วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 02:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ทุ ก สิ่ ง อ ยู่ ที่ ก า ร ก ร ะ ทำ
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

• ลักษณะผู้มีบุญมาก

อานุภาพแห่งบุญกุศลย่อมดลบันดาลให้เราอยู่เขาลำเนาไพรได้
มิฉะนั้นจะรู้สึกเหงา นึกถึงแต่ความสนุกในสังคม

อานุภาพแห่งบุญกุศลเป็นไปเพื่อความสงบ
ผู้ใดมีบุญมากย่อมไม่ชอบวุ่นวาย
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้วัดกันด้วยเงินทอง เข้าของ
โดยการนำทรัพย์สินมาเป็นเครื่องวัดดูไม่ถูกเท่าไรนัก
อาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง

แต่ถ้าจะให้ถูกต้องจริงๆ แล้ว
จะหมายถึงผู้ที่เบื่อหน่ายต่อความวุ่นวาย
ความเละเทะต่างๆในโลก
หันมาแสวงหาความสงบทางจิตใจ
ลักษณะนี้จึงเป็นที่แน่นอนว่าเป็นคนที่บุญมากจริง
เพราะบุญมีลักษณะเป็นของสงบ เป็นของเย็น


ดังนั้นบุคคลใดมีบุญมากแล้ว
จะไม่ชอบทะเลาะวิวาทโต้เถียง
ชอบแต่ความปรองดองสามัคคี
ชื่นชมยินดีต่อกันในการทำความดี

เมื่อต่างคนต่างละกิเลสสันดานได้
เราก็โมทนาสาธุด้วยทั้งนั้น
ถ้าเรายังละกิเลสไม่หมดก็ไม่เป็นไร
เราก็พยายามฝึกตนต่อไป
ลักษณะของผู้มีบุญมากจะเป็นอย่างนี้


ในขณะที่ผู้มีบุญน้อยจะมีลักษณะตรงกันข้าม
แสวงหาแต่เรื่องวุ่นวาย เพราะสู้อำนาจกิลสตัณหาไม่ได้
กิเลสตัณหาถึงได้รบกวน จิตใจให้คิดอยากได้ไม่มียุติ

ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจตัณหา
ปล่อยตัณหาจูงใจให้อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งที่ตนไม่โอกาสที่จะได้ตามที่คิดนั้น แต่ก็ไม่วายที่จะคิด

ส่วนผู้ที่มีบุญมากนี้จะมีปัญญารู้จักประมาณตน
ว่าตนมีวาสนาเพียงเท่านี้ มีความเป็นอยู่เพียงเท่านี้
ก็ต้องวางตนให้เป็นอยู่เพียงเท่านั้น
ไม่เยิ่อหยิ่งอวดดี ไม่วิตก ว่าเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามตน

หากแต่ยึดความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง
ใครจะว่าเราต่ำต้อยเป็นอย่างไรก็ว่าไป
เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะว่ามีบุญกุศลความดีเป็นที่พึ่งอยู่ในใจแล้ว


คนที่สรรเสริญนินทาตนนั้น
เขาไม่ได้เอาอะไรมาให้เลย
เขาไม่ได้มาช่วยให้ตนมีความสงบสุขแต่อย่างใด
ได้แต่มาว่าเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นเราจะหวั่นไหวอะไรกับคำพูดของคน
ถ้าเราไม่ยึดถือคำนินทาสรรเสริญเหล่านั้น
เรื่องนั้นก็หายวับไปกับอากาศ
จึงขอให้ฝึกใจของตนให้ได้อย่างนี้


(มีต่อ : ทุกสิ่งมีใจเป็นประธาน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2009, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ทุกสิ่งมีใจเป็นประธาน

เราผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรยึดถือเรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว
ไม่ว่าพระหรือคฤหัสถ์ การปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันหมด

โดยเฉพาะผู้เป็นพระต้องเข้มงวดกว่าคฤหัสถ์ขึ้นไปอีก
เพราะความเป็นพระท่านเรียกว่าเป็นอุดมเพศ

หมายถึง เพศอันอุดมเหนือคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
เพราะนั้นเราต้องทำจิตใจของตนให้เหนือกว่าผู้ครองเรือน
ไม่หวั่นไหว ฝึกใจของตนให้เข้มแข็ง อบรมปัญญาให้เกิด
สอนใจไม่ให้หวั่นไหวต่ออะไรในโลกนี้


ต้องฝึกไปขณะที่มีเหตุมากระทบกระทั่ง
ถ้าไม่มีเหตุเราก็ฝึกมันไว้ ข่มมันไว้ อย่าให้หวั่นไหว
เรื่องดี เรื่องชั่ว ต่างๆ ในโลกนี้
ถ้าเราไม่ห้ามจิตไว้ ไม่ข่มไว้อย่างนี้แน่นอน...

จิตก็ตื่นเต้นไป ยินดียินร้ายไป ดีใจเสียใจไป โกรธไป
เพราะมันยังละ ถอนรากเหง้าของกิเลสต่างๆ ไม่ได้

ดังนั้นจะไม่ให้หวั่นไหวจะได้หรือ พากันเตรียมตัว

อย่าไปนอนใจนึกว่าตนหมดกิเลสแล้ว
กิเลสยังนอนเนื่องอยู่ในใจ เมื่อไม่แสดงฤทธิ์
คนก็ไปนอนใจว่าใจของตนดีเป็นปกติอยู่
คล้ายกับไม่มีกิเลสอะไรเหลืออยู่

กิเลสนั้นมันละเอียด
ถ้าปัญญาของตนไม่แหลมคมพอ
จะมองไม่เห็น จึงจะละมันไม่ได้
และไม่เพียงละมันไม่ได้แล้ว
อาจะสะสมกลายเป็นกิเลสหยาบได้


เหมือนพืช เมื่อมันงอกจากดินเป็นพืชที่อ่อนแอที่สุด
อะไรถูกเพียงเล็กน้อยก็วิบัติไปได้
แต่ถ้าปล่อยให้เติบใหญ่เป็นต้นเป็นกอขึ้นมา
แข็งแรงแล้วมันเป็นอย่างไร

กิเลสในใจคนมันก็เป็นเช่นนั้น
ถ้าผู้ใดส่งเสริมสนับสนุนมัน
มันก็มีแต่เข้มแข็งขึ้นเท่านั้น

แต่จิตที่ไม่ส่งเสริมสนับสนุนมัน
กำลังของมันจะอ่อนลงเรื่อยๆ


ประการนี้สำคัญ ให้จำเอาไว้ ให้สังเกตไว้

ทุกสิ่งทุกอย่างใจเป็นประธาน
ถ้าผู้ใดฝึกใจของตนให้เข้มแข็ง ตั้งอยู่ในกุศลธรรมเช่นนี้
กิเลสก็รบกวนจิตใจไม่ค่อยได้
เพราะจิตใจมันขอบบุญชอบกุศล ไม่ชอบกิเลส
เมื่อโน้มน้าวไปในทางบุญทางกุศล
มันก็ไม่สร้างกิเลสขึ้นมา กิเลสเกิดไม่ได้
ที่มีอยู่ก็อ่อนกำลังลง นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก


ให้จำไว้ การที่กิเลสมากขึ้นได้เพราะจิตไปส่งเสริมมัน
จิตไปวิตกวิจารณ์มันมากท่าไหร่ กิเลสก็มีกำลังขึ้นเท่านั้น
ถ้าจิตสงบเฉยๆ อยู่กิเลสก็ไม่มีกำลัง

กิเลสเกิดขึ้นเพราะอาศัยสิ่งภายนอกเป็นเครื่องต่อ
เช่น จิตยินดีในรูป ในเสียงอย่างนี้ เป็นต้น

แล้วก็วิตกวิจารณ์ว่ารูปนี้สวย เสียงนี้เพราะ
เท่านั้นแหละความรักความชอบใจ ความอยากได้ก็เกิดขึ้นเลย

(มีต่อ : อุบายละกิเลส)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• อุบายละกิเลส

กิเลสในใจของคนเรา ไม่ใช่มันเกิดขึ้นเอง
ใจนั้นมันปรุงแต่งขึ้นมา ดังนั้นผู้ใดห้ามใจได้
กิเลสต่างๆ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้
ที่มีอยู่เดิมก็อ่อนกำลังลงเพราะไม่มีปุ๋ยใส่มัน


ปุ๋ยของกิเลสก็คือ ความรัก ความชัง

แม้จะเผลอวิตกไปบ้าง พอรู้ก็กำหนดใจเพื่อละมัน

เรารู้ว่าการวิตกวิจารณ์
เป็นสื่อให้เกิดกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด

เรากำหนดรู้ดังนี้มาก่อนแล้ว
เราต้องมีสติระลึกระวังเรื่อยไป
พอเผลอวิตกก็ลดวิตก ใช้สติเข้าไปควบคุมภายใน
แล้วก็สอนจิตให้มันเบื่อหน่าย
ต่อการวิตกวิจารณ์มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

เหตุที่พ้นทุกข์ไปไม่ได้
ก็เพราะมันละวิตกวิจารณ์ไปไม่ได้
อารมณ์ต่างๆที่ก่อให้เกิดกิเลสตัณหาที่ว่านี้นี่แหละ

เกิดมาชาติใดก็มาวิตกวิจารณ์
มาสร้างความรัก มาสร้างความชัง
สร้างความโศกเศร้าเสียใจ
โทมนัสคับแค้นต่างๆ นี้ ให้มีขึ้นมาในทุกชาติ

เราต้องทบทวนให้ดี
ถ้าเราไม่สร้างวิตกวิจารณ์ให้เกิดขึ้นในใจ
กิเลสจะไม่ติดตามเรามาจนถึงปัจจุบันนี้เลย

เมื่อเรารู้อย่างนี้เราจะไม่วิตกวิจารณ์
ในเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความรัก ความชังต่างๆ

ถ้าเราเผลอมันเกิดขึ้นก็จะละมันทันที
ไม่ส่งเสริมให้มันลุกลามขึ้นต่อไป
นี่คืออุบายละกิเลส


เราอยู่เฉยๆ จะให้กิเลสหมดไปย่อมไม่ได้
เพราะกิเลสเกิดจากความวิตก

การที่เราจะละกิเลส เราก็ต้องละวิตก
เราต้องวิตกวิจารณ์ความยึดมั่นนั่นแหละ
วิจารณ์กิเลสที่มันสร้างขึ้นมานั่นแหละว่า


ทำไมจึงยึดกิเลสนี้ไว้ ยึดไว้แล้วมีดีอย่างไร
มันเป็นสุขหรือทุกข์ วิจารณ์ดูมันก็รู้ได้ว่า
ทางที่เป็นสุขไม่มีเลย มีแต่จะเป็นทุกข์ท่านั้น

กิเลสบางอย่างก็เป็นทุกข์น้อย
กิเลสบางอย่างเมื่อวิตกขึ้นมาแล้วก็ไม่ผิดศีล
เมื่อไม่ผิดศีลก็มีโทษน้อย

ถ้ากิเลสใดมันวิตกวิจารณ์ขึ้นมา
แล้วมันผิดศีล ผิดธรรม
จะมีโทษมาก เราจะต้องสังเกตดู

เช่น วิตกว่าของสิ่งนั้นควรจะเป็นของๆ เรา
เราควรหวงแหนเอามันเอาไว้
เพราะเป็นของมีค่าหายาก
เช่น แก้วแหวน เงินทอง

เมื่อวิตกขึ้นมาเราจะห่วงหวงไว้ เพราะเป็นของมีค่า
ความคิดอย่างมันไม่เป็นบาป แต่มันเป็นกิเลส
มันเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจให้ติดข้องอยู่ในโลกสงสารใบนี้
มันไม่ถึงตกนรกหมกไหม้อะไร


แค่ถ้าคิดว่า เราต้องไปฆ่าสัตว์ ล่าสัตว์
ทำลายชีวิตสัตว์เอามาขาย
เอามาปรุงอาหารบ้าง

ถ้าไปวิตกอย่างนั้นแล้วลงมือทำไปตามอย่างที่คิด
มันสำเร็จเป็นบาปอกุศลมีโทษมาก
มีสิทธิที่จะไปตกนรกได้ถ้าไม่ละ

ตัวอย่างว่ากิเลสบางอย่างก็เป็นบาปอกุศล
บางอย่างไม่เป็นอกุศล เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลก


ผู้ที่คิดละอกุศลดังกล่าวมาแล้วได้นั้น
บัดนี้ก็พยายามละความคิดที่เป็นกิเลส ที่เป็นทางโลกต่อไป
มีการละกิเลสที่มีขึ้นต่อไปอย่างนี้

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


พยายามสำรวจจิตให้ดี
อย่าให้ไปข้องในของที่รักที่ชอบใจต่างๆ


เราไม่ข้องอยู่กับมันแต่เราก็อาศัยมันอยู่
เราก็ต้องทำอยู่อย่างนั้น


ยกตัวอย่างเช่น บ้านเรือนมาได้เป็นของเรา
เราอาศัยเขาอยู่ เรากำหนดในใจ เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

บ้านเรือนหลังนี้เราจะม่ไอย่านเท่ามดเลย
เมื่อจบชีวิตก็ต้องจากไป หมั่นเตือนอย่างนี้เสมอๆ
จิตจะไม่ข้องอยู่กับเรือนนั้นเลย

สิ่งอื่นก็เหมือนกัน มีอุบายสอนจิตให้แยบคาย
จิตก็รู้เท่าทันหมดเลย มีเหมือนไม่มี


แม้จะมีทรัพย์สมบัติเท่าใดก็ไม่มีโทษ
ไม่มีทุกข์โทมนัสคับแค้นอะไร เพราะมีสมบัตินั้น
เพราะรู้เท่าทันความเป็นจริงตามที่กล่าวมาแล้ว
ไม่ยึดถือแต่แค่อาศัยมันอยู่

เมื่อฝึกใจได้อย่างนี้เวลาจวนจะสิ้นชีพทำลายขันธ์
ใจก็ไม่ได้ไปผูกพันสิ่งนั้นเลย
เพราะจิตฝึกใจมาแล้วเป็นอย่างดี

การปฏิบัติธรรมเป็นขั้นๆ อย่างนี้
ถึงแม้ว่าใจไม่ได้ผูกพันก็จริงอยู่ แต่ก็ละไม่ขาด


ใจเราไม่ผูกพันกับสมบัติโลกอันนี้
แต่ใจผูกพันในบุญในกุศล

เมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
บุญกุศลก็จะเป็นยานพาหนะนำดวงจิตไปเกิดในภพในชาติต่อๆไป

สำหรับท่านที่ไม่เกิดอีกก็เพราะ
สิ่งใดเกิดสิ่งในบาปเกิดกุศลท่านได้ละหมดแล้ว
สิ่งใดเป็นเหตุให้ข้องอยู่ในโลกนี้ก็ได้ละหมดแล้ว


ตลอดถึงขันธ์ ๕ ท่านก็ละความยึดความถือได้
เสียโดยประการทั้งปวงแล้ว
เมื่อหมดบุญอายุสังขารท่านก็เข้าสู่นิพพาน
ไม่ต้องเทียวเกิดเทียวตายอีกต่อไป

ารละกิเลสเป็นขั้นตอนอย่างนี้

(มีต่อ : การละกิเลสกับการสร้างบารมี)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2015, 20:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 749

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญนะครับ :b17:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron