วันเวลาปัจจุบัน 08 ต.ค. 2024, 09:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2024, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 189


 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"
- พาหิยสูตร -

ขอขยายความคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่พาหิยะดังนี้:

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พาหิยะเข้าใจถึงแก่นแท้ของการรับรู้และประสบการณ์ โดยไม่ยึดติดหรือปรุงแต่งเพิ่มเติม การเห็นก็ให้เป็นเพียงแค่การเห็น การได้ยินก็ให้เป็นเพียงแค่การได้ยิน ไม่ต้องตีความหรือคิดปรุงแต่งใดๆ เพิ่มเติม นี่คือการรับรู้อย่างบริสุทธิ์ ปราศจากอคติหรืออวิชชาเข้าครอบงำ

เมื่อเราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงเช่นนี้ได้ จิตใจของเราจะไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่มีความรู้สึกว่า "เรา" เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้รู้ ผู้เข้าใจ แต่มีเพียงการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น

เมื่อไม่มีความยึดมั่นในตัวตน ก็ไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นนั้น จิตใจจะเป็นอิสระ ไม่ติดข้องในโลกนี้หรือโลกหน้า ไม่ติดอยู่ในสภาวะใดๆ นี่คือจุดสิ้นสุดแห่งความทุกข์ทั้งปวง

การปฏิบัติตามคำสอนนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนสติและปัญญาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการมีสติรู้ตัวในทุกขณะ สังเกตการรับรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยไม่ปล่อยให้จิตใจหลงไปปรุงแต่งหรือตีความเพิ่มเติม

เมื่อเห็นรูป ก็ให้รู้ว่าเห็นรูป แต่ไม่ต้องคิดต่อว่ารูปนั้นสวยหรือน่าเกลียด ไม่ต้องเปรียบเทียบกับรูปอื่นๆ ที่เคยเห็น ไม่ต้องคิดว่าเราชอบหรือไม่ชอบรูปนั้น เพียงแค่รู้ว่ามีการเห็นรูปเกิดขึ้นเท่านั้น

เมื่อได้ยินเสียง ก็ให้รู้ว่าได้ยินเสียง โดยไม่ต้องแปลความหมายของเสียงนั้น ไม่ต้องคิดว่าเสียงนั้นไพเราะหรือน่ารำคาญ ไม่ต้องคิดว่าใครเป็นคนทำให้เกิดเสียงนั้น เพียงแค่รับรู้ว่ามีเสียงเกิดขึ้นและดับไป

เมื่อได้กลิ่น ก็ให้รู้ว่าได้กลิ่น โดยไม่ต้องคิดว่ากลิ่นนั้นหอมหรือเหม็น ไม่ต้องนึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่เคยได้กลิ่นคล้ายๆ กันนี้ เพียงแค่รู้ว่ามีการรับรู้กลิ่นเกิดขึ้นเท่านั้น

เมื่อลิ้มรส ก็ให้รู้ว่าลิ้มรส โดยไม่ต้องตัดสินว่ารสนั้นอร่อยหรือไม่อร่อย ไม่ต้องอยากกินเพิ่มหรืออยากบ้วนทิ้ง เพียงแค่รับรู้ว่ามีการสัมผัสรสเกิดขึ้นที่ลิ้น

เมื่อร่างกายสัมผัสสิ่งใด ก็ให้รู้ว่ามีการสัมผัสเกิดขึ้น โดยไม่ต้องคิดว่าสัมผัสนั้นนุ่มนวลหรือหยาบกระด้าง ไม่ต้องชอบหรือไม่ชอบสัมผัสนั้น เพียงแค่รู้ว่ามีการกระทบทางกายเกิดขึ้น

เมื่อมีความคิดหรือความรู้สึกเกิดขึ้นในใจ ก็ให้รู้ว่ามีความคิดหรือความรู้สึกเกิดขึ้น โดยไม่ต้องพยายามกดข่มหรือผลักไสความคิดนั้น ไม่ต้องหลงไปกับเนื้อหาของความคิด เพียงแค่รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้นและดับไปในจิตใจ

การฝึกฝนเช่นนี้จะทำให้เราเห็นความจริงว่า การรับรู้ทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนที่ถาวรเป็นผู้รับรู้ มีเพียงกระแสของการรับรู้ที่เกิดดับสืบต่อกันไปเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ ความยึดมั่นในตัวตนก็จะค่อยๆ คลายลง จิตใจจะเป็นอิสระจากความทุกข์

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องละทิ้งการใช้ชีวิตในสังคมหรือการทำหน้าที่ต่างๆ แต่เป็นการฝึกให้มีสติและปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่หลงไปกับความยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นประโยชน์ โดยไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งต่างๆ มากนัก

คำสอนนี้แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ที่มุ่งสอนให้มนุษย์พ้นทุกข์ด้วยการเข้าใจความจริงของชีวิตและธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยการหลีกหนีโลก แต่ด้วยการเห็นโลกตามความเป็นจริง ไม่ยึดติดถือมั่น ซึ่งจะนำไปสู่การมีชีวิตที่เป็นอิสระและมีความสุขอย่างแท้จริง

ต้องขอกล่าวอีกครั้งว่า การปฏิบัติตามคำสอนนี้ต้องอาศัยความเพียรและความอดทน ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการฝึกฝนทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ พัฒนาสติและปัญญาให้แก่กล้าขึ้น จนสามารถรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิตและโลกได้อย่างแท้จริง

ผู้ที่สนใจปฏิบัติตามคำสอนนี้ ควรศึกษาเพิ่มเติมจากครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้เข้าใจวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตนเอง รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติได้

คำสอนนี้เป็นหนทางสู่การพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาเผยแผ่แก่มวลมนุษยชาติ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนได้ด้วยตนเอง


.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร