"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ได้ยินกันบ่อย ใครพูดคำนี้แล้วรู้สึกเท่มาก
เหมือนเป็นผู้ชนะในการสนทนา ขอบคุณคะ

...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...เป็นการเตือนสติให้ทุกดวงจิตดำรงอยู่โดยไม่ประมาทต่างหากค่ะ...
...โดยทั่วไปจิตผู้ที่ถือมั่นยึดมั่นและเชื่อว่าตนเองคิดไม่ผิดมักปรามาทดูหมิ่นสิ่งอื่นๆเสมอ...

ขอบคุณในการให้ความกระจ่าง

เป็นคำพูดของคนทีีมีความเห็นผิด ..ที่มีความเชื่อในลัทธิมิจฉาทิฏฐิประการใดประการหนึ่ง แล้วกล่าวคำเช่นนี้ขึ้นเพื่อปรามคนอื่นมิให้แสดงอาการไม่เชื่อหรือดูแคลนความเชื่อของตน..ผู้ที่ได้สดับพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาดีแล้ว ย่อมสามารถแยกแยะว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือไม่เชื่อประการใดเพราะมี "ปัญญา"ที่ทราบถึงเหตุผลที่มาที่ไป มิได้"เชื่อ"ด้วยอาการงมงายหรือเขลาบอด..[/b][/color].เช่นมีการเชื่อว่าถ้าได้เข้าพิธีสะเดาะห์เคราะห์ก็จะโชคดีมีลาภ หรือ อายุยืน.. หรือหากเดินลอดใต้โบสถ์แล้วจะรวยไหว้จอมปลวกแล้วจะได้เลื่อนตำแหน่ง ดื่มน้ำจากสระบางแห่งแล้วจะโชคดี ไหว้ผีฟ้าแล้วจะมีสุขภาพดีอายุยืน..ไหว้ศาลที่นั่นที่นี่ด้วยมาลัย๗สีแล้วจะสำเร็จสมปรารถนาฯฯฯลลลฯฯฯ...เป็นต้น..

อีกประการหนึ่ง คำพูดเช่นนี้ก็เพื่อปรามมิให้ผู้ใดตั้งคำถามเพื่อทราบถึงเหตุผลที่ถูกต้องของความเชื่อนั้นๆ..เพราะเจ้าของคำพูดไม่สามารถหาคำตอบที่สมเหตุผลหรือถูกต้องแท้จริงได้นั่นเองดังนั้น เมื่อใดได้ยินคำนี้จากใคร ก็พึงทราบว่า เขาผู้นั้นมิใช่กัลยาณมิตร ควรรีบออกห่าง อย่าได้เสพข้องด้วย..เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์จากเขาแล้ว ยังจะเป็นโทษถูกกระตุ้นให้เชื่อถือหรือเข้าถึงความงมงายจนตกไปจากพระพุทธศาสนาอันเกิดได้ยากเย็นนักหนาอีกด้วย..

"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นี้ ถือว่าเป็นคำถามที่สั้นมาก
.............................................................................................
โดยมากแล้ว คำนี้ จะพูดขึ้น ต่อเมื่อ ผู้ศรัทธาใน ศาสนาอื่น ลัทธิอื่น ต้องการพูดโน้มน้าวผู้อื่น
หากมีผู้แสดงออก ไม่ยอมรับ ด้วยวาจาหรือการกระทำอะไร (ประกอบกับมีพวกพ้องอยู่น้อย)
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ผมก็ไม่อยากจะคาดเดาได้
เราอาจไม่ไดุ้ถูกสาปหรือ ไม่ได้ถูก ต้องมนต์ขลังก็ได้
แต่เราอาจได้รับภัยอย่างรุนแรงจากผู้คนต่างลัทธิ ต่างศาสนา (ก็ดันทำให้เขาโกรธ)
.................................................................................................
สำหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ หากจะ ยืนยัน ฟันธง ต่อสาธารณชน ต่อพวกเขาเหล่านั้น
แม้นว่าจะถือ ตนเอง ว่า เป็นผู้มีสัมมาทิฎฐิ ในทางศาสนาพุทธ ก็ตาม
เราเอง ก็ควรคำนึงถึงเรื่องของ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ด้วย
ควรคำนึงถึง "เวลา"
อย่าได้ประมาทใน"เวลาศึกษาธรรม" ที่คงเหลืออยู่ (มันไม่แน่นอนนัก)
เพื่อเข้าใจถึงธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ตามที่ตนเอง ประสงค์ไว้
การรู้รักษาตัวรอด (ด้วยอริยมรรค) ทำให้เรามีเวลามากพอที่จะเรียนรู้ธรรมะได้มากขึ้น
...............................................................................................
เราเอง ที่ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา อยู่นี้ ก็คง ไม่พอใจ เช่นกัน
ถ้ามีใครมา ลบหลู่ ศาสนาพุทธที่ตนนับถือ
เพียงแต่ เราเข้าใจ "แก่นพุทธ" มากน้อยเพียงไร
แยกแยะออก หรือไม่ ว่า มีศาสนาอื่นมาผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกับ พุทธ
ต่อเมื่อเรามีนิพพานแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า
นิพพานจะทำให้ี่เราจะลืมหรือ ไม่ได้ให้ความสนใจกับคำว่า "ไม่เชื่อ(ลัทธิอื่น)อย่าลบลู่"
............................................................................................................

ใครจะเท่..ใครจะชนะ..ก็ช่างมาน

เราอย่าหลงในเข้ามิจฉาทิฎฐิ..ก็เป็นพอ..

เพราะเราเองเท่านั้น..ที่จะเป็นผู้ทุกข์ผู้สุข

ขอบพระคุณเจ้าค้า สาธุเจ้า

ถ้าเราไม่สุดโต่งไปในแต่ล่ะด้าน..รับฟัง เปิดใจกว้าง เคารพต่อคนที่เราพูดด้วย...คำนี้แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย.

ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่

ตอบแบบวิภัชชวาท

ที่ว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่ออะไร สิ่งนั้นจริงหรือเท็จ

หากจริงก็ควรเชื่อ

หากไม่จริงไม่เชื่อก็ถูกแล้ว

ที่ว่าอย่าลบหลู่

ลบหลู่ว่าอย่างไร

เป็นการมุสาหรือไม่

สัมผัปปลาปหรือไม

หรือเป็นการแสดงข้อเท็จจริง

หากเป็นการเปิดเผยความจริงความถูกต้องก็ไม่ถือว่าลบหลู่

เป็นไปได้หลายเหตุ เช่น :--

- ขี้เกียจอธิบาย อธิบายแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่สนใจเหตุผล
- เจอเหตุการณ์พิเศษ เหนือธรรมชาติ อธิบายไปก็ไม่มีใครฟัง
- ไม่มีเหตุผล มีปัญญา(น้อย) อธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ เชื่อตามกันมา
เพียงแต่ต้องการปกป้อง ความเชื่อความศรัทธาของตนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น

ประการหลังนี้ เรียกว่างมงาย ในความหมายของศาสนาพุทธ
พุทธศาสนา อธิบายทุกอย่างที่เกิด-ดับ ได้ด้วยเหตุผลด้วยปัญญา

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดดับไป แล้วอธิบายด้วยเหตุผลด้วยปัญญาไม่ได้
นั่นไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา

ข้าน้อยผู้มีปัญญา(กระจิดริด) ขอโมทนาคารวะทุกท่าน

ขอบคุณคะ ขออนุโมทนากับทุกท่านทุกความเห็นเจ้าคะ