรรมดา สมณธรรม เมื่อร่างกายยังเป็นไปอยู่ ก็อาจทำได้, ขอท่านนอนหยอดเถิด.”

พระมหาปาละปรึกษากรัชกาย
พระเถระตอบว่า “ไปเถิด ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าจักปรึกษาดูก่อนแล้ว จึงจักรู้.” ก็ในที่นั้นไม่มีญาติสาโลหิตของพระเถระเลย ท่านจะพึงปรึกษากับใครเล่า? ถึงอย่างนั้น ท่านปรึกษากับกรัชกาย๑- อยู่ดำริว่า “แน่ะ ปาลิตะผู้มีอายุ ท่านจงว่ามาก่อน, ท่านจักเห็นแก่จักษุหรือจักเห็นแก่พระพุทธศาสนา, ก็ในสังสารวัฏอันมีที่สุดอันใครตามค้นไปก็รู้ไม่ได้ การคณนานับตัวท่านผู้บอดด้วยจักษุหามีไม่, และพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ล่วงไปหลายร้อยหลายพันพระองค์แล้ว ในพระพุทธเจ้าเหล่านั้น พระพุทธเจ้าแม้แต่พระองค์เดียวก็กำหนดไม่ได้, ท่านได้ผูกใจไว้เดี๋ยวนี้เองว่า “จักไม่นอน จนตลอด ๓ เดือนภายในฤดูฝนนี้; เหตุฉะนั้น จักษุของท่านฉิบหายเสียหรือแตกเสียก็ตามเถิด ท่านจงทรงแต่พระพุทธศาสนาไว้เถิด อย่าเห็นแก่จักษุเลย”
เมื่อกล่าวสอนภูตกาย ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :-
“จักษุที่ท่านถือว่าของตัว เสื่อมไปเสียเถิด หูก็
เสื่อมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด,
แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็เสื่อมไปเสียเถิด, ปาลิตะ
เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัว
ทรุดโทรมไปเสียเถิด, หูก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, กาย
ก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัย
กายนี้ ก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่าน
จึงประมาทอยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัวแตกไปเสียเถิด,
หูก็แตกไปเสียเถิด, รูปก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด,
แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ก็แตกไปเสียเถิด, ปาลิตะ
เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่.”
____________________________
๑- แปลว่า กายอันเกิดแต่ธุลีมีในสรีระ

หมอเลิกรักษาพระมหาปาละ
ครั้นพระเถระให้โอวาทแก่ตนเองด้วย ๓ คาถาอย่างนี้แล้ว ได้นั่งทำนัตถุกรรม๑- แล้วจึงเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต หมอเห็นแล้วเรียนถามว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านทำนัตถุกรรมแล้วหรือ?”
ถ. เออ อุบาสก.
ม. เป็นอย่างไรบ้าง ขอรับ.
ถ. ยังแทงอยู่เทียว อุบาสก.
ม. ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด ขอรับ.
พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้อันหมอถามซ้ำ ก็ไม่พูดอะไร.
ขณะนั้น หมอกล่าวกะท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ทำความสบาย ตั้งแต่วันนี้ ขอท่านอย่าได้กล่าวว่า ‘หมอผู้โน้นหุงน้ำมันให้เรา’ แม้ข้าพเจ้าก็จักไม่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าหุงน้ำมันถวายท่าน.”
____________________________
๑- คือเป่าน้ำมัน

พระเถระเสียจักษุพร้อมกับการบรรลุพระอรหัต
พระเถระถูกหมอบอกเลิกแล้ว กลับไปสู่วิหาร ดำริว่า “ท่านแม้หมอเขาก็บอกเลิกแล้ว ท่านอย่าได้ละอิริยาบถเสียนะ สมณะ” แล้วกล่าวสอนตนด้วยคาถานี้ว่า
“ปาลิตะ ท่านถูกหมอเขาบอกเลิกจากการรักษา
ทิ้งเสียแล้ว เที่ยงต่อมัจจุราช ไฉนจึงยังประมาทอยู่เล่า?”
ดังนี้แล้ว บำเพ็ญสมณธรรม.
ลำดับนั้น พอมัชฌิมยามล่วงแล้ว, ทั้งดวงตา ทั้งกิเลส ของท่านแตก (พร้อมกัน) ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน. ท่านเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสก๑- เข้าไปสู่ห้องนั่งแล้ว.


..

อ้างคำพูด:
บุรพกรรมของพระจักขุปาลเถระ
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง” ดังนี้แล้ว (ตรัสเล่าเรื่องว่า)
ในอดีตกาล ครั้นพระเจ้าพาราณสีดำรงราชย์อยู่ในกรุงพาราณสี หมอผู้หนึ่งเที่ยวทำเวชกรรมอยู่ในบ้านและนิคม เห็นหญิงทุรพลด้วยจักษุคนหนึ่ง จึงถามว่า “ความไม่ผาสุกของท่านเป็นอย่างไร”?
หญิงนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่แลเห็นด้วยดวงตา.”
หมอกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจักทำยาให้แก่ท่าน”
ญ. ทำเถิด นาย.
ม. ท่านจักให้อะไรแก่ข้าพเจ้า?
ญ. ถ้าท่านอาจจะทำดวงตาของข้าพเจ้าให้กลับเป็นปกติได้, ข้าพเจ้ากับบุตรและธิดา จักยอมเป็นทาสีของท่าน.
ม. รับว่า “ดีละ” ดังนี้แล้ว ประกอบยาให้แล้ว. ดวงตากลับเป็นปกติ ด้วยยาขนานเดียวเท่านั้น.
หญิงนั้นคิดแล้วว่า “เราได้ปฏิญญาแก่หมอนั้นไว้ว่า ‘จักพร้อมด้วยบุตรธิดา ยอมเป็นทาสีของเขา’ ก็แต่เขาจักไม่เรียกเราด้วยวาจาอันอ่อนหวาน เราจักลวงเขา.” นางอันหมอมาแล้ว ถามว่า “เป็นอย่างไร? นางผู้เจริญ” ตอบว่า “เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้าปวดน้อย เดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน.”
หมอคิดว่า “หญิงนี้ประสงค์ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร ความต้องการของเราด้วยค่าจ้างที่หญิงนี้ให้แก่เรา มิได้มี, เราจักทำเขาให้จักษุมืดเสียเดี๋ยวนี้” แล้วไปถึงเรือนบอกความนั้นแก่ภรรยา. นางได้นิ่งเสีย. หมอนั้นประกอบยาขนานหนึ่งแล้วไปสู่สำนักหญิงนั้น บอกให้หยอดว่า “นางผู้เจริญ ขอท่านจงหยอดยาขนานนี้.” ดวงตาทั้งสองข้างได้ดับวูบแล้วเหมือนเปลวไฟ.
หมอนั้นได้ (มาเกิด) เป็นจักขุปาลภิกษุแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำแล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลังๆ. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ย่อมตามผู้ทำไป เหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัท (คือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า) ตัวเข็นธุระไปอยู่”
ครั้นตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ได้ตรัสพระคาถานี้สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว ด้วยพระราชลัญจกรว่า
๑. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ.
“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ, ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี
ทำอยู่ก็ดี, ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น
ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น.”


มีตัวอย่่างเรื่องพระสาวกของพระพุทธเจ้าหลายองค์ที่ปฏิบัติกิจเพื่อความเป็นพระอรหันต์แต่ก็ยังถูก วิบากจากบาปเก่าเบียดเบียนได้ในเวลานั้น..เช่นพระพาหิยะ กรรมเก่าแรงมากจนถึงกับตัดรอนชีวิตทันทีหลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์ทีเดียว อ่านเรื่องที่นี่ครับ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7555...

ท่าน bbbyคงพอได้แนวทางเกี่ยวกับคำตอบบ้างแล้วนะครับ :b12: :b12: :b44: ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2010, 12:57
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากข้อความด้านบนตามที่ผมปฏิบัติตามแนวทางการสร้างบารมีแนวใหม่ สายสัญญาบารมีถ้าใครที่มีปัญหาหรือมีเรื่องราวต้องทุกข์หนักจะมีวิธีการแก้ปัญหาคือ
๑. ปฏิบัติตัวโดยการดับล้างอวิชชา กิเลสออกจากสังขารวิญญาณแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วมีการลงองค์พระธรรมเพื่อเป็นการเสริมบารมีของเราให้สูงขึ้นจนพ้นจากกรรม
๒. ทำสังฆทานเพื่ออุทิส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเพราะถ้ากุศลนั้นมากพอเจ้ากรรมนายเวรนั้นก็จะไม่สนองอีกต่อไป
ทางที่ดีควรทำสองข้อพร้อมกันซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า เป็นการสร้างบารมีเพื่อหนีกรรม จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา ที่เล่าสู่กันฟังก็เพราะเคยเห็นว่ามีผู้เคยทำและสำเร็จมาแล้ว อย่างไรก็ลองพิจารณาดูนะครับอาจเป็นประโยชน์บ้างhttp://www.sysunya.com/index.php


แก้ไขล่าสุดโดย sysunya เมื่อ 03 ธ.ค. 2010, 11:23, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนท่าน...bbby (ไม่รู้อ่านออกเสียงยังไง..ไม่ค่อยถนัดภาษา) :b13:
ความจริง ท่าน dd ได้ให้คำตอบคุณ bbby สำหรับเรื่องกรรมถูกต้อง ครอบคลุม แล้ว
ด้วยความเคารพขอเสริม..ตามภูมิปัญญาแบบชาวบ้านๆ ครับ
....การสวดมนต์ นั่งสมาธิ..หรือการทำกุศลกรรมใดๆ..การปฏิบัตินั้นเป็นกุศลอยู่แล้ว..และมีอานิสงส์คือความสงบ เย็น..จนถึงได้ปัญญา..สามารถแก้กรรมหรือตัดกรรมได้หรือ??...เพราะผู้ปฏิบัตินั้นมีกรรมเก่าทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมกันทุกคน...แก้หรือตัดกรรมเก่านั้นคงไม่ได้แน่...แต่ถ้าวันนี้เรา
ได้สร้างแต่กุศลกรรม(เติม..เพิ่ม..เสริม..กรรมดีเรื่อยๆ)...เชื่อว่าวิบากกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลที่เรากลัวๆอยู่นี่...อาจจะยังไม่ส่งผล..เพราะกรรมดีฝ่ายกุศลนั้นทั้งอดีตก็มีเกื้อหนุนอยู่แล้ว..แถมปัจจุบันก็ยังสร้างเสริมความดีเรื่อย ๆ วิบากกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลเลยส่งผลมาไม่ทัน เหมือนกับเราวิ่งไปไกลแสนไกลแต่อีกคนหนึ่งตามเราไม่ทัน แต่สรุปเมื่อเราหยุดเขาก็จะตามทันอยู่ดี
ท่านพระพุทธทาสกล่าวว่า การล้างบาป - การยกเลิกกรรม ทำได้แต่โดยการกระทำให้ถูกต้องตามกฎอิทัปปจยะตา (มีสิ่งนี้เกิดสิ่งนั้นจึงเกิด) มิใช่โดยพิธีรีตอง หรือ อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ๋ใด ๆ
การสิ้นแล้วซึ่งอาสวะ กิเลสตัณหาทั้งปวง การไม่กลับมาเกิดอีก นั่นถือว่ากรรมนั้นได้หมดสิ้นแล้ว
หวังว่าคงจะได้รับความเข้าใจบ้างน่ะครับ
ด้วยความเคารพ
ขอเจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 15 มิ.ย. 2010, 16:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรียนท่าน...bbby (ไม่รู้อ่านออกเสียงยังไง..ไม่ค่อยถนัดภาษา)


ไม่ใช่เป็นคำอ่านหรอกค่ะ :b1: คือตอนที่สมัครเป็นสมาชิก
ใช้ชื่ออะไรๆ ก็มีผู้ที่ใช้ชื่อนี้แล้วทั้งนั้นเลยค่ะ
ก็เลยพิมพ์ๆไป ปรากฎว่าชื่อนี้ผ่าน
ก็เลยใช้ชื่อนี้เลยค่ะ :b1:


อ้างคำพูด:
สวัสดีท่าน bbbyที่เคารพ ... อิ่มใจกับความเมตตาที่ท่านbbbyเลี้ยงลูกนกมากๆๆๆนะครับ ถือโอกาสตรงนี้อนุโมทนาด้วยอย่างมากๆๆๆๆนะขอรับ โอ้ ปลื้มแบบขนลุกเลยทีเดียวนะนี่ ...


ถ้างั้นเราขอความคิด เห็นเรื่องนี้ต่อเลยน่ะค่ะ
พอหลังจากที่นกตัวนี้เค้าบินเก่งแล้ว เค้าก็หายไปประมาณ1อาทิตย์
แล้วจู่ๆ เย็นวันหนึ่งช่วง6โมงเย็น เราก็เดินดูผักอยู่ (ช่วงนั้นเราปลูกผัก)
ก็มีเสียง จิ๊บๆ ดังหลายครั้ง ที่ต้นมะละกอ
เราก็หันไปมอง เราก็เห็นนกตัวนี้มองมาที่เรา
เราก็พูดว่า "ใช่จิ๊บๆลูกแม่หรือปล่าวๆ"

เราก็เดินไปดูใกล้ๆ เค้าก็ไม่บินหนี เราก็ยื่นมือไป
แล้วพูดว่า "มาหาแม่ลูกๆแม่คิดถึงหนู" เค้าก็กระโดดมาเกาะที่มือค่ะ
แล้วเค้าก็คุยจิ๊บๆอย่างเดียวเลยค่ะ ความรู้สึกของเราตอนนั้น

เราคิดว่า เค้าคงคุยให้ฟัง ถึงเรื่องที่เค้าได้ไปท่องเที่ยวมา ให้ฟังน่ะค่ะ
ทีนี้พวกนกกระจิ๊บ ที่เกาะอยู่บนสายไฟด้านบน ประมาณ10กว่าตัว
ก็ส่งเสียงเรียกเค้าเสียงดังค่ะ

เราก็พูดกับนกจิ๊บๆของเราว่า "วันนี้หนูอย่าเพิ่งกลับเลยน่ะ หนูนอนค้างคืนคุยกับแม่ก่อน
พรุ่งนี้ค่อยไปกับเพื่อน แม่คิดถึงหนู"

พอเราพูดจบ นกตัวนี้ก็หันหน้าไปที่กลุ่มนก แล้วก็ส่งเสียง จิ๊บๆโต้ตอบกัน
พอซักพัก นกกลุ่มนั้นก็บินไป
แฟนของเราซึ่งยืนดูอยู่งงค่ะ!
พูดคำว่า "มีอย่างนี้ด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไง?ไม่น่าเชื่อ" (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากับแฟนไม่คุยกัน)

แล้วนกเค้าก็คุยอย่างเดียวค่ะ แล้วก็เล่นกับลูกสาวเรา
วิธีเล่นของเค้าคือ เวลาเอานิ้วไปเขี่ยที่ปากของเค้า เค้าจะอ้าปาก
แล้วเหมือนจะงับที่นิ้วน่ะค่ะ เวลาเล่นกับเค้าจะสนุกดีค่ะ :b1:

เวลาที่เราร้องเพลงสวดมนต์ แล้วใช้นิ้วไปลูบที่ขนของเค้า
เค้าจะนอนนิ่งๆแล้วหลับตา

แล้วพอถึงวันที่เค้ามาบอกลาสิค่ะ วันนั้นหัวใจเราแทบสลายเลยค่ะ
เราตากผ้าอยู่ เค้าก็มาเกาะที่ราวตากผ้า ส่วนเพื่อนๆของเค้า เกาะอยู่ที่สายไฟด้านบน

เค้าก็พูด จิ๊บๆๆๆ ตอนนั้นความรู้สึกคือ เหมือนเค้ามาบอกว่า
เค้าจะไปที่ไกลๆ อาจจะไม่กลับมาอีก
เราก็พูดว่า "ระวังตัวเองด้วยน่ะลูก ถ้าหนูลำบาก กลับมาหาแม่น่ะ"

แล้วเพื่อนๆเค้า ที่อยู่บนสายไฟก็เรียกเค้า เค้าก็หันไปมองเพื่อน
แล้วหันมามองเรา เราก็เอาแก้มของเราไปแนบที่ตัวเค้า
แล้วบอกว่า "แม่รักหนูน่ะลูก" เค้าก็เหมือนเอาปากมาจิกที่แก้ม
แล้วก็บินไปกับเพื่อน :b2: :b2: :b2:

เหตุการณ์นี้ผ่านมา5-6ปีแล้วล่ะค่ะ เวลานึกถึงเรื่องนี้
มีทั้งสุขและมีทั้งเศร้า

คุณ dd และหลายๆท่าน คิดว่าในร่าง และหัวใจของเค้า
คือสัตว์หรือปล่าวค่ะ?

วันหลังเราจะเล่าเรื่อง ที่เราช่วยกระต่ายให้ฟังค่ะ เผื่อว่าจะเป็นข้อคิดที่ดี
ที่คิดว่าจะช่วยสัตว์ดีหรือไม่?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ทำให้เรารู้อะไรที่ดีๆค่ะ
ตอนนี้ขอคุยเรื่องกรรมต่อค่ะ :b1: :b41: :b55: :b46: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆเลยค่ะ สำหรับคำตอบของทุกๆท่าน
ทำให้เราหายสงสัยไปเลยค่ะ

ทีนี้ในความคิดของเรา เราคิดว่าถ้าอย่างนั้น การนั่งสมาธิภาวนา
คงจะช่วยได้ คือกรรมหนัก ให้เป็นกรรมเบาได้
แบบนี้ถูกหรือปล่าวค่ะ :b1:

อ้างคำพูด:
การสวดมนต์ นั่งสมาธิ..หรือการทำกุศลกรรมใดๆ..การปฏิบัตินั้นเป็นกุศลอยู่แล้ว..และมีอานิสงส์คือความสงบ เย็น..จนถึงได้ปัญญา..สามารถแก้กรรมหรือตัดกรรมได้หรือ??...เพราะผู้ปฏิบัตินั้นมีกรรมเก่าทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมกันทุกคน...แก้หรือตัดกรรมเก่านั้นคงไม่ได้แน่...แต่ถ้าวันนี้เรา
ได้สร้างแต่กุศลกรรม(เติม..เพิ่ม..เสริม..กรรมดีเรื่อยๆ)...เชื่อว่าวิบากกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลที่เรากลัวๆอยู่นี่...อาจจะยังไม่ส่งผล..เพราะกรรมดีฝ่ายกุศลนั้นทั้งอดีตก็มีเกื้อหนุนอยู่แล้ว..แถมปัจจุบันก็ยังสร้างเสริมความดีเรื่อย ๆ วิบากกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลเลยส่งผลมาไม่ทัน เหมือนกับเราวิ่งไปไกลแสนไกลแต่อีกคนหนึ่งตามเราไม่ทัน แต่สรุปเมื่อเราหยุดเขาก็จะตามทันอยู่ดี


ก็คงจะจริงน่ะค่ะ เพราะกรรมเนี่ยเค้าจะตามเราตลอด


อ้างคำพูด:
มีตัวอย่่างเรื่องพระสาวกของพระพุทธเจ้าหลายองค์ที่ปฏิบัติกิจเพื่อความเป็นพระอรหันต์แต่ก็ยังถูก วิบากจากบาปเก่าเบียดเบียนได้ในเวลานั้น..เช่นพระพาหิยะ กรรมเก่าแรงมากจนถึงกับตัดรอนชีวิตทันทีหลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์ทีเดียว อ่านเรื่องที่นี่ครับ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7555...



เรื่องนี้คล้ายๆกับ เรื่องหลวงพ่อจรัญน่ะค่ะ
ถึงแม้ท่านจะ...... (พูดไม่ถูกค่ะ ใครช่วยเติมให้เราด้วยสิค่ะ)
ท่านก็ยังหนีให้พ้นจากกรรมไม่ได้น่ะค่ะ

คือเราอยากจะคุย
แต่พูดไม่ถูกค่ะ
แล้วเราค่อยมาคุยใหม่น่ะค่ะ :b41: :b55: :b47: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby:

อ้างคำพูด:
แฟนของเราซึ่งยืนดูอยู่งงค่ะ!
พูดคำว่า "มีอย่างนี้ด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไง?ไม่น่าเชื่อ" (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากับแฟนไม่คุยกัน)


โอ้โฮ มิน่าผมจึงขนลุกเมื่ออ่านเรื่องราวของท่าน bbby และก็ขอยืมคำอุทานข้างบนของแฟนท่าน bbby มาใช้ด้วยครับ อึ้งครับ !! และ ขนลุกอีก๑ ซ่า!!! :b4: :b4: :b4:

ผมจับได้อย่างหนึ่งคือความเป็นผู้มากด้วยเมตตาอย่างแท้จริงประจำใจของคุณbbbyนั่นเอง จึงแม้แต่สัตว์ก็สัมผัสได้..อ่านเรื่องของคุณ bbbyมาหลายๆเรื่องและเห็นจุดเด่นนี้ชัดเจนครับ..ขออนุโมทนาในคุณนี้ด้วยอย่างยิ่งครับ :b8:

อ้างคำพูด:
เค้าก็พูด จิ๊บๆๆๆ ตอนนั้นความรู้สึกคือ เหมือนเค้ามาบอกว่า
เค้าจะไปที่ไกลๆ อาจจะไม่กลับมาอีก
เราก็พูดว่า "ระวังตัวเองด้วยน่ะลูก ถ้าหนูลำบาก กลับมาหาแม่น่ะ"

แล้วเพื่อนๆเค้า ที่อยู่บนสายไฟก็เรียกเค้า เค้าก็หันไปมองเพื่อน
แล้วหันมามองเรา เราก็เอาแก้มของเราไปแนบที่ตัวเค้า
แล้วบอกว่า "แม่รักหนูน่ะลูก" เค้าก็เหมือนเอาปากมาจิกที่แก้ม
แล้วก็บินไปกับเพื่อน :b2: :b2: :b2:


:b2: :b2: :b2: ขอด้วยคนครับ ซึ้งใจจนตื้นตันครับ!! :b35: :b35: :b35: :b4: :b46: :b53: :b44:

จะรอฟังเรื่องกระต่าย ช่วยเล่านะครับ เพื่อนๆหลายท่านคงสนใจ คนพิเศษๆย่อมมีเรื่องพิเศษๆให้ได้ยินได้ฟังเป็นกุศลวิบากแก่หูและตานะครับ... :b12: :b12: :b27: :b54: :b54:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณddเขียน
อ้างคำพูด:
ผมจับได้อย่างหนึ่งคือความเป็นผู้มากด้วยเมตตาอย่างแท้จริงประจำใจของคุณbbbyนั่นเอง จึงแม้แต่สัตว์ก็สัมผัสได้..อ่านเรื่องของคุณ bbbyมาหลายๆเรื่องและเห็นจุดเด่นนี้ชัดเจนครับ..ขออนุโมทนาในคุณนี้ด้วยอย่างยิ่งครับ


เหมือนกันเลยค่ะ เท่าที่เราได้อ่านข้อความ
ที่คุณddเขียน ในกะทู้อาหารเจ ทำให้เรารู้ว่า
คุณddชอบทานแกงส้ม

เพราะ คุณddจะชอบ ขอสูตรทำแกงส้มจากคุณน้ำ
ถามจริงๆเถอะค่ะ ได้ทำทานหลายครั้งหรือยังค่ะ
หรือดูรูปแล้วนึกถึงภาพค่ะ :b17: :b32: :b32: :b41: :b55: :b48:
เอาล่ะค่ะเราจะเล่าแล้วค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติของสัตว์ ส่วนใหญ่เวลาที่แก่แล้ว
จะมีปัญหาทีหู คือจะมีน้ำเหลือง

ซึ่งกระต่ายตัวเนี๊ย เค้าก็มีปัญหาแบบนี้แหละค่ะ
คือจริงๆแล้ว กระต่ายตัวนี้ เราไม่ได้อยากจะเลี้ยุงหรอกค่ะ
แต่แฟนเราซื้อมาให้ลูกๆดู
เค้ากับเราจะไม่ผูกพันธ์กันหรอกค่ะ


พอเค้ามีปัญหาที่หู เราก็จะคอยล้างหูให้เค้าทุกวัน
แต่เวลาล้างหูให้เค้า เราต้องสวดคำว่า "อามิโธโผ"
ตลอดเวลาน่ะ ถ้าหยุดเค้ากระโดดหนี

ทีนี้ มีอยู่3วัน ที่ฝนตกตกไม่หยุดเลยค่ะ เราไม่ได้ไปล้างหูให้เค้า
แค่ไปทำความสะอาด ตรงที่เ้ค้าอยู่คือใต้ท้องรถ

พอฝนหยุด เราก็เดินไปนอกบ้าน เราก็ได้กลิ่นเหม็น
เหม็นมากๆเลยค่ะ เหม็นกลิ่นน้ำเหลืองน่ะ
เรานึกถึงกระต่ายตัวนั้น

เราก็เดินหา ก็ไปเจอเค้าซุกตัว อยู่ข้างกระถางต้นไม้
โดยมีแมลงวันตัวใหญ่ๆ เกาะที่ตัวเค้าเยอะแยะเลย
คือกระต่ายนี่ยังไม่ตายค่ะ กระต่ายเค้าก็พยายาม
กระโดดหนีแมลงวันน่ะ แต่แมลงวันก็ตาม
เราเห็นแล้ว ก็รู้สึกสงสารจนบอกไม่ถูก

เราก็ไปเอา พวกน้ำยาฆ่าเชื้อมา แล้วก็อุ้มเค้าออกมา
แต่ต้องสวดคำว่า "อามิโธโฝ" นะเค้าถึงจะยอม

พอเราเปิดหูเค้า ตกใจเลยค่ะ มีแต่ตัวหนอนจนแน่นหูเลยค่ะ
ตัวอ้วน ประมาณเท่านิ้วก้อย ความยาวประมาน2ข้อนิ้วก้อย(ของนิ้วผู้หญิง)
ส่วนที่ตัว มีแต่หนอนตัวเล็กๆทั้งตัวเลย
พอเราเห็นอย่างนี้ เรายิ่งสงสารเค้ามากขึ้นไปอีก
ไม่รู้สึกขยะแขยงน่ะ


เราก็เอาคีมที่ พยาบาลใช้จับสำลีล้างแผลน่ะ
มาจับหนอนออกจากหูของเค้า (เราใส่ถุงมือน่ะ)

ทั้ง2ข้าง ประมาณ20กว่าตัว แล้วก็ใช้น้ายาล้างหูให้เค้า จนสะอาดแล้ว
ก็อาบน้ำให้เค้า 3-4ครั้ง จนเค้าสะอาดทั้งตัว
แล้วเช็ดตัวให้เค้า จนขนเค้าแห้ง ทีนี้ หน้าตาเค้า ก็ดูสบายขึ้นน่ะ

คือกระต่ายตัวนี้ เราดูเค้าแล้ว
คือวันนี้เค้าต้องตายแน่
แต่ใจเรา อยากจะให้เค้าตายแบบสบายน่ะ
ไม่อยากให้เค้าตายอย่างทรมาน :b41: :b55: :b47: :b38:

มีต่อค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร