วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 02:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไฟล์วันที่ 26 มี.ค.52 หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู

ฉบับที่ 1/5

-(หลวงพ่อ)- คนบนโลกเค้าหนีตาย แต่พระพุทธองค์ท่านสอนให้หนีเกิด หนีตายมันหนีพ้นไม๊

--พระอาคันตุกะรูปหนึ่ง-- ถามท่านว่า ไม่สามารถตื่นตี 2 เพื่อมาเดินจงกรมได้

ท่านว่า หัวใจสำคัญคือตั้งแต่เราตื่นนอนจนถึงเข้านอน สติที่เป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวันคือหัวใจ พยายยามลดช่องว่างในการเผลอเพลินให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่สติกับจิตเค้าเฝ้าอยู่ด้วยกันคือการปฎิบัติธรรม พอถึงเวลาว่างก็ไปทำตามรูปแบบให้ต่อเนื่อง เหมือนแม่วัวปรายตามองลูกวัวตลอดเวลาแม้ในขณะกินหญ้า เราระลึกถึงเค้าบ่อยๆความสัมพันธ์ของสติกับจิตไม่ขาดจากกันเลย แรกๆอาจจะขลุกขลักด้วยความเคยชินที่จะส่งออกนอก ทำไปซักระยะความไวจะดีขึ้น อย่าคาดหมาย ทำไปเรื่อยๆจะแข็งขึ้น ชัดขึ้นอินทรีย์ยังอ่อนก็ให้ค่อยๆปรับเวลาตื่น

-(คำถามเสียงไม่ชัดเจน)--

ลักษณะ 2 อย่าง รู้ความคิดกับเห็นความคิด

1. รู้ความคิด
ตัวอย่าง เช่น เห็นบาตรลูกนี้สวย อยากได้ บอกตัวเอง มีอยู่แล้วเอาไปทำไม รู้ว่าเป็นกิเลสแต่เอา สนองกิเลส รู้ว่าเป็นกิเลสแต่ไม่มีอำนาจจะต้านมันได้

2. เห็นความคิด(ตัวอย่างเดิม) สามารถตัดความอยากได้นั้น ไม่อาลัยอาวรณ์

ถามว่าอันไหนเป็นเหตุปัจจัยปัญญา รู้ความคิดคือสติอ่อน รู้เฉยๆแต่ไม่มีกำลังจะดึง แต่ถ้าเรามีสติมั่นมันจะตัดได้เลย เราเจริญสติมากเข้าเราไม่รู้ตัว มันจะค่อยๆสะสม พอถึงขั้นสติกล้าแข็ง เห็นปั๊ปตัดปุ๊ปเลย

แรกๆให้อยู่กับกายมากๆ แต่แนะนำให้ตัดบริกรรมออก บางครั้งไปคิดใต้พุทโธก็มี คนกลางทางโลก,ทางธรรมไม่ดีทั้งสิ้น ถ้าใครไหวทันจะรู้ว่าพาเข้าถึงตัวสติตรงๆเลย ตรงรู้ตัวคือมีสติ พอรู้ทันมันว่างแวบนึง ทำไปเรื่อยๆ(อุปมา)มีบึง ในบึงมีแหนอยู่ อยากรู้ว่าน้ำใสไม๊ โยนหินลงไป ว่างแวบ ถ้าเราทำจนชำนาญช่องว่างคือความไม่ปรุงจะอยู่นานขึ้นไปเรื่อยๆ แรกๆ ว่างก็ตาม รู้ก็ตาม จิตเป็นกลางก็ตามคืออันเดียวกัน ใช้คำว่า "เป็นรู้ที่มอมแมม" ทำด้วยความสม่ำเสมอ, สืบเนื่อง พระพุทธองค์ทรงย้ำเรื่องความสืบเนื่อง อย่าไปตามพฤติกรรมข้างนอก เงามันทั้งนั้น นักปฎิบัติชอบกันนัก มาเล่าสภาวะ คนฟังไม่เข้าใจคิดว่า"จิตเค้าละเอียดมาก" เงามันทั้งนั้น ไปตามมันทำไม ให้ย้อนกลับมา ท่านว่ามันไม่ใช่ตัวจิต เป็นเงาอย่าตาม ตามแล้วมันพาไปใหญ่ "จงรู้ทุกอย่าง แต่อย่าไปติดในรู้นั้น" สังเกตุความปรุงจะชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่านเน้นย้ำถึงความสืบเนื่อง

จิตของพระอรหันต์ตั้ง90องศา ไม่ให้ค่ากับ ถูกใจ ไม่ถูกใจ

-- ท่านกล่าวชมหลวงพ่อเทียน แยบคายในการสอนขยับมือ--

-- กล่าวถึงพระรูปหนึ่ง ที่หลวงพ่อมนตรีท่านเคยเมตตาต่อยอดให้15วันและเข้าถึงธรรมชาติเดิมเคยกล่าว ไว้ว่า"แท้จริงแล้วพื้นฐานของเราไม่ได้มีอะไรเลย แต่เราไปหลง" พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า"พื้นฐานจิตเรามันผ่องใสอยู่แล้ว มันไม่ขุ่นมัว กิเลสเหมือน อาคันตุกะ เราไปหลงดึงความมัวหมองคือ อวิชชา ทำจิตให้ขุ่นมัว"

--โยมผู้ชายถามท่านว่าปุถุชนซึ่งต้องมีกามคุณเข้ามาเกี่ยวข้องจะปฎิบัติอย่างไร--

-- หลวงพ่อ -- กามคุณมาจากความคิดทั้งสิ้น เราทุกข์เพราะคิดถือว่าเป็นสัจธรรม พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า"ตัณหา ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราหักเรือนยอดเจ้าไปแล้ว" คือไม่คิด ตัณหาต่างๆ ความรัก ความเกลียด ความกลัว มาจากความคิด หยุดคิดคือหยุดสังสารวัฎ เริ่มจากกระทบปั๊บกลับมาดู ห้ามคิดไม่ได้ ธรรมชาติเค้าต้องคิด เราเป็นผู้ดูเฉยๆ ใช้คำว่าสักแต่ว่า

ถ้ากลับมาดูทันมันไม่เป็นเรื่องยาว แรกๆจะใช้เวลาหน่อยต่อไปจะเห็นชัด ว่าโลกทั้งโลก สังสารวัฎอยู่ตรงสังขารการปรุงแต่งนี้เอง ถ้าไปดูปฎิจสมุปบาทซึ่งเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า..(เสียงไม่ ชัดเจน-boonga)).... อายตนะแล้วเกิดผัสสะถ้าไม่ทันผัสสะปั๊บมันเกิดเวทนาเลย สังขารปรุงภพชาติเกิดเลย จะเห็นว่ากามคุณทั้งหมดเกิดจากความคิด ถ้าเราฝึกแบบนี้เรื่อยๆได้ เป็นทางเดียวที่จะขจัดความปรุงแต่ง ท่านว่าค่อยๆทำดูนะ

--โยมผู้ชายถามถึง ประกาศจากป่าละอูที่ออกมา--

-- หลวงพ่อ --ตรงนี้จุดไคลแมกซ์ ไว้รอบ่ายโมง ให้มาพร้อมกันก่อน ที่เชิญมาเพราะเรื่องนี้ ออเดิร์ฟก่อนเรียกน้ำย่อยก่อน คุยธรรมะก่อน

--โยมผู้ชายคนหนึ่ง-- ถามท่านถึงผู้ครองเรือนที่ต้องมี กามราคะเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน หากภาวนาจะติดขัดหรือไม่

-- หลวงพ่อ -- สิ่งเหล่านี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องมองดูคนข้างเคียงด้วย จะกลายเป็นว่าภาวนาแล้วทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข ธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าเราใช้ถูกฝาถูกตัวจะเป็นการผสานชีวิตครอบครัวได้เป็น อย่างดี ท่านถามถึงภรรยา โยมตอบว่า ภาวนามาด้วยกัน

ท่านว่า ถ้าคิดคล้ายๆกันก้ไม่ยาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าเพิ่งไปตัดโลกในทันที ท่านถามว่ามีลูกหรือไม่ โยมตอบว่ามี 2 คน ท่านว่า งั้นต้องคุยกันนานหน่อยท่านถามว่าคนโตอายุเท่าไร โยมตอบ 8 ขวบครับ ท่านกล่าวว่า คุยเรื่องอื่นดีกว่า พบภาระแล้ว ท่านก็ไม่ต้องการให้ทิ้งความรับผิดชอบ "เราทำกรรมก็ต้องรับผลนั้น" ถึงเวลาที่เค้าดูแลตัวเองได้ถึงตอนนั้นก็ค่อยคิดกันต่อไป แต่ระหว่างนี้เราก็ปฎิบัติของเราไปและทำหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ ของเราด้วย การภาวนาไม่ขวางหน้าที่การงานความรับผิดชอบ ในทางตรงกันข้ามกับเกื้อกูลส่งเสริม ถ้าเรามีสติ ดีทั้งนั้น

ท่านว่า ท่านเองก็มาจากฆารวาสและเป็นผู้ครองเรือนแต่ท่านเองไม่มีบุตร ตอนอุปสมบทท่านอายุ 40 กว่าแล้ว แต่"เป็นพระแก่ที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลย" ดูแลครอบครัวเราไปขณะเดียวกันก็ให้เวลากับตัวเองด้วย รักษาความเป็นกลางของใจเราไว้ อย่าให้คะแนน เพียรทำค่อยๆสะสม มีข้อวัตร กลับไปลองเดินจงกรม ท่านเน้นเรื่องกำลังของสติเพื่อยับยั้งกิเลส กรรมฐานที่ท่านแนะนำคือการเคลื่อนไหว สติที่ได้จะทรงอยู่นานและแจ่มชัด ท่านให้ใช้ผัสสะจากคนข้างเคียง ให้เป็นประโยชน์

--ท่านถามถึงโยมคนหนึ่ง "สบายดีเหรอ"--

--โยมตอบท่านว่า"สบายดีครับ"--

-- หลวงพ่อ -- "โกหก" พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า "ทุกข์นั้นเกิดขึ้น ทุกข์นั้นตั้งอยู่ ทุกข์นั้นดับไป" ต้องตอบว่า "พอเป็นไปได้ครับ"

--โยมตอบท่านว่า "พอเป็นไปได้ครับ" (ฮา)

-- หลวงพ่อ -- ไม่มีใครสบาย ในโลกมีแต่ทุกข์ เรานั่งอยู่ก็เมื่อยขบต้องขยับแก้เมื่อย แต่เราไม่ใส่ใจ


ท่านเล่าว่ามีโยมเคยถามท่านว่า ท่านมีวันเกิดไม๊ ท่านตอบไปว่า ท่านมีแต่วันรอตาย

--พระอาคันตุกะ -- ท่านเป็นศิษย์ที่คุ้นเคยกับหลวง ปู่ดูลย์

-- หลวงพ่อ -- ท่านขัดขึ้นและกล่าวว่า ใช้คำว่า"คุ้นเคย" จะอาจเอื้อมเกินไป ท่านไม่รับ ท่านเปรียบหลวงปู่เป็นดวงจันทร์ตัวท่านเป็นหญ้าแพรก ท่านกล่าวว่าแค่เคยได้รับเมตตาเล็กๆน้อยๆจากหลวงปู่บ้างเท่านั้น

--พระอาคันตุกะ -- ในเมื่อทุกคนต้องการจะละกิเลส แต่ทำไมมาพลาด ต้องสึกไป เหมือน.....(ไม่ขอก้าวล่วง-boonga)

--ปัญญาในการรู้เห็นต่างๆในพุทธศาสนา มี 3 ระดับ
- รู้ธรรมะ
- เข้าใจธรรมะ
- เข้าถึงธรรมะ

เราจะตัดสิน จากการพูดธรรมะแตกฉานมันรู้และเข้าใจเท่านั้นแต่ยังไม่เข้าถึง ถ้าเข้าถึงแล้วไม่มีทางที่จะหลุดไปจากเส้นทางธรรมเลย อาจจะอยู่ในรอยต่อของการเข้าถึง อาจจะเห็นแต่ยังไม่เข้าถึง


- พระอาคันตุกะ-- จิตปภัสสรยังอยู่ ต้องไปแก้ตัวใหม่ชาติต่อไปใช่หรือไม่--

-- หลวงพ่อ -- การจะดูกิเลสหรือธรรมก็ตาม ต้องค้นที่จิต ถ้าเราไปแสวงหากิเลสหรือธรรมที่อื่น อีกกี่ภพกี่ชาติไม่มีวันได้เลย พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ให้มาดูเหตุให้มาดูที่จิต สรุปรวมความว่าอีกกี่ภพ กี่กัปกี่กัล ต้องมาดูที่จิต

--พระอาคันตุกะ-- อย่างนี้ก็แปลว่าถ้าเราภาวนาไม่ถึง โลกุตระ ก็มีสิทธิ์พลาดทุกชาติ ถ้าเราไม่มีกัลยาณมิตรที่ดี--

-- หลวงพ่อ -- อันนี้สำคัญมาก พระพุทธเจ้าคุยกับภิกษุว่า" การประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าเธอได้กัลยาณมิตรที่ดี การประพฤติพรหมจรรย์ของเธอจะสำเร็จตลอดสาย เธอโชคดีที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร" 42.30


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2009, 21:22
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ติดตามอ่านต่อครับ จากเนื้อความแล้ว ยังไม่จบ

รบกวน โพส ต่อนะ ครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉบับ1/5 นี้เป็นฉบับที่ลงในเวปเก่าที่ผมอยู่นะครับ แต่ผู้ดูแลท่านไม่สบายใจก็เลยโดนปิดไปตามระเบียบ ฉบับต่อจากนี้ที่ถอดเสร็จแล้วแต่อยู่ในกระบวนการตรวจทานของคุณไกรศรนะครับ ว่าผมถอดออกมาเพี้ยนไปจากความหมายเดิมไม๊

ถ้าเกิดความผิดพลาดก็เป็นเพราะผมซึ่งถอดความออกมาผิดพลาดนะครับ ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อมนตรีท่านแต่อย่างใดทั้งสิ้น ขอทำความเข้าใจแค่นี้แหละครับ



ขอบคุณครับ


แก้ไขล่าสุดโดย boonga เมื่อ 15 พ.ค. 2010, 18:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริง ฉบับ 1/5 เนี่ยครับ เป็นฉบับที่มีเนื้อหาของการดูจิตกับการดูเงาจิต น้อยมากครับ จะถึงอกถึงใจพ่อ แม่ พี่ น้อง ก็ฉบับที่3/5 ขึ้นไป ฉบับนี้มันแค่น้ำจิ้มครับ :b9:

หลวงพ่อท่านยังเมตตาเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่ท่านได้รับเมตตาจากหลวงปู่ เมื่อหลวงปู่ยอมรับการเรียนเชิญของหลวงพ่อมนตรีไปเป็นประธานในพิธีงานวันบูรพาจารย์ที่ วัดป่าสาละวัน เมื่อครั้งที่หลวงพ่อพุธยังดำรงขันธ์ ซึ่งก็มีเหตุการณ์ขำๆกับหลวงพ่อมนตรีและประทับใจในความเรียบง่าย สมถะ ของหลวงปู่ :b20:

หลวงพ่อท่านยังเล่าตอนที่ท่านส่งผลการภาวนากับหลวงปู่ แต่เป็นการไปตามดูเงาจิต หลวงปู่จะตอบว่าอย่างไร ต้องรออ่านเอาเองครับ :b10:

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังอีกว่า ท่านเคยปรารภกับหมู่คณะว่า"บางครั้งผมอยากปิดวัดไปเลย" สาเหตุอะไรหนอ ที่ทำให้หลวงพ่อมนตรีถึงกับอยากปิดวัด :b21:

นี่แค่ตัวอย่างนะครับ ยังมีตัวอย่างของนักภาวนาที่ไปได้คำแนะนำจากสำนักหนึ่งที่หลวงพ่อท่านยกอย่างมาเล่าให้ฟัง ที่จะทำให้คุณต้องกลับไปทบทวนการภาวนาของตัวเองว่าจะทำให้ถึงมรรคผลจริงหรือ

ที่นี่ เร็วๆนี้ :b32: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าลืมเอาเวลาไปภาวนาบ้างนะคะคุณ boonga
ไม่อย่างนั้นจิตคุณจะตก เพราะพะวงแต่เรื่องเก่าๆ
เมื่อเรารู้การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องเหมือนที่หลวงพ่อมนตรี ท่านสอนแล้ว
ก็ใช้เวลาที่มีอยู่เร่งความเพียร
การเอาข้อธรรมต่างๆมาโต้กัน ไม่รู้จักถนอมเวลาไว้ภาวนา
ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
ควรสงบวาจา เอาตัวรอดเป็นยอดดี จะดีกว่า
อย่าห่วงคนอื่นยิ่งกว่าห่วงตัวเอง
ใครไม่เชื่อ ช่างเขา
ให้รักตัวเอง ยิ่งกว่ารักคนอื่น
ด้วยความปรารถนาดี :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝากข่าวถึงคุณ enlighted นะครับ

ผมขอร้องให้หยุดการกระทำที่ตัดคำพูดของหลวงพ่อมนตรี ซึ่งเป็นถึงศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มาใส่ความเห็นของคุณ enlighted เอง ไม่สมควรนะครับ

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อผู้ที่สงสัยในการภาวนาเข้ามาเพื่อจะนำคำของครูบาอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอนเป็นกรณีพิเศษกลับไปพิจารณาเองครับ ท่านจะพิจารณาออกมาเป็นประการใดก็แล้วแต่ท่านนะครับ เราไม่ควรเข้าไปแทรกแซงนะครับ

หากทำให้ขัดเคืองก็อภัยด้วยครับ ผมกลัวว่าไปตัดเป็นคำๆออกมาแบบนี้ จะเป็นผลร้ายกับตัวผู้ที่ไม่เข้าใจนะครับ จะทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นยุ่งนะครับ

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวสีน้ำเงิน เขียน:
อย่าลืมเอาเวลาไปภาวนาบ้างนะคะคุณ boonga
ไม่อย่างนั้นจิตคุณจะตก เพราะพะวงแต่เรื่องเก่าๆ
เมื่อเรารู้การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องเหมือนที่หลวงพ่อมนตรี ท่านสอนแล้ว
ก็ใช้เวลาที่มีอยู่เร่งความเพียร
การเอาข้อธรรมต่างๆมาโต้กัน ไม่รู้จักถนอมเวลาไว้ภาวนา
ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
ควรสงบวาจา เอาตัวรอดเป็นยอดดี จะดีกว่า
อย่าห่วงคนอื่นยิ่งกว่าห่วงตัวเอง
ใครไม่เชื่อ ช่างเขา
ให้รักตัวเอง ยิ่งกว่ารักคนอื่น
ด้วยความปรารถนาดี :b45:



ไม่มีเจตนาจะตอบโต้นะครับ แต่ขอทำความเข้าใจว่า

ถ้าเราทุกคนที่รู้ความจริงแล้วเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปห่วงคนอื่น ให้ห่วงตัวเองก่อน มันจะกลายเป็นละเลยหน้าที่ของพุทธบริษัทที่พระพุทธองค์ทรงฝากให้เราช่วยกันดูแล ถ้าห่วงตัวเองว่าจะไม่พ้นทุกข์เราจะมีกรรมฐานแท้ๆมาถึงวันนี้หรือครับ ที่ผ่านมาผู้ที่เข้ามากัดกร่อนศาสนามากมายไม่รู้กี่คนแล้วถ้าไม่มีผู้ที่ออกมาเตือนสติ เราจะมีวันนี้หรือ

ผลการภาวนาของผมไปก้าวหน้าเท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมห่วงพระศาสนาเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ครับ ใครกลัวจะไม่ได้ภาวนาก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่ผมไม่คิดแบบนั้นครับ

ผู้ที่ไปป่าละอู วันที่ 26 มี.ค.มีประมาณ30คน แบ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมนตรีอีกจำนวนหนึ่ง แต่ผู้ที่ออกมาพูดเรื่องนี้มีไม่น่าจะเกิน 5 คนครับ


แก้ไขล่าสุดโดย boonga เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 10:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ให้สอนตัวเองให้ได้ก่อนที่จะไปสอนคนอื่น
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนพระองค์เอง จนตรัสรู้แล้ว พระองค์จึงสอนพระสาวก

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติสอนตัวท่านเอง จนหมดสิ้นกิเลสแล้ว
ท่านจึงมาสอนลูกศิษย์ จึงมีพระธรรมแท้มาให้พวกเรา มาสอนพวกเรา
ช่วงที่ท่านเร่งภาวนา ท่านไม่สนใจโลก เพราะมัวเร่งความเพียร

คนที่มาบอกหนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์
เพราะท่านจะบอกด้วยความเมตตาล้วนๆ ไม่มีวาระซ่อนเร้น
ไม่มีอะไรเคลือบแฝง
ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า
ถ้าเราจะช่วยเพื่อน เราเพียงนำธรรมะ คำพูดของท่านฉบับเต็มๆมาโพสต์ก็พอแล้ว

อีกประการหนึ่ง หลายคนที่เขาปฏิบัติธรรมไปในทางที่ถูกต้อง มีครูบาอาจารย์
เขาย่อมดูออก ว่าการปฏิบัติแบบไหนเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ทางไหนไม่ใช่
การดูพระ ว่าเป็นพระที่มีภูมิธรรมจริงหรือไม่ ดูไม่ยาก
ให้ดูที่ข้อวัตร การประพฤติ ปฏิบัติของท่าน
ดูที่การรักษาพระวินัยของท่าน

ไม่มีทางลัดสั้นเหมือนคุณว่า
เพราะเท่าที่เห็นมา ครูบาอาจารย์ทำความเพียรแบบเอาชีวิตเข้าแลกทั้งนั้น
บางรูปอดอาหารเป็นเดือน หลายเดือน นั่งสมาธิตลอดรุ่ง
จนขาช้ำเลือดช้ำหนอง ท่านจึงได้ธรรมะ มาสอนพวกเรา

ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นวิธีการช่วยเพื่อนร่วมโลก
ให้ได้ปฏิบัติธรรมถูกต้องตรงทาง
ก็แล้วแต่คุณ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้รับอนุญาตให้ลงถาม-ตอบ ชุดเก่า ได้ครับ เป็นชุดที่คุณไกรศรบอกว่า ไม่ละเอียดพอ

ขอออกตัวก่อนว่า เป็นชุดที่ไม่สมบูรณ์นะครับ แต่ความหมายไม่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนหลวงพ่อมนตรีท่าน หากชุดที่สมบูรณ์ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้วจะลงอีกครั้งครับ

หลายท่านกล่าวหาผมต่างๆนาๆทั้งที่นี่และที่เก่าที่ผมอยู่ ที่น่าสมเพชในความคิดของคนที่สุดคือ กล่าวหาว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง

ผมไม่แก้ข้อกล่าวหาพวกนี้หรอกครับ แก้ข้อนี้ก็มีข้อใหม่ๆออกมาไม่มีวันจบ

ความจริงจะเป็นพยานว่าผมทำไปเพื่ออะไร
-----------------------------------------------------------------------------------
ฉบับที่ 2/5 ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู 26 มี.ค.53 จะทยอยลงนะครับ จะได้ค่อยๆพิจารณา

ท่านเมตตารอโยมที่ยังมาไม่ถึง เหตุเพราะฝนตกหนักมากท่านว่า"ไม่เป็นไร ช้าก็ไม่เป็นไร ปลอดภัยก็แล้วกันนะ"48.50

49.00 โยมผู้ชายคนหนึ่งขอหลักการภาวนาสำหรับผู้เรื่มปฎิบัติจากท่าน

-- หลวงพ่อ -- ถ้าเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนก็ถูกทุกองค์ทุกท่าน จากประสบการณ์ 30 พรรษาของท่านนั้น "ความสืบเนื่อง" สำคัญมาก เบื้องต้นของการปฎิบัติคือความคิด เมื่อมีความคิดอะไรก็แล้วแต่ พยายามกลับเข้ามาดูใจของเรา อย่าเพ่ง อย่าจ้อง อย่าห้าม อย่าตาม

คำถามคือจะเอาอะไรไปดู คำตอบก็คือ สติ แต่สติที่มีกับตัวเรานั้นกำลังมันยังไม่พอ ท่านเรียกว่า มันบางไป ยังไม่ทันกับอารมณ์จึงไม่สามารถไปดูตัวจิตได้ เราต้องฝึกสติให้เป็นขณิกสติขึ้นไปจนถึง มหาสติ แล้วจะพบความสงบ เพราะทันกับความปรุงแต่ง ใครจะนั่งสมาธิก็ได้แต่ต้องเป็นสัมมาสมาธิ

แต่เริ่มแรกท่านจะแนะนำให้เคลื่อนไหว ใครที่ยังติดบริกรรมก็บริกรรมได้ แต่ที่ท่านใช้สอนในหมู่คณะท่านและได้ผล ท่านจะให้ตัดคำบริกกรมออก แล้วมีสติอยู่กับกับความรู้ตัวในการเดินจงกรม"มีสติดูจิต" ท่านใช้คำว่า "มันแข็งพอจะดูนามธรรม แล้วมันจะเข้ามาเฝ้าดูที่ใจ" ขั้นเริ่มต้นนี้ท่านจะไม่สอนยาว กลัวว่าจะจำไม่ได้ ท่านให้เดินจงกรมมากๆ

53.20 สรุปคำถามของโยมผู้หญิงคนหนึ่งว่าเดินจงกรมแล้วสติเกิดเร็วขึ้น

ท่านว่าพอกระทบแล้วว่างคือไม่ปรุง ท่านใช้คำว่า "รู้ก็ตาม ว่างก็ตาม เป็นกลางก็ตาม" อยู่ตรงนี้แต่จะอยู่แวบเดียว ทำมากเข้าๆเราจะอยู่ตรงนี้ได้นานขึ้น

แต่ระวังที่ว่าไม่คิดอาจจะเป็นโมหะโดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านเน้นว่าสำคัญ เพราะเหตุนี้ท่านจึงเน้นให้เดินจงกรม คือให้มาอยู่กับกายก่อน พอชำนาญมากขึ้น ตรงว่างนั้นก็จะแจ่มชัดมากขึ้น อุปมาเหมือนเราทุ่มหินลงแหน หากเป็นหินก้อนเล็กช่องว่างนั้นจะน้อย หากก้อนใหญ่ช่องว่างนั้นก็จะมากขึ้น

ท่านหันไปสนทนากับพระอาคันตุกะที่มีหมายกำหนดการไปอินเดียว่า ศรัทธาแน่นแฟ้นแล้วต้องไปอีกหรือแต่ก็ดีเหมือนกัน พระอาคันตุกะเย้าท่านว่า ถ้าไม่ไปก็จะขออยู่กับท่าน 15 วัน ท่านว่า ไม่มีน้ำจะอาบนะซิ ท่านเล่าว่าบริเวณที่ท่านอยู่เริ่มแล้งและน้ำ เริ่มคลาดแคลน (วันนั้นไฟฟ้าดับ-boonga) และคุยสัพเพเหระถึงการเป็นอยู่พร้อม สอนไปด้วย ท่านเล่าให้ฟังถึงโยมคนหนึ่ง ว่าปฏิบัติไปก็ไม่เห็นผลของการภาวนาที่จับต้องได้ แต่เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุตัวเค้าติดอยู่ในรถต้องงัดออกกลับมีสติ เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา

01.03.00 ท่านอนุญาติให้ถามถึงที่มาของประกาศป่าละอูและอีเมล์ 3 ฉบับ

--โยมผู้ชายคนหนึ่งถามท่านว่า ได้อ่านมาจากเวปไซค์ ต้องการมาฟังจากปากท่านเองว่าประกาศป่าละอูทั้งหมดท่านรับทราบทั้งหมดหรือไม่(หาอ่านได้ที่กระทู้"ความจริงจากป่าละอู" http://larndham.org/index.php?/topic/38802-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B9/


01.21.40 โยมผู้ชายคนหนึ่งเล่าว่าเคยอ่านบันทึกธรรมของท่าน ถ้าท่านยังจำได้ รบกวนให้ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า เป็นความสำนึกรู้สึกของพระรูปหนึ่ง ยุคนั้นประมาณ20ปี ศรัทธาชาวพุทธค่อนข้างคลอนแคลน เพราะบางรูปที่เข้ามาไม่ได้ช่วยจรรโลงพระศาสนาแต่กลับทำลายด้วยความ ประพฤติที่ไม่เหมาะสม

ความนอบน้อมที่เรามีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นยังไม่ประทับใจ ต่อเมื่อสภาวะลึกซึ้งบางอย่างเกิดขึ้นนั้นเราจึงจะรู้และเข้าใจในพระมหากรุณาธิคุณและพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์

คืนพระจันทร์เต็มดวง ท่านอยู่ในป่าที่ห่างจากผู้คนไป 6 กม. ดื่มด่ำใจเมื่อน้อมคิดถึงพระพุทธองค์ หากไม่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประทีปส่องทาง จะไม่มีทางรู้สิ่งต่างๆ และย้อนกลับมาคิดถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อสัตว์โลกอย่างพวกเรา พระองค์ต้องบากบั่นมากมายกว่าจะได้พบ

เมื่อเราเกิดสภาวะบางอย่างทำให้นึกถึงเจ้าของผู้ค้นพบ ท่านสละทุกอย่าง ทิ้งทุกอย่าง เพื่อจะเอาธรรมอันประเสริฐมาประดับโลก แต่ท่านก็เกิดสลดใจที่ผู้ที่ประกาศอุทิศตัวก็ไม่ได้สนองพระพุทธองค์ที่สละชีวิตเพื่อแลกมา กลับทอดทิ้งหรือทำลายเมื่อย้อนนึกถึงก้ไม่คิดจะซ้ำเติม

แต่ท่านก็พบการกระทำที่หมดศรัทธาจากผู้คนที่ท่านได้พบ เช่น จงใจนั่งยกเท้าไขว้ห้าง (ท่านขอโทษโยมและทำท่าทางประกอบ-boonga) บนรถโดยสารให้ตรงกับหน้าท่าน ในขณะที่ท่านยืนอยู่บนถนน ท่านว่า "ส่องกระจก" เมื่อท่านขึ้นรถแล้ว มีคนตะโกนบอก"คุณ ๆ พระท่านขึ้นไปแล้ว" ผู้นั้นจึงยอมเอาขาลง พระในขณะนั้นจะพูดทำนองว่าไม่อยากเข้า กรุงเทพเลยเพราะโยมเค้า......

ท่านว่า มันเป็นธรรมดา ศรัทธาเค้าบอบช้ำซะแล้ว เมื่อออกธุดงค์ก็เกิดสะท้อนใจขึ้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ท่านประสบมาด้วยตัวเอง

ท่านเขียนท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยเขียนใส่ด้านหลังของปฎิทินใบใหญ่

ต่อมาเมื่อ7-8ปีก่อนในขณะที่ท่านซ่อมแซมกุฎิ โยม"พี่กระต่าย"ที่ท่านเรียกว่า "ลูกสาว" และคุณไกรศรหรือ คุณแมวแก่ ได้ไปเก็บข้าวของของท่านได้เจอ"บันทึกธรรม"บนปฎิทิน จึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปจากการอ่านข้างบน

หลวงพ่อมนตรีท่านสอนการฝึกสติให้มากๆ
เดินจงกรม ก็ให้มีสติ
นั่งสมาธิก็ให้มีสติ
ไม่คิด ไม่ปรุง
จะบริกรรมก็ได้ ไม่บริกรรมก็ได้
หลักสำคัญ ขอให้มีสติ
ทำอย่างต่อเนื่อง จะชำนาญมากขึ้น

หลักสำคัญคือเท่านี้นะคะ
ส่วนเรื่องอื่นๆเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ไม่เกี่ยวกับเรา ทิ้งไป
เก็บไว้มากๆเป็นขยะ
เป็นความปรุงอีก
ขอเลือกบริโภคแบบยอดๆดีกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวสีน้ำเงิน เขียน:
หลักสำคัญคือเท่านี้นะคะ
ส่วนเรื่องอื่นๆเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ไม่เกี่ยวกับเรา ทิ้งไป
เก็บไว้มากๆเป็นขยะ
เป็นความปรุงอีก
ขอเลือกบริโภคแบบยอดๆดีกว่า


ตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณบัวสีน้ำเงินนะครับ

แต่ความเห็นส่วนตัวของผม

ผมแนะนำให้พิจารณาทุกคำครับ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสของท่านเอง

เราควรใช้โอกาสนี้ที่หลวงพ่อมนตรีท่านแสดงความเมตตาแก่เรา
โดยท่ายยอมเปิดวัดเพื่อจะบอกอะไรแก่เราเป็นกรณีพิเศษหรือไม่

หากพิจารณาตั้งแต่ท่านออกประกาศป่าละอู ฉบับที่ 1 และชี้แจงในอีเมล์ 3 ฉบับ
เรื่อง กว่าจะเป็นสวนสันติธรรม, ลูกปะคำคุณไสย
และเรื่องคำสอนของหลวงปู่อาจจะคลาดเคลื่อน จะเป็นประโยชน์สูงสุด

กรุณาพิจารณาทั้งทางโลกและทางธรรมครับ ควรดูประกอบกันทั้งสองทางครับ

อุปมาเหมือนพ่อจะสอนลูกไม่ให้ดูดบุหรี่หรือดื่มเหล้า แต่ตัวพ่อเองยังดูดและดื่มอยู่

คำสอนอาจจะฟังดูดีนะครับ แต่พฤติกรรมของพ่อไม่ทำเป็นแบบอย่างที่ดี จะดูด้านเดียวได้อย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับบัวสีน้ำเงิน
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูรายละเอียดอื่นๆ
เพราะบัวสีน้ำเงินมาถูกทางแล้ว
มีครูบาอาจารย์ที่ดี พึ่งได้แน่นอน
หลักการที่ครูบาอาจารย์ของบัวสีน้ำเงินสอน
ก็ฝึกแบบสมถะ จิตสงบตั้งมั่น จึงใช้ปัญญาพิจารณา
ไม่ใช่ตามรู้ ตามดู
เพราะนั่นจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน ขาดกำลัง
ต้องตัดความคิด หยุดความคิดเรื่องอื่นให้ได้
มาคิดพุทโธ พุทโธ และพุทโธ
จิตก็สงบตั้งมั่นเอง

ส่วนท่านอื่นๆที่มีความจำเป็นต้องดูรายละเอียดปลีกย่อย
ก็ดูฟังกันไป ให้ใช้เหตุผล
บัวสีน้ำเงินเคารพคำสอนของหลวงพ่อมนตรี
เพราะลงกันได้กับแนวทางที่ตัวเองกำลังฝึกอยู่
คนที่ไม่เคยฝึกอย่างจริงจัง
ต่อให้ใช้เหตุผลอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง
ต้องให้เขาลองฝึก ลองทำดู
เขาถึงจะเชื่อ
คุณก็ต้องอดทนต่อการชี้แจงด้วย
คุณว่าของคุณต่อไป
บัวสีน้ำเงินจะเข้ามาดูเป็นระยะ
ถ้าจำเป็นก็จะแสดงความคิดเห็น
ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉบับที่3/5 ถาม-ตอบปัญหาธรรม หลวงพ่อมนตรี ไฟล์26 มี.ค.53


01.31.00 โยมผู้หญิงคนหนึ่งขอให้ท่านขยายความคำว่า"การตามดูเงา ของจิตและตามดูจิต"
-- หลวงพ่อ -- ท่านอยู่ที่นี่มาหลายปี ความหนักใจของท่านบางครั้งถึงกับลงไปปรารภกับหมู่คณะว่า"บางครั้งอยากจะปิดวัด" คือ บ่อยครั้งที่โยมมาส่งผลภาวนากับท่านมาเล่าให้ฟังว่าจิต มันเยิ้ม จิตมันตื่น ต่างๆนาๆนั้น คนที่ไม่สันทัดก็คิดว่า จิตเค้าละเอียดมากนะ ท่านเหล่านั้นตั้งใจปฏิบัติดี แต่ที่กล่าวมามันเป็นเงาของจิตทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวจิต อย่าไปตาม ให้ย้อนกลับมาดูตัวที่มันรู้อาการคือตัวจิต

นายพรานเคยเล่าให้ท่านฟังตอนที่ท่านออกวิเวกว่า เค้าจะใช้ไฟส่องล่อให้เสือไล่ตะครุบแสงไฟเพื่อที่เค้าจะยิงเสือได้

บางครั้งโยมมาส่งการบ้าน ท่านก็สงสารโยม ท่านว่า "ถึงหลวงพ่อจะเป็นคนโง่แต่หลวงพ่อไม่เคยกร้าวร้าว" ท่านไม่เคยว่า"ไม่ถูกเนี่ย สอนไม่ถูก " และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าท่านจะไม่วิจารณ์ อาจารย์ท่านอื่น เพราะหลวงปู่ดูลย์เคยสอนท่านไว้และฝังในใจท่าน ว่า ให้ดูตัวเองอย่าไปดูคนอื่น แต่ท่านจะบอกโยมว่า ทำไม่สืบเนื่องหรือเปล่า เป็นทางออกทีท่านใช้

บางครั้งผู้ปฎิบัติทำได้ดีมากแต่เค้าไปดูอาการของจิต ไปดูอารมณ์รูปนาม ดูอารมณ์วิปัสนาญาณ ดูการเกิด-ดับ ต่างๆ ท่านว่า"จิตมันหยุดคิดแล้ว จะกลับไปหาความคิดทำไมอีกละ" ท่านก็ให้กลับไปกราบเรียนถามอาจารย์ผู้สอนว่าอาจจะเป็นอุบายการสอนของท่านกระมัง เพราะเป็นวิธีที่ท่านเห็นว่าดีกว่าไปวิจารณ์อาจารย์ท่านอื่นว่าไม่ถูกหรือสอนผิด ท่านว่า" มันจะงามหรือลูก" บางครั้งอยากจะบอกให้โยมรู้แต่โดยมารยาทและท่านเคร่งครัดในปฎิปทาของหลวงปู่ดูลย์ผู้เป็นอาจารย์ ท่านจำต้องเก็บความหนักใจไว้เอง

2 ประการที่ท่านเมตตาสอนคือ

1. การไล่ตามเงาของ จิตไม่มีผลทำให้ถอดถอนกิเลสได้เลย

2. หัวใจสำคัญของการดูจิตคือกำลังของสติ


ต้องทำกำลังเสียก่อน อาจารย์บางท่านบอกว่า หลวงพ่อมนตรีท่านพาเดินจงกรม ก็ดีแต่มันช้าให้ดูจิตไปเลยจะดีกว่า หลวงพ่อมนตรีท่านกล่าวว่า จะเอากำลังที่ไหนไปดูถ้าไม่ทำกำลังเสียก่อน หากไม่มีกำลังของสติ ก็จะถูกลากไปเรื่อยๆ

ท่านเน้นอีกครั้งถึงการเดินจงกรม ซึ่งจะได้สติที่แจ่มชัดดีและทรงอยู่นาน ท่านยังว่าเมื่อครั้งที่ยังปรนนิบัติหลวงปู่ดูลย์อยู่นั้น หลังจากส่งหลวงปู่ฉันเช้าเรียบร้อยและส่งท่านเข้าพักผ่อนแล้ว ท่านก็เดินจงกรมถึงบ่าย 2 โมง หลวงปู่พักผ่อนแล้วก็นั่งดูท่านเดินจงกรม ท่านเดินมาก และเห็นผลได้เลยว่า สติที่ได้จากการเคลื่อนไหวตั้งชัด เด่นดี แม้กระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์หลายท่านก็ยังแนะนำให้เจริญสติด้วย การเคลื่อนไหว เช่นหลวงพ่อเทียน ที่ท่านกล่าวว่า แยบคายมาก

ท่านสรุปให้ฟังว่า การดูจิตจำเป็นจะต้องทำกำลังก่อนไม่เช่นนั้นจะไม่มีกำลังพอที่จะดูท่านว่า"ปุปปับไปดูจิตน่ะ ถ้าไม่ทำกำลัง จะเอาที่ไหนไปดู"

01.35.55 โยมผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า หากผู้ที่เริ่มปฎิบัติจะต้องทำ กำลังก่อนใช่หรือไม่

ท่านตอบว่า หมู หมา กา ไก่ ก็มีสติไม่อย่างนั้นมันก็จะเดินตกถนน แต่สติประจำธาตุประจำขันธ์ไม่พอ มันน้อยเกินไป เพราะอย่างนั้นมันถึงเผลอบ่อย เช่นขับรถปาดหน้ากันก็ถึงกับยิงกันได้เพราะขาดสติ เราจึงจำเป็นต้องเจริญสติด้วยการเดินจงกรมหรือ นั่งสมาธิ เป็นต้น เมื่อกำลังมากพอ สติก็จะเฝ้าดู ถ้าไม่มีกำลังสติก็จะถูกลากไปเรื่อยๆ


01.37.35 พระอาคันตุกะท่านเมตตาตั้งคำถามเมื่อเห็นโยมเงียบไป ว่าถ้าปฎิบัติคลาดเคลื่อนจะให้ผลเป็นวิปลาสหรือไม่

ท่านไม่ตัดสินว่าจะเป็นวิปลาสหรือไม่ แต่ท่านยกคำสอนของพระพุทธองค์ว่า "การประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าเธอได้กัลยาณมิตรที่ดี การประพฤติพรหมจรรย์ของเธอจะสำเร็จตลอดสาย เธอโชคดีที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร"

กรรมวิธีดูจิตนั้นท่านได้ยินหลวงปู่ดูลย์พูดบ่อยมากว่า"การดูจิตเป็นทางตรง ลัดสั้น แต่มันชันหน่อยนะ"

ท่านไม่ตัดสินว่าจะเป็นวิปลาสหรือไม่แต่แน่ใจว่าไม่ได้ผลแน่นอน ถ้าเราเริ่มต้นที่ถูกต้องมันก็จะไปตามทางที่ถูกที่ควร ไม่มีพลาดไปจากหนทาง ท่านอุปมาดั่ง ครูสอนว่ายน้ำ 2 ประเภท

ประเภท 1 คือ ครูที่ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงตัว นร.ก็จะง่ายในการเรียน สนุกสนาน แต่จะใช้เวลานานในการเรียน เพราะไม่ได้ช่วยตัวเอง

ประเภท 2 ท่านว่าวิธีการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อยู่ในประเภทนี้คือ บอกวิธีปฎิบัติให้ อุปมาว่า ทุก 5 เมตรจะปักหลักไม้ไว้ให้ แนะนำแต่ละขั้นตอนว่าต้องทำอย่างไร ถ้าทำตามที่แนะนำก็จะถึงเป้าหมาย และเชื่อได้ว่า นร.นั้นจะคล่องตัวพอสมควรเพราะไม่มีเครื่องพยุง หากทำผิดขั้นตอนก็อาจเป็นอันตรายได้

ท่านย้อนอดีตให้ฟังว่า ตอนท่านไปกราบหลวงปู่โดยขึ้นรถไฟตอน 2 ทุ่ม15นาที ถึงสุรินทร์ตี 5 พอท่านเสร็จกิจส่วนตัว ก็ถามสาระทุกข์สุกดิบหลวงปู่แต่ท่านไม่เคยตอบเรื่องทำนองนี้ ท่านว่า"จิตไม่ได้เรื่อง ปรุงแต่ง" และท่านเคยเล่าสภาวะที่ตัวท่านเอง คิดว่าดีมากเลยมั่นใจว่าถ้ากราบเรียนให้หลวงปู่ทราบอย่างน้อยท่าน คงชื่นใจบ้างล่ะ ท่านเล่าสภาวะที่ดีมากเลยดังกล่าวให้หลวงปู่ทราบ ใช้เวลาเล่าถึง 15 นาที แล้วถามความเห็นท่าน หลวงปู่ก็ตอบว่า"ก็ดูที่จิต นั่นละ" แล้วก็นิ่งไป แต่หลวงพ่อมนตรีท่านก็อยากได้คำอธิบายที่ละเอียดมากขึ้นเพราะไม่เข้าใจ พอได้จังหวะก็กราบเรียนให้หลวงปู่ทราบอีกครั้งหนึ่ง ท่านฟังโดยไม่มองหน้า คำตอบที่ได้คือ "ก็ดูที่จิต นั่นละ" หลวงพ่อมนตรีท่านก็อยากได้คำอธิบายมากขึ้นไปอีก แต่ในตอนนั้นท่านไม่ทราบว่า นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดและถูกที่สุดแล้ว จึงทิ้งระยะเวลาห่างออกไปอีกนานแล้วกราบเรียนหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หลวงปู่ตอบยาวขึ้นและเสียงดังขึ้น"ก็ดูที่จิตนั่นละ ไม่รู้เรื่องหรือไง กี่โมงแล้วเนี่ย สามโมงแล้วกลับบ้านได้

นี่คือครูสอนว่ายน้ำประเภทที่ 2 ท่านสรุปว่าสภาวะที่ท่านคิดว่าดีมากเลย มันไม่ใช่ตัวจิต ที่ฟังสละสรวยเป็นเงาทั้งสิ้นเลย ท่านกล่าว ความหมายของหลวงปู่คือให้ย้อนมาดูที่จิตแต่ท่านไม่ได้อธิบาย

ท่านยังเมตตาเล่าให้ฟังต่อไปว่า เคยได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ ในสมัยนั้นวัดป่าสาละวันเป็นต้นแบบกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วันที่1,2 ธันวา จะจัดงานวันบูรพาจารย์ พระกรรมฐานจากทั่วประเทศและทั่วโลกจะมาร่วมงานนี้

ท่านใช้คำว่า พระกระจอกงอกงอยอย่างท่านต้องลงมาอยู่ข้างล่างเพื่อ ให้พระชั้นผู้ใหญ่ได้พักข้างบน

ท่านได้กราบเรียนหลวงพ่อพุธว่าถ้าท่านจะกราบเรียนเชิญหลวงปู่ดูลย์ มาเป็นประธานพิธีในงานจะดีหรือไม่

หลวงพ่อพุธท่านเห็นชอบอย่างยิ่ง ท่านว่า "มนตรีรู้ไม๊ตั้งแต่หลวงปู่สิมท่านทิ้งขันธ์ หลวงปู่ดูลย์ก็ไม่ได้เข้าไปที่วัดป่าสาลวันเลย" ท่านผ่านมาทางโคราชแต่ก็ผ่านไปผ่านมาไม่ได้เข้า หลวงพ่อพุธก็ไม่แน่ใจว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านจะเมตตามาตามที่กราบเรียนเชิญหรือไม่

หลวงพ่อมนตรีท่านก็จะลองกราบเรียนท่านดู หลังจากนั้นท่านจึงไปกราบเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบว่าวัดป่าสาละวัน โคราช กราบเรียนเชิญท่านไปเป็นประธานพิธีในวันบูรพาจารย์ วันที่1,2 ธันวา หลวงปู่ท่านถามวันที่จัดงานแล้วจึงสั่งให้"ใส่กระดาน ไว้" ท่านจึงไปเรียนให้หลวงพ่อพุธทราบ ยังความปลาบปลื้มให้ทางโคราชเป็นอย่างยิ่ง

วัดป่าสาละวันนั้นจะมีกุฎิชื่อว่า"กุฎิห้าแสน" เป็นกุฎิขนาดใหญ่ติดแอร์ประดับตกแต่งสวยงาม ไว้รับรองพระอาคันตุกะชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ แต่เพื่อรับรองหลวงปู่ดูลย์ที่จะมาโปรดชาวโคราชนั้นทางวัดป่าสาละ วันได้เปลี่ยนผ้าม่านและประดับตกแต่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ครั้นถึงวันงานหลวงพ่อมนตรีท่านก็ไปรับหลวงปู่ดูลย์มา หลวงพ่อพุธและพระเถระชั้นผู้ใหญ่อื่นๆยืนรอรับท่านที่หน้ากุฎิห้าแสน

แต่หลวงปู่ดูลย์สั่งให้ไปที่กุฎิหลวงพ่อมนตรีท่าน ซึ่งเป็นกุฎิกรรมฐานขนาดเล็ก

หลวงพ่อมนตรีท่านทัดทาน แต่หลวงปู่ก็ยืนกรานจะไปพักที่กุฎิหลวงพ่อมนตรี

ท่านเห็นเป็นดำริของหลวงปู่จึงสั่งให้รถขับไปที่กุฎิกรรมฐานของท่าน

ฝ่ายที่รอรับอยู่เข้าใจว่าหลวงพ่อมนตรีท่านไม่ให้หลวงปู่ลง จึงวิ่งตามรถมาเพื่อจะเอาความกับหลวงพ่อท่าน "ทำไมไม่จอด" หลวงพ่อท่านอธิบายความ หลวงปู่ดูลย์ท่านจึงว่า"เราให้เค้ามาเองล่ะ" ฝ่ายเจ้าภาพจึงกราบเรียนเชิญท่านพักที่กุฎิห้าแสนเพราะกุฎิกรรมฐาน ไม่มีห้องน้ำในตัวและไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แต่ท่านยืนกรานที่จะพักที่กุฎิหลวงพ่อมนตรี ฝ่ายเชิญจึงจำยอมตามประสงค์ท่าน

ฝ่ายเจ้าภาพจึงสั่งกั้นเชือกกุฎิของหลวงพ่อมนตรีท่านและในกุฎิมีเพียง เสื่อผืนหมอนใบ จึงให้แม่ชีไปซื้อผ้านวมมาเสริมเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว จัดหาหมอนใหม่ให้ท่าน ฝ่ายเจ้าภาพจึงต้องทำความเข้าใจกับทางสุริทร์ เกรงจะเข้าใจผิด

งานวันบูรพาจารย์ผ่านไปหลวงปู่ก็ยังพักอยู่ที่กุฎิหลวงพ่อ ม นตรีอย่างสบายใจ ช่วงเย็นหลวงปู่เดินดูวัดป่าสาละวันและเล่าเรื่องราวเก่าๆให้ท่านฟัง หลวงปู่อยู่ที่วัดป่าสาละวันรวม 7 วัน หลวงปู่บอกกับท่านว่า"มนตรีเอ้ย หลวงพ่อหมดสงสัยแล้วว่ะ" ท่านก็ไม่เข้าใจความหมาย 01.52.48


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 15:32
โพสต์: 18

ชื่อเล่น: ต่อ
อายุ: 0
ที่อยู่: พัทยา

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุครับ :b8:

.....................................................
รูปภาพ
รูปภาพ
http://facebook.com/bandhamma

http://baandhamma.weloveshopping.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนากับคุณ boonga ที่น้อมนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ และหลวงพ่อมนตรี
มาลงให้อ่าน อ่านแล้วสนุกและประทับใจมากค่ะ
ถ้าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับข้อวัตรปฏิบัติแบบนี้ น่าอ่าน
เป็นการสอนที่ละเอียด เตือนใจผู้ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี
ขออานิสงส์การเผยแพร่พระธรรม คำสอนที่ถูกต้อง
การมีเมตตาต่อเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันของคุณ boonga
จงเป็นปัจจัย เสริมส่งให้คุณ boonga มีความก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป
เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b35:


แก้ไขล่าสุดโดย บัวสีน้ำเงิน เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 12:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร