วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2010, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

มองดูตนเอง

พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป

หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
ฉบับวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2548
เรื่องโดย สุทธิคุณ กองทอง



ท่ามกลางบรรยากาศต้นไม้ใหญ่
ใบสีเขียวหนาทึบทั่วบริเวณภายในวัดอรัญญาวิเวก (บ้านปง)
ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ล้วนแล้วมาจากการจรรโลงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
ของ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


คำพูดที่พระอาจารย์เปลี่ยนมักใช้สนทนาธรรมกับประชาชน
ที่เดินทางมาปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
หลายคนที่มาที่วัด ก็เพราะขาดสติ
คือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้น
ยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่
มีความเดือดร้อนกันอยู่ ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้น
ก็คือ บุคคลนั้นไม่รู้จักความพอดีนั่นเอง"


นอกจากนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังย้ำเสมอในการสอนญาติโยม
เกี่ยวกับการมองตนเองว่า
"เมื่อคนเราเกิดมาแล้วอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกัน
พูดจากัน ในเรื่องราวต่างๆ ประชุมหารือกัน
ความคิดเห็นก็ต่างกัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง
บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ"



พระอาจารย์เปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์พร้อมความกระจ่าง
เกี่ยวกับการมองดูตนเองแบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้


พระอาจารย์เน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเองเพราะอะไรครับ ?

ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น
ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละ ละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ
เพราะกิเลสทั้งหลายนั้นนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรา
มาหลายภพหลายชาติแล้ว
เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว
แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก
หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด
พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน


เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น
ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร
บุคคลใดขัดเกลาได้มาก
เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ
บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน
บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้
มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน


คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้นหมายความว่าอย่างไรครับ ?

ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสอนไว้ว่า ดอกบัวสี่เหล่า
เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า
คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง
กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน
อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา
เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น
สัมปชัญญะ หรือ ตัวของปัญญา
ให้รอบรู้เร็วทันกับเหตุการณ์ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต


แล้วทำไมถึงต้องทันเหตุการณ์ครับ ?

ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ
ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น
แม้พวกเราเห็นวัตถุต่างๆ
จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง
เราไม่มีสติพอจะรู้ว่ารูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน
รูปร่างกายของพวกเราทำอะไร
เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว
มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ
เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน
สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน


ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตีฆ่าฟัน
แทงกันไม่เว้นบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น
เป็นเพราะขาดสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้
ควบคุมร่างกายไม่ได้
ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาปทำชั่วได้อย่างง่ายดาย
ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด
ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง
เราอย่ามองแต่คนอื่น
ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น
มองจับผิดคนอื่นได้หมด
เขาทำอะไรกัน เราก็มองว่ามันผิดไปหมด


การมองดูตนเองควรเริ่มต้นอย่างไร ?

พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่า
ให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง
จับผิดที่ตนเอง เรียกว่า มาดูที่ตัวเราก่อน
อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นแต่อย่างเดียว
เพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น
ดังนั้นการเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก
ก็เหมือนกับเราดูขนตา
ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น
ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย
ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้
เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา


มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง
ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน
ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้
ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน
ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน
เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง
เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง


แล้วสติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?

ไม่ว่าคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ
ถ้าเราขาดสติในการยืน
เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดี
หรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง
หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่
คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดี
หรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน
ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้
ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก
หรือ อาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ
หรือ บางคนนอนก็ต้องกำหนดว่า
ตนเองกำลังนอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน
เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง
คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน
คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์
พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา
พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง
ให้มีสติสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน
จึงจะไม่มีอันตราย


คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ ?

ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสม
ในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า
การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง 4 ประการ
เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ
ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่
ทำความดีไม่ถูกบุคคล
ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา
และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน
หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว
เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง
เพราะเขารู้เรื่องดีว่าจะทำบุญอะไรเป็นบุญ
และมีประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำบุญ
คนไม่มีปัญญาทำบุญย่อมได้บุญน้อย


พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาสอนวิชาศิลปะแก่พระนี้ ไม่ได้บุญนะ
การบริจาคทานให้พระนั้น คิดแล้วน่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ
พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เขาก็ยังพากันบริจาคทานกันอยู่
เช่น เอาควาย วัว โค กระบือ ช้าง ม้า มาถวายให้พระ
บางที่ก็นำหมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไว้ที่วัด
จัดเป็นการบริจาคทานที่ไม่ได้บุญเช่นกัน
เพราะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับพระ
ต้องเลี้ยงให้กินหญ้าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรือเดินจงกรม เป็นต้น


เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำไมยังต้องกวาดลานวัดอยู่ครับ ?

ก็จริงนะ ทุกๆ เช้า อาตมาก็จะออกมากวาดลานวัด
ร่วมกับพระลูกวัดอื่นๆ ด้วย
ถามว่า อาตมาอายุเยอะแล้วทำไมยังมากวาดลานวัดอีก
อาตมาไม่ทำเดี๋ยวพระรูปอื่นจะไม่ทำกัน
เราทำเป็นแบบอย่าง โดยการกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร
จริงๆ มันก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย
สุขภาพจึงแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้เป็นทุกข์


หลายคนตั้งคำถามพระอาจารย์ว่า
ทำไมถึงดูไม่ชราเหมือนพระที่มีอายุเท่ากัน ?


อาตมาคิดว่า คงเป็นที่สภาพอากาศที่วัดด้วย
ไม่มีมลภาวะใดมารบกวน
สิ่งแวดล้อมภายในวัดมีแต่ต้นไม้ใบไม้เป็นป่าทึบไปทั่วบริเวณ
ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาล่อใจใดๆ ให้การปฏิบัติไขว่เขว
สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของอาตมาทำได้อย่างเงียบสงบ


มีกิจนิมนต์เทศน์บ่อยหรือเปล่าครับ ?

ก็ยังเทศน์อยู่ ใครมานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหน
อาตมาก็จะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด
ปีนี้ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันมาก ยิ่งเป็นต่างประเทศ
คนส่วนใหญ่ชอบฟังธรรมะ
เช่น ประเทศออสเตรเลีย ไปก็ประมาณ 2 เดือน
ส่วนการเดินทางไปเทศน์ตามสถานที่ต่างๆ ที่จะไปได้
ก็ต้องมีข้อแม้ว่าจะไม่ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็จะไปตามที่เขามารับกันตลอดทั้งเดือน
อาตมาจะเว้นอยู่แค่ประมาณ 2-3 วัน


ใครจะว่าอย่างไรไม่ทราบ อาตมาคิดว่าใครไม่ดี
ใครมันโง่ก็จะพูดภาษาธรรมะไม่ได้
คนที่ไม่รู้จักรักษาศีลปฏิบัติธรรมชีวิตนี้
เขาก็จะไม่มีความสุข
อาตมาคิดว่า ถ้าใครได้ลองปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว
ชีวิตพวกเขาก็จะมีความสุข
ใครฉลาดหรือโง่ก็ต้องเลือกกันเอาเอง


พระอาจารย์มีวัตถุมงคลแจกหรือเปล่าครับ ?

วัตถุมงคลก็มีแจกกันบ้าง
เพราะลูกศิษย์ของอาตมาเขาทำแล้วก็เอามาถวาย
อาตมาก็จะแจกให้กับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด
ตอนนี้อาตมาก็บอกให้ลูกศิษย์หยุดทำวัตถุมงคลได้แล้ว
อาตมาอยากให้ญาติโยมสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากกว่า
เพราะธรรมะจะมีความสำคัญกว่าวัตถุมงคล
อาตมาเห็นหลายคนยังนิยมวัตถุมงคลมากกว่าธรรมะ
เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติกันนั่นเอง
พวกเขาจึงยังเห็นว่า วัตถุมงคลสำคัญกว่าธรรมะ
ถ้าใครได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็จะไม่เอาวัตถุมงคล
แต่วัตถุมงคลก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการให้กำลังใจ ยึดเหนี่ยวจิตใจ


คนที่แขวนพระเครื่องแล้วไม่ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างไร ?

พวกโยมเห็นนักโทษที่มีอยู่มากมายในบ้านเราไหม
พวกเขาแขวนพระเครื่องกันมาก
แต่ไม่มีใครปฏิบัติตนให้อยู่ในธรรม
เมื่อไปทำอะไรที่ไม่ดี พระท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัตินั่นเอง
และอาตมาอยากย้ำว่า ถ้าเรารักษาตนด้วยธรรมะได้
ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ
ดูสิอาตมาเองยังไม่แขวนพระสักองค์ (หัวเราะด้วยรอยยิ้ม)


ที่ว่าขลังและยิงไม่เข้า ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?

ถามอาตมาแบบนี้ ไอ้ที่ว่านี่มันก็เกิดจากพลังจิต
พระคาถาที่มีพระเกจิอาจารย์ทำการปลุกเสกลงไป
ความขลังไม่ขลัง จึงเกิดจากพระเกจิอาจารย์
ได้ทำการอธิษฐานประกอบเข้าไป
เขาถึงได้เรียกกันว่า สมาธิพลังจิตอย่างหนึ่ง
ใครที่นำเอาวัตถุมงคลนี้ไปใช้ไม่ดีก็เป็นบาป
ใครเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์


ทำอย่างไรถึงมีความสุขครับ ?

สุขเกิดด้วยการไม่เป็นหนี้ใคร
การไม่เป็นหนี้สินใครจะทำให้อยู่เป็นสุขสบาย
แต่เราต้องรู้จักจับจ่ายเงินทอง
ได้พอดีกับฐานะของตน จึงไม่เป็นหนี้ใคร
เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหาเรา เราก็ไม่หวั่นไหวอะไร
ว่าเขาจะมาทวงถามหนี้จากเรา
เมื่อเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็อยู่อย่างมีความสุข


ชาติภูมิพระอาจารย์เปลี่ยน

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป อายุ 71 ปี
(ปัจจุบัน 77 ปี)
พรรษา 45 (ปัจจุบัน 51 พรรษา)
ชื่อเดิม นายเปลี่ยน วงศาจันทร์
เกิดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2476 (ปีระกา)
ณ บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
บิดาชื่อนายกิ่ง วงศาจันทร์ มารดาชื่อนางอรดี วงศาจันทร์
มีพี่น้องเป็นชาย 5 คน หญิง 1 คน
พระอาจารย์เปลี่ยนเป็นบุตรคนที่ 3
โดยตาคือขุนจุนราชภักดี
และยายได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ
จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
เมื่ออายุ 11 ปี มารดาจึงให้มาช่วยทำการค้าช่วยเหลือครอบครัว
เมื่ออายุ 18 ปี เริ่มสนใจวิชาแพทย์
และได้ฝึกฉีดยารักษาคนไข้กับหมอประจำอำเภอซึ่งเป็นญาติกัน
ซึ่งเคยคิดจะไปเรียนต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ
แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป
พระอาจารย์เปลี่ยนคิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี
แต่มาบวชจริงเมื่ออายุ 25 ปี ในวันที่ 31 มีนาคม 2502
ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์,
พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
และพระอาจารย์สุภาพ ธมมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้

ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ 3
หลังออกพรรษาในปีแรกได้เริ่มออกธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ
เพื่อแสวงหาโมกขธรรม
และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิตติศัพท์
ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคเหนือ
แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยน อยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆ
และรับใช้ใกล้ชิดอย่างสนิทสนมคือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ,
หลวงปู่เทสก์ เทสฺรงฺสี, หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น
พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ, หลวงปู่ขาว อนาลโย,
หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม,
ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก, หลวงปู่สาม อกิญฺจโน,
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม, หลวงปู่แว่น ธนปาโล,
หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ
ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม
ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

ปัจจุบันพระอาจารย์เปลี่ยนได้มาอยู่จำพรรษาพร้อมกับหมู่คณะ
ที่บ้านปงหรือสำนักสงฆ์อรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
หมายเลขโทรศัพท์ 0-9816-4343 เพื่อปฏิบัติสมาธิธรรม
มีพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
มีธรรมะเป็นข้อปฏิบัติ มีวัตรวินัยเป็นเครื่องดำเนิน
ในศีล สมาธิ ปัญญา คือ ความพ้นทุกข์

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2010, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: นำบุญมาฝากค่ะ ลูกโป่งและครอบครัวเพิ่งไปถวายสังฆทาน
กับพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ที่วัดอรัญวิเวก บ้านปง เชียงใหม่มาค่ะ
พระอาจารย์ก็เมตตาให้หนังสือ มองดูตนเอง พร้อมเล่มอื่นๆ
รวมทั้งซีดีธรรมะ และพระค่ะ

:b1: ขอให้กัลยาณมิตรทุกท่านได้มาร่วมอนุโมทนาบุญกันนะคะ
...สุขกายสุขใจทุกท่านค่ะ...

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

ลูกโป่งเอง


:b39: นำภาพวัด พระพุทธรูป และพระอาจารย์เปลี่ยนมาฝากค่ะ
ภาพโดย...พี่ธรรมบุตร คุณตากลม และลูกโป่งค่ะ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร