วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2014, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อารักขกรรมฐาน
�����
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อ
ความขาดนิดหน่อย
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอ
ให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จิตตภาวนาการอบรมจิต
เป็นกิจสำคัญแห่งผู้ปฏิบัติธรรมะในพุทธศาสนา ไม่ว่า
จะเป็นภิกษุสามเณร ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ชายหญิง
ทั้งปวง เพราะว่าจิตนี้เป็นความสำคัญ มีความสำคัญ
เป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติกระทำทุกอย่าง
เป็นเบื้องต้นของกรรมคือการงานที่ประกอบกระทำ
ถ้าจิตร้ายใจร้ายก็เป็นเหตุให้ประกอบกรรมที่ร้ายต่างๆ
ถ้าจิตดีใจดีก็เป็นเหตุให้ประกอบกรรมที่ดีงามต่างๆ
เพราะฉะนั้น จิตตภาวนาการอบรมจิต
จึงหมายถึงการอบรมจิตให้ละเว้น ให้สงบอารมณ์
และกิเลสที่ชั่วร้ายทั้งหลาย แต่ให้ตั้งอยู่ในธรรมะที่
เป็นคุณงามความดีต่างๆ อันตรงกันข้าม
การปฏิบัติธรรมะในพุทธศาสนา แม้ว่าจะเป็นขั้นต้นก็
ต้องอาศัยจิตที่สงบ ที่ดี
ด้วยการทำจิตนี้ให้สงบให้ดีประกอบไป
ด้วย แม้ว่าการปฏิบัตินั้นจะปรากฏทางกายทางวาจา
ดังที่เรียกว่าศีล ที่อธิบายกันทั่วไปว่าเว้นจาก
ความประพฤติชั่วประพฤติผิดทางกายทางวาจา แต่ก็มิ
ใช่ว่าจะทิ้งใจเสียได้ ต้องมีจิตใจ ตั้งใจที่จะงดเว้น และ
จะต้องมีจิตใจเป็นศีล กายวาจาจึงจะเป็นศีลที่สมบูรณ์
ถ้าแสดงกายวาจาว่างดเว้นได้ แต่จิตใจยังไม่สงบ ยังมี
ความคิดฟุ้งซ่าน ยังมีความอยากต้องการที่
จะทำโน่นทำนี่อันเป็นการผิดศีล ก็ชื่อว่าใจยังไม่เป็นศีล
และหากว่ากุศลเจตนาหย่อนลงไป หรืออารมณ์อัน
เป็นเครื่องยั่วเย้าจิตแรงขึ้น ก็จะทำให้ละเมิดศีลได้
ดังที่เรียกว่าศีลขาด ศีลเป็นท่อน เป็นช่อง
ศีลด่างศีลพร้อย เป็นอันยังไม่ได้ สีลวิสุทธิ
ความบริสุทธิ์แห่งศีล ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะ
ต้องมีจิตตภาวนาการอบรมจิต
วิธีหนึ่งสำหรับที่จะใช้อบรมจิต
เรียกว่าอารักขกรรมฐาน คือกรรมฐานที่ควรรักษาไว้
เป็นประจำ เพราะว่าจิตนี้ที่ยังมิ
ได้อบรมก็มีกิเลสมีอารมณ์อยู่เป็นประจำ ถ้าหากว่า
ไม่มีกรรมฐานมาเป็นประจำบ้าง อารมณ์และกิเลสก็
จะจูงจิตไปในทางชั่วทางผิดได้โดยง่าย แต่
ถ้าหากว่ามีกรรมฐานมารักษาจิตเอาไว้ตามสมควร
กรรมฐานที่รักษาจิตไว้นี้ก็จะช่วยรักษาบุคคล ไม่
ให้ตกไปสู่อำนาจของอารมณ์และกิเลสได้โดยง่าย
อารักขกรรมฐาน กรรมฐานที่ควรรักษา
ไว้เป็นนิจนี้ ข้อ ๑ พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ข้อ ๒ เมตตา แผ่จิตออกไปด้วยความใคร่
ความปรารถนาสุขประโยชน์ แก่บุคคลแก่สัตว์
ทั้งหลาย ข้อ ๓ อสุภะ พิจารณากายนี้ว่าไม่งดงาม
และข้อ ๔ มรณสติ ระลึกถึงความตาย
พุทธานุสสติ
ข้อ ๑ พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ในทางปฏิบัติที่เป็นกรรมฐานก็คือระลึก
ถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ตามบทที่สวดกันว่า
อิติปิโส ภควา อรหังสัมมา สัมพุทโธ เป็นต้น
อันมีคำแปลว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค
เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเป็นพระผู้ไกลกิเลส
ผู้ตรัสรู้ชอบเอง ดั่งนี้เป็นต้น อันเรียกว่า นวหรคุณ
คือคุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ นวหรคุณนี้ย่อลงก็
เป็น ๓ ประการ ดังที่เราทั้งหลายสวดกันอยู่ ว่า
พุทโธสุสุทโธ กรุณามหัณโว อันแปลว่าพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นพระ พุทโธ คือพระผู้ตรัสรู้
แล้ว อันแสดงถึงพระปัญญาคุณ สุสุทโธ ทรงเป็น
ผู้บริสุทธิ์แล้ว อันแสดงถึงพระวิสุทธิคุณ กรุณามหัณโว
มีพระกรุณาดั่งห้วงทะเลหลวง อันแสดง
ถึงพระกรุณาคุณ ก็คือย่อลงเป็นพระปัญญาคุณ
พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาคุณ ก็ตั้งใจระลึกพิจารณา
ในพระคุณของพระพุทธเจ้า บทใดบทหนึ่งใน ๙ บทก็ดี
ย่อลงเป็นพระคุณทั้ง ๓ ดังกล่าวแล้วนี้ก็ดี
หรือว่าจะพิจารณาระลึก
ถึงพระคุณดังที่ท่านแสดงไว้อย่างอื่น
เช่นระลึกว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็น
ผู้มีพระสันดานแห่งธรรมอันบริสุทธิ์แล้ว
และที่เรียกว่าพระพุทธะ พระพุทธะ ก็
เพราะตรัสรู้อย่างยอดเยี่ยม เพราะประกอบเวไนยนิกร
ไว้ในธรรมะ เพราะทรงปลุกให้ตื่นจาก
ความหลับคือกิเลสมีความหลงเป็นต้น ดั่งนี้ก็ได้
ซึ่งก็รวมเข้าในพระปัญญาคุณ ในพระวิสุทธิคุณ
ในพระกรุณาคุณนั้นเอง และเมื่อ ... (เริ่ม ๑๒ /๒ )
ในพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ใน
ความบริสุทธิ์ของพระองค์ และ
ในพระกรุณาของพระองค์ยิ่งขึ้น ทำให้จิตใจ
ได้พบสรณะคือที่พึ่งกำจัดทุกข์ภัยได้จริง
กำจัดกิเลสได้จริง กำจัดบาปอกุศล
ได้จริง อันน้อมใจ
ให้ใฝ่ปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
เมตตาพรหมวิหาร
ฉะนั้นจึงมาถึงข้อที่ ๒ เมตตา
ความแผ่จิตออกไปในสัตว์บุคคล เจาะจงก็ตาม
ไม่เจาะจงคือทั่วไปไม่มีประมาณก็ตาม ให้มีความสุข
ดังเช่นคิดว่าสัตว์ทั้งหลายจะเป็น นระ คือมนุษย์ก็ตาม
เป็น อนระ คือมิใช่มนุษย์ คือเป็นพวกโอปปาติกะ
ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นฝ่ายสุคติ ทั้งที่เป็นฝ่ายทุคติก็ตาม
เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ต่างก็พากันแสวงหาความสุข
จึงขอให้สัตว์ทั้งปวงพากันมีความสุข มีตนบรรลุถึง
ความสุข มีความเกษมสวัสดี
เมื่อหัดปฏิบัติแผ่เมตตาไปดั่งนี้ จะทำ
ให้จิตใจนี้พ้นจากโทสะพยาบาท เป็นจิตใจที่อ่อนโยน
ที่สุภาพ ที่ไม่มุ่งร้ายต่อใครๆ แต่ว่ามีความมุ่งดีต่อใครๆ
อันทำให้ผู้ที่มีเมตตาอยู่ในจิตเอง มีความสุขความเย็น
มองดูใครๆโดยรอบ ก็มองดูด้วยสายตาที่มี
ความรักใคร่ปรารถนาดีมุ่งดี ไม่มุ่งทำลายล้าง
ผู้ปฏิบัติมีเมตตาขึ้นเองจึงได้พบความสุข ความเย็น
และก็ทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมกันมีความสุขความเย็นด้วย
และนอกจากนี้ยังทำให้จิตใจยากที่จะกระทบกระทั่ง
ง่ายต่อที่จะให้อภัยในความผิดพลาด ล่วงเกินของผู้อื่น
ไม่ถือโทษโกรธแค้น จะโกรธยาก ใจ
จะถูกกระทบกระทั่งให้โกรธได้ยาก เพราะฉะนั้น จึง
เป็นข้อที่ควรอบรมให้มีอยู่ประจำใจเนืองนิจ
อสุภกรรมฐาน
และมาถึงข้อที่ ๓ อสุภะ
พิจารณากายนี้ว่าไม่งดงาม กรรมฐานข้อนี้
เป็นเครื่องระงับกิเลสกองราคะ
คือความกำหนัดยินดีติดอยู่ในกายตน
ในกายผู้อื่น เพราะฉะนั้นจึงสอนให้พิจารณากายนี้ อัน
เป็นที่ตั้งของกิเลสกองราคะนี้ ว่าอันที่จริงนั้น
เป็นสิ่งปฏิกูล ไม่สะอาดไม่งดงาม เพราะว่ากายนี้
เป็นที่ประชุมแห่งศพ มี ผม ขน เป็นต้น
เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ โดยจะพึงพิจารณาเห็นได้โดย สี
สัณฐาน เป็นต้น ฉะนั้น จึงต้องมีการชำระ
และการตกแต่งให้งดงามต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถ
จะกระทำให้สำเร็จไปได้ เพราะเป็นสิ่งที่ปฏิกูล
ไม่สะอาด ไม่งดงามอยู่โดยธรรมชาติ
เมื่อพิจารณาดั่งนี้ก็จะดับกิเลสกองราคะ คือความติด
อยู่ในกายลงได้ ทำให้มีความเบา มีความสบาย
มรณสติ
และอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่ ๔ คือ มรณสติ
ระลึกถึงความตาย ว่าความตายนั้นคือความเข้าไปตัด
ชีวิตินทรีย์ ซึ่งความตายนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ของสัตว์
ทั้งปวงในโลก ส่วนชีวิตนั้นเป็นของไม่เที่ยงแท้ เพราะ
จะต้องมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งหมด
และเมื่อพิจารณาถึงความตายซึ่งต้องมีแก่ตนเองด้วย
แก่ผู้อื่นด้วยทุกๆคนในโลกผู้เกิดมา ดั่งนี้แล้ว ก็จะทำ
ให้จิตใจนี้สงบจาก
ความประมาทมัวเมาเลินเล่อเผลอเพลินในชีวิต
แต่ว่าก็ไม่ได้มุ่งว่าจะให้กลัวตาย หรือจะ
ให้หมดกำลังใจ แต่มุ่งว่าเมื่อระลึกว่าความตายจะ
ต้องมีแน่นอนดั่งนี้แล้ว ก็จะ
ได้รีบเร่งประกอบกระทำกรณียะ คือกิจที่ควรทำ
ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ทำเสียตั้งแต่ในวันนี้ทีเดียว ดั่งนี้
จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต และจะทำให้ได้
ความรู้รับรองในคติธรรมดาของชีวิต จะทำให้เป็นผู้
ไม่กลัวตายเพราะเป็นธรรมดาของชีวิต
ความกลัวตายนั้นเพราะเหตุที่
ไม่รับรองคติธรรมดาของชีวิต
แต่เมื่อรับรองคติธรรมดาของชีวิตด้วยปัญญา
ก็จะทำให้ไม่กลัวตายและก็จะทำให้ไม่ประมาท
ไม่มัวเมาเลินเล่อเผลอเพลิน
ประกอบกรณียะคือกิจที่ควรทำไปทุกวัน ไม่ผัด
หรือผลัดเอาไว้ทั้ง ๔ ข้อนี้ คือ ๑ พุทธานุสสติ
ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ๒ เมตตา แผ่เมตตาจิตออกไป ๓
อสุภะ พิจาณากายนี้ว่าเป็นของที่ไม่งดงามไม่สะอาด
และ มรณสติ ระลึกถึงความตาย เป็นอารักขกรรมฐาน
คือกรรมฐานที่ควรรักษาไว้เนืองนิจ ปฏิบัติอบรม
อยู่เนืองๆ หัดระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ
หัดแผ่เมตตาอยู่เนืองๆ หัดพิจารณากายนี้ว่าเป็นของ
ไม่งดงามไม่สะอาดอยู่เนืองๆ ระลึกถึงความตายอยู่เนืองๆ
เมื่อเป็นดั่งนี้จะเป็นเครื่องป้องกันอารมณ์
และกิเลสร้ายทั้งหลายได้ แม้ว่า
จะเกิดอารมณ์กิเลสขึ้นตามธรรมดาของสามัญชน ก็
สามารถจะใช้อารักขกรรมฐานนี้ระงับได้ เมื่ออารมณ์
และกิเลสบังเกิดขึ้น ก็ระลึกถึงกรรมฐานทั้ง ๔
ข้อนี้ทันที ข้อใดข้อหนึ่ง ก็จะทำให้ระงับใจได้ ทำ
ให้จิตใจได้ความสงบได้ความสุข ตลอดจนถึง
ได้สมาธิตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูง
เป็นบาทของปัญญาที่จะเห็นธรรมะยิ่งขึ้นต่อไป
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร