วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 19:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะที่ ๑ ของพระพุทธศาสนา เมื่อพูดอย่างทั่วๆไปก็คือลักษณะที่เป็นสายกลาง

มนุษย์เรานั้นมักมีความโน้มเอียงที่จะไปสุดโต่ง ความสุดโต่งมีอยู่สองอย่าง คือ สุดโต่งในทางความคิดอย่างหนึ่ง และสุดโต่งในทางปฏิบัติอย่างหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในทางปฏิบัติ มนุษย์มักจะหันไปหาความสุดโต่ง เช่นในสมัยหนึ่ง คนทั้งหลายพากันเพลิดเพลินมัว

เมาในการหาความสุขทางเนื้อหนัง ให้ความสำคัญแก่การบำรุงบำเรอร่างกายมาก และในยุคนั้น คนก็

ไม่เห็นความสำคัญของจิตใจเลย ซึ่งทางพุทธศาสนา เรียกว่าเป็น กามสุขัลลิกานุโยค

พอเปลี่ยนไปอีกยุคสมัยหนึ่ง คนบางพวก ก็มีความรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจความสุขทางร่างกายทาง

เนื้อหนัง แล้วก็เอียงไปทางด้านจิตใจอย่างเต็มที่ บางที ถึงกับทรมานร่างกาย ยอมสละความสุขทาง

ร่างกายโดยสิ้นเชิง เพื่อจะประสบผลสำเร็จในทางจิตใจ แล้วก็กลายเป็นการเสพติดทางจิตไปอีก พวก

นี้อาจจะถึงกับทำการทรมานร่างกาย บำเพ็ญทุกกรกิริยา อย่างที่เรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเราจะเห็น

ตัวอย่างแม้แต่ในสังคมปัจจุบัน คือ ในยุคเดียวสมัยเดียวก็จะมีความสุดโต่งทั้งสองอย่างนี้ แยกกัน

ออกไปเป็นคนละขั้ว นี้เป็นการเอียงสุดในด้านปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนานั้นถือว่า การเอียงสุดทั้งทางร่างกาย เห็นแก่ร่างกาย บำรุงบำเรอร่างกายอย่างเดียวก็

ไม่ถูกต้อง การเสพติดทางจิตใจ ไม่เห็นความสำคัญของร่างกายเลย โดยสิ้นเชิง จนกลายเป็นการ

ทรมานร่างกายไป ก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน

พระพุทธศาสนาจึงบัญญัติข้อปฏิบัติที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง หรือ ข้อปฏิบัติที่

เป็นสายกลาง คือ ความพอดี นี้ก็เป็นแง่หนึ่ง

อีกด้านหนึ่งก็คือ การเอียงสุดในทางความคิด ซึ่งคนทั่วไปมักจะมีความโน้มเอียงที่จะเป็นเช่นนั้น

เช่นอย่างง่ายๆ ก็คือ เรื่องวัตถุกับจิตว่าอะไรมีจริง พวกหนึ่งจะเอียงสุดว่าวัตถุเท่านั้นมีจริง อีก

พวกหนึ่งก็เอียงสุดว่าจิตเท่านั้นมีจริง จนกระทั่งในปรัชญาตะวันตกได้มีการบัญญัติกันว่า เป็นพวก

วัตถุนิยมกับพวกจิตนิยม

แต่ในพระพุทธศาสนานั้นเราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้บัญญัติอย่างนั้น คือ มิใช่เป็นจิตนิยม หรือเป็นวัตถุ

นิยมไปสุดทางแต่อย่างเดียว แต่ในพระพุทธศาสนามีทั้งนามและรูป ซึ่งท่านเรียกรวมเข้าด้วยกันเป็น

คำเดียวว่านาม-รูป ท่านเห็นความสำคัญของทั้งจิต และทั้งวัตถุ มีทั้งสองอย่าง แต่มีอย่างอิงอาศัย

เนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกตัวอย่างหนึ่ง คนพวกหนึ่งมีความเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเที่ยงแท้ มีอัตตาที่คงอยู่ตลอดไป กลาย

เป็นทิฏฐิที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ

ส่วนอีกพวกหนึ่ง ก็มีความเห็นเอียงไปสุดทางตรงข้าม บอกว่าอย่างนั้นไม่ใช่ ทุกอย่างขาดสูญ

หมด คนเราเกิดมาเป็นเพียงประชุมธาตุสี่ ตายแล้วก็ขาดสูญไป พวกนี้เป็นอุจเฉททิฎฐิ

บางพวกบัญญัติว่า ทุกสิ่งมีทั้งนั้น อีกพวกหนึ่งว่าไม่มีอะไรมีจริงเลย พวกที่ว่ามีทั้งหมดเขาเรียก

ว่า สัพพัตถิกทิฏฐิ พวกที่ว่าไม่มีอะไรสักอย่างก็เป็น นัตถิกทิฏฐิ นี้เป็นตัวอย่าง


คนเรานี้มีความโน้มเอียงที่จะคิดเห็นเอียงสุด หรือไปสุดโต่งในแนวความคิดเกี่ยวกับสัจธรรมอย่างที่

กล่าวมานี้ แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า ความจริงหรือสัจธรรมนี้ มิใช่จะเป็นไปตามความโน้มเอียง

ของความพอใจของมนุษย์ ที่มองอะไรไปสุดทางโน้นสุดทางนี้ ความจริงนั้นเป็นกลางๆ หรือว่าให้ถูกก็

คือ ต้องสอนต้องพูดให้พอดีกับความจริง เพราะฉะนั้น การสอนความจริงแต่พอดีๆ ให้ตรงตาม

ความจริงนั้น หรือสอนให้พอดีกับความจริง ก็เลยกลายเป็นคำสอนที่เป็นกลาง

พระพุทธศาสนาสอนความเป็นกลางในทางปฏิบัติ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

ส่วนในแง่ของความจริง หรือทัศนะเกี่ยวกับสัจธรรมก็เป็นกลางอีกเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงแสดง

ธรรมเป็นกลางๆ เรียกว่า มัชเฌนธรรมเทศนา หรือ มัชเฌนเทศนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้านั้น ก่อนตรัสรู้ ได้ทรงไปศึกษาในสำนักความคิดเห็นเกี่ยวกับสัจธรรม และทดลองข้อ

ปฏิบัติต่างๆ เพื่อจะให้เข้าถึงจุดหมาย

พระองค์ใช้เวลาไปในการทดลองนี้นานถึง ๖ ปี แล้วก็ได้เห็นว่า ที่ปฏิบัติกันอยู่นั้น มักจะไปเอียงสุด

เสียทั้งสิ้น ในที่สุด พระองค์จึงทรงค้นพบทางสายกลางขึ้นมา เป็น มัชฌิมาปฏิปทา และทรงแสดง

หลักธรรมที่เป็นกลาง คือ มัชเฌนธรรมเทศนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติกลางๆ

ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป พอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความมีชีวิตที่ดีงาม

ส่วนมัชเฌนธรรมเทศนา ก็ได้แก่หลักธรรมที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหลัก

ธรรมที่แสดงความจริงเป็นกลางๆ ตามเหตุปัจจัยซึ่งไม่เป็นไปตามความปรารถนาของมนุษย์ทั้ง

หลาย แต่พอดีกับความเป็นจริงที่ว่า สิ่งทั้งหลายนั้นอิงอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นไปตามเหตุ

ปัจจัย เหตุปัจจัยทำให้ผลเกิดขึ้น ผลเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น สิ่งทั้งหลายมีความ

สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มิใช่ดำรงอยู่โดยลำพังตัวมันเองอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าเป็นหลัก

สายกลาง

เป็นอันว่า หลักพระพุทธศาสนานั้นเป็นสายกลาง ทั้งในทางปฏิบัติและในทางความคิด มีมัชฌิมา

ปฏิปทา และมัชเฌนธรรมเทศนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างหนึ่ง สายกลางนั้น มีความหมายว่า พอดีนั่นเอง ตรงกับที่เรานิยมใช้กันในปัจจุบันว่า

ดุลยภาพ หรือสมดุล ในพระพุทธศาสนานั้น ข้อปฏิบัติต่างๆ มักจะมีลักษณะอย่างนี้ คือมีความพอ

ดีหรือความสมดุล ระบบที่กล่าวถึงเมื่อกี้ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เราเรียกว่า

มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ข้อปฏิบัติที่พอดี ก็เป็นลักษณะที่มีดุลยภาพ หรือสมดุลอย่างหนึ่ง แต่เป็น

ความพอดีของระบบทั้งหมด หรือความพอดีในระบบรวม

ทีนี้ในการปฏิบัติแม้แต่ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยลงมา ก็จะมีความสมดุลหรือดุลยภาพนี้อยู่เรื่อย

เหมือนกัน เช่นในการที่จะเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา เราจะต้องปฏิบัติหลักธรรมย่อยๆ

หลายอย่าง หลักธรรมหรือข้อปฏิบัติต่างๆ เหล่านี้ จะต้องกลมกลืนพอดีกัน จึงจะได้ผลสำเร็จ

ถ้าข้อปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ นั้น ไม่สมดุลกัน ไม่พอดีกัน ก็จะเกิดความขัดแย้ง หรือความบกพร่อง ความ

ขาดความเกิน ความเขวออกนอกทาง และก็จะปฏิบัติไม่สำเร็จ

เรื่องที่ท่านเน้นบ่อยๆ ก็คือเรื่อง อินทรีย์ ๕ ซึ่งสำหรับผู้ปฏิบัติ

ธรรมจะมีการเน้นว่า ต้องมี สมตา

สมตา ก็คือสมดุล หรือความพอดีกันระหว่างองค์ประกอบ ที่เรียกว่า อินทรีย์ทั้ง ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ

สติ สมาธิ ปัญญา

ธรรม ๕ อย่างนี้ต้องมีสมตา มีความสมดุลพอดีกัน ศรัทธาต้องมีความพอดีกับปัญญา ถ้าศรัทธาแรง

ไปก็เชื่อง่าย งมงาย ปัญญามากไป ไม่มีศรัทธามาช่วยดุลให้ ก็อาจจะเป็นคนที่ขี้สงสัย คิดฟุ้งไป

หมด เห็นอะไรก็ชิงปฏิเสธเสียก่อนไม่รู้จักจับอะไรให้ลึกลงไป

หรือระหว่างวิริยะกับสมาธิ วิริยะคือความเพียร ถ้าความเพียรมากไป สมาธิน้อยก็จะกลายเป็น

เครียดและฟุ้งซ่าน ถ้าความเพียรน้อย สมาธิมาก เพลินสบายก็ติดในสมาธิ อาจจะทำให้เกียจ

คร้านไปก็ได้

เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความพอดีระหว่างวิริยะกับสมาธิ มีความพอดีระหว่างศรัทธากับปัญญา โดย

มีสติเป็นเครื่องควบคุม อันนี้เรียกว่า สมตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อปฏิบัติต่างๆ ในพระพุทธศาสนา จะต้องมีความสมดุล อันนี้ทีนี้แม้แต่ข้อปฏิบัติแต่ละอย่าง ก็จะต้อง

มีความพอดีเหมือนกัน คือมีความพอดีในการปฏิบัติแต่ละอย่างๆ เช่น จะรับประทานอาหาร ก็ต้องมี

ความรู้จักประมาณ รู้จักพอดีในอาหาร ถ้ารับประทานอาหารไม่พอดีก็เกิดโทษแก่ร่างกาย แทนที่จะ

ได้สุขภาพ แทนที่จะได้กำลัง ก็อาจจะเสียสุขภาพ และอาจจะทอนกำลังทำให้อ่อนแอลงไป

เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้มีความรู้จักประมาณในการบริโภค

โดยทั่วไปจะเห็นว่า หลักพระพุทธศาสนาในทุกระดับมีเรื่องของความพอดี หรือความเป็นสายกลางนี้

ฉะนั้น ความเป็นสายกลาง คือ ความพอดีที่จะให้ถึงจุดหมาย ที่จะให้ตรงกับความจริง ไม่ให้ไปสุดโต่ง

เอียงสุด ซึ่งจะพลาดจากตัวความจริงไปนั้น จึงเป็นลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา.


ลักษณะที่ ๒ ของพระพุทธศาสนาต่อที่

viewtopic.php?f=7&t=40232

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร