วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 08:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2022, 10:54 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2901


 ข้อมูลส่วนตัว


:b47: :b50: :b47: อาศัยตัณหาละตัณหา
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


รูปภาพ

พึงพากันตั้งใจ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องฝึกตนกัน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระธรรมคำสอนของพระองค์ ไม่อ้างกาลอ้างเวลา
เพราะพระธรรมมีอยู่ทุกเมื่อที่จะให้เราพิสูจน์และปฏิบัติตาม
พระธรรมที่พระองค์เจ้าทรงแสดงนั้น
ก็ชี้เข้ามาที่ กาย วาจา ใจ ของคนเรานี้เอง
ในเมื่อ กาย วาจา ใจนี้ยังมีอยู่พระธรรมก็มีอยู่ ให้เข้าใจอย่างนั้น

เช่นในพระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรก็ทรงแสดงถึงเรื่องของความทุกข์
กล่าวโดยเนื้อความแล้ว แสดงถึงเรื่องของความทุกข์ แสดงถึงเหตุให้เกิดทุกข์
แสดงถึงความดับทุกข์ แสดงถึงข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
พระองค์เจ้าชี้ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งห้านั้นให้เห็น
ความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้มันเป็นทุกข์
ความพิไรรำพัน เศร้าโศกเสียใจก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์
ความได้คบหาสมาคมกับบุคคลที่ไม่ถูกนิสัยกันก็เป็นทุกข์
ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมหวังก็เป็นทุกข์

นี้ทรงชี้ให้พุทธบริษัททั้งหลายรู้จักทุกข์อันมีอยู่ในร่างกายสังขารอันนี้
ให้รู้ให้เห็นทุกข์เหล่านี้นะมันเป็นผลของความเกิด
เมื่อเกิดมามีรูปมีนามอันนี้มาแล้ว ทุกข์มันก็มีมาพร้อมกัน
ถ้าไม่มีรูปไม่มีนามอันนี้ ทุกข์ก็ไม่มี
บัดนี้รูปนามอันนี้มันเกิดมาได้อย่างไร
มันเกิดมาได้เพราะจิตใจมันยึดมั่นอยู่ในตัณหาความอยาก
ความอยากให้รูปให้นามอันนี้อยู่ยั่งยืนนาน อยากให้รูปร่างอันนี้สวยสดงดงาม
หาเครื่องประดับประดามาตกแต่งอยู่อย่างนั้น หาปัจจัยสี่มาบำรุงมัน
แล้วไม่ใช้ให้มันทำบุญกุศลคุณงามความดีให้มาก ทำก็ทำนิดๆหน่อยๆ
ส่วนมากจิตใจก็ไปเพลินอยู่แต่การแสวงหาปัจจัยสี่มาบำรุงร่างกายอันนี้
ไม่บำรุงจิตใจของตนด้วยการสั่งสมบุญกุศล
ไปสะสมแต่บาปอกุศลให้มีขึ้นในใจของตน เพราะฉะนั้นมันถึงได้เป็นทุกข์

คนเราท่องเที่ยวอยู่ในสงสารอันนี้ เพราะเอาบาปเป็นเพื่อน
นี่แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์
ก็บุคคลทำบุญกุศลทำความดีอันนั้น มันก็เป็นตัณหาอยู่เหมือนกันแหละ
ตัณหาอยากได้บุญอยากมีความสุข แต่ว่ามันเป็นตัณหาฝ่ายดี
มันนำชีวิตจิตใจอันนี้ให้มีความสุขสูงขึ้นไปโดยลำดับ
ถ้าไม่มีบาปมาแทรกแซงแล้ว มันก็มีความสุขยิ่งขึ้นไป
ทำบุญมากเท่าไรก็มีความสุขมากเท่านั้น

แต่ที่คนเรามันพ้นทุกข์ไปไม่ได้โดยเร็ว
ก็เพราะตัณหาฝ่ายอกุศลนี่แหละ ความอยากไปในทางบาปอกุศล
แล้วก็ใช้กาย วาจา ทำไปในทางบาปอกุศล
บาปอกุศลก็หน่วงเหนี่ยวชีวิตนี้ ให้จมอยู่ในโลกสงสารอันนี้ ทนทุกข์ทรมานอยู่นี่
นี้ต้องให้รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์เป็นขั้นๆ ไป เมื่อรู้จักว่าเหตุให้เกิดทุกข์
ในขั้นต้นได้แก่ตัณหาความอยากไปในทางบาปทุจริต
รู้อย่างนี้แล้วก็เพียรละความอยากอันนี้ออกไปก่อน
พยายามฝึกใจของตนให้มันอยากไปแต่ในทางสุจริต
ทำอะไรพูดอะไรก็ให้มันตรงต่อศีลตรงต่อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าฝึกได้อย่างนี้แล้วผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีบาปอยู่ในตน
เมื่อไม่มีบาปอยู่ในตนแล้ว ทำอะไรพูดอะไรก็เป็นบุญเป็นกุศลไปเรื่อยๆ แหละ
คิดอะไรก็เป็นบุญกุศลต้องให้เข้าใจอย่างนี้
พระพุทธเจ้ายังได้ทรงตรัสว่าอาศัยตัณหานั่นแหละละตัณหา
อาศัยมานะนั่นแหละ ละมานะ
ก็อาศัยตัณหาฝ่ายดีอย่างที่ว่ามาแล้วนั้นแหละ
อาศัยมานะ ก็มานะแปลว่าความถือตัว
ถ้าน้อมตัวไปในทางดีก็หมายความว่า เราน่ะเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้ว
ไม่ควรที่จะทำความชั่ว ให้ตัวตกต่ำลงไป ควรยกตนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะความที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้นะ มันแสนยาก
กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละชาติ
เช่น อย่างชาตินี้เกิดมาแล้ว ไปทำบาปกรรมมากกว่าทำบุญใส่ตัวไว้อย่างนี้
ตายแล้วบาปกรรมก็นำไปสู่นรกอบายภูมิ
ไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกนานแสนนาน
กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์นะ

นี้ละตัณหาฝ่ายบาปนี้ มันทำให้สัตว์ทั้งหลายเนิ่นช้านานพ้นทุกข์พ้นภัย
ต้องพิจารณาให้มันเห็นอย่างนี้
ถ้าเห็นความเป็นมนุษย์นี้เป็นของประเสริฐแล้ว
คนนั้นก็ไม่ยอมใช้กาย วาจา ใจ ไปทำความชั่วแล้ว
รักษาเกียรติของความเป็นมนุษย์ไว้
บัดนี้มนุษย์ผู้มีบุญมาก เกิดมาแล้วก็บุญกุศลก็มาดลบันดาล
ให้เห็นทุกข์เห็นภัยในสงสาร
ให้เห็นว่าการทำบาปการเบียดเบียนกันน่ะ มันเป็นทุกข์ทั้งในโลกนี้โลกหน้าจริงๆ

ทำอย่างไรหนอเราจึงจะได้พ้นจากการทำบาปเหล่านี้
เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้
ก็นึกน้อมไปในทางพุทธศาสนา ในการเป็นนักบวชก็มองเห็นแต่ทางบวชนี้
เป็นทางเว้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วย
เป็นทางเว้นจากความผูกพันอยู่ในกามทุกข์ทั้งหลายด้วย
บุคคลผู้ใดมาคิดเห็นเช่นนี้แล้ว ก็จึงได้น้อมไปในทางบรรพชาอุปสมบท
ชื่อว่าเป็นผู้มีมานะในทางที่ดี ไม่ยอมใช้ชีวิตอันนี้ให้ไปทำบาปทำกรรมชั่วใส่ตัวเอง

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในอปัณณกปฏิปทา คือข้อปฏิบัติไม่ผิดสามอย่าง
ได้แก่บรรพชาอุปสมบทหนึ่ง เป็นการเว้นจากเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
พระองค์เจ้าแสดงไว้มันชัดเจนเลย
เมื่อเราเอามาพิจารณาดูคำนี้มันก็ถูกต้อง
เพราะเป็นนักบวชนี่ มีชีวิตเนื่องอยู่ด้วยผู้อื่น เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ได้ทำบาป
ได้เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามถนนหนทาง ตามตรอกตามซอย
ใครใส่อาหารให้อย่างไร เราก็รับเอาอย่างนั้น
จะเป็นอาหารที่มีรสเลิศหรือไม่มีรสเลิศก็ช่าง เราถือสันตุฏฐีตามมีตามได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ได้ทำบาปเพราะอาชีพ

คนทำบาปกรรมในโลกอันนี้
มันเพราะอาชีพนี้แหละเป็นส่วนหลายเลยทีเดียว พิจารณาดูให้มันเห็น

เพราะคนเราเกิดมาแล้วต้องกินต้องใช้
ไม่มีปัจจัยสี่บำรุงร่างกายอันนี้ก็อยู่ไม่ได้เลย
ทีนี้คนที่บุญน้อยปัญญาก็น้อย เกิดมาอยู่ในฐานะยากจน
ไม่สมบูรณ์ด้วยลาภสักการะต่างๆนี้
นี่แหละเป็นเหตุให้บุคคลไปทำบาป แสวงหาอาหาร การบริโภคก็ดี
ต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในการแสวงหาผ้านุ่งผ้าห่ม
ถ้าจะต้องการหาผ้านุ่งผ้าห่มที่ราคาแพงๆ ตนก็ไม่มีเงิน
เงินก็ไม่พอค่าผ้านุ่งผ้าห่มเหล่านั้น
จำเป็นต้องไปวางแผนลักเอาจี้ปล้นเอาอย่างนี้นะ
เครื่องประดับประดาต่างๆ ก็เหมือนกัน

เมื่อบุคคลอยู่ในฐานะยากจน
แต่ว่าตัณหาความอยากนั้น มันทำอยากเกินภูมิเกินฐานะของตน
ต้องไปจี้ไปปล้นเอาของเขามา
มันก็เป็นบาปเป็นกรรมแหละบัดนี้ เป็นอย่างนี้แหละ
การเกิดมาในโลกนี้ ถ้าเป็นบุคคลผู้มีบุญกุศลหนหลังแต่ก่อนนั้น
มาสนับสนุนให้ร่ำรวยขึ้นมาแล้ว
บัดนี้ถ้าหากว่าคนผู้นั้นไม่ได้คบหาสมาคมกับนักปราชญ์ในพระพุทธศาสนา
ไม่ได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ต้องตกเป็นทาสของตัณหาอุปาทานอีกแล้ว
มีสมบัติมามากๆ ก็หวงแหน บัดนี้มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม มีแต่หามาเรื่อย

บัดนี้คนไม่รู้อย่างว่านั้นนะ ไม่รู้บาปรู้บุญนะ
มีเงินก็ใช้เงินเป็นอำนาจข่มขี่คนยากคนจน ขูดรีดเอาจากคนจน
มาสะสมไว้ให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
รวมความเรียกว่าทั้งคนรวยและคนจนเมื่อไม่มีศีลไม่มีธรรมอยู่ในใจแล้ว
ก็หาเลี้ยงชีพโดยทางทุจริตเหมือนกันหมดเลย สร้างบาปสร้างกรรมใส่ตนทั้งนั้นเลย

ทีนี้ว่าถ้าหากผู้ใดเป็นคนร่ำรวย มีเงินมีทองมาก
แล้วเป็นผู้มีสติปัญญา ได้สดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแต่ก่อนเช่นนี้
ก็แสวงคบหาสมาคมกับนักปราชญ์บัณฑิต
หรือไปสมาคมกับพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ท่านจะได้แนะนำในทางที่ถูกต้องในการทำมาหาเลี้ยงชีพ
ท่านจะได้แนะนำชักจูงให้ถือสันตุฏฐี ตามมีตามได้
ก็จะได้ตัดทอนตัณหาอันท่วมท้นจิตใจอยู่นั่นให้เบาบางออกไป
เมื่อตัณหามันเบาบางไปแล้ว ก็จะไม่ได้ทำบาป
ไม่ได้เบียดเบียนบุคคลผู้อื่นและสัตว์อื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อน

เพราะฉะนั้นน่ะ อันนี้นะพูดถึงความเป็นผู้เห็นความสำคัญในความเป็นมนุษย์ของตน
ไม่ยอมเหยียดตัวเองให้ตกต่ำลงไป มีแต่ยกตัวเองให้สูงขึ้นด้วยศีลด้วยธรรม
แม้จะเป็นคฤหัสถ์ ก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม
ทำมาหาเลี้ยงชีพ ก็หาเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบด้วยศีลด้วยธรรม
ถ้าผิดศีลผิดธรรมแล้วก็ไม่แสวงหา แสวงหาให้ถูกศีลถูกธรรม
แม้จะได้ไม่มากก็ไม่เป็นไร ได้เท่าไหร่เราก็บริโภคใช้สอยเท่านั้น
เพราะว่าร่างกายสังขารอันนี้ แม้จะบำรุงมันด้วยปัจจัยสี่ฟุ่มเฟือยเท่าไหร่
มันก็ไม่จีรังยั่งยืน ถึงเวลามันชำรุดทรุดโทรมมันก็ชำรุดไปอยู่อย่างนั้น
ถ้าไม่เป็นอย่างว่าพวกเศรษฐีทั้งหลาย
ก็คงจะมีอายุยืนกว่าคนธรรมดาสามัญนะ ลองคิดดู

แต่นี้เศรษฐีบางคน อายุยังไม่ยืนเท่าคนยากคนจนด้วยซ้ำไปก็มีอยู่
นี่คนมีปัญญามันต้องรู้จักเปรียบเทียบกัน
ดูแล้วมันจะทำให้ความอยากเหล่านั้นมันบรรเทาลง จะได้ไม่ทำบาป
แม้คนร่ำรวยก็เหมือนกัน เมื่อมาพิจารณาเห็นสังขารร่างกายอันนี้
ไม่จีรังยั่งยืนแล้วเช่นนี้ มันก็จะบรรเทาความอยากลงได้
ความอยากไปในทางทุจริต
อ้าว ไม่ทราบว่าจะไปกอบโกยเอาสมบัติภายนอกอันนี้ในทางทุจริตมาทำไมเล่า
ในเมื่อร่างกายนี่นะ มันชำรุดทรุดโทรมไปอยู่เรื่อยๆ อยู่อย่างนี้
เมื่อสะสมสมบัติไว้กองใหญ่ๆ แล้วบัดนี้ ตัวเองก็ตายไปเสีย
ไม่ทันได้บริโภคสมบัติไปได้นมนานอะไรเลยอย่างนี้
มันจะดีที่ไหนล่ะ ตายแล้วก็ไปตกนรกอย่างนี้

บางคนก็อ้างว่าทำไว้เผื่อลูกเผื่อหลาน
แล้วทีนี้ลูกหลานเขาไปช่วยฉุดดึงเราออกจากนรกได้หรือไม่
เมื่อตนไปตกนรกนะ ไม่มีทาง คนเรามันไม่คิดนี่
เพราะฉะนั้น ก็จึงแสดงความคิดเห็นไว้ในที่นี้ ให้ผู้ฟังได้เอาไปคิด
เมื่อมันคิดได้อย่างนี้แล้ว มันก็ไม่ต้องเห็นแก่ลูกแก่หลาน ลูกอะไร
ลูกก็ดีหลานก็ดีเลี้ยงเขาใหญ่มาแล้ว
สงเคราะห์เขาให้ได้ศึกษาเล่าเรียนมีวิชาความรู้แล้วอย่างนี้
เขาหาเลี้ยงตัวเองได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปสะสมเงินทองก้อนใหญ่ๆ อะไรไว้ให้เขา

จริงอยู่ เงินทอง ถ้าหากได้มาด้วยบุญ ได้มาโดยทางสุจริตแล้ว
แม้มากเท่าไหร่มันก็ไม่เป็นบาปเป็นโทษ มันก็ไม่พาไปสู่นรกอบายภูมิ
อันนั้นนับว่าน่าสรรเสริญ บุคคลผู้นั้นชื่อว่าได้ทำบุญมาแต่ก่อนมากมาย
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสรรเสริญคนมีปัญญา
สามารถทำความดีใส่ตนให้เจริญรุ่งเรืองด้วยลาภยศ สรรเสริญต่างๆ ได้
ไม่ใช่พระองค์ทรงตำหนิคนมีบุญนะทรงสรรเสริญอยู่
พระองค์ทรงตำหนิแต่คนมีบาปเท่านั้นเอง

คนทำบาปคนไม่รักตัวเองเช่นนี้แหละ คนไม่ฝึกฝนจิตใจตัวเอง
ไม่ตัดทอนความอยากให้เบาบางออกไปจากจิตใจของตนเอง
ทรงตำหนิว่าเป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตัวเองให้ย่อยยับลงไป
ปล่อยให้ตนเองเป็นทุกข์เดือดร้อนไปในสงสารนี้ ดังนั้นแหละ
พุทธบริษัททั้งหลาย ก็ให้รู้จักละเหตุแห่งทุกข์
ให้ได้ศึกษาเรื่องเหตุแห่งทุกข์ให้เข้าใจ
ไม่ใช่อื่นไกลอะไรเลย ตัณหาลูกเดียวนี่แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์
เมื่อความอยากนี่มันมีแล้ว กิเลสอย่างอื่นมันก็เกิดตามกันมาแหละ
ความโกรธ มันก็เกิดมาจากตัณหา ความอยากนี่เอง
ความหลงมันก็เกิดมาจากตัณหานี้

เมื่อความอยากมันท่วมท้นจิตใจแล้ว
มันก็ทำให้เมาแล้ว ทีนี้นะ ได้เท่าไหร่มาก็ไม่พอแล้ว เมาไปเรื่อยๆ ไป
เหมือนอย่างคนดื่มเหล้า พอดื่มไปมันเมาไปแล้ว คล้ายๆ กับว่ามันไม่เมาบัดนี้
ก็ดื่มเพิ่มเติมไปเรื่อยไปๆ จนว่าเดินไม่ได้จนว่าอาเจียนออกมานู่นนะ
ตัณหาก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ
ถ้าหากว่าปล่อยให้มันอยากไปเท่าไหร่ มันไม่มีเวลาพอเลย
มันอยากเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ
ในที่สุดก็ทำให้บุคคลผู้นั้นสร้างบาปกรรมเวรใส่ตนเอง
เพราะความอยากอันไม่มีสิ้นสุดนั้นแหละ ก็ไปไหม้อยู่ในอบายภูมิโน่น
เมื่อบุคคลมาละความอยากนี้ให้เบาลงไปเท่าใด ความทุกข์มันก็เบาไปเท่านั้น
ถ้าละความอยากอันนี้ได้หมด ความทุกข์ทางจิตใจนี่ก็หมดไป ดังแสดงมา.


ที่มา : หนังสือ ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๙
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี
วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
หัวข้อ อาศัยตัณหาละตัณหา หน้า ๓๗-๔๗
(แผ่นที่ ๑๙ ลำดับที่ ๑๓)
กัณฑ์เทศน์ โดย พระครูสุทธิญาณโสภณ
ถอดเทป โดย พระมหาทวี ญาณวโร
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖
:b8: :b8: :b8:

:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2024, 11:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 752

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร