วันเวลาปัจจุบัน 16 มิ.ย. 2025, 07:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2009, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2009, 22:06
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ใครพอจะทราบบ้างไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2009, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ชุดใหญ่เลยครับ

๑๒. เรื่องสุภัททปริพาชก [๑๙๓]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาผทมแล้วบนพระแท่นเป็นที่ปรินิพพาน ในสาลวัน ของเจ้ามัลละทั้งหลาย อันเป็นที่แวะพัก ใกล้พระนครกุสินารา ทรงปรารภปริพาชกชื่อว่าสุภัททะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อากาเสว ปทํ นตฺถิ" เป็นต้น.

บุรพกรรมของสุภัททะ
ได้ยินว่า ในอดีตกาล สุภัททปริพาชกนั้น เมื่อน้องชายให้ทานอันเลิศถึง ๙ ครั้ง ในเพราะข้าวกล้าครั้งหนึ่ง ไม่ปรารถนาเพื่อจะให้ ท้อถอยแล้ว ได้ให้ในกาลเป็นที่สุด.
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้เพื่อจะเฝ้าพระศาสดา ทั้งในปฐมโพธิกาล ทั้งในมัชฌิมโพธิกาล, แต่ว่าในปัจฉิมโพธิกาล ในเวลาเป็นที่ปรินิพพานแห่งพระศาสดา คิดว่า
"เราถามความสงสัยของตน ในปัญหา ๓ ข้อกะปริพาชกทั้งหลายซึ่งเป็นคนแก่ ไม่ถามกะพระสมณโคดม ด้วยความสำคัญว่า "เป็นเด็ก"
ก็บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานของพระสมณโคดมนั้น วิปฏิสารพึงบังเกิดแก่เราในภายหลัง เพราะเหตุไม่ถามพระสมณโคดม"
แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แม้ถูกพระอานนทเถระห้ามอยู่ เข้าไปแล้วสู่ภายในม่าน เพราะความที่พระศาสดาทรงกระทำโอกาสแล้ว
ตรัสว่า "อานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะเลย สุภัททะจงถามปัญหากะเรา"
จึงนั่งใกล้ข้างล่างเตียง ทูลถามปัญหาเหล่านี้ว่า "ข้าแต่พระสมณะผู้เจริญ ชื่อว่ารอยเท้าในอากาศ มีอยู่หรือหนอแล? ชื่อว่าสมณะภายนอกแต่ศาสนานี้มีอยู่หรือ? สังขารทั้งหลายชื่อว่าเที่ยง มีอยู่หรือ?"

พระศาสดาทรงแก้ปัญหาของสุภัททะ
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกความไม่มีแห่งรอยเท้าในอากาศเป็นต้นเหล่านั้นแก่เขา จึงทรงแสดงธรรมด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๑๑. อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปญฺจาภิรตา ปชา นิปฺปปญฺจา ตถาคตา.
อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิตํ.
รอยเท้าในอากาศนั่นเทียว ไม่มี; สมณะภายนอก ไม่มี;
หมู่สัตว์เป็นผู้ยินดียิ่งแล้วในธรรมเครื่องเนิ่นช้า,
พระตถาคตทั้งหลายไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า.
รอยเท้าในอากาศนั่นเทียวไม่มี, สมณะภายนอก ไม่มี,
สังขารทั้งหลาย (ชื่อว่า) เที่ยง ไม่มี,
กิเลสชาตเครื่องหวั่นไหวไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทํ ความว่า ชื่อว่ารอยเท้าแห่งสัตว์ไรๆ อันบุคคลพึงบัญญัติว่า "มีรูปอย่างนี้" ด้วยสามารถแห่งสีและสัณฐานในอากาศนี้ ไม่มี.
บทว่า พาหิโร ความว่า ชื่อว่าสมณะผู้ดำรงอยู่ในมรรคและผลภายนอกแต่ศาสนาของเรา ไม่มี.
บทว่า ปชา ความว่า หมู่สัตว์ กล่าวคือสัตวโลกนี้ ยินดียิ่งแล้วในธรรมเครื่องเนิ่นช้ามีตัณหาเป็นต้นเท่านั้น.
บทว่า นิปฺปปญฺจา ความว่า ส่วนพระตถาคตทั้งหลายเป็นผู้ชื่อว่าไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะความที่พระองค์ตัดธรรมเครื่องเนิ่นช้าทั้งปวงได้ขาดแล้ว ที่ควงแห่งไม้โพธิ์นั่นแล.
ขันธ์ ๕ ชื่อว่าสังขาร, ในขันธ์ ๕ เหล่านั้น ขันธ์อย่างหนึ่งชื่อว่าเที่ยง ไม่มี.
บทว่า อิญฺชิตํ ความว่า ก็ชนทั้งหลายพึงถือเอาว่า "สังขารทั้งหลายเป็นสภาพเที่ยง" ด้วยบรรดากิเลสชาตเครื่องหวั่นไหว คือตัณหา มานะ และทิฏฐิอันใด, แม้กิเลสชาตเครื่องหวั่นไหวนั้นอย่างหนึ่งมิได้มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ในเวลาจบเทศนา สุภัททปริพาชกตั้งอยู่แล้วในอนาคามิผล.
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.

เรื่องสุภัททปริพาชก จบ.
มลวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ ๑๘ จบ.

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2009, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นิพพานมีอยู่เฉพาะในศาสนาพุทธรึเปล่า?



อริยมรรค คือ มรรคาอันประเสริฐที่นำสู่พระนิพพาน

ประเด็นของคำถามนี้ จึงอยู่ที่ว่า ศาสนาอื่นๆ ก็มีอริยมรรค ที่ยังให้บังเกิด สมณะที่๑(พระโสดาบัน) สมณะที่๒(พระสกิทาคามี) สมณะที่๓(พระอนาคามี) สมณะที่๔(พระอรหันต์) ไหม???

ถ้า ศาสนาอื่นๆก็มีอริยมรรค ที่ยังให้บังเกิด สมณะที่๑(พระโสดาบัน) สมณะที่๒(พระสกิทาคามี) สมณะที่๓(พระอนาคามี) สมณะที่๔(พระอรหันต์)... นิพพานก็มีอยู่ในศาสนาอื่นๆด้วย

ถ้า ศาสนาอื่นๆไม่มีอริยมรรค ที่ยังให้บังเกิด สมณะที่๑(พระโสดาบัน) สมณะที่๒(พระสกิทาคามี) สมณะที่๓(พระอนาคามี) สมณะที่๔(พระอรหันต์)... นิพพานก็ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่นๆนั้น



มีพระพุทธพจน์ที่ตรัสพยากรณ์คำถามนี้ไว้ ดังนี้

http://www.84000.org/tipitaka/read/?10/138-140

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค

ดูกรสุภัททะ

ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔

ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔

ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
ลัทธิอื่นๆว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง

ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ

เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล
ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี

ลัทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง

ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2009, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกศาสนา ก็ย่อมมี สิ่งสูงสุดอันเป็นเหมือนปลายฝั่ง แห่งความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น
แต่ บั้นปลายอันสูงสุด หรือจุดหมายอันสูงสุดของแต่ละศาสนา ก็จะมีหลากหลาย
ทั้งหยาบประณีต สูง ต่ำ ต่างกันไป

และสิ่งสูงสุดของแต่ละศาสนา ก็จะมีคำบัญญัติชื่อเรียก เหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี

อย่างในครั้งพุทธกาล คำว่าพระอรหันต์ ก็จะใช้เรียกกันทั่วไป
เจ้าลัทธินั้น ก็อรหันต์ เจ้าลัทธิโน้นก็อรหันต์ สารพัดจะอรหันต์

และพระพุทธศาสนาของเรา ก็นำคำเรียกว่าอรหันต์ซึ่งเขาใช้เรียกบุคคลผู้สิ้นอาสวะ
กันอยู่ก่อนแล้วมาใช้ กับ ผู้ถึงธรรมอันสูงสุดของพุทธศาสนาด้วย

ดังนั้น อรหันต์ในสำนักของพระพุทธเจ้า จึงเป็นพระอรหันต์ที่มีคุณธรรม
แตกต่างจาก อรหันต์ของลัทธิอื่นๆในครั้งพุทธกาล

เป็นอรหันต์เหมือนกันโดยชื่อเรียก แต่ต่างกันโดยคุณธรรม

ส่วนคำว่านิพพาน ก็เป็นสมมุติบัญญัติ ที่พระพุทธองค์ใช้สื่อเรียกสภาวธรรม
หรือตัวสภาพธรรมชั้นสูงสุด ซึ่งโดยความเป็นจริง ชื่อเรียกต่อสภาวะนิพพานนี้
มีหลายชื่อมาก บางครั้งพระองค์ก็เรียกชื่อนิพพานที่ท่านเข้าถึง ตามอย่างสิ่งสูงสุด
ที่คนครั้งพุทธกาลเขาเรียกกัน และรู้จักกันอยู่แล้วก็มี

แต่ถ้าหากอยากรู้ว่า นิพพานมีกี่ชื่อ ก็คงต้องไปหาดูกัน ในตำรา
เพราะมีเยอะมาก

ที่ถามว่านิพพาน มีแต่เฉพาะในพุทธศาสนารึเปล่า ต้องตอบว่า
ถ้านิพพาน ตามแบบของพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นอสังขตธรรม
ก็จะมีแต่พุทธศาสนานี้เท่านั้นที่นำมาเผยแผ่ แจกแจง และแสดงไว้

แต่สภาวะนิพพาน โดยแท้แล้วก็เป็นเหมือนสิ่งสาธารณะ ที่มีอยู่แล้วมีอยู่ก่อน
มีอยู่เดิม และทรงตัวเป็นสาธารณะอยู่ตลอดเวลาในระบบธรรมชาตินี้

บางเวลา อาจมีบางคน ที่มีพลังปัญญาบารมีพอ ก็จะสามารถเข้าถึงสิ่งนี้ได้
ด้วยตัวเขาเอง โดยไม่มีถ้อยคำเรียกว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรเช่นผู้มีอุปนิสัยของปัจเจกพุทธเจ้า

เขาอาจเข้าถึงนิพพานเช่นเดียวกับที่พุทธศาสนานำมาเปิดเผย แต่ถ้าเขาไม่ได้
เกิดมาเจอพุทธศาสนา เขาก็อาจจะเรียกชื่อสภาวะนิพพานนี้ เป็นอย่างอื่น
ซึ่งไม่ใช่ชื่อนิพพาน


จะเห็นว่า มีทั้งสภาวะธรรมซึ่งแตกต่าง เป็นคนละอย่างเป็นคนละสภาพ
แต่ใช้ชื่อเรียกอันเดียวกัน ว่านิพพาน เช่นในปัจจุบันนี้
นิพพาน ของครูบาอาจารย์แต่ละสำนัก ก็ยังมีที่แตกต่างกัน
แต่ละท่านก็เรียกสิ่งที่ตนเข้าถึงว่านิพพานเหมือนกัน แต่สภาวะธรรมกลับไม่
เหมือนกัน

และก็มีประเภทที่ว่า มีสภาวะธรรม ที่เป็นนิพพานอันบริสุทธิ์แท้เหมือนกัน
แต่ ใช้สมมุติบัญญัติเรียก ไม่เหมือนกัน เช่นบุคคลที่เข้าถึงได้โดยไม่เคย
รู้จักพุทธศาสนามาก่อน เช่นพวกพระปัจเจกพุทธเจ้า


ร่วมแสดงความคิดเห็นเท่านี้ครับ

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น ที่รู้จัก พระนิพพาน

ที่องค์พระศาสดาแจ้งโลก ทรงนำมาสอน

ศาสนาอื่นไปไม่ถึง และไม่มีมรรคที่จะทำให้ไปถึง

ต้องนี้อธิบายในปรินิพพานสูตร

ความจริงแล้วศาสนาพรารมณ์ ก็รู้จักพระนิพพาน

เพราะว่าได้ฌานสมาบัติ

แต่ไม่มีมรรคาที่จะทำให้เข้าถึง พระนิพพาน

เพราะฉะนั้นเราควรรีบปฎฺบัติ มีสติรู้กายรู้ใจ ในปัจจุบัน จะดีที่สุดนะงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:

ความจริงแล้วศาสนาพรารมณ์ ก็รู้จักพระนิพพาน

เพราะว่าได้ฌานสมาบัติ

แต่ไม่มีมรรคาที่จะทำให้เข้าถึง พระนิพพาน





ศาสนาพราหมณ์รู้จักเพียงฌานสมาบัติทั้งแปด.... แต่ ไม่รู้จักพระนิพพานครับ

ฌานสมาบัติที่๙(ที่เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ) ที่พระฤาษีนอกพระศาสนาไม่รู้จักนั้น เป็นฌานสมาบัติที่มีเฉพาะในอริยมรรค คือ พระอนาคามีที่เป็นกายสักขี และ พระอรหันต์ที่เป็นอุภโตภาควิมุต เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสมาบัตินี้ได้.
และ สัญญาเวทยิตนิโรธ นี้ มีกล่าวไว้ในพระสูตรว่า เป็นการเสวยวิมุติสุขแห่งนิพพานในขณะที่ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน



ศาสนาพราหมณ์ และ พระฤาษี เขาเข้าใจว่า ฌานสมาบัตินั้นๆ เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว ซึ่ง บางครั้งอาจจะฟังดูเผินๆว่า คล้ายๆบรรยายถึงพระนิพพานอยู่.... แต่ ความจริงไม่ใช่ครับ

ศาสนาพราหมณ์ ใช้คำบรรยาย ภาวะ(ภพ)นั้นๆว่า อาตมันบ้าง ปรมาตามันบ้าง ...
แม้นแต่ พระฤาษีอาจารย์ทั้งสองของพระพุทธองค์ก็เห็นว่า ภาวะที่บังเกิดจากอรูปฌาน๓หรือ๔ นั้นเป็นที่สุดแล้ว(บางท่านเรียกว่า เขตตัญญู)



ผู้ที่จะรู้จักพระนิพพาน(แม้นยังไม่ถึงพระนิพพาน) ก็ เริ่มที่พระโสดาบัน... ซึ่ง พระโสดาบันท่านอาจจะไม่รู้จักฌานสมาบัติแบบของพระฤาษีอาจารย์ทั้งสองของพระพุทธองค์ เสียด้วยซ้ำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ย. 2005, 15:24
โพสต์: 179


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้จักแต่ให้ความหมายต่างกัน และไกลกัน สาธุ

.....................................................
คำพูดเพียงน้อยนิดอาจเปลี่ยนชีวิตของคนได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. นิพพานสูตรที่ ๑

[๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย
ธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้ว
น้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้-
*มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อายตนะนั้นมีอยู่
ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

จบสูตรที่ ๑

ที่มา:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... =25&A=3977




อายตนะนั้นมีอยู่ (ตทายตนัง)... คำๆนี้ ไพเราะมากๆ

ในพระสูตรนี้
อายตนะนั้นๆ(หมายถึง นิพพานอันเป็นสิ่งที่พระอรหันต์ท่านประจักษ์) นอกเหนือไปจากอรูปสมาบัติที่มหาฤาษีทั้งหลายเคยรู้จักกันมา (อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ )

สูงสุดที่ มหาฤาษีทั้งหลายเคยรู้จักกันมาก่อนหน้าที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้อริยมรรค ย่อมไม่ใช่พระนิพพาน

มีพระสูตรหนึ่งที่ตรัสแสดงว่า สมาบัติทั้งแปดที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางแห่งอริยมรรค เป็นเพียงเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันเท่านั้น[เป็นเพียงข้อ1(และ อาจนับรวมข้อ2) ใน4ข้อ ของสมาธิภาวนา4ประเภท ในพระบาลีโรหิตัสวรรค]

มหาฤาษีทั้งหลาย ไม่รู้จัก สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ(ข้อ3) และ สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ(ข้อ4) ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หรอกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลใด ดับ อวิชชา ได้ก็เข้าถึงนิพพานทุกคน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


kim1 เขียน:

และข้อมูลข่าวสารของทุกศาสนาก็ไปถึงคนในศาสนาอื่นด้วย วิธีวิปัสสนากรรมฐาน สติปัฏฐาน 4 คนในศาสนาอื่นก็มีการนำไปใช้กันเกลื่อน ทางการแพทย์ก็มีการใช้กัน

เพื่อนผมเป็นคริสต์และอิสลาม พวกเขายังรู้แนวทางปฏิบัติวิปัสสนาเลย





การเจริญสติปัฏฐานนั้น คนศาสนาอื่น ย่อมสามารถจะนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้จริง

และ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะ หลักความจริงนี้ย่อมเป็นของที่มีประโยชน์ได้กับทุกศาสนา


แต่ การนำสติปัฏฐานไปประยุกต์เข้ากับความเชื่อพื้นฐานทางศาสนาของเขา ที่ปราศจากอนาสวะสัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบในเบื้องแรกว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ) เช่น เชื่อในpersonal god ซึ่งเป็นอัตตา
หรือ การนำสติปัฏฐานไปประยุกต์เข้ากับหลักจิตวิทยา ....
ก็จะมีประโยชน์ตรงที่สามารถยังให้เกิดสมาธิได้อยู่ และ เกิดความสงบสุขทางใจขึ้นได้.

แต่ การกระทำในลักษณะนี้ไม่อาจจะสามารถนำไปสู่พระนิพพานได้.



เพราะ ต้องไม่ลืมว่า

ในมหาจัตตารีสกสูตรกล่าวแสดง อนาสวะสัมมาทิฏฐิ (หรือ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์) คือ ความเห็นชอบในเบื้องแรกที่ว่าสัพเพธัมมาอนัตตา นั้น เป็นเสมือนการกลัดกระดุมเม็ดแรกในการใส่เสื้อ. ซึ่งถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกถูก เม็ดอื่นๆก็กลัดจะถูกตามมาได้...

ถ้า กระดุมเม็ดแรกกลัดไม่ถูก การกลัดกระดุมเสื้อเม็ดอื่นๆและการใส่เสื้อ ก็ไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลย


สรุป

การเจริญสติปัฏฐานที่ไม่มีอนาสวะสัมมาทิฏฐิเป็นตัวกำหนดทิศทางแต่ต้น และ อริยสัมมาสมาธิเป็นผลตามมา... การเจริญสติปัฏฐานนั้นๆ ก็อาจจะยังคงมีผลทำให้จิตสงบ และ มีความสุขได้จริง (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี ผมเองยังเคยนำข้อมูลที่จิตแพทย์ตะวันตกประยุกต์อานาปานสติ และ จิตตานุปัสสนา ไปรักษาอาการทางจิต มาลงในเว็บนี้ในอดีต)....

แต่ การเจริญสติปัฏฐานในลักษณะนั้น ไม่อาจจะนำไปสู่สัมมาญาณะ(การตรัสรู้ชอบ)ได้.... ถ้าหากไม่มีองค์แห่งอริยมรรคหกประการแรกเป็นบาทนำหน้า และ ไม่มีอริยะสัมมาสมาธิเป็นสิ่งสืบเนื่องตามมา



ปล...

ลองถาม คนศาสนาอื่นดูสิครับ ว่า

สิ่งสูงสุดที่เขาปารภเป็นหลักนั้น เป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงไหม?

ถ้าเขาตอบว่า สิ่งสูงสุดที่เขาปารภเป็นหลักนั้น เป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ...ค่อยคุยกันต่อ ถึงโอกาสที่คนศานาอื่นจะเจริญสติปัฏฐานบรรลุถึงพระนิพพาน(แบบของพระพุทธเจ้า)

แต่ ถ้าเขาตอบว่า สิ่งสูงสุดที่เขาปารภเป็นหลักนั้น ไม่ใช่อนัตตา แต่เป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริง ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง...โอกาสที่คนศาสนาอื่นจะเจริญสติปัฏฐานจนบรรลุถึงพระนิพพาน(แบบของพระพุทธเจ้า) ย่อมไม่มีเลย เพราะ อริยมรรคข้อแรกสุด(อนาสวะสัมมาทิฏฐิ) ก็ไม่สมบูรณ์เสียแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หวัดหมูมีเฉพาะในแม็กซิโกหรือ? แล้วทำไมมันจึงระบาดไปเกือบทุกประเทศล่ะ


หวัดหมูระบาดไปยังประเทศอื่นได้ เพราะ เหตุปัจจัยของการระบาดของหวัดหมูในประเทศอื่นๆ ก็มีเหมือนกับในเม็กซิโก




ถ้า ในศาสนาอื่นก็สามารถมีอริยมรรคอันมีองค์แปด ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยนำไปสู่พระนิพพาน อยู่จริง... ผู้บรรลุนิพพานก็ย่อมสามารถมีอยู่ในศาสนาอื่น เช่นกัน




แล้ว มีศาสนาอื่นที่มีอริยมรรคที่มีองค์แปดอยู่ไหม?

ศาสนาไหน???




ปล... ดึกๆ จะแวะเข้ามาใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณตรงประเด็น นี่ช่างสุขุมคัมภีรภาพจริงๆ ขอแสดงความนับถือ ด้วยจิตคารวะ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
kim1 นิพพานมีอยู่เฉพาะในศาสนาพุทธรึเปล่า?

แต่คริสต์แท้ อิสลามแท้ไม่มี ด้วยเหตุนี้ นิพพานจึงมีอยู่ในศาสนาอื่นด้วย


อ้อ..เพราะไม่รู้..นี้บาปไม่เท่าไร

แต่..ทั้งที่รู้..แต่เจตนา..จงใจ..เอาสนุกนี้..อิ..อิ..อิ..มันหน้าก..หนัก..มันหน้าว..หนาว..นรกนะครับ..อิ..อิ..อิ.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
บุคคลใด ดับ อวิชชา ได้ก็เข้าถึงนิพพานทุกคน



ต้องกล่าวว่า ละอวิชชา แล้ว วิชชาจึงเกิด

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ใช้คำว่า ก่อนสมัย พุทธกาลมีผู้รู้จักคำว่า นิพพาน

คือ รู้จักพระอรหันต์ โดย สภาวะหนึ่ง

ไม่ใช่ไปเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ บางองค์ท่านยังไม่สามารถเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธได้เลย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร