วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 07:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 177 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
กระทู้เดิมมีทำไมตั้งใหม่คะ
ระบายความทุกข์ออกมา
แล้วสบายใจก็ทำไปค่ะ
คิดแล้วไม่ได้ตังค์
รกสมองเปล่าๆ
ปล่อยวาง
จะดีขึ้น
:b12:
:b39: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยให้แสดงออก
ทั้งทางกายวาจาใจการสำรวมอินทรีย์
ด้วยการอยู่กับปัจจุบันที่กำลังปรากฎ
สำคัญกว่าการคิดออกไปนอกตัวเจ้าค่ะ
อยู่ในโลกของความคิดจำคนเดียวค่ะ
คนอื่นทำอะไรก็ทำตามเหตุปัจจัยที่มี
ของตัวเราอย่าไปกวาดเอาทุกข์คนอื่น
มาสร้างเวรก่อกรรมให้ทุกข์ตนเพิ่มขึ้น
:b8:
:b49: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ดูแลลบออก จะตั่งทำไมอีก

s006
:b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
การตั้งกระทู้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม
ภาษาที่ใช้เป็นคำสุภาพเกี่ยวกับธรรมที่ท่านรู้
ไม่ใช่การระบายอารมณ์แต่ต้องเป็นธรรมทาน
:b20:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีเพื่อนชาวเขาที่เรียนด้วยกันทักมาทางไลค์ว่าผิดหวังที่
เรียนผิดสาย(เรียนพุทธศาสตร์)สึกแล้วหางานยาก
แล้วก็แค้นที่ถูกโกงค่าเทอมทั้งๆที่อุส่าสละตนมาเรียนพุทธศาสตร์
ก็เลยเอามาโพสเพราะอยากให้ผู้เกี่ยวข้องหันมาให้ความสำคัญหน่อย
ไม่ได้เรียกร้องว่ามหาลัยสงฆ์ต้องเรียนแต่ทางธรรมขอเพียงแค่ให้ความสำคัญหน่อย
ในเมื่อเป็นมหาลัยสงฆ์แต่ไม่สนับสนุนให้มีการศึกษาทางธรรมจะมีไว้ทำไมละ
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ท่านต้องคิดให้ดีเรียนในฐานะไหน
ลาสิกขาแล้วจะเรียกร้องอะไร
ก็ต้องโทษตัวเองยังไม่พร้อม
ลาสิกขาไปทำไมบวชเรียน
เพื่อเอาไปใช้ทางโลก
ถูกต้องไหม
เวรกรรม
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2014, 21:55
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ท่านต้องคิดให้ดีเรียนในฐานะไหน
ลาสิกขาแล้วจะเรียกร้องอะไร
ก็ต้องโทษตัวเองยังไม่พร้อม
ลาสิกขาไปทำไมบวชเรียน
เพื่อเอาไปใช้ทางโลก
ถูกต้องไหม
เวรกรรม
:b12:
:b32: :b32:

เขาไม่ได้ต้องการเรียนแล้วสึกไปทำงาน
แต่ที่มาเรียนพุทธศาสตร์เพื่อต้องการอยู่ยาวช่วยเผยแพร่ศาสนา
แต่พอมาเรียนจริงๆกลับถูกดูเหยียบหยามไม่เห็นค่า
แถมถูกโกงค่าเทอมพอจบก็เลยสึก
คือไม่ได้ตั่งใจจะสึกแต่แรก ถ้าตั่งใจสึกแต่แรกเขาไม่เรียนคณะนี้หลอก
เข้าใจตรงนี้นะ

แล้วถามว่าทำไมมีแต่เราสองคนที่เรียกร้องเรื่องนี้
เพราะพระรูปอื่นที่มาเรียนพุทธศาสตร์มีแต่พระแก่ๆ
เขามาเรียนแก้ว่างเฉยๆเลยไม่คิดอะไรมาก
มีแต่เราสองคนที่เรียนต่อยอดจากม.6 ก็อยากเห็นความเจริญ
อยากมีอนาคต เลยไม่สามารถนิ่งนอนใจกับการศึกษาที่ให้ความสำคัญแต่ทางโลก

:b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


แก้ไขล่าสุดโดย แสงแห่งพระธรรม เมื่อ 30 ม.ค. 2016, 11:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
วาสนามีแล้วได้อัตภาพมนุษย์
บารมีการสร้างคุณความดีต้องอดทน
บวชไม่กี่พรรษาคำว่าดีมันยังไม่พอ
ต้องคิดว่ากรรมแต่ปางใดทำให้เป็นไป
ถ้าไม่เหมาะจะบวชก็เป็นเด็กวัดไปก่อน
ศึกษาธรรมจากรายการบ้านธัมมะก็ได้
โลกธรรม8เป็นธัมมะที่ลึกซึ้งอย่างมาก
http://www.dhammahome.com/video/topic/1725
:b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


มันไม่เกี่ยวกับบวชนานหรือไม่
มีวาสนาหรือไม่
พร้อมหรือไม่
มีอะไรหรือไม่
แต่อยู่ที่คนจะเอามาพูดหรือไม
ต่างหาก
หมายถึงปัญหานะ
การพูดถึงปัญหา
ในสิ่งที่เห็น
เป็นแค่ความคิด
เหมือนคนพูดถึงปัญหาการเมือง
ใครๆก็พูดได้
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนักการเมือง
แต่สังคมถูกปลุกฝังว่าคนที่พูดถึงคนอื่น
คืนคนไม่ดี
เพราะคนดีไม่พูดถึงคนอื่น
คนดีจึงไม่มีสิทธิวิจารย์คนอื่น
เพราะถ้าเผอลวิจารย์ก็จะกลายเป็นคน
ไม่ดีในสายตาคนอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้คนดีเห็นปัญหาจึงไม่กล้า
นำมาเปิดเผย
มองข้ามปัญหา
ปล่อยวาง
ช่างมัน
ถ้าวุ่นวายมากก็หนี
เมื่อคนดีหนีปัญหา
คนชั่วก็ได้ที
ความเกรงกลัวจึงไม่มี
เพราะไม่มีใครมาขัดขวาง
ปัญหาก็มากมี
คนดีจึงอยู่ยาก
อยู่ยากไม่ว่าตายง่ายอีกต่างหาก :b14: :b14:
โอ้...กฏแห่งกรรมหน่อย
ช่างเป็นเช่นนี้
แต่ไม่เป็นไร
เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
:b13: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2015, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
วาสนามีแล้วได้อัตภาพมนุษย์
บารมีการสร้างคุณความดีต้องอดทน
บวชไม่กี่พรรษาคำว่าดีมันยังไม่พอ
ต้องคิดว่ากรรมแต่ปางใดทำให้เป็นไป
ถ้าไม่เหมาะจะบวชก็เป็นเด็กวัดไปก่อน
ศึกษาธรรมจากรายการบ้านธัมมะก็ได้
โลกธรรม8เป็นธัมมะที่ลึกซึ้งอย่างมาก
http://www.dhammahome.com/video/topic/1725
:b39: :b39:


ปัญหาภายในคนนอกย่อมไม่เข้าใจ

นาง ก.เป็นแม่เด็กเลี้ยงลูกเอาแต่ด่าว่า
ด่าเช้าด่าเย็น ไม่สนับสนุนส่งเสริญให้ลูกมีการศึกษา
ไม่เอาใจใส่ดูแลลูก

นาง ข. เอาใจใส่ดูแลเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน
สนับสนุนส่งเสริญให้ลูกได้มีการศึกษา
เป็นกำลังใจคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

ถามว่าคุณ โรส เป็นคนเลี้ยงลูกแบบใหน
ปัญหามหาลัยสงฆ์ก็เหมือนกับ นาง ก. เลี้ยงลูกนั้นแหละ
เอาแต่ด่าว่า ไม่สนับสนุนส่งเสริญพอพระที่เรียนบางคนเกิด
ท้อแท้พากันสึก คนอื่นกับว่า บุญมีแค่ วาสนามีแค่นี้
มาได้แค่นี้ ถามว่ามันยุติธรรมไหมละ


คนเป็นแม่ก็ต้องเลี้ยงลูกเหมือน นาง ข. ใช่ไหม
ไม่ใช่เหมือน นาง ก. เอาแต่ด่าว่า พอลูกโต้ตอบบ้าง
ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกอกตัญญู มันไม่ยุติธรรมเลย :b5:

คนที่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์บาง อิสลามบ้าง แสดงว่าคนเหล่านั้น
ไม่มีบุญวาสนา ถ้ามีบุญวาสนาเขาไม่เปลี่ยนศาสนาหลอกใช่ไหมละ
เราคิดอยู่แค่นี่แต่ไม่เคยมองถึงปัญหา ทำไมพระถึงสึก ทำไมคนถึงเปลี่ยนศาสนา :b14: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


วิถีแห่งพุทธศาสนาในสังคมไทยนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่แนวคิดการนับถือพุทธศาสนา
ของคนไทยนั่นค่อยข้างน่าเป็นห่วงในระยะยาว เพราะไม่มีหลักประกันอะไรว่าพุทธ
ศาสนาจะสามารถอยู่คู่กับสังคมไทยได้ตลอดในขณะเดียวกันพุทธศาสนาก็พร้อมที่จะ
สูญหายไปจากสังคมไทยได้ตลอด หากไม่สูญจากสังคมผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา
หรือพุทธศาสนาจะมีบทบาทต่อสังคมในด้านจิตใจนั่นนับวันยิ่งห่างไกลไปเรื่อย จนก่อให้เกิดคำถามว่าวัดทุกวันนี้มีไว้ทำไม คุณยังเข้าวัดอยู่ไหม เข้าไปวัดทำไม เหตุเพราะพุทธศาสนาไม่เปิดรับผู้ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการฝึกฝนอบรมตน ในทางกับกันผู้ที่จะเข้ามาก็เกิดคำถามว่า เข้าไปทำไม เข้าแล้วไม่เห็นได้อะไร พูดง่ายๆคือ วัดไม่สามารถดึงดูดให้คนเข้ามา คนก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการเข้าวัดจึงก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างวัดกับชาวบ้าน ถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้ คำตอบคือ เกิดจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทยนั้นเอง แนวคิดที่ว่านั้นเป็นแบบใหน พุทธศาสนาในสังคมไทยมุ่งให้ความสำคัญกับบุคคลมากเกินไป เอาบุคคลมาตัดสิน ไม่รู้จักแยกแยะ คิดตัดสิน
แต่ในสิ่งที่เห็น แต่ไม่เคยคิดว่าทำไมถึงเกิดปัญหาเหล่านั้นจะช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างไร
พุทธศาสนาในสังคมไทยจึงตกอยู่ในฐานะสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสามารถเข้าถึง
สมบัติก็ได้ผลประโชนย์ไปส่วนคนที่ไม่สามารถจะเจ้าถึงสมบัติก็ได้แต่ยืนมอง เมื่อพุทธศาสนาเป็นสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อมีภัยเข้ามาจึงไม่มีใครออกมาปกป้อง
เปรียบแล้วพุทธศาสนาในสังคมไทยก็เหมือนกับผืนดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสมารถ
อาศัยผืนดินปลูกผลไม้เจริญงอกงามออกดอกออกผลคนก็แห่ไปเก็บดอกผลกินพากันเคารพนับถือว่าคนนี้มีบุญมาก ส่วนคนที่ปลูกผลไม้ไม่ออกดอกผล คนก็จะว่าคนนี้ไม่มีบุญ บุญน้อย สังคมไทยมองอยู่แค่นี้ คิดอยู่แค่นี้ ตัดสินอยู่แค่นี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปผืนดินที่เคยให้ความชุ่มชื่นปลูกผลไม้ออกดอกออกผลก็เริ่มหืดแห้งคนที่เข้ามาปลูกผลไม้ก็เริ่มจะไม่ออกดอกออกผล คนในสังคมก็พากันติเตียนว่า คนนั้นไม่ได้ คนนี้ไม่ดี แต่ไม่เคยคิดที่จะจดทะเบียนให้ผืนดินนั้นตกเป็นสมบัติของชาติ
แล้วช่วยกันระดมความคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ผืนดินกลับคืนสู่ความชุ่มชื่น ผลไม้ที่ออกผลยากก็ช่วยกันหาทางแก้ให้ผลไม้สามารถออกดอกออกผลเหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในคิดของคนไทย
คนไทยคิดตัดสินแต่สิ่งที่เห็นแต่ไม่เคยคิดถึงต้นเหตุผลของปัญหา
หากมองไปที่ต่างประเทศจะเห็นว่าฝรั่งชอบคิดค้นเมื่อค้นพบพวกเขาจะจดลิขสิทธิทันทีแสดงตนเป็นเจ้าของแม้สิ่งของบางอย่างที่เป็นของคนไทยพวกเขาก็จดลิขสิทธิเป็นเจ้าของเพราะคนไทยไม่สนใจ
อย่างพื้ชบางอย่างไม่สามารถปลูกในเมืองหนาวพวกเขาก็พยายามคิดค้นจนสำเร็จเป็นพื้น
Gmo แต่คนไทยโทษแต่ดินฟ้าอากาศปลูกผลไม้ออกดอกผลก็ว่าดินดี ปลูกไม่ออกก็โทษว่าดินไม่ดี โทษแต่บุญ โทษแต่วาสนา พระสึกก็ว่าคนนี้หมดบุญ หมดวาสนา คิดอยู่แค่นี้ปัญหาจึงไม่จบไม่สิ้น
ผลจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทย จึงทำให้ไม่มีความเจริญทั้งทางด้านจิตใจและทางวัตถุ เพราะคนไทยไม่ชอบคิดค้นตั่งคำถาม ตัดสินแต่สิ่งที่เห็น :b31: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
มันไม่เกี่ยวกับบวชนานหรือไม่
มีวาสนาหรือไม่
พร้อมหรือไม่
มีอะไรหรือไม่
แต่อยู่ที่คนจะเอามาพูดหรือไม
ต่างหาก
หมายถึงปัญหานะ
การพูดถึงปัญหา
ในสิ่งที่เห็น
เป็นแค่ความคิด
เหมือนคนพูดถึงปัญหาการเมือง
ใครๆก็พูดได้
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนักการเมือง
แต่สังคมถูกปลุกฝังว่าคนที่พูดถึงคนอื่น
คืนคนไม่ดี
เพราะคนดีไม่พูดถึงคนอื่น
คนดีจึงไม่มีสิทธิวิจารย์คนอื่น
เพราะถ้าเผอลวิจารย์ก็จะกลายเป็นคน
ไม่ดีในสายตาคนอื่น
เมื่อเป็นเช่นนี้คนดีเห็นปัญหาจึงไม่กล้า
นำมาเปิดเผย
มองข้ามปัญหา
ปล่อยวาง
ช่างมัน
ถ้าวุ่นวายมากก็หนี
เมื่อคนดีหนีปัญหา
คนชั่วก็ได้ที
ความเกรงกลัวจึงไม่มี
เพราะไม่มีใครมาขัดขวาง
ปัญหาก็มากมี
คนดีจึงอยู่ยาก
อยู่ยากไม่ว่าตายง่ายอีกต่างหาก :b14: :b14:
โอ้...กฏแห่งกรรมหน่อย
ช่างเป็นเช่นนี้
แต่ไม่เป็นไร
เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
:b13: :b9:

แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ปัญหาภายในคนนอกย่อมไม่เข้าใจ

นาง ก.เป็นแม่เด็กเลี้ยงลูกเอาแต่ด่าว่า
ด่าเช้าด่าเย็น ไม่สนับสนุนส่งเสริญให้ลูกมีการศึกษา
ไม่เอาใจใส่ดูแลลูก

นาง ข. เอาใจใส่ดูแลเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน
สนับสนุนส่งเสริญให้ลูกได้มีการศึกษา
เป็นกำลังใจคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

ถามว่าคุณ โรส เป็นคนเลี้ยงลูกแบบใหน
ปัญหามหาลัยสงฆ์ก็เหมือนกับ นาง ก. เลี้ยงลูกนั้นแหละ
เอาแต่ด่าว่า ไม่สนับสนุนส่งเสริญพอพระที่เรียนบางคนเกิด
ท้อแท้พากันสึก คนอื่นกับว่า บุญมีแค่ วาสนามีแค่นี้
มาได้แค่นี้ ถามว่ามันยุติธรรมไหมละ


คนเป็นแม่ก็ต้องเลี้ยงลูกเหมือน นาง ข. ใช่ไหม
ไม่ใช่เหมือน นาง ก. เอาแต่ด่าว่า พอลูกโต้ตอบบ้าง
ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกอกตัญญู มันไม่ยุติธรรมเลย :b5:

คนที่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์บาง อิสลามบ้าง แสดงว่าคนเหล่านั้น
ไม่มีบุญวาสนา ถ้ามีบุญวาสนาเขาไม่เปลี่ยนศาสนาหลอกใช่ไหมละ
เราคิดอยู่แค่นี่แต่ไม่เคยมองถึงปัญหา ทำไมพระถึงสึก ทำไมคนถึงเปลี่ยนศาสนา :b14: :b5:


Kiss
เกี่ยวแน่นอนเจ้าค่ะ หลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์ไว้อย่างนี้เจ้าค่ะ
ฆราวาสหันหน้าเข้าวัดแต่พระหันหน้าออกนอกวัดไปอยู่กับชาวโลก
ปัญหามีเพราะคิด สุขทุกข์มีเพราะคิด โลกของธัมมะว่างจากตัวตน
ท่านต้องอยู่กับความจริงของสิ่งที่ท่านมีไม่ใช่ไปวิ่งตามความคิดผิดๆ
การสำรวมระวังกายวาจาใจเป็นปกติจิตพื้นฐานของนักบวชไม่ใช่หรือเจ้าคะ
:b16:
:b43: :b43:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 17 ก.ย. 2015, 10:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
วิถีแห่งพุทธศาสนาในสังคมไทยนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่แนวคิดการนับถือพุทธศาสนา
ของคนไทยนั่นค่อยข้างน่าเป็นห่วงในระยะยาว เพราะไม่มีหลักประกันอะไรว่าพุทธ
ศาสนาจะสามารถอยู่คู่กับสังคมไทยได้ตลอดในขณะเดียวกันพุทธศาสนาก็พร้อมที่จะ
สูญหายไปจากสังคมไทยได้ตลอด หากไม่สูญจากสังคมผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา
หรือพุทธศาสนาจะมีบทบาทต่อสังคมในด้านจิตใจนั่นนับวันยิ่งห่างไกลไปเรื่อย จนก่อให้เกิดคำถามว่าวัดทุกวันนี้มีไว้ทำไม คุณยังเข้าวัดอยู่ไหม เข้าไปวัดทำไม เหตุเพราะพุทธศาสนาไม่เปิดรับผู้ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการฝึกฝนอบรมตน ในทางกับกันผู้ที่จะเข้ามาก็เกิดคำถามว่า เข้าไปทำไม เข้าแล้วไม่เห็นได้อะไร พูดง่ายๆคือ วัดไม่สามารถดึงดูดให้คนเข้ามา คนก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการเข้าวัดจึงก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างวัดกับชาวบ้าน ถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้ คำตอบคือ เกิดจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทยนั้นเอง แนวคิดที่ว่านั้นเป็นแบบใหน พุทธศาสนาในสังคมไทยมุ่งให้ความสำคัญกับบุคคลมากเกินไป เอาบุคคลมาตัดสิน ไม่รู้จักแยกแยะ คิดตัดสิน
แต่ในสิ่งที่เห็น แต่ไม่เคยคิดว่าทำไมถึงเกิดปัญหาเหล่านั้นจะช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างไร
พุทธศาสนาในสังคมไทยจึงตกอยู่ในฐานะสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสามารถเข้าถึง
สมบัติก็ได้ผลประโชนย์ไปส่วนคนที่ไม่สามารถจะเจ้าถึงสมบัติก็ได้แต่ยืนมอง เมื่อพุทธศาสนาเป็นสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อมีภัยเข้ามาจึงไม่มีใครออกมาปกป้อง
เปรียบแล้วพุทธศาสนาในสังคมไทยก็เหมือนกับผืนดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสมารถ
อาศัยผืนดินปลูกผลไม้เจริญงอกงามออกดอกออกผลคนก็แห่ไปเก็บดอกผลกินพากันเคารพนับถือว่าคนนี้มีบุญมาก ส่วนคนที่ปลูกผลไม้ไม่ออกดอกผล คนก็จะว่าคนนี้ไม่มีบุญ บุญน้อย สังคมไทยมองอยู่แค่นี้ คิดอยู่แค่นี้ ตัดสินอยู่แค่นี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปผืนดินที่เคยให้ความชุ่มชื่นปลูกผลไม้ออกดอกออกผลก็เริ่มหืดแห้งคนที่เข้ามาปลูกผลไม้ก็เริ่มจะไม่ออกดอกออกผล คนในสังคมก็พากันติเตียนว่า คนนั้นไม่ได้ คนนี้ไม่ดี แต่ไม่เคยคิดที่จะจดทะเบียนให้ผืนดินนั้นตกเป็นสมบัติของชาติ
แล้วช่วยกันระดมความคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ผืนดินกลับคืนสู่ความชุ่มชื่น ผลไม้ที่ออกผลยากก็ช่วยกันหาทางแก้ให้ผลไม้สามารถออกดอกออกผลเหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในคิดของคนไทย
คนไทยคิดตัดสินแต่สิ่งที่เห็นแต่ไม่เคยคิดถึงต้นเหตุผลของปัญหา
หากมองไปที่ต่างประเทศจะเห็นว่าฝรั่งชอบคิดค้นเมื่อค้นพบพวกเขาจะจดลิขสิทธิทันทีแสดงตนเป็นเจ้าของแม้สิ่งของบางอย่างที่เป็นของคนไทยพวกเขาก็จดลิขสิทธิเป็นเจ้าของเพราะคนไทยไม่สนใจ
อย่างพื้ชบางอย่างไม่สามารถปลูกในเมืองหนาวพวกเขาก็พยายามคิดค้นจนสำเร็จเป็นพื้น
Gmo แต่คนไทยโทษแต่ดินฟ้าอากาศปลูกผลไม้ออกดอกผลก็ว่าดินดี ปลูกไม่ออกก็โทษว่าดินไม่ดี โทษแต่บุญ โทษแต่วาสนา พระสึกก็ว่าคนนี้หมดบุญ หมดวาสนา คิดอยู่แค่นี้ปัญหาจึงไม่จบไม่สิ้น
ผลจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทย จึงทำให้ไม่มีความเจริญทั้งทางด้านจิตใจและทางวัตถุ เพราะคนไทยไม่ชอบคิดค้นตั่งคำถาม ตัดสินแต่สิ่งที่เห็น :b31: :b11:

:b6:
การับรู้ความจริงของสิ่งที่มีทีละหนึ่งขณะแค่กระพริบตา1ครั้งเกิดดับทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนับไม่ถ้วนเลย
ท่านรองพิจารณาสิเจ้าคะว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ สภาพธรรมที่ปรากฎหมดไปหมดไปไม่พิจารณาคือหลง
โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถออกไปจากจิตได้เลยเพราะไม่เจริญวิปัสสนาภาวนาตามหน้าที่ที่ควรของสงฆ์
:b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
วิถีแห่งพุทธศาสนาในสังคมไทยนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่แนวคิดการนับถือพุทธศาสนา
ของคนไทยนั่นค่อยข้างน่าเป็นห่วงในระยะยาว เพราะไม่มีหลักประกันอะไรว่าพุทธ
ศาสนาจะสามารถอยู่คู่กับสังคมไทยได้ตลอดในขณะเดียวกันพุทธศาสนาก็พร้อมที่จะ
สูญหายไปจากสังคมไทยได้ตลอด หากไม่สูญจากสังคมผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา
หรือพุทธศาสนาจะมีบทบาทต่อสังคมในด้านจิตใจนั่นนับวันยิ่งห่างไกลไปเรื่อย จนก่อให้เกิดคำถามว่าวัดทุกวันนี้มีไว้ทำไม คุณยังเข้าวัดอยู่ไหม เข้าไปวัดทำไม เหตุเพราะพุทธศาสนาไม่เปิดรับผู้ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการฝึกฝนอบรมตน ในทางกับกันผู้ที่จะเข้ามาก็เกิดคำถามว่า เข้าไปทำไม เข้าแล้วไม่เห็นได้อะไร พูดง่ายๆคือ วัดไม่สามารถดึงดูดให้คนเข้ามา คนก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการเข้าวัดจึงก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างวัดกับชาวบ้าน ถามว่าทำไมเป็นเช่นนี้ คำตอบคือ เกิดจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทยนั้นเอง แนวคิดที่ว่านั้นเป็นแบบใหน พุทธศาสนาในสังคมไทยมุ่งให้ความสำคัญกับบุคคลมากเกินไป เอาบุคคลมาตัดสิน ไม่รู้จักแยกแยะ คิดตัดสิน
แต่ในสิ่งที่เห็น แต่ไม่เคยคิดว่าทำไมถึงเกิดปัญหาเหล่านั้นจะช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างไร
พุทธศาสนาในสังคมไทยจึงตกอยู่ในฐานะสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสามารถเข้าถึง
สมบัติก็ได้ผลประโชนย์ไปส่วนคนที่ไม่สามารถจะเจ้าถึงสมบัติก็ได้แต่ยืนมอง เมื่อพุทธศาสนาเป็นสมบัติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อมีภัยเข้ามาจึงไม่มีใครออกมาปกป้อง
เปรียบแล้วพุทธศาสนาในสังคมไทยก็เหมือนกับผืนดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครมีความสมารถ
อาศัยผืนดินปลูกผลไม้เจริญงอกงามออกดอกออกผลคนก็แห่ไปเก็บดอกผลกินพากันเคารพนับถือว่าคนนี้มีบุญมาก ส่วนคนที่ปลูกผลไม้ไม่ออกดอกผล คนก็จะว่าคนนี้ไม่มีบุญ บุญน้อย สังคมไทยมองอยู่แค่นี้ คิดอยู่แค่นี้ ตัดสินอยู่แค่นี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปผืนดินที่เคยให้ความชุ่มชื่นปลูกผลไม้ออกดอกออกผลก็เริ่มหืดแห้งคนที่เข้ามาปลูกผลไม้ก็เริ่มจะไม่ออกดอกออกผล คนในสังคมก็พากันติเตียนว่า คนนั้นไม่ได้ คนนี้ไม่ดี แต่ไม่เคยคิดที่จะจดทะเบียนให้ผืนดินนั้นตกเป็นสมบัติของชาติ
แล้วช่วยกันระดมความคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ผืนดินกลับคืนสู่ความชุ่มชื่น ผลไม้ที่ออกผลยากก็ช่วยกันหาทางแก้ให้ผลไม้สามารถออกดอกออกผลเหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในคิดของคนไทย
คนไทยคิดตัดสินแต่สิ่งที่เห็นแต่ไม่เคยคิดถึงต้นเหตุผลของปัญหา
หากมองไปที่ต่างประเทศจะเห็นว่าฝรั่งชอบคิดค้นเมื่อค้นพบพวกเขาจะจดลิขสิทธิทันทีแสดงตนเป็นเจ้าของแม้สิ่งของบางอย่างที่เป็นของคนไทยพวกเขาก็จดลิขสิทธิเป็นเจ้าของเพราะคนไทยไม่สนใจ
อย่างพื้ชบางอย่างไม่สามารถปลูกในเมืองหนาวพวกเขาก็พยายามคิดค้นจนสำเร็จเป็นพื้น
Gmo แต่คนไทยโทษแต่ดินฟ้าอากาศปลูกผลไม้ออกดอกผลก็ว่าดินดี ปลูกไม่ออกก็โทษว่าดินไม่ดี โทษแต่บุญ โทษแต่วาสนา พระสึกก็ว่าคนนี้หมดบุญ หมดวาสนา คิดอยู่แค่นี้ปัญหาจึงไม่จบไม่สิ้น
ผลจากแนวคิดการนับถือพุทธศาสนาของคนไทย จึงทำให้ไม่มีความเจริญทั้งทางด้านจิตใจและทางวัตถุ เพราะคนไทยไม่ชอบคิดค้นตั่งคำถาม ตัดสินแต่สิ่งที่เห็น :b31: :b11:

:b6:
การับรู้ความจริงของสิ่งที่มีทีละหนึ่งขณะแค่กระพริบตา1ครั้งเกิดดับทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนับไม่ถ้วนเลย
ท่านรองพิจารณาสิเจ้าคะว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ สภาพธรรมที่ปรากฎหมดไปหมดไปไม่พิจารณาคือหลง
โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถออกไปจากจิตได้เลยเพราะไม่เจริญวิปัสสนาภาวนาตามหน้าที่ที่ควรของสงฆ์
:b22:


หน้าที่ของสงฆ์มีอยู่สองอย่าง คือ ภายใน และภายนอก
ภายในคือการฝึกฝนอบรมตน ภายนอกคือการช่วยเหลือสังคม
แต่ตอนนี้กำลังพูดถึงหน้าที่ภายนอก ต้องรู้จักแยกแยะนะ
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 177 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร