วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 08:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2013, 17:13 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2903


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ปัจจุบันคือเวลาที่ประเสริฐที่สุด

คมชัดลึก พึ่งตน-พึ่งธรรม พ.ย. ๒๕๕๔
(พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา)


กว่าต้นฉบับนี้จะตีพิมพ์ เข้าใจว่ายังไม่พ้นช่วงวิกฤติน้ำท่วม (Thai Flood) คนไทยหลายคนมีสภาพจิตหลุดเขาไปในห้วงตื่นตระหนก (panic) เกินจริง เพื่อนบ้านผมคนหนึ่งอยู่แถวสุขุมวิท ๑๐๓ วิ่งหน้าตั้งอาการตื่นตูมรายวัน มาปรึกษาผม รำพึงรำพันขั้นเพ้อ ว่าเดี๋ยวจะเกิดอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น, ดูไปแล้ว สภาพจิตของเธอไม่ต่างอะไรกับคนอยุธยา ที่จมบาดาลทั้งจังหวัดเลย ทั้งๆ ที่หน้าบ้านเรายังแห้งสนิทอยู่ (อาจแย่กว่าพวกเขาเหล่านั้นด้วยซ้ำ)

เกิดอะไรขึ้นกับการควบคุม สภาพจิต (Mind Control) ของตัวเอง ?

แม้ว่ารัฐบาลจะล้มเหลวในการควบคุม (Take Control) และการสื่อสาร (communication) มหาอุทกภัยในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งปวงนั้น มันก็เป็นเพียงปัจจัยภายนอก อันเราไม่สามารถไปบังคับบัญชาหรือควบคุมมันได้ (External Uncontrollable factors); ทั้งฟ้าฝนก็ตาม, ทั้งความสามารถของทีมงานรัฐบาลก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น หรือแม้ว่าบ้านของพวกเราเอง ทั้งที่ถูกน้ำท่วมเต็มบ้านแล้วก็ตาม หรือที่กำลังรอน้ำเดินทางมาก็ตาม ก็ล้วนเป็นสิ่ง่งที่ควบคุมไม่ได้เสียทั้งหมด (อาจเตรียมการพอได้บ้าง แต่คาดการณ์ถึงผลไม่ได้เลย) ก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ยังควบคุมไม่ได้เช่นกัน!

แล้วเราจะทุกข์ใจให้เกินกว่าเหตุไปใย?

สมัยผมเรียนมหา’ลัยอยู่มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวนครสวรรค์ เล่าให้ฟังว่าวันหนึ่งพ่อเขาซึ่งมีอาชีพพ่อค้าข้าว กำลังกลุ้มใจเรื่อง ข้าวจำนวนมากที่เน่าในยุ้งฉางเพราะน้ำท่วมเมื่อวานนี้ (น่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๓๘) เช้ามืดของวัน รุ่งขึ้น แกเดินออกมามองยุ้งข้าวเน่าแล้วทั้งหมดของแกที่มี ด้วยดวงตาที่เหม่อลอยสักพัก ... สติก็วิปลาสไปเลย คือ เป็นบ้าไปเลย! นี่คือกรณีตัวอย่างที่เสียการควบคุม (Lost Control) สภาพจิตของตัวเอง ซึ่งไม่คุ้มกันเลย ระหว่าง สติสัมปชัญญะของคน กับ ยุ้งฉางข้าว

โดยเฉพาะชาวพุทธเรา, ศาสนาแห่งปัญญาอันมีพระพุทธเจ้าทรงมอบกลยุทธ์พุทธวิธีไว้ตั้งมากมายหลายประการ หากไม่รู้จักนำมาใช้ แล้วปล่อยให้สติวิปลาสขาดการควบคุมเช่นนี้ ผมก็ถือว่าพลาดแน่ๆ เสียทีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธแท้ๆ ผู้เขียนอยากนำเสนอกุศโลบายบางอย่างที่ได้จากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ดี ที่ได้จากการอ่านหนังสือ หรือจากประสบการณ์มากมายก็ดีซึ่งน่าจะมีประโยชน์ในสภาวการณ์วิกฤติชาติเช่นนี้


๑. ปัจจุบัน คือ เวลาอันประเสริฐที่สุด
เป็นอยู่กับ”ปัจจุบัน”ให้ได้ ไม่ว่าน้ำจะท่วมบ้านเราไปแล้ว หรือน้ำกำลังจะท่วม หรือรอดพ้นวิกฤติน้ำท่วมไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็จงยอมรับมัน และจงใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันกับมันให้ได้ Dale Carnegie เคยเขียนไว้ในหนังสือ “How to stop worrying and start living.” ว่า ... “ภารกิจของทุกคนก็คือ ... ไม่มองสิ่งที่สลัว ระยะไกล แต่จงลงมือทำ (Action) กับสิ่งที่เห็นกระจ่างในระยะใกล้” เช่น น้ำยังไม่ท่วม ก็ทำการป้องกันหลังจากศึกษาข้อมูลแล้ว หากแถวบ้านเราน้ำอาจท่วมสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตรก็ให้กั้นประตูไว้สูง ๖๐ เซนติเมตรขึ้นไป นี่คือการลงมือทำในระยะใกล้, เมื่อทำพนังกั้นหน้าประตูรอบบ้านเสร็จ และย้ายข้าวของให้สูงพ้นน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็จงคลายกังวล ... หากถึงเวลาจริง น้ำจะท่วมสูงเกินกว่าที่คาดก็ช่างมัน จงยอมรับสภาพไป เป็นต้น

ส่วนคนที่น้ำท่วมบ้านทั้งหลังไปแล้วก็จง Focus ไปที่การวางแผนฟื้นฟู แก้ไขเยียวยาหลังจากน้ำลด เพราะอดีตมันนย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว พุทธพจน์กล่าวไว้ชัดเจน : วิตก “อดีต” ก็เปล่าประโยชน์เพราะมันได้ผ่านไปแล้ว กังวลกับ “อนาคต” ก็ทุกข์ใจโดยใช่เหตุ เพราะอนาคตมันยังมาไม่ถึง, ปัจจุบันกาล นั่นแหละคือเวลาที่ประเสริฐที่สุด เพราะหากทำปัจจุบันดี, อนาคตก็ต้องดี, และปัจจุบันตรงที่เราทำดี เหมือนผ่านไปแล้วนั้น ก็จะกลายเป็นอดีตที่ดีด้วยอย่างแน่นอน

๒. ดู “เวทนา” คือดู “ปัจจุบัน”
หลวงพ่อชา สุภัทโท, วัดหนองป่าพง สอนว่า “เฝ้าดูจิต” คือวิปัสสนากรรมฐาน, เฝ้าดูจิต คือเห็นเวทนา (ความรู้สึก), การเห็นเวทนาคือการอยู่กับปัจจุบันไม่หวั่นไหวกับอดีต (น้ำจะท่วมก็ท่วมไป) ไม่วิตกกังวลกับอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง (เสบียงอาจหมดก็หมดไป ให้หาเอาใหม่ดาบหน้าก็ได้ ท้องจะหิวก็หิวไป, จิตใจอย่าให้ตกไปด้วย)

น้ำท่วมอย่างมากก็บ้านเปียก, ทรัพย์สินจมน้ำ, รถยนต์เสียหาย ฯลฯ แต่ “กายและใจ” ยังพร้อมเหมือนเดิม กายและใจ หรือ รูปและนาม ทางพุทธเราแจกแจงได้เป็นขันธ์ ๕, ขันธ์แรกคือ “รูป” หมายถึง”กาย” และอีก ๔ ขันธ์ ตามมาคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันหมายถึง “จิตใจ” นั่นเอง, อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ปราชญ์รัตนโกสินทร์ เคยสอนผมให้จำง่ายๆว่า ... เวทนา-สัญญา-สังขาร คือ ... รู้สึก-นึก-คิด

“รู้สึก” ... คือ ปัจจุบัน, “นึก” ... คืออดีต-ผ่านไปแล้วไม่มีประโยชน์จะไปอาลัยอาวรณ์ และ “คิด” ... คืออนาคต-ซึ่งยังไม่มาถึง (มาไม่เคยถึงเลยดั่งกลอนฝรั่งที่ว่า Tomorrow never come) ดังนั้นไม่ควรทุกข์ใจ หรือดัดจริต ชิงตีตนไปก่อนไข้เสียก่อน

รู้สึก คือปัจจุบันนี่คือจุดที่เราควร Focus, หากใคร Focus ไม่เป็น ก็ให้ใช้วิธีการกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก หรือที่เขาเรียก “อานาปานสติ” นั่นเอง ... หยุดวิตกจริต ความคิดที่ฟุ้งซ่าน กระเจิดกระเจิงนั้นเสีย แล้วหันเข้าด้านใน เพียงนำจิตนำใจ มาจดจ่อที่ลมหายใจ เข้า-ออก เข้า-ออกๆๆๆ ... ก็จะเป็นการพาใจกลับบ้านอย่างสันติ, พาจิตกลับสู่ปัจจุบันกาลอันเป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุด ถือเป็นการตั้ง”สติ”กลับมาใหม่, เมื่อสติมาแล้ว พลังสมาธิก็สงบ มีกำลัง พร้อมใช้งานได้ แล้วจึงนำไปแก้สารพันปัญหาได้ต่อไป

๓. ไม่มีอะไรสำคัญกว่า”ดวงจิต”
พระพุทธเจ้าแยก “กายหรือรูป” เป็น ๑ ขันธ์, แต่หาก “จิตใจ” กลับแจงละเอียดถึง ๔ ขันธ์ด้วยกัน ก็เพราะพระพุทธองค์ให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า, คำโบราณว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คนเราสูญสิ้นอะไรก็ได้ แต่กำลังใจอย่าสิ้นสูญ! ... ใช่แล้วครับ ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ดี, หัวใจธรรมเรื่องอริยสัจ 4 ก็ดี, ต่างก็ต้องอาศัยจิตเป็นที่ปักรากฐาน หยั่งรากลึกลงดิน และประมวลผล ก็โดยอาศัย”จิต” ดวงนี้เท่านั้น จึงเข้าสู่จุดสูงสุดของการบรรลุธรรม ถึงที่สุดแห่งทุกข์ อันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่า “ดวงจิต” อีกแล้ว ... ไม่ว่าจะเป็น บ้าน, รถยนต์, โรงงาน, เครื่องจักร,ทรัพย์สินเงินทอง, ร่างกายที่เจ็บป่วย, บรรดาสัตว์เลี้ยงที่ตกระกำลำบาก ฯลฯ เพราะฉะนั้นการรักษาจิต-ฝึกจิตของท่านให้อยู่เสมอให้เข้มแข็งและอยู่กับปัจจุบันให้ได้ถือเป็นมงคลสูงสุดครับ

น้ำจะท่วม ถึงขอบฟ้า ก็ท่วมไป
แต่อย่าให้ น้ำท่วม “ใจ” จนหม่นหมอง
“ปัจจุบัน” เท่านั้น ที่ฉันมอง
“จิต” จะต้อง คงมั่นอยู่ กับปัจจุบัน
ทรัพย์สินล้วน ได้มา ก็เสียไป
เกิด-ดับมี ขึ้นได้ อย่าไหวหวั่น
ชีวิตนี้ จงอยู่กับ ปัจจุบัน
เชื่อหลักกรรม พึ่งธรรม-พึ่งตนเอยฯ

Pisut Kriangburapa
November 1st 2011


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2013, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอโมทนามากๆเลยนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2014, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




กุญแจ 4 ดอก.jpg
กุญแจ 4 ดอก.jpg [ 12.13 KiB | เปิดดู 1334 ครั้ง ]
:b12: ปัจจุบัน คือ เวลาประเสริฐสุด เพราะเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่เราสามารถทำสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นได้ ถ้าต้องการความสำเร็จ ก็ต้องลงมือทำเสียแต่บัดนี้ ถ้าต้องการความสุข ก็ต้องรู้จักเป็นสุขเสียแต่ตอนนี้ :b12:

:b44: (♡✿◕‿◕✿♡) กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลกทางธรรม ท่านใดมีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ท่านมีสุขขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครอง ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะเจ้าค่ะ (♡✿◕‿◕✿♡) :b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร