วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 09:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2014, 17:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เบื้องต้นของนิวรณ์
�����
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
�����
อธิบายความสืบเนื่องของสัญโญชน์ นิวรณ์ ขันธ์
อายตนะ ดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
การได้ปัญญาในธรรมนั้น
ต้องอาศัยสมาธิ คือความตั้งใจมั่น
ในการพิจารณาธรรม ในการฟังธรรม
อันตรายของสมาธินั้นก็คือนิวรณ์
ที่แปลว่าเครื่องกั้น จิตที่มีนิวรณ์ก็
เป็นจิตที่มีเครื่องกั้น ไม่ให้จิตเป็นสมาธิได้ จึงไม่
ได้ปัญญา เพราะฉะนั้น
ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตั้งสติตามดูตามรู้ตามเห็นธรรมะ คือเรื่อง
หรือสิ่งที่บังเกิดขึ้นในจิต พระพุทธเจ้าจึง
ได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดให้รู้จักนิวรณ์ในจิต
ให้ละนิวรณ์ในจิต
นิวรณ์ในจิต
อันนิวรณ์ในจิตนั้นก็ได้แก่ กามฉันท์
ความพอใจรักใคร่ในกาม
คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย ด้วยอำนาจของกิเลสกาม คือกิเลสที่
เป็นเหตุใคร่ต่างๆ พยาบาท
ความมุ่งร้ายหมายทำลาย รวมถึง
ความกระทบกระทั่งจิตใจ ความโกรธแค้นขัดเคือง
โทสะความประทุษร้าย หรือประทุษจิต
จิตที่ประทุษร้าย ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ วิจิกิจฉา
ความคิดเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ
เหล่านี้มักบังเกิดขึ้นครอบงำจิตของสามัญชนทั่วไป (
เริ่ม ๑๗๔/๒) เป็นกามฉันท์บ้าง เป็นพยาบาทบ้าง
ไม่เช่นนั้นก็เป็นความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม ถ้า
ไม่ง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม ก็เป็นความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
และความที่มีใจสงสัย ลังเลไม่แน่นอน
เหล่านี้ย่อมมีอยู่เป็นปรกติในจิตของสามัญชนทั่วไป
ตรวจดูจิตใจของตนเองก็จะเห็นได้ว่า
โดยปรกติ
นั้นจิตก็คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง อัน
เป็นเรื่องที่ผูกใจยินดีติดอยู่บ้าง หรือเป็นเรื่องที่
ไม่ถูกใจบ้าง เป็นบุคคลเป็นสิ่งที่ถูกใจบ้าง
ไม่ถูกใจบ้างดังกล่าว และในขณะที่มีจิตสงบอยู่บ้าง
เช่นในขณะฟังธรรม เพื่ออบรมธรรมะ ก็มัก
จะง่วงเหงาหาวนอน เป็นความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
เมื่อหายง่วงก็ฟุ้งซ่าน หรือว่าเมื่อไม่เป็นอย่าง
อื่นก็เคลือบแคลงสงสัยลังเลไม่แน่นอน มักจะ
เป็นดั่งนี้ ฉะนั้น จึงทำสมาธิไม่ได้มาก
ข้อปฏิบัติเพื่อละนิวรณ์
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอน
ให้กำหนดดูนิวรณ์ในจิตใจของตน เมื่อมีอยู่ก็ให้รู้ว่ามี
อยู่ เมื่อไม่มีก็ให้รู้ว่าไม่มี และนิวรณ์ที่ไม่มี จะมีขึ้น
ได้ด้วยประการใด ก็รู้ประการนั้น นิวรณ์ที่มีอยู่
จะละเสียได้ด้วยประการใด ก็รู้ประการนั้น
นิวรณ์ที่ละแล้วไม่บังเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็
ให้รู้อย่างนั้น เพื่อที่จะ
ได้ปฏิบัติอาศัยสติที่กำหนดรู้ดั่งนี้ ป้องกันนิวรณ์ไม่
ให้เกิด ละนิวรณ์ที่บังเกิดขึ้น และปฏิบัติไม่
ให้บังเกิดขึ้นอีก
และเมื่อปฏิบัติได้ดั่งนี้จึงจะละนิวรณ์
ได้ จิตจึงจะสงบสงัดจากกามและอกุศลธรรม
ทั้งหลาย เป็นสมาธิได้ จะได้สมาธิ
ในการปฏิบัติสติปัฏฐานที่กำหนดกายคือลมหายใจ
เข้าออกเป็นต้น จะได้สมาธิ
ในการกำหนดเวทนาสุขทุกข์เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
จะได้สมาธิในการกำหนดพิจารณาจิตทำจิตให้สงบ
และจะได้สมาธิในการที่ละนิวรณ์นี้ได้
และเมื่อละนิวรณ์ได้ จิตก็ชื่อว่าสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เป็นจิตที่ควรแก่การงาน อันหมายความว่าควรที่
จะปฏิบัติเพื่อปัญญาต่อไป อันเป็นฝ่ายวิปัสสนาปัญญา
ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
หากจะมีปัญหาว่าปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
ในอะไร ก็คือรู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ ๕ นั้นเอง
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนไว้ว่า สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ
ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงอบรมสมาธิ สมาหิโต
ยถาภูตํ ปชานาติ เพราะว่าจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
แล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ดั่งนี้ก็คือรู้ความ
เป็นจริงในขันธ์ ๕ นั้นเอง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึง
ได้ทรงแสดงขันธ์ ๕
ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานต่อจากนิวรณ์
ขันธ์ ๕ นั้นก็คือ รูปขันธ์กองรูป เวทนาขันธ์กองเวทนา
สัญญาขันธ์กองสัญญา สังขารขันธ์กองสังขาร
วิญญาณขันธ์กองวิญญาณ
รูป ก็คือรูปกายอันนี้ อันประกอบ
ด้วยธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เรียกว่าเป็นมหาภูตรูป
คือรูปที่เป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นหมวดใหญ่ และประกอบ
ด้วยอุปาทายรูป รูปอาศัยคือรู้ที่เป็นส่วนประกอบ
มีประสาททั้ง ๕ คือ จักขุ ตา โสตะ หู ฆานะ จมูก
ชิวหา ลิ้น กายะ กายประสาท เป็นต้น
ส่วน เวทนา นั้นได้แก่ความรู้เป็นสุข
เป็นทุกข์เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญา คือ
ความรู้จำหมาย สังขาร คือความรู้คิดปรุง
หรือปรุงคิดต่างๆ ไปตามสัญญาที่จำได้ และ
วิญญาณ คือความรู้ที่เรียกว่าเห็นในเวลาที่ตา
กับรูปประจวบกัน ความรู้ที่เรียกว่าได้ยิน
ในเวลาที่หูกับเสียงประจวบกัน
ความรู้ที่เรียกว่าทราบกลิ่นในเวลาที่จมูก
กับกลิ่นประจวบกัน ความรู้ที่ทราบรส
ในเวลาที่ลิ้นกับรสได้ประจวบกัน
ความรู้ที่เรียกว่าทราบโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้อง
ในเวลาที่กายและโผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้องประจวบกัน
และความรู้ที่เรียกว่า รู้
หรือคิดธรรมะคือเรื่องราว ในเวลาที่มโนคือใจ
กับธรรมะคือเรื่องราวประจวบกัน
ความรู้ดังกล่าวนี้เรียกว่าวิญญาณ
นามรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สรุปเรียกว่านาม เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ จึงย่อเข้าเป็น
๒ คือรูปนาม แต่มักเรียกกลับกันเสียว่านามรูป
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทำสติกำหนดรู้
รู้จักว่ารูปอย่างนี้ รู้ความเป็นไปว่า
ความเกิดขึ้นของรูปอย่างนี้ ความดับไปของรูปอย่างนี้
ตรัสสอนให้ทำความรู้ในเวทนา
เป็นต้นต่อไปก็เช่นเดียวกันว่า เวทนาอย่างนี้
ความเกิดขึ้นของเวทนาอย่างนี้
ความดับไปของเวทนาอย่างนี้ สัญญาอย่างนี้
ความเกิดขึ้นของสัญญาอย่างนี้
ความดับไปของสัญญาอย่างนี้ สังขารอย่างนี้
ความเกิดขึ้นของสังขารอย่างนี้
ความดับไปของสังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้
ความเกิดขึ้นของวิญญาณอย่างนี้
ความดับไปของวิญญาณอย่างนี้
การปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าการปฏิบัติทางวิปัสสนาเพื่อรู้แจ้งเห็นจริง
และเมื่อได้ความรู้ความเห็นจริงดั่งนี้ ก็
เป็นตัววิปัสสนาญาณ หรือวิปัสสนาปัญญา ญาณ
ความหยั่งรู้ หรือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
อายตนะ สัญโญชน์
อันนิวรณ์ทั้ง ๕ พร้อมทั้งขันธ์ ๕
ทั้งหมดนี้ ก็เกี่ยวข้องอยู่กับอายตนะที่แปลว่าที่ต่อ ซึ่ง
เป็นอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ เป็นสำคัญ
และเกี่ยวข้องกับผลที่เกิดจากอายตนะภายใน
อายตนะภายนอก อาศัยกัน เกิดสังโยชน์
หรือสัญโญชน์ คือความผูกของใจ เป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึง
ได้ตรัสสอนไว้ในหมวดต่อไปจากขันธ์ ๕
ให้กำหนดสติรู้จักอายตนะภายใน
รู้จักอายตนะภายนอก คือว่าให้รู้จักรูป คือว่า
ให้รู้จักจักษุคือตา ให้รู้จักรูปที่ตาเห็น และ
ให้รู้จักจิตใจที่เกิดสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้น อาศัยตา
กับรูปประจวบกัน คือเมื่อตากับรูปประจวบกัน อัน
ได้แก่เห็นรูป ใจก็เกิดผูกขึ้นในรูปที่ตาเห็น
แม้ข้ออื่นก็ตรัสสอนเช่นเดียวกันไว้
โดยลำดับ ให้รู้จักหู ให้รู้จักเสียง และ
ให้รู้จักว่าอาศัยหูกับเสียงประจวบกัน ก็เกิดสังโยชน์
หรือสัญโญชน์คือความผูกของจิตใจในเสียงที่หูได้ยิน
ตรัสสอนให้รู้จักจมูก ให้รู้จักกลิ่น และตรัสสอน
ให้รู้จักว่า อาศัยจมูกกับกลิ่นที่ประจวบกัน
ก็เกิดสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้นในกลิ่น ตรัสสอน
ให้รู้จักลิ้น ให้รู้จักรส และให้รู้จักว่า อาศัยลิ้น
กับรสประจวบกัน ก็เกิดสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้น
ในรส ตรัสสอนให้รู้จักกาย
รู้จักโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และให้รู้จักว่า
อาศัยกายและโผฏฐัพพะประจวบกัน ก็เกิดสังโยชน์
หรือสัญโญชน์ความผูกใจในสิ่งที่กายถูกต้องขึ้น
ตรัสสอนให้รู้จักมโนคือใจ
ให้รู้จักธรรมะคือเรื่องราว ตรัสสอน
ให้รู้จักว่าอาศัยมโนคือใจ
กับธรรมะคือเรื่องราวประจวบกัน ก็เกิดสังโยชน์
หรือสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้นในเรื่องราวนั้นๆ
ที่ใจคิดใจรู้
สัญโญชน์ ความผูก
ท่านอธิบายว่าสัญโญชน์ดังกล่าวคือ
ฉันทราคะ ความติดใจด้วยอำนาจของความยินดี
แต่ตามศัพท์ของสัญโญชน์นั้นแปลว่า ความผูก คือ
ความที่จิตนี้เองผูกอยู่กับ รูปที่ตาเห็น เสียงที่หูได้ยิน
กลิ่นที่จมูกได้ทราบ รสที่ลิ้นได้ทราบ
โผฏฐัพพะที่กายได้ถูกต้อง
และธรรมะคือเรื่องราวที่ใจได้คิดได้รู้ คือใจ
ไม่ปล่อยไม่วาง และก็ไปผูกไว้กับใจ
ตามศัพท์ของสัญโญชน์มีดั่งนี้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้รู้จักว่า
สัญโญชน์เกิดขึ้นโดยประการใดก็ให้รู้ประการนั้น
สัญโญชน์ที่บังเกิดขึ้น ละเสียได้ด้วยประการ
ใดก็รู้ประการนั้น ตรัสสอน
ให้รู้จักว่าสัญโญชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่บังเกิดขึ้นได้
ด้วยประการใดก็ให้รู้ประการนั้น คือตรัสสอน
ให้ละสัญโญชน์ และปฏิบัติไม่
ให้สัญโญชน์บังเกิดขึ้นอีก
เบื้องต้นของนิวรณ์ เบื้องต้นของสัญโญชน์
พิจารณาดูตามแนวที่ตรัสสอนไว้นี้
ก็อาจจะนำเอาข้อนิวรณ์ ข้อขันธ์มาเชื่อมเข้าได้
กล่าวคือสัญโญชน์นี้เองเป็นเบื้องต้นของนิวรณ์
และอายตนะภายใน อายตนะภายนอกนี้เอง
เป็นเบื้องต้นของสัญโญชน์ คือเพราะอายตนะภายใน
อายตนะภายนอกประจวบกัน จิตของสามัญชนนี้จึง
ได้เกิดผูกขึ้นมาเป็นสัญโญชน์ และเมื่อจิตผูกขึ้นมาดั่งนี้
แล้ว จึงได้เกิดเป็นตัวนิวรณ์ขึ้นมา เป็นกามฉันท์บ้าง
เป็นพยาบาทบ้าง เป็นถีนมิทธะบ้าง เป็นอุทธัจจะกุกกุจ
จะบ้าง เป็นวิจิกิจฉาบ้าง สืบมาจากสัญโญชน์
เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติละนิวรณ์
นั้น จึงจำเป็นที่จะ
ต้องรู้ที่เกิดของนิวรณ์ว่าคือสัญโญชน์
และที่เกิดของสัญโญชน์นั้น
ก็เนื่องมาจากอายตนะภายใน
อายตนะภายนอกเป็นประการสำคัญ เพราะฉะนั้น
ขั้นตอนของการปฏิบัติจึงจำเป็นที่จะ
ต้องปฏิบัติเพื่อตัดสัญโญชน์ และจะตัดสัญโญชน์ได้ก็
ต้องอาศัยทางปฏิบัติอื่นๆ
สติกำหนดรู้ อินทรียสังวร
ข้อสำคัญก็คือว่าจะต้องมีสตินี่เอง
คอยกำหนดดูให้รู้ ในขณะที่อายตนะภายใน
อายตนะภายนอกมาประจวบกันอยู่เป็นคู่ๆ อยู่
โดยปรกติ จะต้องมีสติสำรวมระวังตา
สำรวมระวังหู สำรวมระวังจมูก สำรวมระวังลิ้น
สำรวมระวังกาย สำรวมระวังใจ
ที่เรียกว่าอินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์
คือสำรวมทางทวารทั้ง ๖ นี้ ในเวลาที่มาประจวบ
กัน ของอายตนะภายในอายตนะภายนอกดังกล่าว
โดยตรงก็คือว่ามีสติสำรวมระวังจิตนี้เอง
ที่จะ
ไม่ยึดถือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะเรื่องราว
ที่ประจวบเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ
อยู่ทุกขณะ ไม่ยึดถือทั้งหมด ไม่ยึดถือบาง
ส่วนของอารมณ์เหล่านี้ แต่ว่าวางใจ ปล่อยใจ
ให้ผ่านไป คือเห็นแล้วก็แล้วไป ได้ยินแล้วก็แล้วไป
ทราบกลิ่นแล้วก็แล้วไป ทราบรสแล้วก็
แล้วไป ถูกต้องแล้วก็แล้วไป
คิดรู้เรื่องราวอะไรแล้วก็แล้วไป เป็นเรื่องๆ ไป
ไม่ยึดถือ
เพราะความยึดถือนี่แหละ
เป็นตัวสัญโญชน์ ซึ่งนำให้เกิดยินดีเกิดยินร้ายขึ้นมา
เกิดหลงงมงายขึ้นมา อันเป็นตัวนิวรณ์ดังกล่าว
ถ้าหากว่ามีสติป้องกันเสียได้ ตั้งแต่ในขั้นแรกที่ทวาร
ทั้ง ๖ นี้ เป็นอินทรียสังวรอยู่แล้ว ก็สามารถที่
จะปฏิบัติระงับได้ ไม่ให้จิตใจผูก เมื่อระงับจิตใจไม่
ให้ผูกได้ ก็เป็นอันว่าระงับสังโยชน์ได้
เมื่อระงับสังโยชน์ได้ ก็ระงับนิวรณ์ได้
แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยวิปัสสนาปัญญาในขันธ์
๕ ช่วยอีกด้วยเช่นเดียวกัน
อุปาทานขันธ์
เพราะว่าขันธ์ ๕ นี้เอง
เป็นตัวสร้างกิเลสตัณหา เป็นตัวสร้างสัญโญชน์
เป็นตัวสร้างความติด ที่ว่าเป็นตัวนั้นก็คือว่า
ในเมื่อยึดถือขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทานความยึดถือ
เป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถืออยู่ แล้วขันธ์ ๕ นี้ก็
เป็นที่เกิดของกิเลสตัณหาทั้งหลาย
เป็นที่เกิดของสัญโญชน์ เพราะว่าเมื่อยึดถือขันธ์ ๕ นี้
ก็เป็นอัตตาคือตัวตน โดยเหตุว่ายึดถือว่า นี่เป็นของเรา
เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
จึงเกิดมีเราขึ้นมา มีอัตตาคือตัวตนขึ้นมา
เมื่อเกิดมีอัตตามีเรามีของเราขึ้นมา มีตัวตนขึ้นมาดั่งนี้
จึงมีเรามีของเราออกยึดถือ รูปที่ตาเห็น เสียงที่หู
ได้ยิน เป็นต้น แล้วก็กล่าวได้ว่ายึดถือทั้งสอง ยึดถือ
ทั้งตาทั้งรูป ทั้งหูทั้งเสียง เป็นต้น (เริ่ม ๑๗๕/๑)
เป็นอันว่ายึดถือทั้งอายตนะภายใน ทั้งอายตนะภายนอก
ทั้งหมด จึงได้เกิดเป็นสัญโญชน์ขึ้นมา เกิด
เป็นนิวรณ์ขึ้นมา ก็อาศัยขันธ์ ๕ นั้นเอง
เป็นที่เกิดขึ้นมาดั่งนี้
จนกว่าที่จะเกิดวิปัสสนาปัญญา
มองเห็นเกิดดับของขันธ์ ๕ หรือกล่าว
ให้หมดจดว่ารู้จักขันธ์ ๕ รู้จักความเกิดของขันธ์ ๕
รู้จักความดับของขันธ์ ๕ รู้จักเกิดดับ เมื่อเป็นดั่งนี้
แล้วก็จะเป็นเหตุให้ปล่อยวางได้
และเมื่อปล่อยวางได้ก็ไม่ยึดถือ เมื่อ
ไม่ยึดถือสังโยชน์ก็จะไม่บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ทั้ง ๓ หมวดนี้
คือหมวดนิวรณ์ก็ดี หมวดขันธ์ ๕ ก็ดี
และหมวดอายตนะสัญโญชน์นี่ก็ดี การปฏิบัติจึง
ต้องสัมพันธ์กัน ต้องอาศัยกันคู่กันไปดั่งนี้ จึง
จะละนิวรณ์ได้ และละความยึดถือในขันธ์ ๕ ได้
แล้วก็ละสัญโญชน์ได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร