วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 14:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2011, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อเนื่องจากกระทู้นี้

viewtopic.php?f=7&t=28295&start=225


ความแตกต่างระหว่าง

วิธีการทำวิปัสสนาในปัจจุบัน กับ วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔




"เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกขฺโทมนสฺสานํ อตถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา" ดังนี้เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความเศร้าโศกปริเทวนาการ เพื่อดับทุกข์ทางกาย ดับทุกข์ทางใจของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อบรรลุมรรคผล เพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพาน ทางนั้นคือ สติปัฏฐาน ๔ ดังนี้


จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยลาภูตมทสฺสนา

สํสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุ ตาเสฺวว ชาตีสุ

การที่เราท่านทั้งหลาย ได้พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารตลอดกาลนานหลายหมื่นปีแสนปี ก็เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง


ยานิ เอเตนิ ทิฏฐฺฐานิ ภวเนตฺติ สมูหตา

อุจฺฉินฺมํ มูลํ ทุกฺขสฺส นตฺถีทานิ ปุนปภฺโว

อริยสัจ ๔ เหล่านั้น เราและท่านทั้งหลาย ได้เห็นแล้ว ได้ถอนตัณหาที่จะนำไปสู่ภพแล้ว ตัดมูลรากของทุกข์ให้หมดสิ้นไป บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว


เย ทุกฺขํ นปฺปชานนฺติ อโถ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ

ยตฺถ จ สพฺพโส ทุกฺขํ อเสสํ อุปรุชฺฌติ

ตญฺจ มคฺคํ น ชานนฺติ ทุกฺขูปสมคามินํ

เจโตวิมุตฺติ หีนา เต อโถ ปญฺญาวิมุตฺติยา

อภพฺพา เต อนฺตกิริยาย เต เว ชาติชรูปคา.

ชนเหล่าใด ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่รู้มรรคอันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ จึงต้องเข้าถึงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลอดไป


เย จ ทุกฺขํ ปชานนฺติ อโถ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ

อตฺถ จ สพฺพโส ทุกฺขํ อเสสํ อุปรุชฺฌติ

ตญฺจ มคฺคํ ปชานนฺติ ทุกฺขูปสมคามินํ

เจโตวิมุตฺติสมุปนฺนา อโถ ปญฺญาวิมุตฺติยา

ภพฺพา เต อนฺตกิริยาย น เต เว ชาติชรูปคา.

ชนเหล่าใด รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดของทุกข์ รู้ความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง รู้มรรค ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ชนเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลอดไป


เอสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา

เอเตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ มารสฺเสตํ ปโมหนํ

ทางนี้เท่านั้นที่เป็นไปเพื่อมรรคผล ทางอื่นไม่มีเลย ท่านทั้งหลาย จงดำเนินไปตามเส้นทางนี้เถิด เพราะเส้นทางนี้เป็นที่ลุ่มหลง แห่งมารและเสนามาร



เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ

อกฺขาโต โว มยา มคฺโค อญฺญาย สลฺสตฺถนํ

เมื่อท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำทุกข์ในวัฏฏสงสารทั้งสิ้นให้เด็ดขาดลงไปไม่มีเหลือ เราได้ทราบทางนี้ว่าเป็นที่สลัดออกซึ่งลูกศรทั้งหลาย มีราคะเป็นต้น ด้วยตนเองอย่างแน่นอนแล้ว จึงได้บอกแก่พวกท่าน


ตุมฺเหหิ กิจิจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา

ปฏิปนฺนา ปโมกิขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา

ท่านทั้งหลาย จงรีบทำความเพียร เพื่อเผากิเลสให้สิ้นไปจากขันธสันดาน เพราะพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้บอกทางให้เท่านั้น

เมื่อชนเหล่าใดปฏิบัติตามทางที่ตถาคตชี้บอกไว้แล้ว เพ่งด้วยฌานทั้ง ๒ คือ อารัมมนูปนิชฌาน ลักขนูปนิชฌาน ได้แก่ เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ชนเหล่านั้น ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร กล่าวคือ วัฏฏะเป็นในภูมิ ๓


ปญฺจ กิเลสกฺขนฺธาภิสงฺขารเทวปุตฺตมจฺจุมาเร อภญ์ชิ

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกำจัดมารทั้ง ๕

มารมี ๕ คือ

๑. กิเลสมาร มาร คือ กิเลส

๒. ขันธมาร มาร คือ ขันธ์ ๕

๓. อภิสังขาร มาร คือ อภิสังขาร ๆ นั้น มีอยู่ ๓ คือ

ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ บุญ

อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ บาป

อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ ปัญจมฌาน

๔. เทวปุตตมาร มาร คือ เทพบุตรผู้มุ่งร้าย

๕. มัจจุราชมาร มาร คือ ความตาย



สมโถ ภิกิขเว ภาวิโต กิมตฺถมนุโภติ จิตฺตํ ภาวิยติ จิติตํ ภาวิตํ กิมตฺถมนุโภติ โย ราโค โส ปหียติ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคลเจริญสมถกรรมฐาน แล้วจะได้ประโยชน์อะไร? ได้การอบรมจิต? จิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว จะได้ประโยชน์อะไรเล่า? ได้ประโยชน์คือ ละราคะได้


วิปสฺสนา ภิกฺขเว ภาวิตา กิมตฺถมุโภติ ปญฺญา ภาวิยติ ปญฺญา ภาวิตา กิมตฺถมนุโภติ ยา อวิชฺชา สา ปหียติ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคลเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร? ได้การอบรมปัญญา ปัญญาที่บุคคลอบรมดีแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร? ได้ประโยชน์คือ ละอวิชชาได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 13 พ.ย. 2011, 14:10, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2011, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ ธรรมมีกถานี้ไพเราะ งดงาม
สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มาของแนวทางการปฏิบัติที่เรียกว่า "วิปัสสนา" ในปัจจุบัน



เรื่องนี้ ท่านอาจารย์ธรรมปาละ พระเถระชาวลังกาได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ปรมัตถมัญชุสา ฎีกาวิสุทธิมัคค์ว่า


นนุ จ ตชฺชาปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คณฺหายตีติ?

สจฺจํ คณฺหายตีติ. ปุพฺพภาเค ภาวนาย ปน วฑฺฒมานาย ปณฺณตฺตึ สมติกฺกมิตฺวา สภาวเยว จิตฺตํ ติฏฺฐตีติ

ถามว่า ท่านถือเอาปรมัตถธรรม ด้วยบัญญัติที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ มิใช่หรือ?

ตอบว่า ใช่ แต่ถือเอาเฉพาะตอนต้นๆเท่านั้น ครั้นเจริญวิปัสสนาภาวนาไปนานๆเข้า จิตก็จะพ้นบัญญญัติไปตั้งอยู่ในปรมัตถสภาวะล้วนๆ



กาเยน เจว ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรติ ปญฺญาย จ นฺ ปฏิวิชฺฌ ปสฺสติ
แปลว่า ทำให้เห็นแจ้งปรมัตถสัจจ์ด้วยนามกาย(ใจ) และเห็นทะลุปรมัตถสัจจ์นั้นด้วยปัญญา


วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ
แปลว่า พระนิพพานเป็นสิ่งพึงรู้ได้ด้วยอริยมรรคญาณอันวิเศษ มิใช่ของที่พึงเห็นได้ด้วยตา



นำมาจากหนังสือ วิปัสสนานิยม โดย อจ.ธนิต อยู่โพธื์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2011, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มาของคำเรียก "วิปัสสนา" ในปัจจุบัน

คำว่า วิปัสสนา เป็นคำที่ใช้ในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ปรากฏในพระคัมภีร์รุ่นบาลีพระไตรปิฎกเป็นเดิมมา แต่มักจะพบ ท่านใช่ควบคู่มากับคำว่า "สมถะ" เช่น "สมโถ จ วิปสฺสนา จ" สมถะด้วย วิปัสสนาด้วย


คำ "วิปัสสนา" มาจากมูลศัพท์ ๒ สว่น คือ วิ-อุปสัค แปลว่า แจ้ง ชัด ต่าง และ ทิส-ธาตุ แปลว่า เห็น

ทิส-ธาตุ นั้น แปลงรูปได้เป็น ๒ รูป คือ ทกฺข และ ปสฺส ประกอบปัจจัย และวิภัตติเป็น ทกฺขติ และ ปสฺสติ

เฉพาะ "ปสฺสติ" ประกอบเข้ากับ วิ-อุปสัค เป็นรูปกิริยาว่า วิปสฺสติ เช่น "อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ (ธมฺมปทฏฺกถา ๖/๔๔) แปลความว่า

"โลกคือ โลกิยชนนี้ เป็นผู้มีปัญญาจักษุมืดมน น้อยคนในพวกนี้ จะเห็นแจ้งโดยพระไตรลักษณ์ มีอนิจจะเป็นต้น"


ถ้าเป็นคำนาม เป็น "วิปัสสนา" แปลว่า เห็นแจ้ง เห็นชัด เห็นต่างๆ ในชั้นพระบาลีใช้ความหมายเดียวกับ "ญาณ" "ปัญญา" เช่น "ญาณํ อุปทิ, ปญฺญา อุปาทิ-ญาณเกิดแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว"

และบางคราวใช้คำว่า "ญาณทสฺสน-ความรู้ความเห็น(หรือ) เห็นด้วยความรู้" ซึ่งเป็นคำจำกัดความหมายของ "วิปัสสนา"

ส่วนคำว่า "ญาณทัสสะ" เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้รู้ผู้เห็น ในรูปกิริยาตติยาวิภัตติ และจตุตถีฉัฏฐีวิภัตติ ท่านใช้คำว่า "ชานตา ปสฺสตา, ชานโต ปสฺสโต" แปลว่า ผู้รู้ผู้เห็น


แต่ วิปัสสนา คือ รู้แจ้ง รู้ชัด ก็ดี ญาณ และ ปัญญา ก็ดี ญาณทัสสนะ คือ ความรู้ความเห็น หรือ เห็นด้วยความรู้ ก็ดี ท่านอธิบายไว้ในคำภีร์อัฏฐสาลีนีว่า

อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธหิ อาเรหิ ธมฺเม ธมฺเม ปสฺสตีติ วิปสฺสนา ปญฺญาเอเวสา อตฺถโต แปลว่า เรียกว่า วิปัสสนา เพราะเห็น(สภาว)ธรรมทั้งหลาย ด้วยอาการต่างๆ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้น

โดยความหมาย วิปัสสนานี้ ก็คือ ปัญญา นั่นเอง ซึ่งในที่นี้ หมายถึง รู้แจ้งรู้ชัด โดยรู้เห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจะ-ไม่เที่ยง ทุกขะ-เป็นทุกข์ อนัตตา-ความไม่มีอัตตา เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์สุมังคละ ผู้แต่งคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี จึงอธิบายได้ว่า

"อนิจฺจาทิวิธาการโต ทสฺสนตเถน วิปสฺสนาสงฺขาตานญฺจ" (อภิธมฺมตฺถวิภานี, น.๑๕๖) แปลว่า "และที่เรียกว่า วิปัสสนา เพราะอธิบายว่า เห็นโดยอาการต่างๆ ตลอดจนอนิจจาจะ คือ ความไม่เที่ยงเป็นต้น"

และท่านวิปัสสนาจารย์ได้ให้วิเคราะห์ศัพท์ไว้อีกนัยหนึ่งว่า "วิเสเสน ปสฺสตีติ วิปสฺสนา, วิสิฏฺฐตฺโถ วิเสสสทฺโท - เรียกว่า วิปัสสนา เพราะอธิบายว่า เห็นแปลกประหลาด

ศัพท์ว่า วิเสสะ มีอรรถว่า แปลกประหลาด คือ เห็นสภาวะหรือปรากฏการณ์แปลกๆประหลาดๆ ถ้าเป็นรูปหรือนิมิต ก็เห็นได้แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่ามองเห็นด้วยตาเนื้อ คือ ลืมตาดูเสียอีก

และได้เห็นต่างๆ เห็นแปลกๆ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า คำ "วิปัสสนา" ตามที่กล่าวมานี้ มีความหมายเป็น ๓ นัย คือ

๑. วิปัสสนา - ความเห็นแจ้ง เห็นชัด

๒. วิปัสสนา - ปัญญาเห็นโดยอาการต่างๆ มีเห็นอนิจจะ เป็นต้น

๓. วิปัสสนา - ปัญญาห็นแปลกๆประหลาดๆ

ทั้ง ๓ นัยนี้ ในที่สุดก็ลงในความหมายเดียวกัน กล่าวคือ ในชั้นต้น โยคีผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จะเห็นสภาวะหรือปรากฏการณ์ใดๆก็ตาม แต่ในทางที่ถูกและในที่สุดจะต้องเห็นรูปหรือเบญจขันธ์โดยอาการต่างๆ

ได้แก่ เห็นโดยไตรลักษณ์ กล่าวคือ อนิจจะ ทุกขะ อนัตตา หรือเห็นอสุภะ-ไม่งาม อนิจจะ-ไม่เที่ยง ทุกขะ-เป็นทุกข์ และอนัตตา-เพราะไม่มีอัตตา เมื่อเห็นดังกล่าวมานี้ เป็นการเห็นแจ่มแจ้งชัดเจน เป็นการเห็นภายในตนเอง

มิใช่นึกเห็นตามคำบอกเล่าของผู้อื่น หรือนึกเห็นตามตำรา ตามหนังสือที่กล่าวไว้เป็นการกำหนดรู้เห็นสังขาร คือ เบญจขันธ์ กล่าวคือ นามและรูป ภายในตัวเอง ของตนเอง ด้วยปัญญา ซึ่งพระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า

"วิปสฺสนา-ติ สงฺขาร-ปริคฺคหญาณํ - วิปัสสนา คือ การกำหนดรู้สังขาร" และนักปราชญ์ชาวตะวันตกผู้รู้บาลี พยายามแปลคำ วิปัสสนา ไว้ในภาษาอังกฤษหลายคำ เพื่อให้ตรงความหมายในทางปฏิบัติ แต่ที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไป คือ insight เห็นทะลุเข้าไปข้างใน

ซึ่งท่านโสมเถระแห่งศรีลังกา อธิบาย insight (วิปัสสนา) ว่า ความเข้าใจธรรมชาติ อันแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นทางให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในจิตใจของโยคี และเป็นทางให้โยคีหลุดพ้นออกไปจากกระแสแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย


วิปัสสนากัมมัฏฐาน

ท่านอาจารย์สุมังคละ ผู้แต่งคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภานี ได้อธิบายคำว่า "วิปัสสนากัมมัฏฐาน" ไว้ว่า

"อนิจฺจาทิวเสน วิวิธากาเรน ปสฺสตีติ อนิจฺจานุปสฺสนาทิกา ภาวนาปญฺญา ตสฺสา กมฺมฏฺฐานํ สาเยว วา กมฺมฏฺฐานนฺติ วิปสฺสนากมฺมฏฺฐานํ" ความว่า

"ภาวนาปัญญา ที่เห็นความไม่เที่ยงเนืองๆ เป็นต้น เรียกว่า วิปัสสนา เพราะอรรถว่า เห็นโดยอาการต่างๆ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้น

และเรียกว่า "วิปัสสนากัมมัฏฐาน" เพราะอธิบายว่า เป็น "กัมมัฏฐาน(คืออารมณ์และภาวนาวิธี) ของวิปัสสนานั้นเอง เป็น กัมมัฏฐาน"

หมายความว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน ก็คือ ภาวนาปัญญา ที่เห็นโดยอาการมีอนิจจะเป็นต้น เป็นกัมมัฏฐาน


จาก หนังสือวิปัสสนานิยม อจ. ธนิต อยู่โพธิ์ ผู้เรียบเรียง



หมายเหตุ:

ฉะนั้น วิปัสนากัมมัฏฐาน และวิปัสสนาภาวนา แตกต่างกันเพียงพยัญชนะ แต่โดยสภาวะเหมือนกัน คือ ล้วนเป็นบัญญัติที่นำมาใช้เรียกการปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนา ในปัจจุบัน

ส่วนที่กล่าวว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิปัสสนาภาวนา มีสภาวะเหมือนกัน คือ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ได้แก่ รูปนามที่มีสภาวะเป็นบัญญัติ ยังไม่ใช่สภาวะปรมัตถ์

และมีความแตกต่างจากวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยสื้นเชิง คือ สภาวะวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดทิ้งไว้ มีสภาวะปรมัตถ์เป็นอารมณ์


แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาในปัจจุบันเป็นการเริ้มต้นที่แตกต่างโดยสภาวะ คือ เริ่มจากการใช้รูปนามที่เป็นบัญญัติมาเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนา ซึ่งไม่แตกต่างกับกายบัญญัติ ตลอดจนคำบริกรรมต่างๆที่นำมาใช้ในการบริกรรมภาวนาในการทำสมถะ

ฉะนั้นโสฬสญาณหรือญาณ ๑๖ มีเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ โดยเริ่มต้นจากสภาวะ ๑.นามรูปปริจเฉทญาณ ๒. ปัจจยปริคคหญาณ ๓. สัมมาสนญาณ ๔. อุทยัพพยญาณ (อย่างอ่อน) อุทยัพพยญาณ (อย่างแก่)


แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะปรมัตถ์ (อุทยัพพยญาณ) จะมีสภาวะเดียวกันกับวิปัสสนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ โดยเริ่มต้นที่สภาวะอุทยัพพยญาณ (อย่างแก่) คือ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา หรือที่เรียกว่า สุญญตา, สุญญคาร


รายละเอียดของสภาวะทั้งบัญญัติ(การเริ่มต้นของวิปัสสนาในปัจจุบัน) และปรมัตถ์(วิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดทิ้งไว้) จะนำมาแสดงในหัวข้อต่อไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะและวิปัสสนาในปัจจุบัน

ก่อนจะกล่าวถึง วิปัสสนา ต้องท้าวความถึงเรื่องสมถะก่อนว่า ที่เรียกว่าเป็นวิธีการทำสมถะในปัจจุบันนี้ มีมาแต่ไหน ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ เมื่อจะไปกล่าวถึงรูปแบบวิธีการทำวิปัสสนาในปัจจุบัน ซึ่งนิยมนำมาพูดๆกัน เช่น แนวรูปนาม แนวดูจิตฯลฯ

โดยตัวสภาวะที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพองหนอ ยุบหนอ หรือการใช้รูปนามเป็นอารมณ์ พื้นฐานดั้งเดิมมาจากพม่า แม้กระทั่งการดูจิต หรือดูอิริยาบทการเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนๆก็ตาม ล้วนเป็นการสร้างพื้นฐานของการทำสมถะกรรมฐาน

ไม่มีรูปแบบที่ไหนๆที่เรียกว่า"วิปัสสนา"ในปัจจุบันที่ทำๆกันอยู่ จะเป็นสภาวะวิปัสสนาตามความเป็นจริงในสติปัฏฐาน ๔ ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกว่าด้วยเรื่อง สมถะและวิปัสสนา


เหตุมี ผลย่อมมี

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในแนวทางสติปัฎฐาน ๔ เวลากล่าวถึง สมถะและวิปัสสนา ไม่เคยมีตรงไหนที่นำมาแสดงให้แยกขาดออกจากัน เวลาที่ทรงกล่าวถึงสมถะและวิปัสสนาในแนวทางการปฏิบัติ

ส่วนเรื่องผลของสมถะ และผลของวิปัสสนา มีตรงนี้เท่านั้นที่ทรงกล่าวแยกไว้ รูปแบบการทำวิปัสสนาในปัจจุบัน เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ เพราะนำมาผลมาใช้ในการสร้างรูปแบบขึ้นมาใหม่ ซึ่งท้ายสุดผลที่ได้รับ ก็ได้รับตรงกับวิปัสสนาที่มีอยู่ในสติปัฏฐาน ๔

รูปแบบวิปัสสนาในปัจจุบันจึงเกิดมีขึ้นอย่างมากมายหลายแบบ แม้กระทั่งสมถะกรรมฐาน ที่นิยมนำมาถ่ายทอดสู่ๆกัน จะมีแค่เรื่องกรรมฐาน ๔๐ กอง

ทั้งหมดนี้เกิดเนื่องจากเหตุปัจจัยที่ทำมา ส่วนใครเชื่อหรือไม่เชื่อ ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาร่วมกันทั้งสิ้น จึงไม่มีใครถูกหรือผิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุของเหตุที่มาวิปัสสนาในปัจจุบัน


คัมภีร์วิสุทธมรรค

คัมภีร์วิสุทธมรรคฉบับภาษาบาลี เป็นผลงานรจนาจองพระพุทธโฆสาจารย์ นักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทุกประเทศให้การยอมรับเสมอเหมือนกันว่า เป็นคัมภีร์ที่สามารถยึดถือเป็นต้นแบบในการใช้ภาษา

และมีเนื้อหาสาระบริบูรณ์ถูกต้องทั้งในส่วนของปริยัติและปฏิบัติ โดยเฉพาะการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ได้กำหนดใช้คัมภีร์นี้ เป็นหลักสูตรการศึกษาเล่าเรียนสำหรับพระภิกษุสามเณรในชั้นเปรียญธรรม ๘-๙ ประโยค สืบมาตราบเท่าปัจจุบันนี้


สำหรับคัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบับภาษาไทยเล่มนี้ เป็นผลงานแปลและเรียบเรียงของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งมีพระภิกษุสามเณรผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในชั้นเปรียญธรรม ๘-๙ ประโยค

รวมทั้งพระภิกษุสามเณร นักศึกษาพระอภิธรรม นักปฏิบัติธรรมกรรมฐาน และพุทธศาสนิกชนผู้สนใจทั่วไป ให้การยอมรับเสมอเหมือนกันว่า สำนวนการแปลอ่านเข้าใจง่าย และได้รับความรู้ที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือตามสภาวธรรม ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติทุกประการ


คัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบับภาษาบาลี เป็นคัมภีร์ที่ท่านพระพุทธโฆสเถระ ชาวชมพูทวีป(อินเดีย) ได้รจนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ ที่ประเทศลังกา(ศรีลังกา)

โดยท่านได้ขอโอกาสจากที่ประชุมสงฆ์ในมหาวิหาร ณ กรุงอนุราธปุระ ประเทศลังกา เพื่อรจนาอรรถกถาพระ(ไตร)ปิฎก ซึ่งที่ประชุมได้ให้โอกาสตามที่ท่านประสงค์ทุกประการ


เมื่อคัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบับภาษาบาลี ที่ท่านพุทธโฆสเถระรจนานั้น ได้รับการยอมรับจากที่ประชุมสงฆ์แห่งมหาวิหาร และแพร่หลายออกไปสู่ประเทศต่างๆที่นับถือพระพุทธศาสนา

โดยเฉพาะประเทศไทยแล้ว พระเถระผู้มีความรู้แตกฉานในภาษาบาลีได้ร่วมกันตรวจชำระ และจารลงในคัมภีร์ใบลานเป็นภาษาบาลี อักษรขอม เพื่อใช้เป็นหลักสูตร การศึกษาชั้นเปรียญ ๘-๙ ประโยค ที่คณะสงฆ์จัดขึ้นในสมัยนั้น


ต่อมมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต(เฮง เขมจารีมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุราชรังสฤษฎิ์ ลำดับรูปที่ ๑๔ สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้ตรวจชำระและปริวรรตคัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบั้บภาษาบาลี

อักษรขอมนั้น ตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาบาลี อัษรไทย พร้อมทั้งนิพนธ์ประวัติของท่านพระพุทธโฆสเถระตีพิมพ์ไว้ด้วย

โดยการตีพิมพ์ในครั้งนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ภาค หรือ ๓ เล่มสมุดไทย เพื่อใช้เป็นหลักสูตรการศึกาาพระปริยัติ แผนกบลีชั้นเปรียญธรรม ๘-๙ ประโยคเช่นเดียวกัน


สำหรับคัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบับภาษาไทยนี้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถระ) ได้แปลและเรียบเรียงไว้ในสมัยคณะสงฆ์และรัฐบาลสนับสนุน และอาราธนาท่าน ให้อยู่จำพรรษา ณ สันติปาลาราม ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕-๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ตั้งใจแปลและเรียบเรียงคัมภีร์วิสุทธิมรรคฉบับภาษาไทยดังกล่าว ด้วยจิตอันเป็นมหากุศลอย่างแท้จริง โดยคำนึงถึงผู้ที่มีพื้นความรู้ภาษาบาลีน้อย จะอ่านเข้าใจยากเป็นสำคัญ จึงนำความบางส่วนในคัมภีร์ปรมัตถมัญชุสามหาฎีกา มาเสริมความที่กล่าวไว้อย่างย่นย่อ ให้มีเนื้อหาสาระสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดังนั้น เมื่อบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ใฝ่ศึกษา ได้อ่านคัมภีร์วิสุมธรรมคภาษาไทยฉบับบี้แล้ว ต่างกล่าวยอมรับด้วยความสนิทใจว่า สำนวนการแปลและเรียบเรียง อ่านเข้าใจง่ายที่สุดกว่าฉบับอื่นๆ



นิทานกถา

ปัญหาพยากรณ์

ก็แหละ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาปัญหาพยากรณ์ไว้ดังนี้

(๑) นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกขุ มีความเพียร มีปัญญา เครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศิลแล้ว ทำสมาธิจิต และปัญญาให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้
(ดูเทียบ สํ.ส.(ไทย) ๑๕/๒๓/๒๖-๒๗)

ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคจึงตรัสพระพุทธนิพนธคาถาปัญหาพยากรณ์นี้?

ได้ยินว่า มีเทวบุตรตนใดตนหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งเสด็จประทับอยู่ ณ พระนครสาวัตถีในเวลาอันเป็นส่วนแห่งราตรี เพื่อจะถอนความสงสัยของตน จึงได้กราบทูลถามปัญหานี้ว่า:-

ปรชาสัตว์ รกชัฏทั้งภายใน รกชัฏทั้งภายนอก รุงรังไปด้วยรกชัฏ ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ จึงขอกราบทูลถามพระพุทธองค์ ใครจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้
(ดูเทียบ สํ.ส.(ไทย) ๑๕/๒๓/๒๖-๒๗)



อธิบายปุจฉาปัญหา

ปุจฉาปัญหานั้น มีอรรถอธิบายโดยย่อ ดังนี้:-

คำว่า รกชัฏนี้ เป็นชื่อของตัณหา ซึ่งเป็นเพียงดังว่าข่าย เป็นความจริง ตัณหานั้น เป็นเสมือนหนึ่งชฎา กล่าวคือ แขนงสาขาแห่งสุมทุมพุ่มไม้ไผ่เป็นต้น

โดยอรรถว่า เกี่ยวประสานไว้ เพราะ บังเกิดขึ้นบ่อยๆในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูป เป็นต้น ด้วยสามารถเบื้องล่าง เบื้องบน เพราะเหตุนั้น จึงได้ชื่อว่า รกชัฏ


อนึ่ง ตัณหานี้ นั้นเรียกว่า เป็นรกชัฏทั้งภายใน รกชัฏทั้งภายนอก เพราะ บังเกิดขึ้นในบริขารของตน และบริขารของผู้อื่น ในอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก

ประชาสัตว์ รุงรังด้วยรกชัฏ อันเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้นั้น เหมือนอย่างว่า ไม้ไผ่เป็นต้น ย่อมรุงรังด้วยแขนงไม้ไผ่เป็นต้น ฉันใด

อันว่า ประชากร กล่าวคือ หมู่สัตว์นี้ แม้สิ้นทั้งมวล รุงรังแล้วด้วยรกชัฏคือ ตัณหานั้น อธิบายว่า อันรกชัฏ คือ ตัณหาที่รัดรึงแล้ว เกี่ยวประสานไว้แล้ว เหมือนอย่างนั้น


ก็เพราะเหตุที่หมู่สัตว์รุงรังอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคนั้นว่า ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงขอกราบทูลถามพระพุทธองค์

คำว่า ข้าพระโคดม เทวบุตร ระบุพระนามของพระผู้มีพระภาค โดยพระโคตร

คำว่า ใครจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้ คือ เทวบุตรกราบทูลถามว่า ใครจะพึงถาง ใครจะเป็นผู้สามารถเพื่อจะถางรกชัฏอันรึงรัดไตรโลกธาตุ ซึ่งดำรงอยู่ ด้วยอาการอย่างนั้นได้


ก็แหละ พระผู้มีพระภาค ผู้มีญาณอันส่องไปมิได้ติดขัดในสรรพธรรมทั้งหลาย เป็นเทวดาของทวยเทพ เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดาทั้งหลาย เป็นท้าวสักกะเลิศล้นกว่าท้าวสักกะทั้งหลาย เป็นพรหมล่วงเลยพรหมทั้งหลาย

ทรงแกล้วกล้า เพราะทรงประกอบด้วยพระเวสารัชญาณ ๔ ทรงไว้ซึ่งพระทศพลญาณ มีพระญาณมิได้มีเครื่องขีดขั้น มีพระจักษุรอบด้าน ครั้นถูกเทวบุตรกราบทูลดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงตอบข้อความนั้นแก่เทวบุตร จึงได้ตรัส พุทธนิพนธคาถาพยากรณ์นี้ ความว่า:-


นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกขุ มีความเพียร มีปัญญา เครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศิล แล้วทำสมาธิจิต และปัญญา ให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้




คำปรารภของผู้รจนาคัมภีร์

(๒) บัดนี้ ข้าพเจ้า(หมายเอาพระมหาพุทธโฆษาจารย์) จักบรรยายความแห่งพระพุทธนิพนธคาถาที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงแสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่ ตรัสวิสัชนาไว้แล้วนี้ อันต่างด้วยคุณ มีศิล เป็นต้น ตามที่เป็นจริงต่อไป

โยคีบุคคลเหล่าใดในพระศาสนานี้ ได้รับการบรรพชา อันหาได้ด้วยากในพระศาสนาของพระชินเจ้าแล้ว แม้ถึงจะต้องการความบริสุทธิ์ เมื่อไม่รู้จักทางแห่งความบริสุทธิ์ อันเป็นทางตรง ทางเกษมซึ่งสงเคราะห์ด้วยศิลเป็นต้น ตามที่เป็นจริงแล้ว ก็จะไม่บรรลุถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้ แม้ถึงจะเพียรพยายามอยู่ก็ตาม

ข้าพเจ้ารจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งมีอันไตร่ตรองถูกต้องดีแล้ว โดยอิงอาศัยเทศนานัยของพระเถระทั้งหลาชาวมหาวิหาร อันทำความปราโมชให้แก่โยคีบุคคลเหล่านั้น

เมื่อข้าพเจ้ารจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้น โดยความเคารพ ขอสาธุชนทั้งหลาย ผู้ประสงค์ความบริสุทธิ์สิ้นทั้งมวล จงใคร่ครวญดูโดยความเคารพเทอญ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของเหตุและผล ไม่ใช่เรื่องถูก,ผิด


อธิบายทางแห่งวิสุทธิ

(๓) ในคำเหล่านั้น คำว่า วิสุทธิ นักศึกษาพึงทราบว่า ได้แก่ พระนิพพานอันปราศจากมลทินทั้งปวง อันบริสุทธิ์ที่สุด ทางแห่งวิสุทธิ(คือ พระนิพพาน) นั้น ชื่อว่า วิสุทธมรรค

อุบายเป็นเครื่องบรรลุถึง เรียกว่า มัคคะ

รวมความว่า ข้าพเจ้าจักรจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค คือ อุบายเป็นเครื่องถึงซึ่งวิสุทธิ คือ พระนิพพานนั้น

ก็แหละ ทางแห่งวิสุทธิ นี้นั้น ในบางแห่งทรงแสดงไว้ด้วยสามารถแห่งเหตุสักว่า วิปัสสนา เท่านั้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า:-

เมื่อใด โยคีบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ก็จะเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้คือทางแห่งวิสุทธิ
ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๗๗/๑๑๘


ในที่บางแห่งทรงแสดงไว้ด้วยสามารถแห่ง ฌาน และ ปัญญา เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ใกล้พระนิพพาน
ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๗๒/๑๔๙


ในที่บางแห่งทรงแสดงไว้ด้วยสามารถแห่ง กรรม เป็นต้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

กรรม, วิชชา, ธรรม, ศิลและชีวิตอุดม สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยคุณธรรม ๕ ประการนี้ หาใช่บริสุทธิ์บริสุทธิ์ด้วยโคตรและทรัพย์ไม่
สํ. ส. (ไทย) ๑๕/๔๘, ๑๐๑/๖๒, ๑๐๘



ในที่บางแห่งทรงแสดงไว้ด้วยสามารถแห่ง ศิล เป็นต้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศิล มีปัญญา มีจิตตั้งมั่นแล้ว มีความเพียรปรารภแล้ว มีตนส่งไปแล้ว ในกาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามห้วงน้ำอันแสนข้ามยากได้
สํ. ส. (ไทย) ๑๕/๙๖/๑๐๒-๑๐๓


ในที่บางแห่งทรงแสดงไว้ด้วยสามารถแห่ง สติปัฏฐาน เป็นต้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ทางสายนี้ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
ที. ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑

แม้ใน สัมมัปปธาน เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน


หมายเหตุ :-

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อแสดงความคิดเห็นของพระอาจารย์ท่าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่มาของ "วิปัสสนา" ในปัจจุบัน


ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุปัจจัย

ไม่ว่าจะยุคไหน สมัยไหน ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ส่วนใครเชื่อใคร หรือไม่เชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุ ไม่ใช่เกิดจากใครหรืออะไรมาทำให้เกิดขึ้นอย่างใด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2011, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อธิบายปัญหาพยากรณ์

ก็แหละ ในปัญหาพยากรณ์นี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยสามารถแห่งคุณมีศิล เป็นต้น จะอรรถาธิบายโดยย่อดังนี้:-

คำว่า ตั้งตนไว้ในศิลแล้ว คือ ตั้งอยู่ในศิลแล้ว ในข้อนี้มีอรรถาธิบายว่า โยคีบุคคลผู้บำเพ็ญศิลให้บริบูรณ์เท่านั้น จึงเรียกได้ว่า ผู้ตั้งอยู่ในศิล ณ ที่นี้ เพราะฉะนั้น ที่ว่าตั้งอยู่ในศิล ก็เพราะบำเพ็ญศิลให้บริบูรณ์

คำว่า นรชน ได้แก่ สัตว์

คำว่า มีปัญญา คือ มีปัญญาในติเหตุกปฏิสนธิ อันเกิดแต่กรรม


คำว่า ยังสมาธิจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ คือ ยังสมาธิและวิปัสสนาปัญญาให้เกิดอยู่ ก็แหละ ณ ที่นี้ สมาธิ ทรงแสดงด้วยหัวข้อว่า จิต


ส่วน วิปัสสนา ทรงแสดงด้วยชื่อว่า ปัญญา


คำว่า มีความเพียร คือ มีความพยายาม

จริงอยู่ วิริยะ เรียกว่า อาตาปะ เพราะ อรรถว่าเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน ความเพียรนั้นมีอยู่แก่นรชนนั้น เหตุนั้น นรชนนั้น จึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร


คำว่า มีปัญญาเครื่องบริหาร อธิบายว่า ปัญญาท่านเรียกว่า เนปักกะ แปลว่า ปัญญาเครื่องบริหาร, ผู้ประกอบด้วยปัญญาเครื่องบริหารนั้น ก็แหละ ด้วยบท เนปักกะ นี้ ทรงแสดงถึงปาริหาริกปัญญา


จริงอยู่ ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามาถึง ๓ วาระ ใน ๓ วาระนั้น

วาระแรก ได้แก่ สหชาติปัญญา

วาระที่ ๒ ได้แก่ วิปัสสนาปัญญา

วาระที่ ๓ ได้แก่ ปาริหาริกปัญญา อันกำหนดนำไปซึ่งกิจการทั้งปวง


คำว่า ภิกขุ ความว่า ผู้ใดเห็นภัยในสงสาร ผู้นั้นชื่อว่าภิกขุ

คำว่า เธอพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้ อธิบายว่า นรชนนั้น เป็นภิกขุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ คือ

ด้วยศิลนี้ ๑

ด้วยสมาธิที่ทรงแสดงด้วยหัวข้อว่าจิตนี้ ๑

ด้วยปัญญา ๓ อย่างนี้ ๑

ด้วยความเพียรนี้ ๑


ยืนอยู่บนแผ่นดิน คือ ศิล

ยกขึ้นศัตรา คือ วิสสนาปัญญา

ที่ลับด้วยหิน คือ สมาธิ

ด้วยมือ คือ ปารหาริกปัญญา

ซึ่งมีกำลัง คือ ความเพียรช่วยประคอง แล้วจะพึงถาง, พึงตัด, จะพึงทำลาย

ซึ่งรกชัฏคือ ตัณหา อันตกไปในสันดานของตนนั้นเสียได้แม้อย่างสิ้นเชิง เหมือนอย่างบุรุษยืนอยู่บนแผ่นดินแล้วเงื้อง่าศัตราที่ลับดีแล้วขึ้น จะพึงถางกอไผ่ขนาดใหญ่ได้ ฉะนั้น


ก็แหละ ในขณะแห่ง มัคคญาณ ชื่อว่า ภิกขุนี้ถางรกชัฏนั้น

ในขณะแห่ง ผลญาณ ชื่อว่า ถางรกชัฏสำเร็จแล้ว ย่อมสำเร็จเป็นทักขิเณยยบุคคลชั้นยอดของโลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า :-

นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกขุ มีความเพียร มีปัญญาเครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศิล แล้วทำสมาธิจิต และปัญญาให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฏอันนี้เสียได้


ภิกษุนี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้มีปัญญา ด้วยปัญญาใดในพระพุทธนิพนธคาถานั้น กิจที่ภิกษุนั้นจะต้องทำในปัญญานั้น หามีไม่ เพราะว่า ปัญญานั้น สำเร็จแก่เธอด้วยอานุภาพแห่งกรรมเก่ามาแล้ว

ก็แหละ อันโยคีบุคคลนั้น พึงตั้งตนไว้ในศิล แล้วพึงเจริญสมถะและวิปัสสนา ซึ่งตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งจิตและปัญญา โดยกระทำติดต่อกันไปด้วยสามารถแห่งความเพียร

ที่ตรัสไว้แล้วในบทว่า ผู้มีความเพีบร มีปัญญาเครื่องบริหาร และโดยกระทำความรู้แจ้งชัดด้วยสามารถแห่งปัญญานั่นเถิด


เป็นอันพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง ทางแห่งวิสุทธิ นี้ ในพระพุทธนิพนธคาถานั้น ด้วยมุขคือ ศิล, สมาธิและปัญญาด้วยประการฉะนี้



ทรงประกาศกิจแห่งสิกขา ๓

ก็ด้วยพระธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาค ทรงประกาศสิกขา ๓

คำสอนอันมีความงาม ๓

อุปนิสัยแห่งความเป็นผู้มีวิชชา ๓ เป็นต้น

การเว้นส่วนสุดทั้ง ๒ และการส้องเสพมัชฌิมาปฏิปทา

อุบายเป็นเครื่องก้าวล่วงอบายเป็นต้น

การชำระสังกิเลส ๓ และเป็นอันทรงประกาศเหตุแห่งความเป็นพระโสดาบันเป็นต้น


ทรงประกาศอย่างไร?

อธิบายว่า ในสิกขา ๓ นั้น อธิสิลสิกขา ทรงประกาศด้วยศิล

อธิจิตตสิกขา ทรงประกาศด้วยสมาธิ

อธิปัญญาสิกขา ทรงประกาศด้วยปัญญา


ความงามในเบื้องต้นแห่งพระศาสนาทรงประกาศด้วยศิล

จริงอยู่ ศิลชื่อว่า เป็นเบื้องต้นแห่งพระศาสนา เพราะ พระบาลีว่า "ก็อะไรเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย? ศิลอันบริสุทธิ์ด้วยดีเบื้องต้น"
สํ. ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๙/๒๑๒

และพระบาลีว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง" ดังนี้
ที. ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐, ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐


ก็แหละ ศิลนั้นชื่อว่าเป็นความงาม เพราะ นำมาซึ่งคุณ มีความไม่เดือดร้อนเป็นต้น


ความงามในท่ามกลางแห่งพระศาสนา ทรงประกาศด้วยสมาธิ

จริงอยู่ สมาธิ ชื่อว่าเป็นท่ามกลางแห่งพระศาสนา เพราะ พระบาลีว่า "การยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม" ดังนี้
ที. ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐, ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐

แหละสมาธินั้น ชื่อว่า ความงาม เพราะ นำมาซึ่งคุณ มีการแสดงฤทธิ์ได้เป็นต้น
ที. ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐, ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐


ความงามในที่สุดแห่งศาสนา ทรงประกาศด้วยปัญญา

จริงอยู่ ปัญญา ชื่อว่า เป็นความงามในที่สุด เพราะ พระบาลีว่า "การชำราะจิตตนให้ผ่องแผ้ว นี้ เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ทั้งหลาย" ดังนี้ และเพราะมีปัญญาเป็นยอด
ที. ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐, ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐

แหละปัญญานั้นชื่อว่า ความงาม เพราะ นำมาซึ่งความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ทั้งหลาย สมดังที่ตรัสไว้ ดังนี้ :-

ภูเขาหินทึบเป็นแท่งเดียว ย่อมไม่หวั่นไหวสะเทือนด้วยลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่หวั่นไหวในคำนินทาและคำสรรเสริญทั้งหลาย ฉันนั้น (ตัวใหญ่ทั้งหมด)
ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๘๑/๕๓


ทำนองเดียวกัน อุปนิสัยแห่งความเป็นผู้มีวิชชา ๓ ทรงประกาศด้วยศิล เพราะ โยคีบุคคลอาศัยศิลสมบัติแล้ว จึงจะบรรลุวิชชา ๓ ได้ อื่นจากศิลสมบัติแล้ว หาบรรลุไม่

อุปนิสัยแห่งความเป็นผู้มีอภิญญา ๖ ทรงประกาศด้วยสมาธิ อื่นจากสมาธิสมบัติแล้วหาบรรลุไม่

อุปนิสัยแห่งความแตกฉานในปฏิสัมภิทา ทรงประกาศด้วยปัญญา เพราะ โยคีบุคคลอาศัยปัญญาสมบัติแล้ว จึงจะบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ มิใช่ด้วยเหตุอย่างอื่น


อนึ่ง การเว้นส่วนสุด คือ กามสุขัลลิกานุโยค ทรงประกาศด้วย ศิล

การเว้นส่วนสุด คือ อัตตกิลมถานุโยค ทรงประกาศด้วย สมาธิ

การส้องเสพมัชฌิมาปฏิปทา ทรงประกาศด้วย ปัญญา


อนึ่ง อุบาย เป็นเครื่องก้าวล่วง อบาย ทรงประกาศด้วย ศิล

อุบาย เป็นเครื่องก้าวล่วง กามธาตุ ทรงประกาศด้วย สมาธิ

อุบาย เป็นเครื่องก้าวล่วง ภพทั้งปวง ทรงประกาศด้วย ปัญญา


อนึ่ง การประหานกิเลส ด้วยสามารถแห่งตทังคปหาน ทรงประกาศด้วย ศิล

การประหานกิเลส ด้วยสามารถแห่งวิกขัมภนปหาน ทรงประกาศด้วย สมาธิ

การประหานกิเลส ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทปหาน ทรงประกาศด้วย ปัญญา


อนึ่ง ปฏิปักขธรรม ชั้นล่วงละเมิดแห่งกิเลสทั้งหลาย ทรงประกาศด้วย ศิล

ปฏิปักขธรรม ชั้นครอบงำจิต ทรงประกาศด้วย สมาธิ

ปฏิปักขธรรมชั้นอนุสัย ทรงประกาศด้วย ปัญญา


อนึ่ง ชำระสังกิเลส ชั้นทุจริต ทรงประกาศด้วย ศิล

การชำระสังกิเลส ชั้นตัณหา ทรงประกาศด้วย สมาธิ

การชำระสังกิเลส ชั้นทิฏฐิ ทรงประกาศด้วย ปัญญา


อนึ่ง เหตุแห่งความเป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามี ทรงประกาศด้วย ศิล

เหตุแห่งความเป็นพระอนาคามี ทรงประกาศด้วย สมาธิ

เหตุแห่งความเป็นพระอรหันต์ ทรงประกาศด้วย ปัญญา

จริงอยู่ พระโสดาบัน พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศิลทั้งหลาย พระสกทาคามีก็เช่นเดียวกัน

พระอนาคามี ตรัสว่า เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ

ส่วนพระอรหันต์ ตรัสว่า เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในปัญญา


คุณธรรมหมวดละสาม ๙ หมวดนี้ คือ สิกขา ๓, ศาสนามีความงาม ๓, อุปนิสัยแห่งความเป็นผู้มีวิชชา ๓ เป็นต้น, การเว้นส่วนสุดทั้งสองและการส้องเสพมัชฌิมาปฏิปทา, อุบายเป็นเครื่องก้าวล่วงอบายเป็นต้น,
การชำระสังกิเลส ๓, เหตุแห่งความเป็นพระโสดาบันเป็นต้น และคุณธรรมหมวดละสามอื่นๆ อีกทำนองเดียวกันนี้

เป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้วด้วยศิล, สมาธิและปัญญาเพียงเท่านี้ ด้วยประการฉะนี้


คัมภีร์วิสุทธิมรรค รจนาโดย พระพุทธโฆสเถระ

แปลและเรียบเรียงโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2011, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะในปัจจุบัน

การเจริญสมาธิภาวนาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ด้วยหัวข้อว่า จิตฺตํ โดยพระบาลีว่า

สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ

ดังนี้ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง โดยเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสมาธิไว้อย่างย่อสั้นมาก ไม่ต้องกล่าวถึงที่จะเจริญภาวนา แม้แต่เพียงจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะกระทำได้ง่ายเลย

แต่อย่างไรก็ดี ขึ้นชื่อว่าภาวนาฝ่ายกุศลแล้ว ที่จะไม่มีกำจัดกิเลส มีราคะเป็นต้น หรือที่ไม่เป็นอุปการะแก่คุณธรรม มีศัรทธาเป็นต้น เป็นอันไม่มี ข้อนี้สมด้วยพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ ซึ่งมีในเมฆิยสูตรว่า

พึงเจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งๆ ขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภกัมมัฏฐานทั้งหลาย เพื่อประหานเสียซึ่งราคะ

พึงเจริญเมตตา เพื่อประหานเสียซึ่งพยาบาท

พึงเจริญอานาปานสติ เพื่อกำจัดเสียซึ่งมิจฉาวิตก

พึงเจริญอนิจจสัญญา เพื่อถอนซึ่งอัสมิมานะ

อง. นวก. (ไทย) ๒๓/๓/๔๓๔, ขุ. อุ. (ไทย) ๒๕/๓๑/๒๓๕-๒๓๖


แม้ในราหุลสูตร พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงพระกัมมัฏฐาน ๗ ประการ โปรดพระราหุลเถระเพียงองค์เดียว โดยมีนัยอาทิว่า

ราหุล เธอจงเจริญซึ่งภาวนา อันมีเมตตาเป็นอารมณ์ ....
ม. ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๐/๑๓๐

เพราะเหตุฉนี้ นักศึกษาจงอย่าได้ทำความยึดถือเพียงแต่ในถ้อยคำแถลงที่แสดงไว้ว่า กัมมัฏฐานอย่างโน้นเหมาะสมแก่จริตบุคคล ประเภทโน้น พึงค้นคว้าแสวงหาอรรถาธิบายในคัมภีร์ต่างๆ ทั่วไปเถิด

การวินิจฉัยกัมมัฏฐานกถาโดยพิศดาร ในหัวข้อสังเขปว่า เรียนเอาเฉพาะพระกัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาพระกัมมัฏฐาน ๔๐ ประการ ยุติเพียงเท่านี้

จากคัมภีร์วิสุทธิมัรรค พระพุทธโฆสเถระ รจนา
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) แปลและเรียบเรียง


หมายเหตุ:-

จากเรื่องการเจริญสมาธิภาวนานั้น ส่วนมากจะกล่าวไว้เพียงเรื่องพระกัมมัฏฐาน ๔๐ ประการ

พระอาจารย์ได้อธิบายเรื่องจริตต่างๆ และกรรมฐานทั้ง ๔๐ รวมทั้งเรื่องของสมาธิต่างๆไว้อย่างพิศดารและแยบคาย ทั้งเรื่องของจริยา และจริตต่างๆว่าเหตุแท้จริงมาจากไหน

ซึ่งบทความอาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีเหตุร่วมกัน และอาจจะไม่มีประโยช์แก่ผู้ที่ไม่มีเหตุร่วมกัน เมื่อเห็นในเรื่องของเหตุและผลเช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้นำมาแสดงไว้ ณ ที่นี้

เนื่องจาก ผู้เขียนต้องการอรรถสำคัญในเรื่องที่มาของคำเรียก สมถะ-วิปัสสนาในปัจจุบัน ว่ามีที่มาอย่างไร

แม้กระทั่งเรื่องของคำเรียกวิปัสสนาญาณที่มีปรากฏขึ้นในปัจจุบัน มีที่มาอย่างไร ซึ่งจะนำมาแสดงในหัวข้อเรื่อง วิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖


ส่วนเรื่องการเจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวถึงไว้บ้างนั้น ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค มีเนื้อหาเพียงดังนี้ว่า มีปรากฏอยู่ในพระสูตร โดยยึดหลักของเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสมาธิ โดยแยกเป็นอธิบดีทั้ง ๔ ได้อรรถาอธิบาย โดยมีพระบาลีสมอ้างดังนี้ คือ :-
(คำว่า "สมอ้าง" พระอาจารย์ท่านบันทึกไว้เช่นนั้น)

ถ้าภิกษุทำฉันทะให้เป็นอธิบดีแล้ว ได้สมาธิ ได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว สมาธินี้เรียกว่า ฉันทาธิปติสมาธิ

ถ้าภิกษุทำวิริยะให้เป็นอธิบดีแล้ว ได้สมาธิ ได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว สมาธินี้เรียกว่า วีริยาธิปติสมาธิ

ถ้าภิกษุทำจิตให้เป็นอธิบดีแล้ว ได้สมาธิ ได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว สมาธินี้เรียกว่า จิตตาธิปติสมาธิ

ถ้าภิกษุทำวิมังสาให้เป็นอธิบดีแล้ว ได้สมาธิ ได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว สมาธินี้เรียกว่า วิมังสาธิปติสมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2012, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนาญาณ


เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อมีวิปัสสนา วิปัสสนาญาณจึงมีเกิดขึ้น


ทุกสรรพสิ่งล้วนมีที่มาและที่ไป วิปัสสนาในปัจจุบันก็เช่นกัน เหตุนี้จึงมี วิปัสสนาและวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นในปัจจุบัน


บัญญัติ - ปรมัตถ์

ท่านวิปัสสนาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า "ในการเจริญวิปัสสนานั้น ชั้นต้นๆ เมื่อสติกำหนด พองหนอ - ยุบหนอ ฯลฯ และเมื่อเดินจงกรมก็ให้กำหนดซ้ายย่างหนอ - ขวาย่างหนอ ฯลฯ เป็นต้น

คนทั้งหลายก็อาจสงสัยในวิธีการว่า การกำหนดอย่างนี้เป็นการกำหนดบัญญัติ เมื่อกำหนดบัญญัติอยู่ จะจัดเป็นการเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร?

ความจริง ความสงสัยอย่างนี้ก็ถูกต้อง แต่ว่า ไม่ถูกหมดทีเดียว คือว่า ในชั้นแรกนั้น จะต้องให้โยคีผู้ปฏิบัติทำการกำหนดอารณ์บัญญัติไปก่อน มิฉะนั้น จิตจะไม่มีที่กำหนด เพราะ ปรมัตถสภาวะเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก

ต่อเมื่อ ปัญญาภาวนาแก่กล้าขึ้น อารมณ์บัญญัติเหล่านี้หายไป เหลือแต่ปรมัตถสภาวะล้วนๆ ในที่นี้ จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๔ อย่างอ่อน โดยคีบุคคลต้องกำหนดอารมณ์บัญญัติทั้งสิ้น ยังไม่เข้าถึงปรมัตถสภาวะ

แต่พอเจริญวิปัสสนามาเรื่อยๆ ปัญญาภาวนาจะแก่กล้า จนเข้าถึง อุทยพยญาณอย่างแก่ อารมณ์บัญญัติจะหายไปตามลำดับ อารมณ์ปรมัตถ์ ก็จะปรากฏขึ้นแทน และเมื่อถึง ญาณที่ ๕ คือ ภังคญาณแล้ว ก็จะมีอารมณ์ปรมัตถ์ล้วนๆ"


"อาจมีความสงสัยต่อไปว่า เห็นปรมัตถ์นั้น เห็นตอนไหน?

จะเห็นได้ในขณะที่กำหนดพอง-ยุบ นั่ง-ถูก ไม่มี คือหายไปหมด และการกำหนดอยู่ว่า "รู้หนอๆ" นั่นแหละ เป็นสภาวะปรมัตถ์ล้วนๆ ทีเดียว เพราะไม่มีอะไร คือ หายไปหมด อันเป็นลักษณะของภังคญาณ
วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๖๑-๖๕


เรื่องนี้ ท่านอาจารย์ธรรมปาละ พระเถระชาวลังกา ก็ได้กล่าวไว้ว่า ในคัมภีร์ปรมัตถมัญชุสา ฎีกาวิสุทธิมัคค์ว่า

"นนุ จ ตชฺชาปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คณฺหายตีติ? สจฺจํ คณฺหายตีติ. ปุพฺเพภาเค ภาวนาย ปน วฑฺฒมานย ปณฺณตฺตึ สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว จิตฺตํ ติฏฺฐตีติ - (ตัวใหญ่ทั้งหมด)

ถามว่า ท่านถือเอาปรมัตถธรรม ด้วยบัญญัติที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ มิใช่หรือ?

ตอบว่า ใช่ แต่ถือเอาเฉพาะตอนต้นๆเท่านั้น ครั้นเจริญวิปัสสนาภาวนาไปนานๆเข้า จิตก็จะผ่านพ้นบัญญัติไปตั้งอยู่ในปรมัตถสภาวะล้วนๆ ดังนี้
วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๖๖

หนังสือ วิปัสสนานิยม ธนิต อยู่โพธิ์ ป.ธ.๙ เรียบเรียง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนา-วิปัสสนาญาณ

ถ้าท่านเป็นนักศึกษาทางพระปริยัติมาบ้าง ท่านอาจเคยอ่านพบความรู้เรื่องแยกรูปและนามมาบ้างแล้ว ในบาลีสามัญญผลสูตร
ที. ส. ๙/๑๐๑, ๖๓-/๔

และในพระสูตรอื่นๆเช่น มหาสกุลุทายิสูตร
ม. ม. ๑๓/๓๓

ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสอธิบายเปรียบเทียบวิปัสสนาญาณ กำหนดจำแนกรูปและนาม ตรัสเรียกไว้ว่า "ญาณทัสสะ" (ตัวใหญ่) โดยพระดำรัสว่า

"ภิกษุนั้น กำหนดรู้อย่างนี้ว่า กายของเรานี้ แลมีรูปร่าง ประกอบด้วยมหาภูตทั้ง ๔ เกิดแต่มารดา บิดา เติบโตขึ้นมาด้วยข้าวสวยและข้าวต้ม เป็นของไม่เที่ยง มีปรกติต้องอาบอบ นวดเฟ้น และแตกสลายอยู่เป็นธรรมดา

ก็และในกายนี้ มีวิญญาณติดเนื่องอยู่ เปรียบเหมือนแก้วมณีไพฑูรย์งดงาม เกิดโดยธรรมชาติ แท่ง ๘ เหลี่ยม ทำการเจียรไนไว้อย่างดี ผุดผ่องโปร่งใส สมบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง ในแก้วมณีไพฑูรย์นั้น
เขาสอดใส่เส้นด้ายสีเขียว หรือสีเหลือง หรือสีแดง หรือสีขาว หรือสีนวลไว้

บุรุษผู้มีดวงตา วางแก้วมณีไพฑูรย์นั้นไว้ในอุ้งมือ แล้วพิจรณาดู (ด้วยความรู้เห็น) ว่า แก้วมณีไพฑูรย์ --- นี้แล (เป็นส่วนหนึ่ง) เส้นด้ายสีเขียว หรือสีเหลือง --- ที่สอดใส่ไว้ในแก้วไพฑูรย์นั้น พึงมี (อีกส่วนหนึ่ง-คนละส่วนร่วมกัน)"

จัดเป็น ญาณทัสสนะ ขั้น นามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็น ญาณอันดับ ๑ ของญาณ ๑๖ การปฏิบัติของโยคีได้ผล คือ แรกเริ่มเกิดวิปัสสนาญาณ อันดับแรกแล้ว


ปัจจยปริคหญาณ นี้ ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ และในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ พร้อมทั้งอรรถกถา(สัทธัมมปกาสินี) เรียกว่า ธัมมฐิติญาณ หรือสปัจจยปริคคหญาณ ความรู้ในความตั้งอยู่ด้วยสภาวธรรมที่เป็นปัจจัย บ้าง

ยถาภูตญาณ ความรู้ตามความเป็นจริง บ้าง

สัมมาทัสสนะ ก็ดี กังขาวิตรณา การผ่านพ้นความสงสัย ก็ดี

เหล่านี้ มีความหมายอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่ตัวพยัญชนะเท่านั้น
ขุ, ป. ๓๑/๓๙๕- และวิสุทธิมคฺค, ตติยภาค, น. ๒๒๘-๙

แต่พึงทราบว่า ญาณทั้ง ๒ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ (ญาณที่ ๑) และปัจจยปริคคหญาณ (ญาณที่ ๒) ยังเป็นแต่เพียงตรุณวิปัสสนา
สารตฺถปกาสินี, ทุติยภาค, น.๖๙

คือ วิปัสสนาอย่างอ่อน ยังไม่นับเป็นวิปัสสนาญาณ และไม่เป็นภาวนามยปัญญา แต่เป็นบาทก์เบื้องต้น และปัจจัยที่จะให้เกิดวิปัสสนาญาณ หรือภาวนามยปัญญา ต่อไป

แต่ในบางพระสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสเรียก ธัมมฐิติญาณ ทรงหมายถึง วุฏฐาคามินีวิปัสสนาญาณ
สุสิมะสูตร, สํ. นิทาน. ๑๖/๑๕๑



มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ

ความบริสุทธิ์ด้วยความรู้ ความเห็นว่า เป็นทางปฏิบัติถูก และทางปฏิบัติไม่ถูก

วิสุทธิ ที่เรียกว่า มัคคญาณทัสสนวิสุทธิ นี้ อธิบายว่า ได้แก่ ญาณรู้ว่าทางนี้เป็นทางปฏิบัติ ทางนี้มิใช่ทางปฏิบัติ

ญาณดังกล่าวนี้ จะเกิดขึ้นแก่โยคีผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก็ต่อเมื่อผ่านสัมมาสนญาณ และเห็นพระไตรลักษณ์มาแล้ว

เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ว่า ท่านผู้ปรารถนาบรรลุมัคคาญาณทัสสนวิสุทธิ ควรทำความเพียรในสัมมาสนญาณก่อน และเมื่อเกิดสัมมาสนญาณดังกล่าวแล้ว ก็จะผ่านเข้าสู่วิสุทธินี้

สัมมาสนญาณ นี้ ท่านเรียกว่า กลาปสัมมสนะ บ้าง เรียกว่า กลาปสัมมสนญาณ บ้าง แปลว่า ญาณกำหนดรู้ด้วยการพิจรณาเห็นด้วยกลาปะ

"กลาปะ" แปลว่า กลุ่ม, ก้อน, หมวด, กอง, ขันธ์ เช่น รูปขันธ์-กองรูป, เวทนาขันธ์-กองเวทนา เป็นต้น

พระฎีกาจารย์อธิบาย กลาปสัมมสนญาณ ว่า การย่นย่อธรรม คือ สิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันหลายประเภท เช่น นามและรูป (หรือขันธ์ ๕) ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นต้น มากำหนดพิจรณาโดยกลาปะ เรียกว่า กลาปสัมมสนะ คือ กำหนดรู้โดยกลาปะ

ซึ่งในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภานี อธิบายว่า กลาปสัมมสนญาณ ดำเนินไปด้วยการกำหนดรู้พระไตรลักษณ์ กล่าวคือ

อาการที่เกิดขึ้น แล้วดับไป (อนิจจัง)

อาการบีบคั้นเบียดเบียน (ทุกขัง)

และอาการที่ไม่เป็นไปในอำนาจ (อนัตตา)

หมายถึง ญาณกำหนดรู้ (นามและรูป) โดยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา



ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ กล่าวว่า กลาปสัมมสนญาณ เป็นญาณตั้งต้นของวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้น ท่านจึงยกขึ้นแสดงไว้ในลำดับของกังขาวิตรณวิสุทธิ


ซึ่งโยคีผู้ปรารถนาจะบรรลุ มัคคาญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ด้วยความรู้ ความเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติที่ถูกและไม่ถูก จะต้องทำลาย พยายามโดย นยวิปัสสนา กล่าวคือ การกำหนดรู้โดยย่อด้วยกลาปะก่อน

พึงทราบว่า ญาณทั้ง ๒ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ (ญาณที่ ๑) และ ปัจจยปริคคหญาณ (ญาณที่ ๒) นี้ ยังเป็นแต่เพียงตรุณวิปัสสนา
สารตฺถปกาสินี, ทุติยภาค, น. ๖๙

คือ วิปัสสนาอย่างอ่อน ยังไม่นับเป็นวิปัสสนาญาณ และไม่เป็นภาวนามยปัญญา แต่เป็นบาทก์เบื้องต้น และปัจจัยที่จะให้เกิดวิปัสสนาญาณ หรือภาวนามยปัญญา ต่อไป

อุนุปุพฺเพน เมธาวี โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ กมฺมาโร รชตสฺเสว นิทฺธเม มลมตฺตโน.
ธมฺมปทฏฺฐกถา ๗/๘

ผู้มีเมธา พึงขัดสนิมของตน ออกไปทีละน้อยๆ ทุกๆขณะโดยลำดับ เหมือนช่างทองขัดสนิมของเงิน (และทอง) ฉะนั้น

(มีต่อ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2012, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มาของคำว่า "วิปัสสนาญาณ"


วิสุทธิ ๗ และ ญาณ ๑๖ ทางปริยัติ

ในชั้นบาลีพระไตรปิฎก มีกล่าวถึง วิสุทธิ ๗ (ตัวใหญ่) ไว้ในรถวินีตสูตร พระสูตรที่ ๒๔ ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย มูลปัณณสก

เป็นสูตรที่ ๒๔ ใน ม. มู. ๑๒/๒๘๗ แต่เป็นสูตรที่ ๕ ในโอปมฺมวคฺคค. ดู-รถวินีตสูตร (แปล) ของผู้เรียบเรียง ปฏิทาว่าด้วยวิสุทธิ ๗ มาในรถวินีตสูตร*

ซึ่งท่านแสดงอุปมาด้วยรถโดยสาร มีระบุถึงกถาวัตถ ๑๐ เป็นเบื้องต้น
*ม. มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒/๒๗๓)

เป็นคำสนทนาซักถามระหว่าง พระสารีบุตรมหาเถระกับพระปุณณะมันตาณีบุตรเถระ แต่มีการกล่าวถึงในทุตตรสูตร ในคัมภีร์ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค
ที. ปา ๑๑/๓๒๙

เรียกว่า ปาริสุทธิปธานิยังคะ และจำแนกเป็น ๙ ดังจะกล่าวต่อไป


ส่วนญาณ ๑๖ นั้น ในชั้นพระบาลีมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค*
*ขุ. ป. ๓๑/๑-๔

ซึ่งเป็นคัมภีร์หรือปกรณ์ที่ท่านพระอานนท์เถระ นำมาแสดงแต่ครั้งปฐมสังคยานา* ว่า
*สทฺธมฺมปกาสินี, ฉบับภูมิพลพโลภิกขุ ปฐมภาค, น. ๑๒

ท่านพระสารีบุตรมหาเถระเป็นผู้กล่าวไว้ แล้วนำมาเข้าหมวดไว้ในขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก ต่อมา พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความไว้ในคัมภีร์ต่างๆ เช่น

ท่านพุทธโฆสาจารย์ อธิบายญาณ ๑๖ โดยละเอียด ไว้ในคัมภีร์ วิสุทธิมัคค

ท่านพระพุทธทุตตเถระ บรรยายไว้ในคัมภีร์ อภิธัมมาวตาร

และท่านพระมหานามเถระ กล่าวไว้ในคัมภีร์ สัทธัมมปกาสินี (อรรถกถาปฏิสัมภิทามัคค)

แล้วต่อมา ท่านพระอนุรุทธาจารย์ ได้กล่าวถึงวิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ ไว้ในคัมภีร์ อภิธัมมัตถสังคหะ

และท่านอาจารย์สุมังคละเถระ ได้อธิบายขยายความไว้ในคัมภีร์ อภิธัมมัตถวิภาวินี (ฎีกาของอภิธัมมัตถสังคหะ) อีกต่อหนึ่ง


นอกนั้น ก็มีกล่าวถึง วิสุทธิ ๗ ญาณ ๑๖ ไว้ประปรายในคัมภีร์ต่างๆ แต่ที่เป็นหลักฐานสำคัญ ก็คือ ที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ มีชื่อดังระบุถึงข้างต้น

ซึ่งในแต่ละคัมภีร์ดังกล่าวนั้น ก็ระบุชื่อสั้น ยาว และใช้ถ้อยคำแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่คงมีความหมายเหมือนกัน หรืออย่างเดียวกัน โดยเฉพาะวิสุทธิ ๗ กล่าววไว้เหมือนดัน ดังนี้ คือ :

............................................................................

วิสุทธิ ๗

๑. สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของศิล หมายถึง การปฏิบัติปาริสุทธิศิล ๔ ได้อย่างบริสุทธิ์

๒. จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของจิต หมายถึง การปฏิบัติสมาธิ ได้อุปจารและอัปปนา (สำหรับผู้ปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน) หรือ ได้ขณิกสมาธิ จนผ่านญาณโดยลำดับ (สำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน)

๓. ทิฏฐิวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของความเห็น หมายถึง การปฏิบัติจนกำหนดรู้นามและรูป (นามรูปปริจเฉทญาณ)

""""""""""""

คำว่า "วิสุทธิ" ที่ใช้ประกอบในการเรียกชื่อ "วิสุทธิ ๗" นั้น แปลว่า ความหมดจด, ความผุดผ่อง, ความสะอาด, ความปราศจากมลทิน, ความบริสุทธิ์ เช่น

สีลวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์ของศิล หรือ ศิลอันบริสุทธิ์ หรือ ศิลที่ปราศจากมลทิน

ความงดเว้น ความจงใจ ความระวัง ความไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่า ศิล ได้แก่ ความสะอาดกาย ความสะอาดวาจา ความสะอาดใจ
อง. ติก. (ไทย) ๒๐/๑๒๑-๑๒๒/๓๖๖-๓๖๗

ทิฏฐิวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์ของความเห็น, ความเห็นบริสุทธิ์ หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้อง คือ ความเห็นโดยชอบเป็นต้น


คำว่า "ญาณ" ที่ใช้ประกอบในการเรียกชื่อ "ญาณ ๑๖" แปลว่า ความรู้ ปัญญาหยั่งรู้ หรือปัญญา

หรือความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติกัมมัฏฐาน หมายถึง วิปัสสนาญาณ หรือ วิปัสสนาปัญญา คือ

ภาวนามยปัญญา เช่น "โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน - พึงรบกิเลสมารด้วยอาวุธ คือ วิปัสสนาญาณ" หรือ

"เอวเมตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพพํ - นี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยวิปัสสนาปัญญาโดยชอบ"

เพราะฉะนั้นในการกล่าวถึงต่อไปบางแห่ง อาจกล่าวสำทับศัพท์ว่า "ญาณ" โดยไม่ต้องแปล เช่น นามรูป - ปริเฉทญาณ - ญาณในการกำหนดรู้นามและรูป

ปัจจยปริคคหญาณ - ญาณกำหนดรู้ปัจจัย และ สัมมาสนญาณ - ญาณกำหนดรู้หรือกำหนดพิจรณา เป็นต้น

คำว่า "วิสุทธิ" และ "ญาณ" ๒ คำนี้ ในบางแห่งและในวิสุทธิและในญาณบางอันดับ ท่านใช้อธิบายไว้ในความหมายเดียวกัน หรือของกันและกัน เช่น

"เอตสฺเสว ปน นามรูปสฺส ปจฺจยปริคฺเหน ตีสุ อทฺธาเนสุ กงฺขํ วิตริตฺวา ฐฺตํ ญาณํ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ นาม
วิสุทธิมคฺค, ตติยภาค, น.๒๒๐

อันว่า ญาณที่ข้ามพ้นความสงสัยในกาลทั้ง ๓ ด้วยการกำหนดปัจจัยของนามและรูปนั่นแล เรียกว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ"

หรือ "อยํ มคฺโค อยํ น มคฺโคติ เอวํ มคฺคญฺจ อมคฺคญฺจ ญตฺวา ฐิตํ ญานํ ปน มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ นาม
วิสุทธิมคฺค, ตติยภาค, น.๒๓๐

อันว่า ญาณที่รู้ทางและมิใช่ทาง โดยนัยอย่างนี้ว่า อันนี้เป็นทางถูก อันนี้มิใช่ทางถูก เรียกว่า มัคคาญาณ ทศสนวิสุทธิ"


ปฏิทาญาณทัสสนวิสุทธิ

ความบริสุทธิ์ของความรู้ความเห็นในทางปฏิบัติที่ถูก

ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ รวมเอาญาณขั้นสูงไว้ ๙ ญาณ ได้แก่ ญาณตั้งแต่อันดับ ๔ ไปจนถึงญาณอันดับ ๑๒ ดังนี้

๔. (ข) พลวอุทยพยญาณ (อย่างแก่)

๕. ภังคญาณ

๖. ภยญาณ

๗. อาทีนญาณ

๘. นิพพิทาญาณ

๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ

๑๐. ปฏิสังขาญาณ

๑๑. สังขารุเปกขาญาณ

๑๒. อนุโลมญาณ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขั้นตอนวิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ ในทางปฏิบัติ

ในทางปฏิบัติ ปรากฏการณ์ของวิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ จะเกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน ตรงตามที่กล่าวไว้ในคัมถีร์อภิธัมมมัตถสังคหะ โดยมีลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้

(๑) ศิลวิสุทธิ ความบริสุทธิของศิล

(๒) จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของจิต

(๓) ทิฏฐิวิสุทธิ์ ความบริสุทธิของความเห็น

๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป


(๔) กังขาติรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ ด้วยผ่านพ้นความสงสัย

๒. ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดรู้ปัจจัย (ของนามและรูป)


(๕) มัคคาญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิของความรู้ ความเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติที่ถูก และทางปฏิบัติที่ไม่ถูก

๓. สัมมสนญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการพิจรณาเห็น (รูปนาม-สังขาร-โดยพระไตรลักษณ์) ได้แก่

๔. ตรุณอุทยพยญาณ (ญาณกำหนดรู้ความเกิดและความดับ อย่างอ่อน)


(๖) ปฏิทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิของความรู้ ความเห็นทางปฏิบัติถูก ได้แก่

๔. พลวอุทยพยญาณ (ญาณกำหนดรู้ความเกิดและความดับ อย่างแก่)

๕. ภังคญาณ ญาณกำหนดรู้ความดับ (ของสังขารทั้งหลาย)

๖. ภยญาณ ญาณกำหนดรู้ (สังขาร) โดย เป็นสิ่งที่น่ากลัว

๗. อาทีนวญาณ ญาณกำหนดรู้โทษ (ของนามและรูป หรือสังขาร)

๘. นิพพิทาญาณ ญาณกำหนดรู้ ด้วยความเบื่อหน่าย (ในนามและรูป) (ญาณดำเนินไปด้วยความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย ที่เห็นว่ามีโทษและเลวร้าย)

๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณกำหนดรู้ ด้วยความปรารถนาที่จะพ้นไป (จากนามและรูป) (ญาณซึ่งเบื่อหน่าย แล้วดำเนินไปด้วยปรารถนาจะพ้นไปเสียจากสังขารทั้งหลาย)

๑๐. ปฏิสังขาญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วย การทบทวน (โดยพระไตรลักษณ์) (ญาณดำเนินไปด้วยการกำหนดรู้สังขารทั้งหลาย ทวนแล้วทวนเล่า เพื่อสำเร็จอุบายแห่งการพ้นไปจากสังขาร)

๑๑. สังขารุเปกขาญาณ ญาณกำหนดรู้ ด้วยการวางเฉยในสังขาร (ญาณที่วางเฉยโดยปราศจากความกลัว และชื่นชมยินดีในธรรม คือ สังขารทั้งหลาย ที่กำหนดรู้ ทวนแล้วทวนเล่า)

๑๒. อนุโลมญาณ ญาณกำหนดรู้ ด้วยการคล้อยตาม (ความสำเร็จกิจของญาณทั้ง ๙ ข้างต้น และคล้อยตามโพธิปักขยธรรม ๓๗ เบื้องปลาย)

๑๓. โคตรภูญาณ ญาณข้ามโตรบุถุชน (โดยอนุโลม)


(๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิของความรู้ความเห็น

๑๔. มรรคญาณ ญาณในอริยมรรค

๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล (นับเข้าในญาณทัสสวิสุทธิ โดยอนุโลม)

๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ญาณกำหนดรู้ ด้วยการสำรวจทนทวน (เป็นโลกียะ ไม่นับเข้าอยู่ในญาณทัสสวิสุทธิ)


วิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นข้อปฏิบัติที่พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ผู้สร้างอภินิหารบารมีมาตลอด ๒ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ ก็ต้องปฏิบัติ เพื่อบรรลุปัจเจกสัมโพธิญาณด้วย
สทฺธมฺมปชฺโชติกา, นิทฺเทสวญฺณนา, ทุติยภาค, น. ๓๓๘-๓๔๙

ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในเรื่อง "สฬญาณ ของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า" โดยเฉพาะส่วนหนึ่งแล้ว
(ดู-โสฬสญาณ ของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ของ ผู้เรียบเรียง)

โดยเฉพาะวิสุทธิ ๗ นั้น ท่านกล่าวเปรียบเทียบไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค
วิสุทฺธิมคฺค, ตติยภาค, น. ๑๐ และ ๒๐๕-๒๐๖

ว่า ธรรมประเภทต่างๆ เช่น ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อิทรีย ๒๒ อริยสัจจ์ ๔ และปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น เป็นภูมิ ซึ่งเปรียบเทียบด้วยพื้นแผ่นดิน (สำหรับเพาะปลูกปัญญา)

วิสุทธิ ๒ คือ สีลวิสุทธิ และ จิตตวิสุทธิ เป็นมูล คือ รากเหง้า (ของปัญญา)

ส่วน วิสุทธิอีก ๔ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นสรีระ คือ ลำต้น หรือ ร่างกาย (ของปัญญา)

และญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นยอด หรือศรีษะของปัญญา ซึ่ง ปัญญาในที่นี้หมายถึง วิปัสสนาปัญญาหรือ วิปัสสนาญาณ


การที่โยคี ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย ทั้งสูงอายุและหนุ่มสาว ผู้ปรารถนาจะหลุดพ้น หรือผ่านวิสุทธิ ๗ ญาณ ๑๖ และได้รับอานิสงส์ คือ มรรค ผล นิพพาน ดังกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ เป็นความปรารถนาโดยชอบ
และสามารถบรรลุได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสไว้แก่เจ้ามหานามศากยะว่า

"ดูก่อนท่านมหานาม ตถาคตมิได้กล่าวว่า จิตที่หลุดพ้นด้วยวิมุตติของอุบสกผู้มีจิตหลุดพ้น มาแล้วอย่างนี้ มีการกระทำแตกต่างอะไรกันกับพระภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นมาแล้ว ตั้ง ๑๐๐ ปี"
สํ. มหาวาร. ๑๙/๕๑๖

หมายถึงว่า "ในการรู้แจ้งแทงตลอด (อริย) มรรค ก็ดี (อริย) ผล ก็ดี ของอุบาสก (อุบาสิกา) ทั้งหลาย กับพระภิกษุทั้งหลายนั้น หามีการกระทำที่แตกต่างกันไม่"
สารตฺถปกาสินี, ตติยภาค, น. ๔๐๓

ท่านพระอรรถกถาจารย์ จึงอธิบายขยายความไว้ ในคัมภีร์มโนรถปูรณี
ตติยภาค, น. ๒๒

ว่า "ไม่ว่าจะเป็นทารก ๗ ขวบ หรือ พระเถระอายุ ๑๐๐ ปี หรือ ภิกษุ หรือ ภิกษุณี หรือ อุบาสก หรือ อุบาสิกา หรือ เทวดา หรือ มาร หรือ พรหม รู้แจ้งแทงตลอดวิมุตติ ก็ตาม หามีความแตกต่างกันในโลกุตรมรรค ที่รู้แจ้งแทงตลอดนั้นๆไม่"


ญาณ ๑๖ หรือเรียกกันเป็นคำศัพท์ว่า โสฬสญาณ ตามที่อธิบายมานี้ ญาณที่ ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ และญาณที่ ๒ ปัจจยปริคหญาณ ยังเป็นตรุณวิปัสสนา จึงไม่นับเข้าใน วิปัสสนาญาณ แต่เป็นบาทก์เบื้องต้น และเป็นปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณต่อไป

ส่วนญาณอีก ๑๑ นับตั้งแต่ สัมมสนญาณ ซึ่งเป็นญาณที่ ๓ จนถึง โคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณที่ ๑๓ นับเป็นวิปัสสนาญาณ และเป็นภาวนามยปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ แต่ยังเป็นโลกียญาณ

ส่วน มัคคญาณ (๑๔) และ ผลญาณ (๑๕) เป็นโลกุตรญาณ

แต่ปัจจเวกขณญาณ (๑๖) เป็นโลกียญาณ


ที่กล่าวมานี้ เป็นความรู้ทางปัญญา คือ ความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้ตามข้อความที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ เป็น สุตมยปัญญา

ความรู้เช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เคยทรงตรัสเตือนไว้ เช่น ที่ทรงตรัสแก่ชาวกาลามะว่า

"มา อนุสฺสเวน, มา ปรมฺปราย, มา อิติกิราย, มาปิฏกสมฺปทาเน ฯลฯ"

แปลว่า "ท่านทั้งหลาย อย่าเชื่อถือโดยฟังตามกันมา, อย่าเชื่อถือโดยพูดต่อๆ กันมา, อย่าเชื่อถือตามเขา เล่าว่า, อย่าเชื่อถือโดย ยึดตำรา ฯลฯ"

แต่ทรงแนะนำไว้ว่า

"ยทา ตุมฺเห กาลามา อตฺตนาว ชาเนยฺยาถ... อถ ตุมฺเห กาลามา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยาถ"

แปลว่า "ดูก่อนท่านกาลามะ เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเอง เมื่อนั้นท่านทั้งหลายพึงเข้าถึง (คือ ปฏิบัติตาม) ธรรมทั้งหลายเหล่านี้อยู่เถิด"
อํ. ติก. ๒๐/๒๔๑ ฯลฯ ดู-กาลามะสูตร (คำแปล) ของผู้เรียบเรียง


เพราะฉะนั้น พระวิปัสสนาจารย์ผู้รอบรู้ และมีประสบการณ์ในทางปฏิบัติธรรม แล้วรู้เห็นมาด้วย ภาวนามยปัญญา จึงจัดญาณ ๑๖ ไว้ตามลำดับของญาณที่จะพึงยังเกิดแก่โยคี ผู้มีวาสนาบารมี
และพยายามปฏิบัติธรรมด้วยความอุตสาหะ และอดทนไว้ดังนี้

๑. นามรูปปริจเฉทญาณ หรือ นามรูปววัตถานญาณ ญาณกำหนดจำแนกนามและรูป

๒. ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดรู้ปัจจัย (ของนามและรูป)

๓. สัมมสนญาณ หรือ กลาปสัมมสนญาณ หรือ ติลักขณปฏิเวธสัมมสนญาณ
แปลว่า ญาณกำหนดรู้ด้วย แทงทะลุโดยพระไตรลักษณ์-สารต์ถปกสินี, ทุติยภาค, น. ๑๔๐

๔. อุทยพยญาณ

ก. ตรุณอุทยพยญาณ (อุทยพยญาณ อย่างอ่อน)

ข. พลวอุทยพยญาณ (อุทยพยญาณ อย่างแก่)

๕. ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ

๖. ภยญาณ หรือ ภยตุปัฏฐานญาณ

๗. อาทีนวญาณ หรือ อาทีนวนุปัสสนาญาณ

๘. นิพพิทาญาณ หรือ นิพพิทานุปัสสนาญาณ

๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ

๑๐. ปฏิสังขาญาณ หรือ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ

๑๑. สังขารุเปกขาญาณ

๑๒. อนุโลมญาณ หรือ สัจจานุโลมิกญาณ

๑๓. โคตรภูญาณ

๑๔. มัคคญาณ

๑๕. ผลญาณ

๑๖. ปัจจเวกขณญาณ


นำมาจาก วิปัสสนานิยม เรียบเรียงโดย นายธนิต อยู่โพธิ์ ป.ธ. ๙

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 00:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บัญญัติเปลี่ยน สภาวะไม่เปลี่ยน


ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำเรียกในบัญญัติต่างๆก็เช่นกัน

พระไตรปิฎกถูกสังคยานามาหลายยุคหลายสมัย บัญญัติต่างๆอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แต่ตัวแท้จริงของสภาวะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าสภาวะจะถูกบันทึกด้วยบัญญัติว่าอะไรหรืออย่างไรก็ตาม แต่สภาวะก็คือสภาวะ ไม่เคยแปรเปลี่ยน เพราะสภาวะอยู่ไม่ขึ้นอยู่กับกาล ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย


ขอบคุณภาษาบาลี ที่ถูกคงสภาพไว้

ขอบคุณสำหรับคำแปลแต่ละตัวอักษรแต่ละตัว ที่เป็นภาษาบาลี มาสู่ภาษาปัจจุบัน เช่น คำว่า "รูปํ ภิกฺขเว โยนิโส มนสิกโรถ รูปานิจฺจญฺจ ยถาภูตํ สมนุปสฺสถ"


(มีต่อ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะ-วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔

เราปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้อย่างไร?

ในมหาสติปัฏฐานสูตร

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมหากรุณาตรัสไว้ว่า

"เฝ้าตามดูกายในกายอยู่ เฝ้าตามดูเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ เฝ้าตามดูจิตในจิตอยู่ เฝ้าตามดูธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่" ดังนี้


สำหรับโยคีบุคคลโดยทั่วไป ถ้าปราศจากพระอาจารย์ที่ดีคอยให้คำแนะนำพร่ำสอนแล้ว จะไม่สามารถปฏิบัติ ในการเฝ้าตามดูอาการเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องตามหลักธรรม


ทั้งไม่สามารถปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าในการบำเพ็ญวิปัสสนาในสมถะ-วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ ได้เลย

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยในอดีตที่ทำไว้ และเหตุที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นมาใหม่



ธมฺมารา ธมฺมรโต ธมฺมํ อนุวิจินฺตย

ธมฺมํ อนุสฺสรํภิกฺขุ สทฺธมฺมา น ปริหายติ

"ภิกษุ มีธรรมคือ สมถะและวิปัสสนาเป็นที่มา ยินดียิ่งในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนา คิดถึงอยู่บ่อยๆ นึกถึงอยู่บ่อยๆ กระทำไว้ในใจบ่อยๆ อนุสรณ์ถึงอยู่บ่อยๆ

ซึ่งสมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมไม่เสื่อมจากโพธิปักขยธรรม ๓๗ ประการ และไม่เสื่อมจากโลกุตรธรรม ๙ คือ มรร๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร