วันเวลาปัจจุบัน 12 มิ.ย. 2025, 05:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราไม่ได้ศึษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยละเอียด หรือยังไม่แตกฉานในพระธรรมแล้ว เอาความรู้สึกของตัวเองไปสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า มีการนำไปปฏิบัติโดยไม่เข้าใจว่าพระธรรมส่วนใหนเห็นเหตุ พระธรรมส่วนใหนเป็นผล แยกออกจากกันไม่ได้ เห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็เลยนำไปปฏิบัติทันทีโดยไม่พิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าพระพุทธเจ้ากำลังสอนผู้ใด

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนมากพระพุทธองค์สอนพระอริยะหรือพระอรหันต์ พระองค์ท่านจะแสดงธรรมที่สรุปเป็นผลออกมา พระองค์ท่านมิได้แสดงธรรมตั้งแต่เหตุไปหาผล เพราะอริยบุคคลนั้นรู้ดีว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล แต่ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสสอนบุคคลธรรมดาทั่วไป จะตรัสสอนตั้งแต่เหตุไปหาผล ซึ่งมีไม่มากในพระไตรปิฎก ส่วนมากที่แสดงจึงเป็นผลนำไปปฏิบัติทันทีไม่ได้

หากเราไม่พิณิจพิจารณาดีๆ พอได้อ่านพระไตรปิฎกแล้วเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็นำไปปฏิบัติทันที ผลที่ได้ก็ตรงกับเหตุ ก็คือ ไม่มีปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ ได้แต่ความสงบ ได้แต่หลบทุกข์ชั่วคราว บางท่านเข้าใจว่าตนเองได้มรรคผลแล้ว อันที่จริง ได้เพียงฌาน อภิญญา หรือความรู้ยิ่งในความสงบเท่านั้น ไม่ใช่ปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ เพราะทำเหตุผิด ผลจึงออกมาผิด เช่น เอามรรค ๘ ไปปฏิบัติโดยตรง เป็นต้น

ต่อมา ความเข้าใจผิดก็มีมากยิ่งขึ้นไปอีก ถึงขนาดเรียงการปฏิบัติเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา บอกว่าเป็นการปฏิบัติแนวไตรสิกขา ซึ่งไตรสิกขาก็ไม่ใช่แนวทางการปฏิบัติ หากท่านลองไปศึกษาดูสรุปของโอวาทปาติโมกข์ พระองค์ท่านสรุปให้เอาปัญญาขึ้นก่อน เมื่อมีปัญญา รู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ชั่ว ศีลจึงเกิดขึ้น เมื่อกายสงบใจสงบเพราะศีลแล้ว สมาธิก็เกิดขึ้น จะเห็นว่า ศีลและสมาธิ เป็นผลได้จากการมีปัญญา แบบนี้เรียกว่า สัมมามรรค ไม่ใช่ไปเรียงองค์ธรรมตามใจตัวเอง

การเอาศีลขึ้นก่อนและไปหาสมาธิ อย่างนี้ถือว่าถูกเหตุถูกปัจจัย แต่จากสมาธิไปหาปัญญานั้นผิด เพราะผิดเหตุปัจจัย สมาธิเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความสงบ ไม่ใช่เหตุปัจจัยที่จำทำให้เกิดปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ ในที่สุด ก็ไปตันที่ความสงบ หลงอยู่ที่ฌาน อภิญญา หลายท่านปฏิบัติถึงจุดนี้แล้วคิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้ว ความจริงยังห่างไกลเส้นทางโลกุตตระอยู่มาก เป็นเพียงคุณวิเศษทางโลกียะเท่านั้น

การนำ ศีล สมาธิ ปัญญา แบบนี้เป็นหลักในการปฏิบัติ ผลออกมามีแต่คนมีศีล และมีสมาธิ ไม่มีผู้ใดมีปัญญามาดับทุกข์ได้เลย มีแต่หลบทุกข์อยู่ชั่วคราว พากันเป็นฤาษีกันหมด ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า เพราะเอามิจฉามรรคไปปฏิบัติ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

พวกเราชาวพุทธต้องระวังให้ดี ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าดีพอ แล้วนำไปปฏิบัติ ยังนำมาสอนชาวพุทธต่อไปอย่างผิดๆ อีก แทนที่จะเป็นผลดีต่อพุทธศาสนา กลับส่งผลตรงกันข้าม พวกเราจะเป็นพวกที่ลำลายพุทธศาสนาให้หายไปจากประเทศไทยเร็วขึ้น

หากไม่เข้าใจอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผลแล้วนำมาปฏิบัติ จะเป็นการปฏิบัติผิดธรรมทันที หากตรวจสอบดูทางธรรมแล้ว ผู้นั้นหมดสภาพการเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทันทีที่ปฏิบัติ เพราะบอกตัวเองว่าเป็นพุทธ แต่เอาคำสอนการปฏิบัติของพราหมณ์หรือแบบอื่นมาปฏิบัติ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ

เหตุ ๒ ประการที่ทำให้ชาวพุทธพากันหลง ก็คือ พวกที่เรียนรู้แล้วไม่ปฏิบัติ กับอีกพวกที่ปฏิบัติโดยไม่เรียนรู้ เป็นแบบนี้มาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้น ชาวพุทธตอนนี้ต้องช่วยเหลือตัวเอง อย่าหวังให้ใครช่วย ต้องรู้จักเรียนให้รู้ก่อนไปปฏิบัติ อย่าเอาแต่คำเขาว่า เพราะการเดินทางผิด ก็ถือว่าเสียเวลาไป ๑ ชาติเลยทีเดียว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ความอ่อนแอของชาวพุทธ เปิดโอกาสให้พวกพราหมณ์ฮินดูตันตระเข้ามาแทรกแซง ตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีการให้เขียนคำอธิบายพระไตรปิฏก ทั้งๆ ที่ขัดกับพระปาฏิโมกข์ เปิดโอกาศให้พวกเดียรถีปลอมบวชเอาความคิดเห็นของพราหมณ์เข้ามาแทรกในคำอธิบายอย่างแนบเนียน

สังคมพุทธคือสังคมของผู้มีปัญญา แต่ถ้าในสังคมนั้นขาดอริยบุคคล ขาดประจักษ์พยาน หรือขาดผู้ฝึกจนสำเร็จ จะทำให้พากันไปหลงคารมณ์ของพวกนักปราชญ์ทางโลกได้โดยง่าย สุดท้ายก็จะพากันเอาความคิดของปุถุชน หรือ ตรรกปรัชญาไปตัดสินความจริง ทั้งๆ พระพุทธะองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ความจริงไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการตรึก ในฐานะสาวก ทำได้เพียงรู้ตามเท่านั้น คิดตามก็ยังไม่ได้

ความจริงเมื่อรู้แล้วเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าไม่รู้ การเข้าถึงความจริงเป็นเรื่องยากที่สุด พวกพราหมณ์ทั้งหลายที่ไม่ต้องการให้คนนิพพาน พยายามหาทุกวิถีทางที่จะปิดทางสู่นิพพาน พระพุทธองค์เมื่อตรัสรู้และตัดสินใจที่จะเผยแพร่หนทางสู่นิพพาน ท่านทำเรื่องยากที่สุดให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด แต่การสอนธรรมในปัจุุบัน เอาเรื่องยากที่ถูกเฉลยให้เป็นเรื่องง่ายแลัวมาทำให้ยากขึ้นกว่าเดิมอีก

พวกนี้พยายามดึงชาวพุทธออกจากความรู้ในกฏธรรมชาติ ๒ กฏ อันเป็นความรู้พื้นฐานที่จะทำให้สามารถเข้าใจธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้ พากันสร้างภาพให้ไตรลักษณ์กับอิทัปปัจจยตาฯ เป็นของสูงที่ใครๆ ก็เข้าถึงไม่ได้ แล้วอธิบายคำว่า ปัญญา จนไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร ... เพราะ หากสามารถทำให้ชาวพุทธออกมาจากเรื่องเหล่านี้ได้ ก็คือ สามารถปิดประตูสู่นิพพานได้สำเร็จ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 10 มิ.ย. 2011, 19:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกพราหมณ์พยายามจะดึงคนให้ไปทำสมาธิ ให้ไปติดบ่วงตาข่ายดักพรหม หลังจากที่พยายามแยกสภาวะธรรมต่างๆ ออกจากกันด้วยภาษาที่ไพเราะน่าฟังน่าเชื่อถือ ก็จะสรุปว่า จะเอาอะไรมาก่อนมาหลังก็ได้ มรรคมีองค์ ๘ ไปทำทีละอย่าง แล้วค่อยเอามารวมกัน หรือ ปัญญา ศีล สมาธิ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็อันเดียวกัน จะเอาอะไรมาก่อนมาหลังก็ได้ ฯ ถ้าใครเชื่อตามนี้ แปลว่า หลุดออกไปจากครรลองคลองธรรม หรือ หลุดไปจากความจริงตามกฏธรรมชาติ ๒ กฏเรียบร้อยแล้ว

ความว่าง เป็นสินค้าขายดีของพวกพราหมณ์ พวกเขาจะบอกว่า ต้องทำจิตใจให้มีกำลัง สงบก่อน ถึงจะวิปัสสนาได้ ถ้าไม่รู้จักว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยของปัญญา อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยของความสงบและความไม่สงบ ก็จะคิดไปว่า ก็น่าจะเป็นไปตามนั้น

ถ้านึกถึงความว่างเป็นอารมณ์ มันก็คือ อากิญจัญญายตนะ เป็นการหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ในมโนทวาร มนสิการว่าความว่างไม่มีที่สิ้นสุด มันมีผัสสะในมโนวทาร มีมโนวิญญานเกิดมารับรู้อารมณ์ มีอุเบกขาเป็นเวทนา ยึดมั่นไว้เป็นอุทาน ยังเป็นตัณหา หรืออุปทานขันธ์ ๕ ยังอยู่ครบ ถ้ามนสิการต่อว่า สัญญานิดหนึ่งก็ไม่มี แปลว่าเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ พอตายไป ติดคุกในพรหมโลกนับปีไม่ได้ ...

พวกที่ถูกลากไปทางนี้ จะมีลักษณะ รักสงบ ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับผู้คน ชอบปลีกวิเวกอยู่คนเดียวตามลำพัง ฯ จะโดนลากออกจากธรรมวินัยทีละนิด หรือกลายเป็นฤาษีพราหมณ์โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เริ่มไม่เชื่อพระไตรปิฏก เชื่อสิ่งที่เห็นในสมาธิมากกว่า ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ชัดว่า ไอ้ที่เห็นในสมาธิมันคืออะไรแน่

ถ้าไม่โกหกตัวเอง พวกนี้สงบได้ทางใจทางเดียวเท่านั้น พอโดนกระทบทางอื่นเกิดเวทนาได้ทันที แล้วค่อบพยายามหลบผัสสะมาทางใจ ดีได้เพราะสังวรในศีล โดยกระทบแรงๆ เมื่อใหร่ตะบะแตกได้ ศีลก็เอาไม่อยู่ ถึงชอบหลบสังคมไปอยู่ที่สงบ เพราะถ้าถือศีลไว้ไม่ได้ สมาธิก็ไม่เกิด

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2011, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพวกพราหมณ์ จะให้ใช้ เหตุผล ไม่ได้แสดงตามเหตุปัจจัย เพราะเหตุผลของปุถุชนมีเหตุปัจจัยมาจากความเชื่อที่สะสมมาข้ามชาติข้ามภพ แต่เหตุปัจจัยแสดงตามกฏธรรมชาติ เหตุตรงผล ไม่มีอนุโลม ความจริงถึงเข้าถึงไม่ได้ด้วยการตรึก มีแต่ถูกกับผิดเท่านั้น ไม่มีคาดว่า หมายว่า หรือน่าจะเป็น

เมื่อพวกพราหมณ์รู้เรื่องนี้ดี ก็จะใช้ความพยายามหว่านล้อมให้คิดตาม และพยายามป้อนข้อมูลให้เกิดความโน้มเอียงไปทางพราหมณ์ ก่อนจะสรุปว่า ไม่ต้องไปคิดพิจารณาอะไร ดูตามมันเฉยๆ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เองในความว่าง ... ถ้าใครอยู่ในทางนี้อยู่ ก็รู้ตัวไว้ว่า ท่านกำลังฝึกตนเองให้เป็นฤาษีพราหมณ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การเรียนรู้ความจริง มันมีลักษณะพิเศษอยู่ประการหนึ่ง คือ คนที่กำลังพยายามเรียนรู้ คือผู้ที่ยังไม่รู้ความจริง และผู้ที่จะรู้ได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก คือ ผู้ที่รู้แล้วเท่านั้น

อดีต เรามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในโลก มีจ้ออะไรสงสัยสาวกก็เข้าไปถามได้ แต่ปัจจุบัน เหลือเพียงธรรมวินัยที่ท่านให้ตั้งไว้แทนพระศาสดา

ผู้ที่ยังไม่รู้ จะไม่สามารถรู้ได้ว่า ที่ได้ยินได้ฟังมานั้น ถูก หรือ ผิด มีแต่ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อเท่านั้น ถึงจะพบผู้ที่รู้จริงๆ ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า เขาผู้นั้นรู้จริงๆ หรือเปล่า แม้นภาษาเขียน ก็เป็นการสื่อสารทางเดียว ถ้าคนอ่านแปลความผิด หนังสือก็ลุกมาอธิบายก็ไม่ได้

ในขั้นต้น ท่านก็ให้นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปเทียบพระสูตรพระวินัยดูก่อน แต่ถ้ามีการเอาความเห็นไปประกอบกับการเทียบ ก็สรุปลงที่ความหลงเหมือนกัน

ถ้าเข้าใจเรื่องการศึกษาความจริงเช่นนี้แล้ว จะรู้ว่า การแสดงธรรม การเรียนธรรม นั้น ยากขนาดใหน ทำไมความจริงจึงค่อยๆ เลือนลางหายไป ทำไมศาสนาพุทธถึงอายุสั้นนัก พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ผู้ที่สามารถนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาสอนได้ ถือเป็นบุคคลที่หายากเป็นอันดับ ๒ รองลงมาจากการกำเนิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยเฉพาะอภิธรรม มันพาให้หลงได้ง่ายมาก โดยปกติ ถ้าศึกษาอภิธรรมแล้วมีแนวโน้มจะพาให้หลง ผมจะแนะนำให้เอาไว้ก่อน ... ความจริงในจิตใจยังมีไม่พอ ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม อย่าเพิ่งไปศึกษาธรรมที่มีความละเอียด ลึก ประมาณไม่ได้ ศึกษาไปจะพาหลง ให้เอาแค่เรื่องทถกข์กับการดับทุกข์ก่อน

ภาษาบาลี เป็นภาษาที่ถูกเลือกมาเพื่อสื่อพระธรรม เพราะภาษาบาลีหรือภาษาลาติน เป็นคำที่มีรากศัพท์ ใช้สื่อความหมายโดยตรง สามารถรักษาความหมายดั้งเดิมได้ดีที่สุด ไม่ใช่ภาษาที่ต้องตีความ คำแต่ละคำประกอบมาจาก ธาตุ หรือ คำที่มีความหมายเฉพาะ การตีความจริงๆ แล้วเป็นการเอาความเห็นไปตัดสินความจริง ผลที่ออกมาก็คือ จะทำให้ไกลจากความจริงมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ทางสว่างก็ไม่ได้ปิดสนิทพร้อมกับการจากไปของพระพุทธองค์ และการจากไปของพระเถระที่ตรัสรู้ตามพระองค์ พระพุทธองค์ได้ให้แนวทางในการสังเกตุสัปปบุรุษไว้ และบอกว่า คำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนของพระพุทธองค์ปฏิบัติแล้วอกุศลต้องดับได้โดยพลัน คือ ดับอกุศลได้ทันที่ที่ได้ทดลองปฏิบัติ ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสติ ตามดูเฉยๆ แล้วจิตมันจะรู้ของมันเอง ... นี่ก็อุบายของพวกพราหมณ์ สติเป็นเจตสิกธรรมที่เจริญไม่ได้ เกิดร่วมกับจิตทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ ทำหน้าที่ดึงเอาความจำมารับกระทบสัมผัส หรือ ที่เรียกว่า การระลึกรู้

พระพุทธองค์ตรัสสอนให้เจริญ สติปัญญา สติสัมปชัญญะ ในธรรมวินัยไม่มีให้ไปจดๆ จ้องๆ ตามดูเฉยๆ

คำว่า สติ + ปัญญา แปลว่า การระลึกถึงความจริงของโลกและชีวิต

คำว่า สติ + สัมปชัญญะ แปลว่า ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

ในการวิปัสสนาของพระอริยะ ท่านจะพยายามทำตลอดเวลาที่ไม่หลับ ตอนนั่งก็ยังเอาเท้าทับกัน ลุกนั่งจะได้รู้ และท่านก็ไม่ได้ระลึกรู้อริยาบทเฉยๆ รู้แล้วก็วิปัสสนาด้วย เหตุผลก็เพื่อเพิ่มความต่อเนื่องของการวิปัสสนา ไม่ให้หลงลืม แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ

เพื่อให้พระอริยะที่เป็นพระเสขะสามารถบรรลุอรหันต์ได้เร็ว พระพุทธองค์กำหนดแนวทางให้พระอริยะฝึกสติสัมปชัญญะ เมื่อทำจนเคยชิน ท่านถึงจะให้ทำวิปัสสนาตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับ การทำแบบนี้ จะทำให้พระเสขะบรรลุอรหันต์ได้ใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

อย่างไรก็ดี การวิปัสสนาเข้มแบบนี้ เป็นเรื่องของพระอริยะที่ทรงคุณอย่างน้อยโสดาปัตติผล ก่อนหน้าที่จะมาฝึกสติสัมปชัญญะ ท่านก็ให้วิปัสสนาหรือสำรวมอินทรีย์ก่อน ให้อสาวะกิเลส หรือ สังโยชน์เบื้องล่างสิ้นไป

เมื่อปุถุชน หรือแม้แต่สมมุติสงฆ์ เอาวิธีการแบนี้มาปฏิบัติ กลายเป็นการ จดๆ จ้องๆ ตามดูเฉยๆ ผลที่ออกมาก็คือ การทำให้จิตมีอารมณ์เดียว เป็นเพียงมิจฉาสมาธิเท่านั้น เมื่อทำไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จิตก็ละเอียดขึ้น นิ่งขึ้น และจะเริ่มเห็นโน่นเห็นนี่ในสมาธิ พาลเข้าใจว่าบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว ... บ้างเห็นว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมี ... ยังมีห้ามไม่ให้คิดพิจารณาอะไรอีกด้วย เพราะถ้าพิจารณาจะเป็นวิปัสสนา จิตก็จะไม่นิ่งเป็นสมาธิ

ไม่มีอะไรดับ หรือ ลด กิเลสตัณหาลงไปได้อย่างถาวร นอกจากปัญญา อันผู้ปฏิบัติจะได้รู้เองเห็นเอง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยมีเหตุที่ทำให้ พระสุตตะ พระอภิธรรม ต้องเลือนหายไปจากสังคมโลกมากว่า ๑๔๐๐ ปี ในระยะเวลาดังกล่าวนี้ มีแต่พระวินัยเท่านั้นที่ยังคงตั้งอยู่ในสังคมโลก พุทธจึงยังได้ชื่อว่า ยังอยู่ แต่คงเหลือแต่รูปแบบเท่านั้น สาระธรรม หรือ การปฏิบัติเพื่อกับการดับทุกข์ไม่มีเหลืออยู่เลย

พระพุทธองค์ทรงได้พยาการณ์ไว้ว่า หากมีมาตุคามมาบวชในศาสนานี้ ศาสนาจะดำรงค์อยู่ได้ไม่นาน พระนาคเสนก็ได้ทำนายไว้กับพระยามิลินว่า ศาสนาจะอยู่ได้เพียงพันปีเท่านั้น เพราะมีภิกษุณีปรากฏในศาสนานี้ จากนั้น เมื่อราวๆ พ.ศ. ๙๔๕ พุทธก็สิ้นไปจากอินเดีย เหลืออยู่ในลังกานิดหน่อย ซึ่งต่อมาก็ถูกพวกพราหมณ์ฮินดูตามเข้าไปทำลาย ยุคต่อมา ก็เลยเป็นยุครุ่งเรืองของพราหมณ์ ที่อาศัยพุทธเป็นฉากหน้า

ถ้าเปิดตาได้กว้างพอ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สังคมบ้านเราตอนนี้ เป็นสังคมพราหมณ์ ไม่ใช่สังคมพุทธ

กินอยู่แบบพราหมณ์ ทำบุญแบบพราหมณ์ ศึกษาเรียนรู้แบบพราหมณ์ รู้แบบพราหมณ์ ไม่รู้แบบพราหมณ์ กราบใหว้บูชาแบบพราหมณ์ บวชแบบพราหมณ์ ฯ หาผู้รู้ หรือ ชาวพุทธ แทบไม่เจอเลย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2011, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสำเร็จที่พวกพราหมณ์พาคนหลงไปทำสมาธิ ไม่ให้ทำวิปัสสนา และพยายามจะอธิบายสิ่งที่เห็นในสมาธิว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หมายถึงการบรรลุมรรคผลระดับใดระดับหนึ่ง

การบรรลุธรรมในธรรมวินัยนี้ พระอานนท์ได้อธิบายไว้ชัดเจนว่า เปรียบเหมือนบุรุษแขนขาด หมายถึง ความเห็นผิด ความพอใจ ไม่พอใจ ความหลง ฯ ถ้ามันหายไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หายไปอย่างไม่กลับมาอีก หมายถึง การบรรลุธรรม อุปมาเหมือนแขนที่อยู่มากับเราตลอดชีวิต ถ้ามันขาดไป ไม่งอกใหม่ได้มาอีก เราย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เหมือนความเห็นผิด ความพอใจ ไม่พอใจ ความหลง ฯ มันก็คือ อวัยวะทางนามธรรม ถ้ามันหายไป ทำไมเราจะไม่รู้ หายไปแบบตาลยอดด้วน รากขาด ถึงความไม่งอกไม่เงยอีกต่อไป

ผลที่วัดได้ คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส หรือ ใจคิดนึก ความพอใจไม่พอใจ หรือความชอบ ไม่ชอบ ฯ จะเกิดกับเรายากขึ้น และเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มันก็จะเกิดขึ้นนยากมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งหากได้วิปัสสนาตามไปแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้นมาเลย ดับไปได้เหมือนไฟดับอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เรียกว่า การดับทุกช์ด้วยปัญญา ... การดับทุกข์ที่วิเศษแบบนี้ ทำได้ทันทีเมื่อได้เรียนรู้ ไม่ต้องไปเตรียมตัวฝึกอะไรมาก่อนเลย แค่เข้าใจว่า ธรรมชาติมันไม่เที่ยงฯ เท่านั้น

เมื่อหลงไปในสมาธิ วิชามารขั้นสูงก็คือ การเข้ามาสอนในสมาธิ พวกที่ปฏิบัติโดยไม่ได้ศึกษาธรรมวินัยมาก่อน จะหลงเชื่อได้อย่างง่ายดาย เรื่องแบบนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัส อาจจะคิดไปว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ในทางความเป็นจริง สิ่งที่เราเห็นในมโนทวาร หรือ ในจินตนาการ สามารถเกิดมากได้จากผู้ที่มีฤทธิ์ เรียกภาษาธรรมว่า นานาอิทฺธิพเลน และ เทวโตปสํหารวเสน ซึ่งอาจจะเป็นพวกฌานลาภีบุคคล เปรตภูติผีเทวดาก็ได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ทั้งหลาย ดับหมดแล้ว จิตก็ไม่มีเหลือ ไม่กลับมาอีกแล้ว สอนเราไม่ได้แล้ว ถ้ายังกลับมาสอนได้ ศาสนาพุทธอายุไม่สั้นแค่ ๕๐๐๐ ปีหรอก คนทำสมาธิมีมานานพอๆ กับอายุของจักรวาลนั่นแหละ และยังจะมีการทำสมาธิต่อไปตราบเท่าที่ยังมีมนุษย์

พวกที่ถูกสอนในสมาธิ จะถูกลากออกมาจากความจริงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เนื่องจากไม่เคยมีความจริงหรือไม่รู้มาก่อน ก็เข้าใจไปว่า สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในสมาธิคือความจริง และจะนำมาสอนต่อด้วยความมั่นใจ หากได้กลับเอาสิ่งที่ได้รู้มาเทียบธรรมวินัย จะเห็นชัดเจนว่า มันผิดกันหน้ามือเป็นหลังมือ ... แต่ส่วนมากจะหลงคารมพวกพราหมณ์ และกลับมาพยายามบอกอ้อมๆ ว่า พระไตรปิฏกมันเขียนมาผิด เพราะถ้าบอกไปตรงๆ จะถูกต่อต้าน หาพวกไม่ได้

สิ่งที่พวกพราหมณ์ทำไม่ได้ ก็คือ การละ โลภะ โทสะ โมหะ ที่เกิดร่วมกับผัสสะ หรือ เมื่อเกิดร่วมกันกับการรับรู้ปกติของคนเรา เพราะสมาธิดับได้(ชั่วคราว)ทางใจทางเดียวเท่านั้น ในคำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องดับเวทนา หรือ ดับความพอใจไม่พอใจและความหลง ได้ทันทีถ้าได้นำไปปฏิบัติหลังจากที่ได้ฟังวิธีการดับทุกข์จบ และต้องดับได้ทั้ง ๖ ทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2011, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การตายจากคนแล้วกลับมาเกิดเป็นคนนั้นยากที่สุด ต้องบุญสูงสุด หรือ ได้มรรคผลนิพพาน ถึงจะกลับมาเกิดเป็นคนได้ คนที่ตายจากคนไปเกิดเป็นเทพเทวดายังง่ายกว่าการตายจากคนแล้วกลับมาเกิดเป็นคนอีก เทวดาเมื่อตายยังดวยพรให้ไปเกิดในสุคติเมืองคน

การเกิดเป็นคนนั้นจึงถือเป็นเรื่องยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นคนแล้ว โอกาสที่จะได้มาพบพระพุทธศาสนานั้นยากยิ่งกว่า เพราะในโลกใบหนึ่ง อายุไม่รู้กี่ล้านๆ ปี จะมีพุทธศาสนา หรือ จะปรากฏคำสอนเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ในสังคมโลกเพียงชั่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ มีอายุอย่างมากก็ ๕๐๐๐ ปี นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุของโลก

คนที่ได้เกิดมาพบพุทธศาสนา ต้องได้ทำบุญมามากพอจริงๆ ดังนั้น ผู้ที่ได้เกิดมาพบพุทธศาสนาในชาตินี้ ท่านไม่ต้องไปคิดว่า ท่านทำบุญมาไม่พอ ธรรมชาตินั้นเหตุตรงผล ถ้าบุญท่านไม่ถึงจริงๆ ท่านไม่ได้เกิดมาในโลก มาเกิดเป็นคนในช่วงระยะเวลานี้อย่างแน่นอน การที่บุญเรามาก แสดงว่า เราทำเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ชาตินี้ เราเกิดมาเพื่อทำให้ตนเอง ทำให้ถึงมรรคผลนิพพาน

เมื่อได้เกิดมาเป็นคน ได้พบพุทธศาสนาแล้ว คือ บุญบารมีท่านพร้อมแล้ว เหลืออย่างเดียว คือ ปัญญาบารมี

ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นกับคนได้ง่ายๆ ถ้าเกิดได้เอง คือ การฝึกตนเองจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และในโลกใบหนึ่งๆ จะปรากฏพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ ก็เป็นไปไม่ได้ พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่มีปรากฏในสมัยที่พุทธศาสนาตั้งอยู่ในโลก จะปรากฏในช่วงพุทธันดร เพราะฉะนั้น เราที่เกิดกันมาในชาตินี้ ถ้าจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ต้องอยู่ในฐานะสาวก หรือ ผู้รู้ตามเท่านั้น

ปัญญา เกิดได้จาก การได้พบสัปปบุรุษ ได้ฟังธรรม หรือ ได้ฟังความจริงของโลกและชีวิต ได้ฟังความจริงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด รู้ว่าจริงๆ แล้วเราคือใคร มาจากใหน แล้วกำลังจะไปใหน สุดท้ายคือ รู้เรื่องทุกช์กับการดับทุกข์ รู้ว่าที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เกิดทุกข์ตามธรรมชาติ คือ การเกิดแก่เจ็บตาย ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองได้ ก็ดับชาติดับภพได้ ... รู้ว่า ทุกข์คืออะไร เกิดที่ใหน เกิดอย่างไร ดับอย่างไร ดับที่ใหน แล้วจะเอาอะไรไปดับ

นอกจาก ๒ ทางนี้แล้ว ไม่มีทางอื่นใดเลยที่คนจะรู้ความจริงที่ประเสริญเช่นนี้ได้ ในฐานะที่เราเกิดมาตอนนี้ ถ้าประสงค์มรรคผลนิพพาน เราต้องเป็นสาวก ทางเดียวเท่านั้น

การบรรลุธรรม มีเป็นขั้นเป็นตอน ข้ามขั้นก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเราได้ฟังธรรม จนเข้าใจในธรรม หรือ ได้รู้ความจริง ก็ถือได้ว่า ท่านได้บรรลุธรรม เป็นสัทรานุสารีบุคคล หรือ ธัมมานุสารีบุคคล เป็นอริยบุคคลขั้นต้น ได้เป็นผู้รู้แล้ว หรอืเป็นชาวพุทธ เพราะเกิดมีดวงตาเห็นธรรม นอกจากนี้แล้ว ยังไม่ถือว่าเป็นพุทธ ... เพราะฉะนั้น ในสังคมโลกปัจจุบัน พุทธจริงๆ มีอยู่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง

เมื่อรู้ความจริง รู้วิธีการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ถ้านำมาปฏิบัติเป็นประจำในชีวิตประจำวัน ก็คือ ท่านได้ขยับฐานะทางธรรมของตัวเองมาเป็น โสดาปัตติมรรค หรือ ผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งโสดาปัตติผล การเปลี่ยนจาก สัทธรานุสารีหรือธัมมานุสารีมาเป็นโาดาปัตติมรรคนั้น ท่านตั้งตัวท่านเอง หรือ ธรรมเป็นผู้ตั้ง ไม่ได้มีใครมาแต่งตั้งท่าน

เมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ด้วยความเพียรพยายามและความไม่ประมาท ท่านก็จะค่อยๆ ขยับจาก โสดาปัตติมรรคเป็นโสดาปัตติผล จากโสดาปัตติผลเป็นสิกทาคามีมรรค ฯ ขึ้นไปเป็นลำดับ

ในแต่ละขั้น ความคิดเห็นที่ผิด กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด จะค่อยๆ สิ้นไปเป็นลำดับ จนตัวท่านรู้สึกได้ คนรอบๆ ข้างรู้สึกได้

เพราะฉะนั้น ก้าวแรกของมรรคผลนิพพาน คือ โสดาปัตติมรรค ถ้าท่านพลาดจากโสดาปัตติมรรคในชาตินี้ ท่านจะต้องพบกับความทุกข์อีกชั่วกาลนาน ... เสียชาติเกิดชาติเดียวตอนนี้ ไม่รู้อีกกี่ชาติจะได้กลับมาเกิดเป็นคนและได้มาพบศาสนาพุทธอีก

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2011, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


โพธิปักธรรมทั้ง ๓๗ ประการ คือ ธรรมชาติที่เป็นฝ่ายให้บรรลุมรรผลนิพพาน ประกอบด้วย มรรค สติปัฏฐาน สัมมปทาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ และโพชฌงค์ ธรรมชาติทั้งหมดนี้ มีเหตุปัจจัยให้เกิดเหมือนธรรมชาติอื่นๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาได้ลอยๆ

อริยมรรค แปลว่า ทางเดินเพื่อให้บรรลุดเป็นอริยบุคคล เมื่อใครได้เดินตามทางนี้แล้ว จะเป็นการฝึกตนให้เห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ไม่หลงไปกับสมมุตนิยาม แปลว่า ถ้าฝึกจนเห็นความจริงได้เป็นปกติ หมายถึงเกิดธรรมที่เรียกว่าสติปัฏฐานขึ้นกับผู้นั้นแล้ว สำเร็จเป็นอริยบุลลแล้ว หรืออธิบายได้ว่า มรรค ๘ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐาน ๔

สภาวะที่เรียกว่า สติปัฏฐาน คือ ปกติเมื่อระลึกถึงกาย ก็เห็นมันตามความเป็นจริงว่า กายนี้ เป็นเพียงธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วแตกสลาย ฯ ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา หรือสรุปเป็นคำง่ายๆ ว่า กายนี้ไม่เที่ยงฯ

เมื่อระลึกลึกเวทนา ก็เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยงฯ นึกถึงจิตก็เห็นตามความเป็นจริงว่าจิตไม่เที่ยงฯ เห็นธรรมอื่นใด ก็เห็นตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยงฯ แบบนี้ เรียกว่า เกิดสติปัฏฐาน

ถ้าใครรู้เห็นแบบนี้โดยปกติในชีวิตประจำวัน เป็นนิสัย หรือสั่งมาจากจิตใต้สำนึก แปลว่า มีปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิมั่นคงในระดับหนึ่ง

สติปัฏฐานไม่ได้เกิดมาจากการเจริญสติปัฏฐาน แต่เกิดมาจากการเจริญมรรค หรือต้องไปทำที่เหตุ ต่อเมื่อเกิดสติปัฏฐานแล้ว จึงจะสามารถเจริญสติปัฏฐานต่อได้ การเจริญสติปัฏฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ทำให้บรรลุดอรหันต์หรืออนาคามี เป็นทางเดียวที่จะทำให้หมดสิ้นความโศกเศร้าอาลัยอาวรได้ภายในระยะเวลา ๗ สัน ๗ เดือน ๗ ปี ไม่ได้ตรัสว่าจะทำให้ปุถุชนบรรลุเป็นโสดาบันบุคคล

เมื่อปุถุชนไม่แตกฉานในธรรมวินัย เอาหลักสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระอริยะไปปฏิบัติ ผลที่ออกมาผิด ไม่สามารถพาไปถึงการดับทุกข์ได้ ได้เพียงหลบทุกข์ หรือได้เพียงความสงบชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อสติปัฏฐานเกิดขึ้น ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมปทาน หรือ การตรวจสอบตัวเองว่า ความจริง ปัญญา หรือวิปัสสนา อยู่กับตัวเองมั่นคงดีอยู่หรือเปล่า และทำให้เกิดการวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน

สัมมปทาน ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด อทิธิบาท หรือเกิดความแน่วแน่ที่จะวิปัสสนาต่อให้บรรลุอรหันต์ เมื่ออิทธิบาทส่งผล ทำให้อินทรีย์ทั้ง ๕ แข็งแรง ทำงานเป็นใหญ่ในหน้าที่ เกิดเป็นกำลังทั้ง ๕ อันจะส่งผลให้เกิดธรรมเพื่อความหลุดพ้น คือ โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ขึ้นมา

ธรรมทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่้อเมื่อ เราได้ฟังธรรมจนเกิดปัญญา เกิดสัมมาทิฐิ แล้วมาเจริญปัญญา หรือ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้ปัญญาแก่กล้าขึ้น ความเห็นมั่นคงขึ้น มรรค ๘ ถึงจะบริบูรณ์ เมื่อมรรค ๘ บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ถึงจะบริบูรณ์ตามมา สัมมปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ก็ถึงจะเจริญบริบูรณ์ตามกันมาเป็นลำดับ

ในขณะโสดาปัตติมรรค เมื่อได้พิจารณาธรรมใดๆ ว่า ไม่เที่ยงฯ องค์ธรรมทั้งหมดในโพธิปัฯ จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันครบทุกตัว เพราะธรรมหนึ่งเป็นเหตุปัจจัยของอีกธรรมหนึ่ง เมื่อสัมมาทิฐิเกิด องค์ธรรมทั้งหมดอีก ๓๖ ตัวจึงเกิดตาม แต่เมื่อสัมมาทิฐิดับไปองค์ธรรมในโพธิปักฯ ก็หายไปด้วย หรือเรียกง่ายๆ ว่า มันยังไม่มั่นคงบริบูรณ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2011, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ไสิ่งเดียว ที่จะนำมาพิสูจณ์คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ คือ เมื่อทดลองปฏิบัติแล้ว ดับกิเลสตัณหา หรือ ดับความพอใจไม่พอใจ ได้ทันที เมื่อ ตาเห็นรูป หรือเมื่อหูได้ยินเสียง หรือเมื่อจมูกได้กลิ่น หรือเมื่อลิ้นรัส หรือเมื่อกายสัมผัส และหรือเมื่อใจคิดนึก ... ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้ศึกษาตามนี้เถิด ท่านพึงจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง :b8:

ชีวิตนี้น้อยนัก ร้อยปีใช่ว่าจะยาวนานอะไรเลย ....

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 21 มิ.ย. 2011, 10:15, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การเดินทางเพื่อความหลุดพ้น เราต้องรบกับมาร มารที่สำคัญ มีอยู่ ๓ ก็คือ

ขันธมาร มารคือตัวเราเอง กับมารคือคนรอบๆ ข้าง ตัวเรามีสังขารปรุงแต่ง และเมื่อได้รับการกระบจากคนรอบๆ ตัว จะทำให้เกิดเป็น กิเลสมาร หรือ ทำให้เกิดความพอใจไม่พอใจ เป็นโอกาสให้เทวปุตมารเข้าแทรกได้โดยง่าย

เทวปุตมาร ไม่ต้องการให้สัตว์ทั้งหลายพ้นไปจากโลก อยากจะให้อยู่ด้วยกันนานๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ทำหน้าที่เต็มกำลัง พยายามทุกวิถีทางที่จะขวางไม่ให้คนได้วิปัสสนา สำหรับนักแสวงหา เครื่องมือสำคัญ หรือกับดักของมาร ก็คือ ความสงบของจิต

จิตจะสงบนิ่งอย่างมั่นคง ก็ต่อเมื่อ จิตหน่วงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งในมโนทวารเท่านั้น การที่จิตจะสามารถยึดอารมณ์ในมโนวิญญานได้อย่างมั่นคง ต้องอาศัยรูปสัญญา หรืออรูปสัญญา เช่นการนึกถึงอะไรสักอย่างในความคิด ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม และห้ามคิดอะไรนอกจาก เพ่งดูมันเฉยๆ

อุบายของพวกนี้ จะพยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อว่า ต้องทำให้จิตนิ่งก่อน จึงจะสามารถวิปัสสนาได้ ตามความเป็นจริงแล้ว คนที่ติดในความสงบ จะออกมาวิปัสสนานั้น ยากมาก เพราะมันจะกลายเป็นความเคยชินที่ละเอียด เอาตัวออกมาจากความสงบนั้นยากยิ่งกว่าการเลิกยาเสพติดเสียอีก

วิปัสสนาเป็นเรื่องของความเห็น ปัญญาเป็นเจตสิกธรรม การวิปัสสนาจึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับจิต และสามารถปฏิบัติได้ทันทีเมื่อเกิดความเห็นตรง เพราะได้ฟังความจริงฯ

การพยายามที่จะให้คนออกจากวิปัสสนา พวกนี้จะปิดทางทุกทางที่จะทำให้คนได้มีโอกาสวิปัสสนา หรือได้คิดตามความเป็นจริง เช่น บอกให้ทำให้จิตว่าง ซึ่งความจริง คือ การทำให้จิตไปหน่วงความว่างเป็นอารมณ์ เป็นสมาธิ หรือการพยายามจะไม่จำอะไร ละสัญญาทั้งหมด สัญญานิดหนึ่งก็ไม่มี ก็เป็นเพียงสมาธิ และจะบอกว่า อย่าคิดตาม ให้ดูเฉยๆ อย่าไปสนใจเรื่องภายนอก ฯ เพราะการกระทำเหล่านี้ เป็นการสนใจสิ่งที่อยู่ในความคิด หรือในมโนวิญญาน จะทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย ซึ่งสมาธิเหล่านี้ เอามาใช้ในการวิปัสสนาไม่ได้เลย มีผลออกมาเป็นความสงบชั่วคราวของจิตเท่านั้น

นอกจากนั้น ก็จะให้ไปทำสิ่งที่จะเดื้อให้เกิดสมาธิ เช่นการถือศีล สวดมนต์ จดๆ จ้องๆ ติดตามอริยบท ฯ ทั้งหมดที่เขาทำ เพื่อจะให้ผู้คนตกลงไปในกับดัก การที่ผู้ที่ได้ตกลงไปในกับดักของความสงบแบบนี้แล้ว จะช่วยตัวเองออกมาจากกับดักนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้โดยง่ายเลย

ท่านทั้งหลายที่ต้องการแสวงหาความหลุดพ้นจริงๆ ขอให้ท่านพิจารณาว่า ผลที่ได้จากการปฏิบัติของท่าน ทำให้กิเลสตัณหาบรรเทาไป ลดลงไป เป็นลำดับถึงความสิ้นไป ไม่งอกไม่เงยไม่กลับมาอีก ไม่ถึงความเจริญงอกงามขึ้นมาอีก ไปแล้วไปลับไม่กลับมา ... จริงหรือไม่?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลแตกต่างกันโดยธรรม ไม่ได้เป็นสมมุติ แต่การบัญญัติบุคคลขึ้นมาเพื่อง่ายต่อการศึกษา บุคคลแบ่งง่ายๆ ออกได้เป็น ๔ คือ ปุถุชน เสขบุคคล อเสขบุคคล และพระพุทธเจ้า

การศึกษาความแตกต่างภูมนัยบุคคล สำคัญมาต่อการศึกษาและการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เข้าใจ จะเอาคำสอนของอริยบุคลมาให้ปุถุชนปฏิบัติ เช่น พระสมมุติสงฆ์ ก็ยังถือว่าเป็นปุถุขน ถ้าท่านอ่านพระไตรปิฏก เห็นขึ้นต้นว่า ดูกรภิกษุ ท่านก็เอามาปฏิบัติเลย ผลที่ออกมาก็ผิด

ปุถุชน ก็คือ ผู้ที่ยังไม่ได้ฟังความจริงของโลกและชีวิต ไม่รู้จักกฏธรรมชาติ ๒ กฏ ไม่รู้จักความจริงเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ หรือ ยังไม่มีปัญญา ฐานความคิดอ่านมาจากความเชื่อ อันมีอิทธพลมาจากความพอใจไม่พอใจจนหลายเป็นความหลง เป็นความเคยชินที่ละเอียดต้านทานได้ยาก ชีวิตมีโลภะ โทสะ โมหะ ลากไป กำลังเดินอยู่ในทางที่ผิด

เสขบุคคล คือ ผู้ที่ได้รับรู้ความจริงของโลกและชีวิตแล้ว รู้ทุกข์กับวิธีการดับทุกข์แล้ว หรือ มีปัญญาได้มาจากการฟังแล้ว กำลังฝึกตนเองเพื่อหลุดพ้นอยู่ หรือกำลังเดินอยู่ในทางที่ถูก

อเสขบุคคล คือผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ศึกษาเพื่อการอยู่สุข เพื่อการสั่งสอนแสดงธรรม

พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่บำเพ็ญบารมีมากว่า ๔ อสงไขยแสนกัป จนสามารถรู้ความจริงของโลกและชีวิตได้ด้วยตนเอง

ปุถุชนก็ยังมีพวกคนธรรมดา นักบวชที่มีฤทธิ์หรือผู้วิเศษทางโลก แม้เสขบุคคล ก็ยังแบ่งเป็นผู้ที่บวช กับยังไม่ได้บวช แบ่งย่อยลงไปอีกถึง ๗ ระดับ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคถึงอรหันตมรรค

การเรียนการศึกษาการปฏิบัติของบุคคลแตกต่างกัน เพราะความต่างของสภาวะธรรมของบุคคลที่ต่างกัน ถ้าศึกษาไม่รู้ว่า คำสอนใดสำหรับบุคคละดับใหนแล้ว เอามาปนกัน จะไม่มีทางบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรม เป็นไปตามเหตุปัจจัย จะลัดขั้นตอนก็ไม่ได้ เช่น ความเห็นผิดต้องดับไปก่อน ถึงจะไปดับความโลภได้ ความโลภดับไปถึงจะไปดับความโกรธได้ ฯ ความเห็นผิดจะดับไปได้ ต้องมีปัญญาก่อน ฯ

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ถ้าผิดบุคคลก็คือผิดธรรมทันที ไม่ใช่การปฏิบัคิธรรมที่สมควรแก่ธรรม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สรุปลงที่เรื่องของทุกข์กับการดับทุกข์ เราต้องเรียนรู้ก่อนว่า อะไรคือทุกข์ ดับไปทำไม แล้วจะเอาอะไรไปดับ

พระพุทธองค์ตรสสอนว่า คนเราเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด เป็น ทุขอริยสัจ ที่เราต้องการดับทุกข์ เพราะไม่ต้องการที่จะกลับมาเกิดอีกต่อไป สิ่งที่ทำให้เราต้องมาเกิดอีก ก็คือ ความทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองได้ ก็คือ ดับชาติดับภพได้ ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป

ที่มันเป็นทุกข์ ก็เพราะเรารู้ไม่เท่าทันความพอใจไม่พอใจจนหลง เกิดเมื่อ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรัสรส กายสัมผัส ใจคิดนึก นอกจาก ๖ ทางนี้แล้ว ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นกับเราได้ ถ้าเรารู้จึกมันตามความเป็นจริง ความหลงก็ไม่เกิด ความพอใจไม่พอใจก็ดับลงไปได้ หรือ ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญา

ความจริงของทุกข์ ก็คือ มันเป็นธรรมชาติที่ขึ้นอยู่กับกฏธรรมชาติ ๒ กฏ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วแตกสลาย ฯ สรุปได้เป็นคำๆ เดียวว่า ไม่เที่ยงฯ เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง คือ ความจริงของทุกข์ ถ้าเรารู้เช่นนี้ ก็คือ เรามีความรู้ที่เอามาดับทุกข์ได้

ทุกข์เกิดที่ใหนเราก็ดับมันที่นั่น เมื่อทุกข์เกิดทางตา เราก็ดับทางตา เกิดทางหูเราก็ดับทางหู เกิดทางจมูกเราก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นเราก็ดับทางลิ้น เกิดทางกายเราก็ดับทางกาย เกิดทางใจเราก็ดับทางใจ

วิธีการก็คือ เมื่อตาเห็นรูป ถ้าเรามีความเห็นกับรูปที่เห็นว่า รูปมันไม่เที่ยง ก็หมายถึง เรารู้ทันรูปปัจจุบัน เห็นจริงตามจริง คือเห็นว่ามันไม่เที่ยงนั่นแหละ เท่านั้น ความพอใจไม่พอใจในรูป ในผัสสะ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้

เช่นเดียวกับอีก ๕ ทางที่เหลือ ถ้าเราได้กำหนดพิจารณาอย่างนี้ตลอดแล้ว ทุกข์ทั้งหลายก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเราได้เลย ถ้าใครได้ปฏิบัติแบบนี้เป็นประจำ ก็คือ กำลังเดินอยู่ในหนทางที่จะพาออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด

ในขณะที่กำลงฝึกปฏิบัติอยู่ เราไม่สามารถพิจารณา หรือ ไม่สามารถวิปัสสนาได้ตลอดเวลา เพราะความเคยชินเก่าที่หลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสความคิด มันติดตัวเรามาเป็นระยะเวลานาน เราต้องสร้างความเคยชินใหม่ หมั่นฝึกปฏิบัติวิปัสสนาเป็นประจำอย่างน้อยๆ วันละ ๑ ชั่วโมงตอนเช้าๆ จะทำให้เราระลึกถึงวิปัสสนาได้ตลอดทั้งวัน

ถ้าทำได้จนเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ่วมกับการรู้จักหลีกเลี่ยงภัยเวรทั้ง ๕ ประการโดยเฉพาะการไม่กินเหล้า ภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ปัญญาจะเกิดขึ้นมั่นคง เมื่อปัญญามั่นคง ชีวิตท่านก็ถือว่าเที่ยงแล้ว มีคติเดียว คือ ... นิพพาน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงอยู่เหนือเหตุผล ธรรมะคือความจริง ความจริงมาจากเหตุปัจจัย จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะมาค้านความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้

การศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาเหตุปัจจัย ไม่ใช่คิดโดยใช้เหตุผล หรือ ความจริงมีไว้เพื่อเรียนรู้เท่านั้น มีไว้ให้รู้ตาม ไม่ได้มีไว้ให้คิดตาม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron