วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 01:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2010, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว




41591_162450523782273_8051618_n.jpg
41591_162450523782273_8051618_n.jpg [ 13.19 KiB | เปิดดู 1654 ครั้ง ]
สติมา...ปัญญาเกิด เป็นอย่างไร ? (ปฏิจจสมุปบาทเบื้องต้น)
โดยพระไพศาล วิสาโล


ที่ภูหลง เวลาตีระฆังทำวัตรเช้า วัตรเย็น หรือตีระฆังบิณฑบาตก็ดี หมาทุกตัวในวัดก็จะหอนพร้อมกัน ถ้าตีถี่มันก็หอนถี่ ถ้าตีห่างมันก็หอนห่าง เลิกตีมันก็หยุดหอน เวลาจะหอน มันก็พากันมานั่งมายืนหอนอยู่ใกล้ๆ ระฆังเลย ใครเห็นก็พากันหัวเราะ เพราะว่ามันเหมือนกดปุ๊บติดปั๊บ มีปฏิกริยาตอบสนองต่อเสียงระฆังทันที ราวกับว่าเป็นทาสของเสียงระฆัง


แต่ถ้าพิจารณาให้ดี คนเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ... เพราะเวลาหูเราได้ยินเสียง...เช่น พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง คนจำนวนไม่น้อยก็จะขยับทันที เช่น วิ่งไปรับทันทีไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็หยุดทันที...


ลองสังเกตดูว่าเรามีปฏิกิริยาอัตโนมัติแบบนี้บ่อยไหม ไม่ใช่แค่หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูปเท่านั้น บางทีเพียงแค่ใจคิดนึกเท่านั้นก็มีอาการทันที หากใจนึกถึงคนที่ไม่ชอบหน้า ก็จะเกิดความขุ่นเคืองใจขึ้นมาได้ทันทีโดยไม่รู้ตัว อาจจะตัวเกร็ง อาจจะหน้านิ่วคิ้วขมวด หรือกัดฟัน เม้มปาก ลมหายใจเปลี่ยนไปโดยไม่เจตนา ปฏิกิริยาต่าง ๆ แบบนี้ มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ไม่ใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ ใจของเราเอง ที่ไปทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น


เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง หรือใจนึกคิด เราจะเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาทันที แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะมีตัวเวทนาเกิดขึ้นก่อน เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ใจคิดนึก เราเรียกว่า ผัสสะ พอผัสสะเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาทันที คือ เวทนา จะเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนาก็ตาม หากเป็นทุกขเวทนาจะสังเกตได้ง่ายกว่า เช่น ได้ยินเสียงเครื่องจักร เสียงรถแบ็คโฮดังกระหึ่มอยู่ข้าง ๆ พอได้ยินปุ๊บ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นทันที นั่นคือ ความรู้สึกไม่สบายหู ระคายโสตประสาท แล้วสิ่งที่ตามมาคือ ตัวอารมณ์ "อารมณ์" คือ ความไม่ชอบ ความขุ่นเคือง ความหงุดหงิด หรือความโกรธ อันนี้ภาษาบาลี เรียกว่า สังขาร

สังขารในขันธ์ 5 ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารในที่นี้ หมายถึง สิ่งที่ปรุงแต่งจิต เช่น อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบก็ตาม รวมทั้งความอยาก ความโกรธ ความเบื่อ


ลองสังเกตดู พอตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส หรือว่ามีสิ่งใดมาสัมผัสกาย เช่น ความร้อน พอความร้อนมากระทบผิวกายเข้า ทุกขเวทนาเกิดทันที แต่ว่าบางอย่างมันไม่ใช่ทุกขเวทนาทางกาย แต่เป็นทุกขเวทนาทางใจ เช่น ได้ยินเสียงคำด่า ได้ยินคำตำหนิ หรือเจอคนไม่มีสัมมาคารวะ หรือว่าทักแล้วไม่ตอบ ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น แต่เป็นทุกขเวทนาทางใจ เรียกว่า ความไม่สบายใจ และถ้าปล่อยให้ปรุงแต่งต่อไป ก็จะเกิดความไม่พอใจหรือความโกรธขึ้นมา นี่เรียกว่า สังขารทำงานแล้ว

ลองสังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นการทำงานเป็นขั้นเป็นตอน คือ มีผัสสะ เวทนา สังขาร ตามลำดับ แล้วสังขารก็จะปรุงแต่งเป็นความอยาก ความไม่อยาก... เช่น พอเราได้ยินคำตำหนิของใคร ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้นมาที่ใจ ตามมาด้วยความโกรธ ความโมโห หรือเกิดความพยาบาทขึ้นมา คราวนี้ก็อยากจะด่าตอบเขา หรือเล่นงานเขา อยากให้เขาได้รับทุกข์หรือมีอันเป็นไป ความอยากนี้ เรียกว่า ตัณหา มันมาเป็นสายเลยนะ


เห็นไหมว่าเริ่มต้นด้วย ผัสสะ เวทนา สังขาร แล้วก็ตามด้วยตัณหา ที่จริงตัณหาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังขาร พูดรวม ๆ ว่าสังขาร คนเราส่วนใหญ่เป็นกันอย่างนี้ ไม่ว่าผัสสะนั้นจะเป็นการรับรู้สิ่งที่เป็นลบหรือเป็นบวกก็ตาม เช่น หูได้ยินคำชม ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมาที่ใจ และถ้าเป็นการชมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก็เป็นสุขเวทนาทางกายไปด้วย มันนุ่มหู แล้วก็เกิดความรู้สึกปีติ ใจพองโตขึ้นมา เกิดตัณหาอยากได้ยินได้ฟังถ้อยคำแบบนี้อีก บางทีก็จำเอาไว้ติดใจเลย กลับไปบ้านยังนอนคิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันนี้แสดงว่าเกิด อุปาทาน คือ ความยึดติดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นการปรุงต่อเนื่องเป็นสาย


...กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเป็นสายหากไม่มีสติ แต่ว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นสายแบบนี้ก็ได้ ถ้าเรามีสติตอนเกิดผัสสะ หรือว่าพอเกิดทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาแล้ว ก็มีสติ เห็นเวทนาเกิดขึ้น มันก็หยุดแค่นั้น ไม่ปรุงต่อไปเป็นอารมณ์ เมื่อไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็เลยเปิดช่องว่างให้เราใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เช่น มีคนมาตำหนิหรือต่อว่าเรา พอมีสติ ความโกรธก็ไม่เกิด เราก็สามารถใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เช่น ได้คิดว่าเป็นเพราะเขาเข้าใจเราผิด เขาถึงพูดอย่างนี้ หรือได้พิจารณาว่าที่เขาพูดมานั้นถูกหรือไม่ มีประโยชน์แค่ไหน

เราจะคิดแบบนี้ได้ถ้าไม่เผลอให้ความโกรธเกิดขึ้นมาเสียก่อน การคิดแบบนี้เราเรียกว่า โยนิโสมนสิการ แปลง่าย ๆ ว่า คิดถูก คิดชอบ หรือฉลาดคิด


ส่วนหนึ่งจาก เรื่อง เป็นอยู่ด้วยสติและปัญญา
หนังสือ รู้ใจ ไกลทุกข์
พระไพศาล วิสาโล

หมายเหตุ สังขารในภาษาบาลี มีความหมายได้หลายอย่าง เช่น ถ้าเราพิจารณาสังขาร เป็นข้อความว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" สังขารในที่นี้ มีความหมายทั้งร่างกายและจิตใจ ตลอดจนรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย เพราะล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาทั้งคู่ แต่ว่าสังขารในขันธ์ 5 จะมีความหมายเจาะจง เฉพาะสิ่งปรุงแต่งจิต คือ ความนึกคิด หรืออารมณ์ต่าง ๆ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร