วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 22:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 16:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว




:b41: กลัวอย่างธรรม 1 :b41:

“จิตเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องยึด
จะไม่เสียหลัก และจะตั้งตัวได้
ในขณะทั้งที่กลัว ๆ นั่นแล
จะกลายเป็นจิตที่อาจหาญขึ้นมา
ในขณะนั้นอย่างอัศจรรย์”
คราวท่านกลับจากอุบลฯ ทีแรกท่านมาจำพรรษาที่บ้านหนองลาด
อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีพระเณรติดตามมาศึกษาปฏิบัติด้วยเป็นจำวนมากมาย
ประชาชนหญิงชายพากันตื่นเต้นมาก ประหนึ่งท่านผู้มีบุญมาเกิด
แต่มิได้ตื่นเต้นแบบมลคลตื่นข่าว หากแต่ตื่นเต้นเพื่อละชั่วทำดี
ละการนับถือผีไหว้เจ้า กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แทนเท่านั้น
พอออกพรรษาแล้วท่านออกเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อย ๆ มาทางจังหวัดอุดรธานี
ไปอำเภอหนองบัวลำภูบ้าง อำเภอผือ และจำพรรษาที่บ้านค้อบ้าง
ไปอำเภอท่าบ่อจำพรรษาที่นั่นในเขตจังหวัดหนองคายบ้าง
พักอยู่สองจังหวัดนี้นานพอควร
สถานที่ที่ท่านพักบำเพ็ญโดยมากมีแต่ป่าแต่เขาดังกล่าวแล้ว
หมู่บ้านก็มีอยู่ห่าง ๆ กัน
ในสมัยโน้นไม่แออัดด้วยผู้คนและบ้านเรือนเหมือนสมัยนี้
การอบรมสั่งสอนก็ง่าย
ป่าก็เป็นป่าจริง ๆ เต็มไปด้วยหมู่ไม้ใหญ่ ๆ สูง ไม่มีใครทำลาย
สัตว์ป่าก็ชุกชุม พอตกกลางคืนได้ยินแต่เสียงสัตว์ชนิดต่างๆ
ร้องไปตามภาของเขา ฟังแล้วทำให้เพลิดเพลินไปตามด้วยความเมตตาและสนิทสนม
เพราะเสียงสัตว์ไม่ค่อยเป็นข้าศึกต่อการบำเพ็ญสมณธรรม
ผิดกับเสียงมนุษย์อยู่มาก
ท่านว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเราไม่เข้าใจความหมายของเสียงก็เป็นได้
ส่วนเสียงมนุษย์ไม่ว่าจะพูดสนทนากันธรรมดา
ไม่ว่าจะขับลำทำเพลงกัน ไม่ว่าจะทะเลาะวิวาทกัน
ไม่ว่าจะแสดงความสนุกรื่นเริงกัน เพียงแต่เริ่มแสดงออกก็เริ่มเข้าใจความหมายไปตามทุก ๆ คำ และทุก ๆ ระยะ
จึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกนักในเวลามีเสียงคนมากระทบขณะทำสมาธิภาวนา
ยิ่งเป็นเสียง อิตถี สทโท ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความทิ่มแทงมากขึ้น
ถ้าสมาธิไม่ดีพอ มีหวังล้มละลายได้อย่างง่ายดาย
แต่ต้องขออภัยจากท่านข้าวของเสียงนี้มาก ๆ
แต่เขียนไปตามความไม่เป็นท่าของนักภาวนาต่างหาก
เพื่อจะได้สติฮึดสู้บ้าง พอมีทางเอาตัวรอดได้ ไปหมอบยอมแพ้ราบอยู่ท่าเดียว
ที่ท่านชอบพักอยู่ในป่าในเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทำนองนี้อยู่บ้าง
เพื่อหลบภัยและเพื่อบำเพ็ญคุณงามความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่ล่าถอยจนถึงที่สุด
อันเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อธรรมขั้นนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนถึงวันมรณภาพ
จึงได้ธรรมอันเป็นขวัญใจมาฝากพวกเราอย่างภูมิใจ
ท่านเล่าว่า เวลาท่านกำลังบำเพ็ญ ถ้าเป็นโรคก็เป็นประเภทชีวิตไม่ยังเหลือค้างโลก
ให้ใคร ๆ ได้เห็นต่อไป
เพราะมีแต่การฝึกทรมานทั้งกายทั้งใจตลอดไป
ไม่มีวันจะได้ลืมตาอ้าปากพูดอย่างสนุกรื่นเริงเหมือนท่านผู้อื่นบ้างเลย
เพราะกิเลสกับใจมันไวต่อการติดพันกันจนมองไม่ทันเผลอตัวบ้างไม่ได้เลย
เป็นได้เรื่องทันที แต่พอมันติดพันใจได้แล้ว แก้หรือถอนไม่ยอมออกอย่างง่าย ๆ
มีแต่จะพันให้แน่นเข้าทุกที อันนี้แลที่จะทำให้เผลอตัวไม่ได้
ต้องจ้องต้องมองต้องคอยจองจำทำโทษมันอยู่เสมอ
ไม่ยอมให้มีกำลังขึ้นมาได้ เดี๋ยวมันมัดเราเข้าอีกมีหวังจอดจมแน่
ทำถึงขนาดนั้นจึงพอมีความสุขและลืมตาได้บ้างเท่านั้น
พอมีกำลังใจบ้างและได้รับความสะดวกกายสบายใจก็ได้วกมาสั่งสอนหมู่เพื่อน
ต่อจากนั้นหมู่เพื่อนทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาสไม่ทราบมาจากไหน
ทางนั้นก็มา ทางนี้ก็มา มาไม่หยุด และมาทุกทิศทุกทาง
บางครั้งจนไม่มีที่พักเพียงพอกัน เพราะมามากต่อมาก
ทั้งน่าสงสาร ทั้งน่าเห็นใจ
ท่านว่าบางครั้งก็ทำให้วิตกกับผู้อื่นเกี่ยวกับความปลอดภัย
ซึ่งมีผู้หญิง และชีนุ่งขาวไปเยี่ยม เช่น คราวพักอยู่ในถ้ำบ้านนาหมี
นายูง อำเภอบ้านเผือ จังหวัดอุดรธานี สมัยนั้นคนมีน้อยและสัตว์เสือก็ชุกชุมมาก
ถ้ำและบริเวณที่ท่านพักอยู่ เสือโคร่งใหญ่ ซึ่งมีอยู่หลายตัวในแถวนั้นเคยเข้ามาบริเวณนั้นเสมอ
ไม่เป็นที่ไว้ใจในชีวิตของผู้ไปเยี่ยมท่านและค้างคืนที่นั่น เวลาเขาไปเยี่ยม
ท่านต้องสั่งให้ชาวบ้านหาไม้มาทำห้างสูงๆ จนพ้นจากปากเสือที่จะกระโดดขึ้นไปถึงที่
คนที่หลับนอนอยู่บนห้างนั้น เวลาค่ำคืนท่านห้ามไม่ให้ลงมาพื้นดินกลัวเสือจะโดดคาบเอาไปกิน
แม้ปวดหนักปวดเบาก็ให้เตรียมภาชนะขั้นไปไว้ข้างบนด้วย
เพื่อสะดวกแก่การขับถ่ายในเวลาค่ำคืน
เพราะแถวนั้นเสือชุมมากและดุร้ายด้วย
ผู้ที่ไปเยี่ยม ท่านไม่ให้พักอยู่หลายวัน ต้องรีบพากันกลับ
เสือแถบนั้นไม่ค่อยกลัวคนนัก ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วมันยิ่งไม่กลัวเอาเลย
หากพอทำอันตรายได้มันอาจทำ แม้ชาวบ้านก็พูดเหมือนกันว่า
เสือพวกนี้ไม่ค่อยจะกลัวคนนัก
บ้างครั้งเวลากลางคืนท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ โดยจุดเทียนไขใส่โคมไฟแขวนไว้ที่ทางจงกรม
ยังเห็นเสือโคร่งใหญ่เดินตามหลังฝูงควาย ที่พากันเดินผ่านมาที่พักท่านอย่างองอาจ
ไม่กลัวท่านซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่บ้างเลย
ฝูงควายที่ถูกเสือรบกวนมาก ต้องพากันกลับเข้าบ้าน
เสือยังกล้าเดินตามหลังฝูงควายมาได้ต่อหน้าต่อตาพระซึ่งก็เป็นคนผู้หนึ่งที่นั่น
พระที่ไปศึกษาอบรมกับท่านต้องเป็นพระที่เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว
ทั้งความสละเป็นสละตายต่อการประกอบความเพียรในสถานที่ต่างๆ
ซึ่งไม่เป็นที่แน่ใจและอาจมีภัยรอบด้าน ทั้งสละทิฎฐิมานะ
ความถือตัวว่ามีราคาค่างวด
ซึ่งอวดรู้อวดฉลาดอยู่ภายใน และสละทิฏฐิมานะต่อหมู่ต่อคณะ
ประหนึ่งเป็นอวัยวะอันเดียวกัน จิตใจถึงจะมีความสงบสุข
การประกอบความเพียรก็มี เกิดสมาธิได้เร็ว ไม่มีนิวรณ์เข้ามาขัดขวางถ่วงใจ
ในที่ถูกบังคับให้อยู่ในวงจำกัด เช่น สถานที่กลัว ๆ
อาหารมีน้อย ฝืดเคืองด้วยปัจจัย สติกำกับใจไม่ลดละ
คิดอ่านเรื่องอะไรมีสติคอยสะกิดบังคับอยู่เสมอ
ย่อมเข้าสู่ความสงบได้เร็วกว่าเท่าที่ควรจะเป็น
เพราะข้างนอกมีภัย ข้างในก็มีสติคอยบังคับขู่เข็ญ
จิตซึ่งเปรียบเหมือนนักโทษก็ย่อมตัวไม่คึกคะนอง
นอกจากนั้น ยังมีอาจารย์คอยใส่ปัญหาเวลาจิตคิดออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย
จิตซึ่งถูกบังคับด้วยเครื่องทรมานอยู่ตลอดเวลาทั้งข้างนอกข้างใน
ย่อมกลายเป็นจิตที่ดีขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน คือ กลางคืนซึ่งเป็นเวลากลัว ๆ
เจ้าของก็บังกับให้ออกเดินจงกรมแข่งกับความกลัว ทางไหนจะแพ้จะชนะ
ถ้าความกลัวแพ้ใจก็เกิดความอาจหาญขึ้นมาและรวมสงบลงได้
ถ้าใจแพ้สิ่งที่แสดงขึ้นมาในเวลานั้นก็คือความกลัวอย่างหนักนั่นเอง
ฤทธิ์ของความกลัวคือ ทั้งหนาวทั้งร้อน ทั้งปวดหนักปวดเบา
ทั้งเหมือนจะเป็นไข้ หายใจไม่สะดวกแบบคนจะตายเราดี ๆ นี่เอง
เครื่องส่งเสริมความกลัวคือเสียงเสือกระหึ่ม ๆ อยู่ตามชายเข้าบ้าง ไหล่เขาบ้าง
หลังเขาบ้าง พื้นราบบ้าง
จะกระหึ่มอยู่ในทิศใดก็ตาม ใจจะไม่คำนึงทิศทางเลย
แต่จะคำนึงอย่างเดียวว่าเสือจะตรงมากินพระองค์เดียว
ที่กำลังเดินจงกรมด้วยความกลัวตัวสั่นไม่เป็นท่าอยู่นี้เท่านั้น
แผ่นดินกว้างใหญ่ขนาดไหน ไม่ได้นึกว่าเสือเป็นสัตว์มีเท้าจะเที่ยวไปที่อื่น ๆ
แต่คิดอย่างเดียวว่าเสือจะตรงมาที่ที่มีบริเวณแคบ ๆ เล็ก ๆ นิดเดียว
ซึ่งพระขี้ขลาดกำลัดเดินวุ่นวายอยู่ด้วยความกลัวนี้แห่งเดียว
การภาวนาไม่ทราบว่าไปถึงไหนมิได้คิดคำนึงเพราะลืมไปหมด
ที่จดจ่อที่สุดก็คือ คำบริกรรมโดยไม่รู้สึกตัว ว่าได้บริกรรมว่า
เสือจะมาที่นี่ เสือจะมาที่นี่ อย่างเดียวเท่านั้น
จิตก็ยิ่งกำเริบด้วยความกลัวเพราะการส่งเสริมด้วยคำบริกรรมแบบโลกแตก
ธรรมก็เตรียมจะแตกหากบังเอิญเสือเกิดหลงป่าเดินเปะปะมาที่นั้นจริงๆ
ลักษณะนี้อย่างน้อยก็ยืนตัวแข็งไม่มีสติ
มากกว่านั้นเป็นอะไรไปเลยไม่มีทางแก้ไข
นี้คือการตั้งใจไว้ผิดธรรม ผลจะแสดงความเสียหายขึ้นมาตามขนาดที่ผู้นั้นพาให้เป็นไป
ทางที่ถูกที่ท่านสอนให้ตั้งหลักใจไว้กับธรรมจะเป็นมรณานุสสติ
หรือธรรมบทใดบทหนึ่งในขณะนั้น ไม่ให้ส่งจิตปรุงออกไปนำเอา
อารมณ์ที่เป็นภัยเข้ามาหลอกตัวเอง เป็นกับตายก็ตั้งจิตไว้กับธรรม
ที่เคยบริกรรมอยู่เท่านั้น จิตเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องยึดจะไม่เสียหลัก
และจะตั้งตัวได้ในขณะที่ทั้งกลัว ๆ นั้นแล จะกลายเป็นจิตที่อาจหาญขึ้นมา
ในขณะนั้นอย่างอัศจรรย์ ที่บอกไม่ถูก

:b46: :b41: :b41: :b46:




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 16:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือ
ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย
พระธรรมวิทุทธิมงคล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2783


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร