วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 05:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2011, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิ แปลว่า ความสงบ, ความไม่ฟุ้งซ่าน, การจดจ่อ หรือ ความตั้งใจมั่น

การกระทำของเราทุกๆ อย่างจะมีสมาธิมาเกี่ยวอยู่ด้วยเสมอ ขาดไม่ได้ ถ้าไม่มีสมาธิเราจะทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่การเขียนหนังสือสักตัว แต่ถ้าสมาธิลดลง แปลว่า เราไม่สามารถจดจ่อตั้งมั่นกับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าได้ เกิดเป็นสภาวะที่ตรงกันข้ามกับสมาธิ คือ ความฟุ้งซ่าน

การที่เราจะกลับมาจดจ่ออยู่ที่กิจกรรมต่อหน้า เราต้องหาสาเหตุให้พบว่า อะไรที่ดึงความสนใจของเราออกไปได้ และพยายามดับมันลงไปให้ได้ เรียกว่า การดับที่เหตุ

ความฟุ้งซ่าน หรือถูกดึงความสนใจไปเรื่องอื่น สามารถเกิดกับเราได้ จะต้องมีการกระตุ้น ไม่ได้เกิดชึ้นมาลอยๆ จุดเริ่มต้นของความฟุ้งซ่าน มีอยู่ ๖ ทางเท่านั้นในตัวเรา คือ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นอกจากนั้น ไม่มีอะไรมาทำให้เราฟุ้งซ่านได้

เมื่อเรากำลังทำงานชิ้นหนึ่งอยู่ แล้วอยู่ดีๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้นมา ถ้าเราไม่รู้เท่าทันเสียง เราจะผละออกจากงาน แล้วไปสนใจเสียงทันที ถ้ามีการคิดปรุงแต่งต่อไปว่าใครทำเสียงดังรบกวนฉัน เกิดความรู้สึกไม่พอใจ ... ตอนนี้จริงๆ คุณลืมเรื่องงานคุณไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

เช่นเดียวกับการได้รับกระทบสัมผัสทางอื่น ถ้าคุณเผลอไปเกี่ยวกับมัน แปลว่า คุณโดนมันเล่นงานเรียบร้อยแล้ว ... นั่งเรียนอยู่ดีๆ หน้าแฟนลอยมา ใจก็ลอยไป ครูสอนอะไรไป จะได้รู้เรื่องอะไรกับเขามั่งละ

แต่ด้วยความเคยชิน ปกติ คนเราจะตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสโดยทันที กระบวนการจะเกิดเร็วมาก ห้ามไม่ทัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความฟุ้งซ่านที่เหตุ ต้องอาศัยการฝึก ฝืนนิสัยกันหน่อย ภาษาบ้านๆ เรียกว่า การดัดสันดานตัวเองด้วยตัวเอง

การที่เราจะดับ หรือ หยุด ไม่ให้เราคิดปรุงแต่ไปกับสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัส อันเป็นการฝืนธรรมชาติของเราเป็นอย่างยิ่งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรเลย สิ่งแรก ก็คือ เราต้องรู้จัก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความคิด ตามความเป็นจริงที่มันเป็นก่อน

รูป คือ สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา เสียงคือสิ่งที่เราได้ยินด้วยหู กลิ่นคือสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยจมูก รสคือสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงใหวเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้จากกาย ความคิดเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยใจ ปกติ สิ่งเหล่านี้ ร่างกายเรารับรู้เป็นข้อมูลจากภายนอกเฉยๆ แต่ที่มันลากเราไปได้ เพราะเราไปคิดปรุงแต่งต่อ เกิดเป็นความพอใจไม่พอใจ จนหลงไปกับสิ่งเหล่านั้น

ความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงธรรมชาติ ที่มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เกิดมาจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วแตกหายไป ฯ เท่านั้นเอง (หรือท่านว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอมตะ ไม่แตกไม่ดับ) ที่เหลือจากนี้ เราปรุงแต่งมันขึ้นมาเองล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด ที่มีมีอยู่ตามธรรมชาติดับไปตามธรรมชาติเลย

ถ้าเราสร้างมันขึ้นมาเอง เราก็ต้องดับมันลงไปได้เอง ... แล้วจะเอาอะไรไปดับ?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้เห็นทางดับความฟุ้งซ่าน ท่านสอนว่า เพราะความไม่รู้ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสความคิดตามความเป็นจริงนั่นแหละ ทำให้เราหลงไปปรุงแต่ง ถ้าเราเห็นว่า มันเป็นเพียง natural object หรือ เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขขัง อนันนตา หรือ เป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อดับ ความรู้หรือความคิดเห็นเช่นนี้ จะหยุดไม่ให้เราปรุงได้ได้อย่างวิเศษ อย่างไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้

วิธีการก็คือ เมื่อตาเห็นรูป ถ้าเราได้ลงความเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปที่ตาเราเห็นขณะนี้ มัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือมองง่ายๆ ว่า รูปมันไม่เที่ยงฯ เพียงเท่านี้เอง การปรุงแต่งในรูปหยุดชงักทันที เรากลับมาจดจ่อกับงานของเราได้ทันที

เช่นเดียวกับการรับรู้ของเราทางอื่น ถ้าเราได้พิจารณากระทบสัมผัสตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เสียงไม่เที่ยง กลิ่นไม่เที่ยง รสไม่เที่ยง สัมผัสไม่เที่ยง ความคิดที่เกิดขึ้นก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา คือ ไม่ควรยึดถือ ตอบสนองทันทีที่สิ่งเหล่านี้เข้ามากระทบเรา จะทำให้เราหยุดกระบวนการปุงแต่งต่อได้ทันที

การปฏิบัติเช่นนี้ เรียกเป็นภาษาธรรมว่า การกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา ที่ชาวพุทธมีไว้เอาเป็นเครื่องมือดับการคิดปรุงแต่ง หรือการดับอุปธิ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร