วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 20:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2014, 17:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารของนิวรณ์
�����
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จิตนี้ที่ปฏิบัติไม่ได้สมาธิ ไม่ได้ปัญญา ไม่
ได้บรรลุความสิ้นทุกข์ ก็
เพราะมีอุปกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองของจิตกั้นกาง
อยู่ อันได้แก่นิวรณ์ทั้ง ๕ คือ กามฉันท์
ความพอใจรักใคร่ในกาม ด้วยอำนาจกาม พยาบาท
ความหงุดหงิดโกรธแ
ค้นขัดเคืองมุ่งร้ายหมายทำลาย ถีนมิทธะ
ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม อุทธัจจะกุกกุจจะ
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ วิจิกิจฉา
ความเคลือบแคลงสงสัย
กรรมฐานเครื่องระงับนิวรณ์
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสอุปมาว่า
เหมือนอย่างเหล็กโลหะดีบุกตะกั่วและเงิน ทั้ง ๕
ประการนี้เป็นอันตรายแก่ทองคำเนื้อบริสุทธิ์
เพราะเมื่อมีสิ่งทั้ง ๕ นี้ผสมอยู่ ก็จะทำให้เนื้อทองคำ
ไม่บริสุทธิ์ ไม่อ่อนไม่ควรแก่การงาน คือไม่ควรที่
จะทำทองรูปประพรรณต่างๆ
ฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนให้ระงับนิวรณ์ทั้ง
๕ ประการนี้ ด้วยกรรมฐานอัน
เป็นเครื่องระงับนิวรณ์ข้อนั้นๆ ซึ่งที่ได้ตรัสแนะเอา
ไว้ ก็คือให้อาศัย อสุภสัญญา หรือ อสุภนิมิต สัญญา
หรือนิมิต คือกำหนดหมายว่าไม่งดงาม
มีโยนิโสมนสิการคือความใส่ใจเข้าใจในอสุภนิมิต
หรืออสุภสัญญานี้ กระทำให้มากก็จะระงับกามฉันท์
ได้
และให้อาศัย เจโตวิมุติ คือ
ความหลุดพ้นแห่งใจด้วยเมตตา คือแผ่จิตไปด้วย
ความรักใคร่ปรารถนาให้เป็นสุข จนใจนี้หลุดพ้น
จากโทสะพยาบาท มีโยนิโสมนสิการ การกระทำไว้
ในใจโดยแยบคายคือใส่ใจถึงมีความเข้าใจในเจโตวิมุติ
การอาศัยเมตตากระทำให้มากก็
จะระงับโทสะพยาบาทได้
และให้อาศัย อาโลกสัญญา
คือการทำสัญญากำหนดรู้ความสว่าง ประกอบกับ
ให้มีจิตใจที่ตั้งขึ้นด้วยความเพียรริเริ่ม ด้วย
ความเพียรที่ดำเนินไป และด้วย
ความเพียรที่ก้าวหน้า มีโยนิโสมนสิการ
มีการกระทำให้มากในความเพียรเหล่านี้ และ
ในอาโลกสัญญา
สำคัญกลางคืนเหมือนอย่างกลางวัน
กลางวันเหมือนอย่างกลางคืน คือมีความสว่าง ก็จะทำ
ให้ระงับถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มได้
และให้อาศัยความสงบของใจ สมาธินิมิต
กำหนดหมายจิตให้เป็นสมาธิ กำหนดหมายให้จิต
ไม่ฟุ้งซ่าน มีโยนิโสมนสิการกระทำให้มากในความ
ไม่สงบแห่งใจ ในสมาธินิมิต และในความไม่ฟุ้งซ่าน ก็
จะสงบรำงับความฟุ้งซ่านรำคาญใจได้
อาศัย โยนิโสมนสิการ ความใส่ใจ
โดยแยบคายในธรรมะที่เป็นกุศลและอกุศล
ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ที่มีคุณมีโทษ
ว่าอะไรมีคุณ อะไรมีโทษ
ที่เลวและที่ประณีต ว่าอะไรเลว
อะไรประณีต และในธรรมะที่เทียบ
กันระหว่างสีขาวกับสีดำ ก็คือฝ่ายอกุศลเป็นต้นก็
เป็นสีดำ ฝ่ายกุศลเป็นต้นก็เป็นสีขาว
มีโยนิโสมนสิการดังกล่าวกระทำให้มาก
ในธรรมะอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยทั้งหลาย
ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จะสงบระงับ
ความเคลือบแคลงสงสัยได้ (เริ่ม ๑๗๗/๑)
และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว การปฏิบัติทางจิตทั้งหลายก็
จะเจริญก้าวหน้า เป็นสมาธิเป็นปัญญา จนถึงบรรลุ
ความสิ้นทุกข์ได้ หรือว่าเป็นสติปัฏฐานเป็นโพชฌงค์
เพราะจะเป็นสติปัฏฐานเป็นโพชฌงค์ได้ ก็จะต้อง
ไม่มีนิวรณ์ นิวรณ์ต้องสงบระงับ
สติปัฏฐานก็บังเกิดขึ้น โพชฌงค์ก็บังเกิดขึ้น
การบรรลุธรรมของท่านพระอุทายี
ได้มีพระสูตรหนึ่งที่ท่านพระอุทายีเถระ
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้ามีใจความว่า
ท่านพระอุทายีเถระได้มีความรัก
ความเคารพมีหิริโอตตัปปะ ที่ได้กระทำขึ้น
เป็นอันมาก ในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์
แม้ในสมัยที่ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ยังมิได้มาบวช
ในสำนักพระพุทธเจ้า ก็ได้มีความรัก
ความเคารพมีหิริมีโอตตัปปะ ในพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าที่กระทำไว้แล้วเป็นอันมาก แม้ว่าจะ
ยังไม่กระทำไว้มากคุ้นเคยในพระธรรม ยัง
ไม่กระทำไว้มากคุ้นเคยในพระสงฆ์ แต่ก็มีอยู่
เป็นอันมากในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์
ไม่เคยมี
และครั้นเมื่อได้มาบวช
ในสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว ก็
ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอน
ว่ารูปอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปอย่างนี้
ความดับไปแห่งรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาอย่างนี้
ความดับไปแห่งเวทนาอย่างนี้ สัญญาอย่างนี้
ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาอย่างนี้
ความดับไปแห่งสัญญาอย่างนี้ สังขารอย่างนี้
ความเกิดขึ้นแห่งสังขารอย่างนี้
ความดับไปแห่งสังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้
ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างนี้
ความดับไปแห่งวิญญาณอย่างนี้
ครั้นได้ฟังธรรมดั่งนี้แล้ว ก็
ได้พิจารณาในความเกิดดับแห่งขันธ์ ๕ เหล่านี้
พลิกไปพลิกมากลับไปกลับมา จึง
ได้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง จนถึงขั้นที่รู้ว่าชาติสิ้น
แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
จะพึงกระทำกระทำแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่
จะพึงกระทำเช่นนี้อีก ดั่งนี้
ธรรมะคือวิปัสสนาธรรม
มรรคคือวิปัสสนามรรค เป็นอันได้ตรัสรู้แล้ว
และเป็นอันว่าสติสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว
วิริยสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว ปีติสัมโพชฌงค์ก็
ได้ปฏิบัติแล้ว ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว
สมาธิสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ก็ได้ปฏิบัติแล้ว จึงเป็นอัน
ได้ดำเนินอยู่เป็นไปอยู่โดยประการนั้นๆ โดยถ่องแท้
โดยประการที่ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ
แล้ว กิจที่พึงทำกระทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจ
อื่นเหมือนเช่นนี้ที่จะต้องกระทำต่อไป ดั่งนี้
หลักปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น
ตามเถระภาษิตที่
ได้กราบทูลพระพุทธเจ้านี้ ก็ได้แสดงถึงการปฏิบัติ
ในโพชฌงค์ว่า จะต้องมีอยู่
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จน
ถึงธรรมะชั้นที่สุด โดยที่จะต้องมีโพชฌงค์ พร้อม
ทั้งสติปัฏฐานมาตั้งแต่ในเบื้องต้น ฉะนั้น สติปัฏฐาน
โพชฌงค์ นี้จึงเป็นหลักปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะพึง
ต้องอาศัย แต่ว่าจะต้องอาศัยศีล
หรือสุจริตกายวาจาใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่ในเบื้องต้น
อาหารแห่งนิวรณ์
และในการปฏิบัตินั้น ต้องชำระจิต
จากนิวรณ์ทั้งหลาย โดยไม่ให้อาหารแห่งนิวรณ์
ตัดอาหารแห่งนิวรณ์เสีย
คือไม่ใส่ใจอันเรียกว่ามนสิการเหมือน
กัน ที่จะบริโภคอาหารสำหรับเลี้ยงนิวรณ์ คือ
ต้องเว้นจาก สุภนิมิต กำหนดหมายว่างดงาม ซึ่ง
เป็นอาหารของกามฉันท์ ต้องเว้นจาก ปฏิฆนิมิต
กำหนดหมายกระทบกระทั่งต่างๆ ซึ่ง
เป็นอาหารของพยาบาท จะต้องเว้นจาก ความ
ไม่ยินดีพอใจ ความเกียจคร้าน ความบิดไปบิดมา
เชือนแชชาด้วยอำนาจของความเกียจคร้าน ความ
เมาภัตตาหาร และความที่มี จิตใจย่อหย่อน อัน
เป็นอาหารของถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม จะ
ต้องเว้นจาก ความฟุ้งซ่านของใจ ต่างๆ ซึ่ง
เป็นอาหารของอุทธัจจะกุกกุจจะ
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ จะต้องเว้นจาก ธรรมะที่
เป็นที่ตั้ง แห่งความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ ซึ่ง
เป็นอาหารของวิจิกิจฉา และข้อสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ
อโยนิโสมนสิการ การไม่กระทำไว้ในใจ
โดยแยบคาย เป็นอาหารของนิวรณ์ทุกข้อ
เว้นบุคคลที่มิใช่กัลยาณมิตร
กับต้องเว้นจากการคบหากับบุคคลที่ไม่
ใช่กัลยาณมิตร คือไม่ใช่เป็นเพื่อนมิตรที่ดีงาม
ต้องคบหากับกัลยาณมิตร ความไม่
ใช่กัลยาณมิตร กับทั้ง อโยนิโสมนสิการ ความ
ไม่พิจารณาไว้ในใจโดยแยบคาย นี่
เป็นอาหารของนิวรณ์ทุกข้อ ต้องเว้นเสีย
เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเป็นอันเว้น
จากอุปกิเลสเครื่องเข้าไปเศร้าหมองของจิต ทำให้
สามารถปฏิบัติในสมาธิก็ได้ ปฏิบัติในปัญญาก็ได้
ปฏิบัติในสติปัฏฐานก็ได้ ปฏิบัติในโพชฌงค์ก็ได้ อัน
จะนำให้ได้วิชชาวิมุติ คือความรู้ และความหลุดพ้น
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องเว้นอาหารของนิวรณ์
ทั้งหลาย จึงจะระงับนิวรณ์ได้
ระงับอุปกิเลสของจิตได้ จะเจริญด้วยสติปัฏฐาน
จะเจริญด้วยโพชฌงค์ จนถึง
สามารถประสบปัญญาวิมุติได้
ปฏิปทาของท่านพระอุทายี
อีกประการหนึ่ง
เมื่อดูตามปฏิปทาของท่านพระอุทายี ที่
ได้กราบทูลพระพุทธเจ้า ว่าได้มีความรัก
ความเคารพ มีหิริมีโอตตัปปะ ในพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ามาตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์เป็นอันมาก ยัง
ไม่คุ้นเคยกับพระธรรม ยังไม่คุ้นเคยกับพระสงฆ์
แต่ว่าได้มีความคุ้นเคยในพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจของ
ความรักความเคารพ หิริโอตตัปปะเป็นอันมาก
เพราะฉะนั้น คุณธรรมเหล่านี้ คือความรัก
ความเคารพ หิริความละอายใจต่อความชั่ว
โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อความชั่ว จึง
เป็นคุณธรรมอันสำคัญ
แม้ว่าจะยังไม่คุ้นเคยในพระธรรม จะ
ยังไม่คุ้นเคยในพระสงฆ์ ยังไม่รู้จักพระธรรม ยัง
ไม่รู้จักพระสงฆ์มากนัก แต่ว่าให้มีความรัก
ความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นประการสำคัญ
จะนำให้มีความละอายและมี
ความเกรงกลัวต่อพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนา
ไม่กล้าที่จะปฏิบัติเป็นทุจริตกายวาจาใจต่างๆ ที่
จะปฏิบัติผิดศีล ผิดธรรมต่างๆ
เพราะเหมือนอย่างว่าพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น
หรือว่าเหมือนอย่างว่า
อยู่ต่อหน้าต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า
คนเรานั้นโดยปรกติก็ย่อมจะมี
ความรู้จักผิดชอบชั่วดีมาตั้งแต่เป็นเด็ก ที่
ได้รับสั่งสอนอบรมมาจากมารดาบิดา
ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ตลอดจนถึง
จากพระพุทธศาสนา และโดยปรกตินั้นคน
เป็นอันมากไม่กล้า ที่จะทำความชั่วความไม่ดีต่อหน้า
ผู้หลักผู้ใหญ่ เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์
หรือต่อหน้าใครๆ มักจะไปกระทำกันลับหลัง
ที่รู้สึกว่าไม่มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้
ใหญ่รู้เห็น ไม่มีใครรู้เห็นคือลอบทำ
อันแสดงว่าทุกคนรู้จักที่จะละอาย รู้จักที่
จะเกรงกลัวอยู่ด้วยกัน น้อยหรือมาก
ฉะนั้น
ถ้าหากว่ารู้สึกว่าเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า มาประทับ
อยู่กับตนเอง ทอดพระเนตรเห็นตนเอง
ในการกระทำทั้งปวง ก็ย่อมจะละอายใจ
เกรงกลัวหรือเกรงใจต่อพระพุทธเจ้า ไม่อยากที่
จะทำไม่ดี ไม่กล้าที่จะทำไม่ดีต่างๆ
ผู้มีหิริโอตตัปปะในพระพุทธเจ้า
นี่แหละคือหิริโอตตัปปะที่มี
ในพระพุทธเจ้า เหมือนดั่งที่ท่านพระอุทายีได้มี
อยู่ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ แต่ความรู้สึกดังกล่าวนี้จะมีได้
ก็ต่อเมื่อได้มีความรักมีความเคารพในพระพุทธเจ้า
อยู่อย่างเต็มที่ นี้แหละคือว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่งนั้นเอง ผู้ที่จะได้
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ จะต้องมีความรักมี
ความเคารพในพระพุทธเจ้า จะต้องมีหิริมีโอตตัปปะ
ในพระพุทธเจ้า จึงจะชื่อว่าได้ พุทธัง สรณัง
คัจฉามิอย่างแท้จริง
การปฏิบัติให้ได้ในข้อนี้จึง
เป็นอุปการะปฏิบัติเป็นอันมาก จะทำให้เจริญด้วยศีล
ด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยสติปัฏฐาน ด้วยโพชฌงค์
ตลอดจนถึงวิชชาวิมุติในที่สุด
เหมือนอย่างท่านพระอุทายีท่านได้ท่านถึง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร