วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 03:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

งามอย่างแท้จริง


คนเราจะสวยสดงดงาม แต่เพียงสรีระร่างกายและเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ
ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย
คำกล่าวที่ว่า “ ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย
ถ้าไม่เชื่อลองหลับตานึกภาพของไก่ที่ถูกถอนขนวิ่งโทง ๆ
นอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังดูน่าเกลียดพิลึก หรือดูแล้วกลายเป็นเรื่องน่าขบขันหรือน่าสังเวช
ทั้งนี้เพราะไก่นั้นมีขนเป็น อาภรณ์ปกปิดกายและป้องกันอากาศร้อนและหนาว

มนุษย์เราก็เหมือนไก่ คือ ต้องมีเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับกายเพื่อความงดงาม
และปกปิดอวัยวะที่ไม่ควรเปิดเผย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความละอาย และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นำมาตกต่างร่างกายนั้น
ยังเป็นเครื่องป้องกันความร้อนและหนาวได้อย่างดี ทำให้คนเราประกอบกิจการให้ลุล่วงไปได้
โดยไม่ต้องกังวลกับอากาศร้อนหนาว และการสัมผัสยุง มด แมลง ทั้งหลายที่จะมารบกวน

ดังนั้น มนุษย์เราจึงแสวงหาเครื่องประดับตกแต่งกันอย่างสุดความสามารถ
มีเสื้อผ้าแล้วยังไม่พอ ต้องมีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาเสริม เช่น สร้อยคอ ต่างหู เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีเครื่องบำรุงผิวให้ดูงดงามตามยุคตามสมัย
แต่งแต้มสีสันกันจนกลายเป็น แฟชั่นยอดนิยม

ที่กล่าวมานี้เป็นการตกแต่งในทางร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีการตกต่างทางจิตใจ
และเครื่องประดับตกแต่งจิตใจนั้น ก็ไม่มีบริษัทห้างร้านใดผลิตออกมาขาย
เพราะฉะนั้นก้อยากจะบอกว่า คนเราจะสวยสดงดงามแต่เพียงสรีระร่างกาย
และเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย
การที่จิตใจจะงดงามนั้น ท่านกล่าวถึงธรรมะ ๒ ประการ
ที่จะทำให้คนเรางดงามอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ
๑. ขันติ – ความอดทน
๒. โสรัจจะ – ความสงบเสงี่ยม


ขันติ เป็นธรรมที่มีกล่าวไว้ในที่หลายแห่ง ในโอวาทปาติโมกข์ ในมงคลสูตร
แม้ในเรื่องพระเจ้าสิบชาติ หรือในบารมี ๑๐ ก็มีกล่าวเอาไว้
เพราะถือว่า เป็นธรรมสำคัญที่จะขาดไม่ได้
ใครจะปฏิบัติธรรมสูงเพียงใดก็ตามต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐาน
และในชีวิตประจำวันยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะคนเราต้องสมาคม สังคมกับคนรอบข้าง ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ความอดทนจำแนกออกเป็น ๓ อย่างคือ
๑. อดทนต่อความยากลำบากในการทำงานหรือประกอบกิจการ ในการดำเนินชีวิต

ที่ต้องอดทนต่อสู้กับดินฟ้าอากาศที่ร้อนและหนาว เป็นต้น
จนนำพากิจการงานนั้น ๆ ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปด้วยดี

๒. อดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย
ทนต่อทุกขเวทนาไม่โอดโอยร้องครวญครางให้เป็นที่น่ารำคาญคนอื่น
เช่นพยาบาลและหมอ หรือคนใกล้ชิด ที่ให้การดูแลรักษา
ทั้งไม่บ่นจู้จี้จุกจิกจนกลายเป็นคนเอาใจยาก
ก็จะเป็นความงามที่ไม่ต้องอาศัยอาภรณ์ใด ๆ มาประดับ เป็นความงดงามของจิตอย่างแท้จริง

ในทางตรงข้าม ถ้าคนเราประดับตกต่างร่างกายสวยงามด้วยอาภรณ์อันมีค่า
แต่เวลาป่วยไข้แล้วไม่อดทนต่อทุกขเวทนา
ส่งเสียงโอดครวญให้เกิดความรำคาญแก่ผู้รักษาพยาบาล หรือผู้ใกล้ชิด
เครื่องประดับตกต่างเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำให้คนคนนั้นน่ารักยินดีได้เลย
เพราะความงดงามทางจิต คือ ความอดทนนั้นไม่มีอยู่ในจิต
ซึ่งจะทำให้คนคนนั้นมีสภาพเหมือนเด็ก ๆ ที่ขาดการควบคุมตนเอง

๓. อดทนต่อความเจ็บใจ หรืออดทนต่อการกระทบกระทั่งทางจิตใจ
ในการอยู่รวมกันในสังคมของคนส่วนใหญ่
ย่อมมีอยู่บ้างที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งทางกาย ทางวาจา
เพราะคนในสังคมนั้น บางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนไม่ดี
คนดีไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะคนดีมีประโยชน์และทำในสิ่งที่ดีที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่คนไม่ดีนี่สิก่อปัญหาความเดือดร้อนไม่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับคนไม่ดี ต้องมีความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่ง
มิฉะนั้นตัวเราเองจะเป็นผู้ที่ทำอะไร ๆ ให้เสียมรรยาทในสังคม
รวมทั้งความเป็นผู้มีชื่อเสียงไปในทางติดลบได้ง่าย ๆ

คนบางคนแต่งตัวดี ดูดีไปหมด แต่พอถูกคนกระแหนะกระแหนเท่านั้น
ก็โกรธฉุนเฉียว อดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ แสดงอาการโกรธตอบทันที
ชุดเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับต่าง ๆ ไม่ช่วยให้เกิดความงามขึ้นมาเลย

ครูบางคนลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ
ก็เพราะทนกิริยาท่าทางของเด็กนักเรียนที่แสดงออกต่อครูไม่ได้
เพราะครูตั้ง มาตรฐานตัวเองไว้ว่า เด็กทุกคนต้องเคารพครู
แต่ครูมีความรู้สึกว่า เด็กไม่เคารพและมีท่าทีก้าวร้าว ท้าทาย
ครูอาจทำอะไรรุนแรงแกนักเรียน
จนกลายเป็นผู้ร้ายของนักเรียนไปได้ในชั่วพริบตา ความงดงามในความเป็นครู
ในความเป็นผู้ให้ความรู้อบรมบ่มนิสัยที่ดีของเยาวชนก็จะหมดไป
เครื่องหมายความเป็นครู จะไม่มีอะไรเหลืออยู่
กลบความดีที่เกิดขึ้นช้า ๆ และสั่งสมเป็นเวลานาน
แต่ความชั่วเกิดแผล็บเดียว ทำลายความดีไม่ให้เหลืออยู่เลย

อีกอย่างหนึ่ง ความอดทน ต้องแยกออกมาให้ชัดเจน ในการควบคุมตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุที่ไม่ดี คือ อดที่จะไม่โกรธตอบ หรืออดต่อการที่จะนำเข้ามาไว้ในใจ
คือ ไม่นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้เห็นที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในใจเรา แล้วก็ทน คือ ทนต่อการเจ็บใจ
การเสียดแทงทางใจ ที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจเหล่านี้
หรือในบางครั้งเราพบ เห็นสิ่งที่น่ายินดี น่ารักใคร่ แล้วเกิดอยากได้
เช่น เดินไปในห้างสรรพสินค้า พบของที่ถูกใจมากมายอยากได้ไปหมด ก็ต้องใช้ความอด
คืออดใจไว้ไม่ให้สิ่งที่เราอยากได้เข้าอยู่ในใจเรา
แล้วก็ทนที่จะต้องไม่มีสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เราก็จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินออกไป
เพราะพอเราพ้นออกมาจากห้างสรรพสินค้าไม่นานเท่าไหร่
เราก็อาจลืมความอยากได้ไปแล้ว ใช่หรือไม่ ?

ความอดทนต่อการกล่าวร้ายป้ายสี การด่าว่าจากบุคคลอื่นนั้น

พระพุทธเจ้าทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างมาแล้ว เรื่องของเรื่องมีว่า

พราหมณ์คนหนึ่งพบพระพุทธเจ้าทีไร แกก็จะด่าว่าพระพุทธเจ้าเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ร่ำไป
เพราะโกรธที่พระพุทธเจ้าบวชน้องชายแก เพราะแกเป็นพราหมณ์ ไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าเห็นว่าพราหมณ์ด่าว่าอยู่เสมอ ไม่เลิกราเสียที ก็เลยตรัสถามว่า

“ พราหมณ์ ในเรือนของท่านนั้น มีแขกมาเยือนหรือไม่ ?”

พราหมณ์ก็ตอบว่า “ ในเรือนของข้าพเจ้านั้นมีแขกมาเยือนเสมอ ”

จึงตรัสถามต่อไปอีกว่า “ เมื่อมีแขกมาเยือน ท่านต้อนรับอย่างไร ”

พราหมณ์ก็ตอบว่า
“ ข้าพเจ้าก็ต้อนรับด้วยอามิสสิ่งของเครื่องบริโภคตามสมควรแก่ฐานะของแขกผู้มาเยือน ”

พระองค์จึงตรัสว่า “ พราหมณ์ เมื่อแขกที่มาเยือนท่าน ไม่รับของต้อนรับจากท่าน
สิ่งของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร ”

พราหมณ์ก็ตอบว่า “ ก็ตกเป็นของข้าพเจ้า ”

ดังนั้นจึงตรัสว่า “ พราหมณ์ การที่ท่านด่าเราทุกวัน ๆ
เราไม่ได้รับเอาไว้ คำด่าเหล่านั้นจะตกเป็นของใครเล่า ?”

พราหมณ์เลยจำนนต่อพระดำรัส แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาแต่นั้นมา

เพราะฉะนั้น การอดทนก็คือ การไม่รับเอา
หรือการที่ไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นมามีอำนาจอยู่เหนือใจตน อย่าไปรับเอา
เมื่อเราไม่รับสิ่งนั้นก็จะกลับไปหาเจ้าของนั่นเอง ทำใจให้สบาย ๆ

การที่เรามีความอดทนอดกลั้นเพียงอย่างเดียวนั้น
ไม่พอที่จะทำให้เป็นคนมีความงามอย่างแท้จริงได้ ต้องมีธรรมะอื่นเข้ามาร่วมเติมต่อ
ธรรมะที่คู่กับขันติ ก็คือ โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม

ความสงบเสงี่ยมคือความที่มีจิตชื่นบาน ประณีต มีจิตที่ราบเรียบ
ไม่ว่าจะเผชิญกับภาวะที่น่าพอใจรักใคร่หรือภาวะที่ไม่น่าพอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะไม่แสดงอาการให้ผิดแผกไปจากเดิม

คนเรารู้จักอดทนอดกลั้น ไม่โกรธต่อผู้อื่นก็จริง
แต่ในความอดทนนั้นอาจจะมีสีหน้าที่บึ้งตึ้ง หรือสีหน้าที่แสดงความไม่พึงพอใจ
ต่อเมื่อมีโสรัจจะ คือความแช่มชื่นเข้ามากำกับ
ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความอดทนที่งดงามปรากฏแก่ผู้พบเห็น
เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้อื่น
โสรัจจะจึงทำหน้าที่เสริมความอดทนให้งดงามเด่นชัดขึ้น


ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยมนี้ เป็นธรรมคู่กัน
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
เพราะมีทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกัน จึงเป็นธรรมที่จะทำให้บุคคลงดงามอย่างแท้จริง
งามยิ่งกว่าอาภรณ์ทั้งปวงที่มีในท้องตลาด


บอกต่อ ๆ กันไปด้วยว่า ขันติและโสรัจจะนั้น
ไม่มีใครทำขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง
โรงงานก็อยู่ที่ใจท่านนั่นแหละ


จาก หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 50 มกราคม 2548
โดย ธมฺมจรถ

http://www.kanlayanatam.com/sara/sara35.htm

ภาพประกอบจาก... http://photos3.fotosearch.com/bthumb/CS ... 960693.jpg

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว




พระพุทธเจ้า 1.jpg
พระพุทธเจ้า 1.jpg [ 9.56 KiB | เปิดดู 3530 ครั้ง ]
ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยมนี้ เป็นธรรมคู่กัน
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
เพราะมีทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกัน จึงเป็นธรรมที่จะทำให้บุคคลงดงามอย่างแท้จริง
งามยิ่งกว่าอาภรณ์ทั้งปวงที่มีในท้องตลาด

บอกต่อ ๆ กันไปด้วยว่า ขันติและโสรัจจะนั้น
ไม่มีใครทำขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง
โรงงานก็อยู่ที่ใจท่านนั่นแหละ


tongue :b8: :b8: :b8: ขอบคุณมากค่ะคุณลูกโป่ง เพราะเราเป็นโรงงานที่จะผลิตขันติและโสรัสจะเองได้ค่ะ จะพยายามค่ะ tongue :b45: :b45: :b45:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7823

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: :b44:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b20: :b8:

:b45: :b47: :b41: :b47: :b45:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus744.jpg
Lotus744.jpg [ 79.11 KiB | เปิดดู 3427 ครั้ง ]
:b44: ขันติ และ โสรัจจะ

ขันติ และ โสรัจจะ ธรรมะ 2 ประการนี้ เป็นเครื่องส่งเสริมบุคลิกลักษณะทำให้เป็นคนมีเหตุผล หนักแน่น มั่นคง สุภาพเรียบร้อย น่านับถือ ผู้มีคุณธรรม คือ ขันติและโสรัจจะ ประจำใจย่อมเป็นคนที่มีน้ำใจงาม น้ำใจดี มีกิริยาวาจาสุภาพ สงบเสงี่ยม ไม่ก่อการทะเลาะวิวาทกับใครๆ ย่อมเป็นคนที่น่ารักน่านับถือ จึงเป็นธรรมที่ส่งเสริมคนให้มีความอดทน

ขันติ ความอดทน หมายถึง การรักษาปกติภาพของตนไว้ได้ ในเมื่อถูกกระทบด้วยสิ่งอันไม่พึงปรารถนา ขันติมี 2 ประเภท (ไสว มาลาทอง: คู่มือการศึกษาจริยธรรม, 2542.22-28) คือ

1. ขันติ ความอดทนต่อการดำเนินชีวิตทั่วๆไป เช่น อดทนต่อความหิว ความกระหาย ความเหนื่อย ความหนาว ความร้อน ความเจ็บป่วย ความโกรธ ฯลฯ สรุปได้เป็น 3 ประเด็น คือ
1.1 อดทนต่อความลำบากตรากตรำ ในการทำงานทำการโดยสุจริตไม่ว่าจะค้าขาย หรือทำเกษตรกรรม ย่อมมีความลำบาก ไม่สบายเหมือนการหากินทุจริต ผู้มีสัมมาชีพจึงต้องมีความอดทน ไม่แสดงอาการของความขลาดไม่สู้งาน ไม่สู้ความลำบากตรากตรำ
1.2 อดทนต่อทุกขเวทนา คือเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่แสดงอาการทุรนทุรายจนเกินเหตุ
1.3 อดทนต่ออำนาจกิเลส คือเมื่อเกิดกิเลสใดๆ ได้แก่ ความโลภ คือ อยากได้ไม่มีสิ้นสุด ความโกรธ หรือ ความหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีขันติ อดทนและเพียรพยายามกำจัดกิเลสนั้นออกไปเสียจากตน

2. อธิวาสนขันติ ความอดทนต่อการล่วงเกินของคนอื่น เฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต่ำกว่าเรา กล่าวคือ อดทนต่อความเจ็บใจ คือ ทนต่อความกระทบกระแทกแดกดันของคนอื่น

ความจริงแล้ว ความอดทนเป็นลักษณะความเข้มแข็งของจิตใจ การพยายามทำความดีและถอนตัวออกจากความชั่ว คืออดทนต่อฝ่ายที่ไม่ดี เพื่อยืนหยัดอยู่ในทางที่ดีให้ได้ มิได้หมายความว่า ใครตกอยู่ในสภาพเช่นไร แล้วก็จะทนอยู่ในสภาพเดิมนั้นเสมอไป เช่น เป็นคนยากจน แล้วก็ทนอยู่ในความยากจน ไม่พยายามขวนขวายหาทรัพย์ หรือ คนที่เกียจคร้านงานการไม่ทำ แม้จะถูกคนอื่นสับโขกก็อดทนเป็นคนดื่มเหล้า เป็นคนสูบบุหรี่ แม้รัฐบาลจะเชิญชวน บังคับให้เลิกดื่ม เลิกสูบ อย่างไรก็อดทนดื่ม อดทนสูบอยู่ เป็นสาวโคโยตี้ ดีดดิ้นยั่วกามารมณ์ ถูกสังคมประนาม อย่างไรก็ยังคงเต้นอยู่ อย่างนี้ไม่ใช่ขันติ ไม่ใช่ความอดทน แต่เป็นลักษณะของความตายด้าน หรือ หน้าด้านเท่านั้นเอง


ความอดทน (ขันติ) เป็นหลักธรรมที่จำเป็นสำหรับคราวที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะทำให้จิตใจเราหันเหไปจากทางที่ดี ดังนั้น จึงควรบำเพ็ญขันติใน 4 สถาน คือ

1.อดทนต่อความลำบาก หมายความว่า คนทำงานมากๆ แล้วได้รับความเหน็ดเหนื่อย หิวกระหาย หรือถูกแดด ลม ฝน กระทบเกินสบาย คนที่ไม่มีขันติเมื่อเผชิญกับความลำบากตรากตรำ มักจะทอดทิ้งการงานเสีย เป็นคนมือเท้าบาง ทำอะไรทิ้งๆขว้างๆ แต่ผู้มีขันติ ย่อมอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ กัดฟันทนทำงานของตนให้สำเร็จ

2. อดทนต่อทุกขเวทนา คือ การรับรู้อารมณ์ว่าเป็นทุกข์ ซึ่งเกิดมาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายด้วยโรคภัยนานัปการที่เกิดขึ้นกับร่างกายตน คนที่ขาดขันติ เมื่อถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบายขึ้นมา มักจะแสดงมารยาทอันไม่สมควรออกมาให้ปรากฎ เช่น ร้องครวญคราง กระบิดกระบวน เป็นคนเจ้ามายา เป็นคนเจ้าอารมณ์มีอาการโมโห โทโสง่าย บางคนอ้างความเจ็บป่วยเพื่อจักกระทำความชั่วต่างๆก็มี แต่สำหรับผู้มีขันติ ย่อมรู้จักอดทน อดกลั้น ไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจให้เสียหรือตกไปในทางชั่วต่างๆให้คนอื่นหลงเชื่อหรือเข้าใจผิด

3. อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นขันติประเภทอธิวาสนขันติ คืออดทนต่อการล่วงเกินของคนอื่น เฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต่ำกว่าเรา เมื่อถูกผู้อื่นกระทำการล่วงเกินให้เป็นที่ขัดใจ เช่น ถูกด่าว่า หรือ สบประมาท หมิ่นประมาท บุคคลผู้ขาดอธิวาสนขันติ ย่อมขาดสติเดือดดาลแล้วทำร้ายตอบด้วยการกระทำอันแรงเกินเหตุที่ควรจะเป็น เช่นว่าเหน็บแนมด้วยวาจาหยาบคาย หรือก่อความทะเลาะวิวาท ตีรันฟันแทงกัน สร้างเวรกรรมไม่สิ้นสุด เป็นทางนำมาซึ่งความหายนะแก่ตัวเองและครอบครัวตลอดจนเพื่อนฝูง แต่สำหรับผู้มีขันติย่อมรู้จักอดทน สอนใจตัวเอง รู้ที่ไปที่มาของสาเหตุนั้นๆ คือ หาวิธีการแก้ไขด้วยสันติให้เรียบร้อยเป็นผลดีด้วยความสงบต่อไป

4.อดทนต่ออำนาจกิเลส หมายความว่าอดทนต่ออารมณ์ข้างฝ่ายเพลิดเพลินอันเป็นไปตามอำนาจกิเลสพาไป เช่น ความสนุก การเที่ยวเตร่ ความโกรธ การได้ผลประโยชน์ในทางที่ไม่ควรเป็นต้น ความจริงแล้วอารมณ์ที่น่ารักใคร่ น่าพอใจ ดูไปก็ไม่น่าจะต้องใช้ความอดทน ไม่ทำให้เราลำบาก แต่ที่ต้องใช้ความอดทน เพราะอาจจะทำให้เราเสียหายได้ ทั้งนี้เพราะคนที่ขาดขันติ มักจะทำกรรมอันน่าบัดสีต่างๆ ตามอำนาจกิเลส หรือตามความอยากในสิ่งที่ตนรัก เช่น รับสินบน ผิดลูกเมียชาวบ้าน เห็นเงินตาโต ทำร้ายรังแกกัน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เห่อยศ เมาอำนาจ ขี้โอ่ โอ้อวด เป็นต้น

การอดทนต่ออำนาจกิเลสนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือ การอดทนต่ออำนาจความอยากนั่นเอง บุคคลผู้มีขันติจะได้รับคุณประโยชน์ หลายประการ คือ ทำงานได้ผลดี บำเพ็ญตนเป็นหลักแห่งบริวารชน ไม่มีการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ไม่ทำผิดเพราะเห็นแก่ความอยาก ถ้าบุคคลขาดขันติแล้ว ก็จะประสบโทษหลายประการ คือ ทำงานคั่งค้าง จับจด เสียความไว้วางใจของผู้อื่น เต็มไปด้วยศัตรู หรืออาจกลายเป็นอาชญากร เป็นต้น

โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม คือ เมื่อมีความอดทนแล้ว ก็ต้องพยายามสงบใจ ทำใจให้เย็นลงด้วยอุบายอันชอบ เมื่อใจสงบแล้ว กิริยาวาจาที่แสดงออกมาก็จะสงบเสงี่ยมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ความงามทุกส่วนของตนที่เคยมีอยู่ก็จะไม่เสื่อม จะคงงามอยู่และคงชนะใจของคนอื่นได้เป็นอย่างดี ดังคำกลอนสุภาษิตที่ว่า

คนจะงามต้องงามใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยกริยาใช่ตาหวาน

คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต

ธรรมะ ความมีขันติ และ โสรัจจะ นี้ นับว่าเป็นหลักธรรมสำคัญที่จะเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวันของทุกคน ความอดทนและความสงบเสงี่ยมหากมีประจำอยู่ในจิตใจของผู้ใด ผู้นั้นย่อมจะเป็นคนที่มีความสุขมีจิตใจหนักแน่น ย่อมจะเป็นที่นิยมยกย่องนับถือของคนทั่วไป เพราะธรรมะ 2 ประการนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนงดงามทั้งกาย วาจา และ จิตใจ จะประกอบกิจการสิ่งใด ย่อมสามารถประสบผลสำเร็จได้สมความมุ่งมาดปรารถนา และสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยจิตใจที่มั่นคง ย่อมชนะความร้ายได้ด้วยดี

ขอบคุณที่มา :: Okanation


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

>> ขันติ และ โสรัจจะ ธรรมะ 2 ประการนี้ เป็นเครื่องส่งเสริมบุคลิกลักษณะทำให้เป็นคนมี เหตุผล หนักแน่น มั่นคง สุภาพเรียบร้อย น่านับถือ <<

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร