วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 01:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2011, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


กุศล คือ บุญ กรรมดี สิ่งที่ดี ความดี ความฉลาด
กุศลมูล ๓ รากเหง้า ต้นตอ หรือต้นเหตุของความดี)
กุศลมูล คือ รากเหง้า ต้นตอ หรือต้นเหตุของความฉลาด ความดี สิ่งที่ดี หรือกรรมดี มี ๓ ประการ ดังนี้
กุศลมูล ๓

๑. อโลภะ คือ ความไม่โลภ ไม่คิดอยากได้ของผู้อื่น มีความคิดเผื่อแผ่เสียสละ การให้ การแบ่งปัน (จาคะ)
๒. อโทสะ คือ ไม่คิดประทุษร้ายด้วยความโกรธ ปรารถนาให้เขามีความสุข (เมตตา)
๓. อโมหะ คือ ความไม่หลง มีความรู้จริงในเหตุและผล ดี-ชั่ว คุณ-โทษ (ปัญญา)

อกุศลมูล ๓

๑. โลภะ คือ ความโลภ คิดอยากได้ของผู้อื่น
๒. โทสะ คือ ความโกรธ ความคิดประทุษร้ายผู้อื่น
๓. โมหะ คือ ความหลง ความเขลา ความไม่รู้จริงในเหตุและผล ดี-ชั่ว คุณ-โทษ (อวิชชา)

กุศลวิตก ๓ (ความนึกคิดที่ฉลาด เป็นกุศล ก่อให้เกิดบุญและสิ่งดีงาม)
กุศลวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง หรือความนึกคิดที่ดีงาม เป็นกุศล ฉลาด ก่อให้เกิดบุญ เกิดสิ่งที่ดีงาม มี ๓ ประการ ดังนี้
กุศลวิตก ๓

๑. เนกขัมมวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่ปลอดโปร่งจาก กาม หรือสิ่งเย้ายวน ไม่ติดในการปรนเปรอ ได้แก่ การบำรุงบำเรอเอาอกเอาใจ เพื่อสนองความอยากของตน แต่เป็นการดำริไปในทางที่จะออกบวช นึกคิดในทางเสียสละ
๒. อพยาบาทวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่ปลอดโปร่งจาก พยาบาท ไม่มีความขุ่นแค้นขัดเคืองใจ หรือเพ่งในทางร้าย มีความนึกคิดอันประกอบด้วยความเมตตา
๓. อวิหิงสา คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่ปลอดโปร่งจาก การเบียดเบียน ไม่มีความคิดมุ่งร้าย ทำร้าย หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อน มีความนึกคิดอันประกอบด้วยความกรุณา

อกุศลวิตก ๓
อกุศลวิตก คือ ความตรึกตรอง หรือความนึกคิดที่ไม่ดีงาม ไม่ก่อให้เกิดบุญหรือความฉลาด ไม่ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีงาม มี ๓ ประการ ดังนี้
อกุศลวิตก ๓

๑. กามวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่หมกมุ่นพัวพันติดข้องอยู่ใน กาม หรือสิ่งเย้ายวน เพื่อสนองความอยากของตน
๒. พยาบาทวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่ พยาบาท คือ ความดำริตรึกตรอง ความคิดที่ พยาบาท มีความขุ่นแค้นขัดเคืองใจ หรือเพ่งในทางร้ายแก่ผู้อื่น
๓. วิหิงสาวิตก คือ ความดำริตรึกตรอง หรือความคิดในทาง เบียดเบียน มีความคิดมุ่งร้าย หวังทำร้าย หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

กุศลกรรมบถ๑๐ (ทางแห่งกรรมดีอันนำไปสู่ความสุข ความเจริญ)
กุศลกรรมบถ คือ การกระทำที่เป็นความดี ทางแห่งกรรมดี ทางแห่งกรรมฝ่ายที่เปป็นกุศล กรรมดีอันเป็นทางนไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ มี ๑๐ ประการ ดังนี้
กุศลกรรมบถ ๑๐

ก. กายกรรม คือ การกระทำทางกาย มี ๓ ประการ ได้แก่
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการเบียดเบียนทำลายชีวิต (ทั้งตนเองและผู้อื่น) ให้ตกล่วงหรือสิ้นไป เช่น การเข่นฆ่าสังหารผลาญชีวิต การประทุษร้ายต่อกัน เป็นต้น
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยที่เจ้าของเขามิได้ให้ เช่น การ ขโมย ลัก สับเปลี่ยน ฉกฉวย ยักยอก ละเมิดสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน จี้ ปล้น เป็นต้น
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เช่น การล่วงประเวณีผู้ที่มีเจ้าของหรือคู่ครองอยู่แล้ว การเป็นชู้ ความประพฤตินอกใจคู่ครอง เป็นต้น

ข. วจีกรรม คือ การกระทำทางวาจา มี ๔ ประการ ได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ โกหก พูดไม่จริง สับปลับกลับกลอก หลอกลวง
๕. ปิสุณายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด เช่น ไม่ควรพูดยุยงส่งเสริมให้เกิดแตกแยกผิดใจกัน เป็นต้น
๖. ผรุสายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากการพูดคำหยาบ ควรพูดด้วยความสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตน
๗. มผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ควรพูดแต่คำจริง มีเหตุผล มีสารประโยชน์ และถูกกาลเทศะ

ค. มโนกรรม คือ การกระทำทางใจ มี ๓ ประการ ได้แก่
๘. อนภิชฌา เว้นจากความคิดเพ่งเล็งด้วยความโลภ คอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. อพยาบาท เว้นจากความมีจิตคิดร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มีความปรารถนาให้ปราศจากทุกข์
๑๐. สัมมาทิฐิ มีความเห็นอันชอบ คือ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญ-บาปและกรรมมีจริง

อกุศลกรรมบท ๑๐
ก. กายกรรม คือ การกระทำทางกาย มี ๓ ประการ ได้แก่
๑. ปาณาติบาต การตัดรอนเบียดเบียนทำลายชีวิต (ทั้งตนเองและผู้อื่น) ให้ตกล่วงหรือสิ้นไป เช่น การเข่นฆ่า สังหารผลาญชีวิต การประทุษร้ายต่อกัน เป็นต้น
๒. อทินนาทานา การถือเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยที่เจ้าของเขามิได้ให้ เช่น การขโมย ลัก สับเปลี่ยน ยักยอก ละเมิดสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน เป็นต้น
๓. กาเมสุมิจฉาจารา การประพฤติผิดในกาม เช่น การล่วงประเวณีผู้ที่มีเจ้าของหรือคู่ครองอยู่แล้ว การประพฤตินอกใจคู่ครอง เป็นต้น

ข. วจีกรรม คือ การกระทำทางวาจา มี ๔ ประการ ได้แก่
๔. มุสาวาท การพูดเท็จ พูดไม่จริง สับปลับกลับกลอก หลอกลวง
๕. ปิสุณาวาจา การพูดส่อเสียด เช่น พูดยุยงส่งเสริมให้เกิดแตกแยกผิดใจกัน เป็นต้น
๖. ผรุสวาจา การพูดคำหยาบ คำพูดอันเผ็ดร้อนทิ่มแทงยอกแสลงใจผู้อื่น
๗. สัมผัปปลาปะ การพูดเพ้อเจ้อ พูดเหลวไหลไร้เหตุผล ไร้ประโยชน์ ไม่มีสาระ ไม่รู้กาลเทศะ

ค. มโนกรรม คือ การกระทำทางใจ มี ๓ ประการ ได้แก่
๘. อภิชฌา ความคิดเพ่งเล็งด้วยความโลภ คอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. พยาบาท ความมีจิตคิดร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มีความขัดเคืองคั่งแค้น มีความปรารถนาให้ได้รับความทุกข์
๑๐. มิจฉาทิฐิ มีความเห็นอันมิชอบ คือไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว บุญ-บาป และกรรมไม่มีจริง
(ต่อ)

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2011, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรม (เพราะกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนา
กรรม แปลว่า การกระทำ ซึ่งประกอบด้วยเจตนา คือ การกระทำด้วยความตั้งใจ จงใจการกระทำที่ดี เรียกว่า กรรมดี การกระทำที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว ผู้สร้างหรือกระทำกรรมใดก็ตาม ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น
:b50: กรรม ๒ จำแนกตามคุณภาพหรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ ได้แก่
๑. อกุศลกรรม คือ กรรมชั่ว กรรมที่เป็นอกุศล กรรมที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึงการกระทำที่เกิดจาก อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ คือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง
๒. กุศลกรรม คือ กรรมดี กรรมที่เป็นกุศล กรรมที่เกิดจากการกระทำที่ดี ฉลาด เกิดปัญญา ส่งเสริมคุณภาพชีวิต หมายถึงการกระทำที่เกิดจาก กุศลมูล ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ และ ความไม่หลง

:b50: กรรม ๓ จำแนกตามทวารหรือช่องทางที่กระทำกรรม ได้แก่
๑. กายกรรม คือ กรรมที่กระทำด้วย กาย หรือกรรมที่เกิดจากการกระทำทางกาย
๒. วจีกรรม คือ กรรมที่กระทำด้วย วาจา หรือ กรรมที่เกิดจากการกระทำทางวาจา
๓. มโนกรรม คือ กรรมที่กระทำด้วย ใจ หรือ กรรมที่เกิดจากการกระทำทางใจ

กรรมกิเลส ๔
กรรมกิเลส
คือ กรรมอันเป็นเครื่องเศร้าหมอง หรือการกระทำที่เป็นเหตุให้เศร้าหมอง
๑. ปาณาติบาต การทำชีวิตให้ตกล่วงหรือสิ้นไป เช่น การเข่นฆ่า สังหาร ผลาญชีวิต การประทุษร้ายต่อกัน เป็นต้น
๒. อทินนาทาน การถือเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยที่เจ้าของเขามิได้ให้ เช่น การขโมย ลัก สับเปลี่ยน ยักยอก ละเมิดลิขสิทธิ์ ทำลายทรัพย์สิน เป็นต้น
๓. กาเมสุมิจฉาจาร การประพฤติผิดในกาม เช่น การล่วงประเวณีผู้ที่มีเจ้าของหรือคู่ครองอยู่แล้ว ไม่ประพฤตินอกใจคู่ครอง เป็นต้น
๔. มุสาวาท การพูดเท็จ โกหก พูดไม่จริง สับปลับกลับกลอก หลอกลวง

กรรม ๑๒ ประเภท
จำแนกกรรมตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมได้ ๑๒ ประการดังนี้
๑. ว่าโดย ปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่
๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภพปัจจุบัน คือ ในภพนี้
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิดคือ ในภพหน้า
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป
๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผลเมื่ออโหสิกรรมแล้วย่อมไม่ส่งผลหรือไม่มีผลอีก
๒. ว่าโดย กิจ คือ จำแนกการให้ผลตาม หน้าที่ ได้แก่
๕. ชนกกรรม คือ กรรมแต่งให้เกิด หรือ กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด
๖. อุปัตถัมภกกรรม คือ กรรมสนับสนุน เป็นกรรมที่ทำการสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม
๗. อุปปีฬกกรรม คือ กรรมบีบคั้น เป็นกรรมที่เข้ามาบีบคั้นผลหรือกิจของ ชนกกรรม และ อุปัตถัมภกกรรม ให้เกิดการแปรเปลี่ยนในทางทุเลาเบาบางลงไป หรือมีระยะการส่งผลสั้นลง
๘. อุปฆาตกรรม คือ กรรมตัดรอน เป็นกรรมที่แรง และเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ ชนกกรรม และ อุปัตถัมภกกรรม โดยตัดรอนกิจของกรรมทั้งสอง (ข้อ ๕ และ ๖) ที่กล่าวมาข้างต้นให้ขาดหรือหยุดไปเลย เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่นคง แต่อายุสั้น เป็นต้น
๓. ว่าโดย ปากทานปริยาย คือ จำแนกตาม ลำดับความแรง ในการให้ผล ได้แก่
๙. ครุกรรม คือ กรรมหนัก กรรมชนิดนี้จะให้ผลก่อนกรรมชนิดอื่น ทั้งฝ่ายดี (กุศล) ได้แก่ สมาบัติ ๘ หรือญาณสมาบัติ และฝ่ายชั่ว (อกุศล) ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕
๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม คือ กรรมทำมาก หรือ กรรมชิน ได้แก่ กรรมที่ทำบ่อย ๆ ทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) ย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น แต่ยังให้ผลรองหรือให้ผลหลัง ครุกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักกว่า
๑๑. อาสันนกรรม คือ กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย เป็นกรรมที่กระทำเมื่อใกล้ตายและยังจับอยู่ในใจหรือสามัญสำนึกทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) หากไม่มี ครุกรรม และ พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมที่จะให้ผลเป็นลำดับแรกคือ อาสันนกรรม
๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม คือ กรรมสักว่าทำ มีเจตนาอ่อน หรือมิได้มีจิตคิดที่จะให้เป็นอย่างนั้น ทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) หากไม่มีกรรมอื่นให้ผล กตัตตากรรม จึงจะส่งผล

คัดลอกจากหนังสือใกล้ชิดสนิทธรรม

ธรรมรักษา ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2011, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม คือ กรรมทำมาก หรือ กรรมชิน ได้แก่ กรรมที่ทำบ่อย ๆ ทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) ย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น แต่ยังให้ผลรองหรือให้ผลหลัง ครุกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักกว่า
๑๑. อาสันนกรรม คือ กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย เป็นกรรมที่กระทำเมื่อใกล้ตายและยังจับอยู่ในใจหรือสามัญสำนึกทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) หากไม่มี ครุกรรม และ พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมที่จะให้ผลเป็นลำดับแรกคือ อาสันนกรรม
๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม คือ กรรมสักว่าทำ มีเจตนาอ่อน หรือมิได้มีจิตคิดที่จะให้เป็นอย่างนั้น ทั้งฝ่ายดี (กุศล) และฝ่ายชั่ว (อกุศล) หากไม่มีกรรมอื่นให้ผล กตัตตากรรม จึงจะส่งผล



เคยได้ยินว่า ถ้าครุกรรมไม่ให้ผล อาสันนกรรมจะให้ผลก่อนอาจิณณกรรมครับ

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=308388


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2011, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมสวัสดีค่ะ คุณ FLAME

http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=2661

ลองฟังลิ้งค์ที่ให้มานะคะ จาก ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ค่ะ

ธรรมรักษาค่ะ ขอให้เจริญในธรรม อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron