วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 09:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 14:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 13:50
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมพอดีมีหนังสือชุดนี้ (อนุปุปพิกถาทีปนี) ของ ท่านพระธรรมวิสุทธิกวี เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นพระอุปปัชฌาของกระผมมาก่อน ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นพระที่มีศีลงดงามเป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้

ท่านเจ้าคุณอาจารย์เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม กระผมเองเป็นชอบอ่านอะไรที่เข้าใจง่าย เห็นว่าข้อความในหนังสือเล่มนี้อ่านแล้วเข้าในง่าย สนุก บางช่วงมีเรื่องราวของพระพุทธองค์และสาวกในสมัยพุทธกาลประกอบ น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เริ่มศึกษาธรรมมะ จะได้เข้าใจถึงลำดับของการปฏิบัติตน จากง่ายไปสู่ยาก เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์ให้สิ้นไป

จึงได้นำข้อความในหนังสือนี้มาพิมพ์เผยแพร่ แต่เนื่องจากหนังสือยาวมากมีถึง 5 เล่ม หากมีเวลาว่างผมจะทยอยนำข้อความบางตอนมาทยอยลงไว้ในเวบไปเรื่อย ๆ นะครับ

อนุปุพพิกถา คือ คำสอนที่แสดงไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น ไม่ตัดลัดให้ขาดความ คำสอนเช่นนี้ย่อมฟอกจิตของผู้ฟังให้สูงขึ้นตามลำดับ มี 5 ประการคือ

1) ทานกถา กล่าวถึงเรื่องการให้ทาน
2) สีลกถา กล่าวถึงเรื่องการรักษาศีล
3) สัคคกถา กล่าวถึงสวรรค์
4) กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษของกาม
5) เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์ของการออกบวช

ในเวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้งทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทาน เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า "ที่นี่ไม่ว่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมานี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน" ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว คิดได้ว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง" จึงถอดรองเท้าเสีย เข้าไปใกล้ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง

พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถา คือถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ พรรณนาการให้ทานก่อนแล้ว พรรณนาศีล ความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์ คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือทานและศีลเป็นลำดับ พรรณนาโทษคือความเป็นของไม่ยั่งยืน และประกอบด้วยความคับแค้นแห่งกามซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์นั้น (ทรงแสดงความไม่เที่ยงของเหล่าเทวดาบนสวรรค์ซึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จะกล่าวถึงในลำดับต่อไปในเรื่องโทษของกาม) พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับธรรมเทศนาให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาคือ อริยสัจ 4 อันได้แก่ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางดำเนินถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจรณาภูมิธรรมที่พระศาสดาตรัสสอนเศรษฐีผู้บิดาอีกวาระหนึ่ง จิตพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2011, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7823

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 09:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 13:50
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุปุปพิกถาทีปนี ภาค1 การพรรณนาทาน

ในการศึกษาเรื่องทานนั้น ต้องทำความเข้าใจลักษณะของการสั่งสมบุญเสียก่อนเพราะการสั่งสมบุญทำให้เรามีเสบียงสำหรับเดินทางไกลในวัฏสงสารและเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน นิธิกัณฑสูตร (พระสูตรว่าด้วยการสั่งสมบุญ)
“บุญนิธินี้ให้สมบัติที่น่าพอใจทุกอย่างแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายปรารถนาผลใด ๆ ผลนั้น ๆ ย่อมได้รับด้วยบุญนิธินี้
ความเป็นผู้มีวรรณะงาม ความเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ความเป็นผู้มีรูปทรงสมส่วน ความเป็นผู้มีรูปสวย ความเป็นใหญ่ และความมีบริวาร ผลทั้งปวงนี้จะได้รับก็ด้วยบุญนิธินี้
บุญสัมปทา คือความถึงพร้อมแห่งบุญ มีประโยชน์มากอย่างนี้ ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายผู้มีปัญญาจึงสรรเสริญความเป็นผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้ว”

“บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่า บุญเล็กน้อยจะไม่มาถึง แม้หม้อน้ำย่อมเต็มด้วยน้ำที่ตกทีละหยาดได้ฉันใด คนมีปัญญาสั่งสมบุญอยู่ แม้ทีละเล็กน้อย ๆ ก็ย่อมเต็มด้วยบุญได้ ฉันนั้น”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 10:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 13:50
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


บุญญกริยาวัตถุ 10

1. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
2. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
3. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
5. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดการการขวนขวายในกิจที่ชอบ
6. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
9. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
10. ทิฏฐุชุกรรม บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรง

ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
ทานในพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ
1. อามิสทาน หรือ วัตถุทาน การให้วัตถุสิ่งของ
2. ธรรมทาน การให้พระธรรม
3. อภัยทาน การให้ความไม่มีภัย ความไม่เบียดเบียน

อามิสทานมีผลน้อยกว่าธรรมทาน ธรรมทานมีผลน้อยกว่าอภัยทาน แม้ในด้านการให้อามิสทานหรือวัตถุทาน สังฆทานมีผลมากที่สุด และในการให้สังฆทานนั้น การให้เสนาสนทานมีผลมากที่สุด

ทานจะมีผลมากได้ก็ด้วยสัมปทา 4 คือ
1. วัตถุสัมปทา การถึงพร้อมแห่งวัตถุ

2. ปัจจัยสัมปทา การถึงพร้อมแห่งปัจจัย
คือของที่นำมาทำบุญนั้นได้มาโดยสุจริตและยุติธรรม ไม่ได้ไปลักขโมย ช่วงชิง ฉ้อโกงใครมา และเป็นของที่ดี ไม่ใช่ของบูดเน่า หรือของเสียแล้วจึงนำมาให้ผู้อื่น

3. เจตนาสัมปทา การถึงพร้อมแห่งเจตนา
การมีจิตใจเบิกบาน ทั้งใน 3 ขณะคือ ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน และหลังการให้ทาน

4. คุณาติเรกสัมปทา การถึงพร้อมแห่งพระทักษิไณยบุคคลผู้มีคุณยิ่ง
คือการที่ผู้รับทานเป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้มีคุณธรรมสูง มีกิเลสเบาบาง ปฏิบัติเพื่อทำลายกิเลสหรือปราศจากกิเลส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร