วันเวลาปัจจุบัน 22 พ.ค. 2025, 07:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนพระพุทธเจ้า

รูปภาพ


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนเอาฝุ่นเล็กน้อยไว้ที่ปลายเล็บ
แล้วทรงถามเหล่าภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจอย่างไร
ฝุ่นที่เราช้อนขึ้นมากับฝุ่นบนแผ่นดินนี้อย่างไหนมากกว่ากัน"

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ฝุ่นเล็กน้อยที่พระองค์ทรงช้อนไว้ในปลายเล็บ
มีประมาณน้อยอย่างนับไม่ได้ เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่พระเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เช่นเดียวกัน สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
โดยที่กลับมาเกิดเป็นอย่างอื่นมีมากกว่า.."

"..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติ(เคลื่อนจากภพ-ตาย)ในมนุษย์แล้ว
กลับมาเกิดในพวกมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว
ไปเกิดในนรก ในกำเนิดเดรัจฉาน เป็นเปรตมีมากกว่า
สัตว์ที่จุติจากนรก หรือกำเนิดจากเดรัจฉานหรือเปรต
จะกลับไปเกิดในพวกมนุษย์ หรือในพวกเทวดามีน้อย
ไปเกิดในนรกเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตมีมากกว่า.."


ที่มา: จากหนังสือโอวาทพระอริยสงฆ์ แก้กรรม



สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร



รูปภาพ


" ไม่มีอะไร "

"มาไม่มีอะไร ไปไม่มีอะไร มีอยู่ก็แต่จิตใจและวิญญาณ
ท่านทำดีก็เสวยกรรมดี ทำไม่ดีก็ตกนรกไป
ท่านอย่านึกว่าท่านตายแล้วสูญเปล่า
ท่านทั้งหลายจะพบกันในโลกวิญญาณอีก

หนี้สินที่ท่านสร้างขึ้นในโลกมนุษย์ ก็จะชดใช้กันในโลกวิญญาณ
ใช้ไม่หมดก็ต้องไปเกิด ไม่อย่างนั้น
จะไม่เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิด โลกนี้กลมไม่มีสิ้นภพสิ้นชาติ
โปรดพิจารณาตัวท่านเมื่อไม่มีสิ่งใดปกปิดเถิด"

หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)
วัดช้างให้ จ.ปัตตานี



รูปภาพ

พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์

"มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่งานส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่นอนมาก
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่ได้นอนในไม่ช้า"

“นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา” (๓จบ)

หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) จ.พิจิตร


รูปภาพ



"การศึกษากรรมฐานควรทำให้แจ้งและถูกต้องตามหลักธรรมวินัย
เพราะเมื่อคิดผิดสอนผิด พิจารณาด้วยสัญญาผิดๆก็จะทำให้เสียเวลา
ทั้งยังเป็นผู้ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย"

"กรรมเก่าของเราเคยทำไว้อย่างไร ก็ตายด้วยโรคเก่านั้น"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)
วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร



รูปภาพ

"เพ่งอัฐิเป็นกรรมฐาน

เยี่ยมป่าช้าหาอรรถธรรม

พิจารณาความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย"


หลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร


รูปภาพ

"ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ
ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการสำเหนียก
กำหนดพิจารณาธรรมอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่
รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ(สัมผัส) ก็มีปรากฏอยู่
ได้เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ ได้สูดดม ลิ้มเลีย และสัมผัสอยู่ จิตใจเล่า ก็มีอยู่
ความคิดนึกรู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่

ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอกภายในก็มีธรรมชาติอันมีอยู่
โดยธรรมดาเขาแสดงความจริง คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันสีเหลืองหล่นร่วงลงมาจากต้น
ก็แสดงความไม่เที่ยงให้เห็นดังนี้เป็นต้น

เมื่อผู้ปฏิบัติมาพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายนี้อยู่เสมอแล้ว
ชื่อว่าได้ฟังธรรมอยู่ทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืนแลฯ"


หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี



รูปภาพ

"การให้ทานอันใดๆ ก็ให้กันมามากแล้ว ย่อมมีผลอานิสงส์มากเหมือนกัน
แต่ยังสู้ผู้เข้ามาบวชเป็นตาผ้าขาว เป็นแม่ชีแล้วรักษาศีลอุโบสถไม่ได้
มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานนั้นเสียอีก
ถ้าใครอยากได้บุญมากๆ ได้ไปสวรรค์
ไปพระนิพพาน เพื่อการพ้นทุกข์แล้วละก็
ควรบวชเป็นตาผ้าขาว เป็นแม่ชีรักษาศีลอุโบสถเสียในวันนี้..

การปฏิบัติสมาธิภาวนานั้น เป็นชื่อแห่งความเพียร
ที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายในบวรพระพุทธศาสนา
ได้ถือเป็นข้อปฏิบัติชอบเป็นอย่างยิ่ง
ธรรมะที่จะนำมนุษย์ให้พ้นทุกข์นี้ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น"

"กรรมนี้แหละจะจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆนานา ทำให้เลว ให้ดี
ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ ก็เป็นผลของกรรมที่ทำไว้ทั้งสิ้น
เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ
มนุษย์ของเราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมาก
เวลาตกนรก จะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มาก
อย่าพากันทำ ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ
อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่า ที่ได้มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
(พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์)
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ



รูปภาพ

"คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตไปเกาะยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
วิญญาณที่ออกจากร่างไปก็วนเวียนไปเกาะอยู่กับสิ่งนั้น
เหมือนกับผลไม้ที่ห้อยอยู่กับกิ่งบนต้นของมัน ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ดี
ผลของมันก็หล่นลงมางอกตรงที่ที่ดี ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ที่ไม่ดี
ผลที่หล่นลงมาก็จะงอกตรงที่ที่ไม่ดีนั้น

คนที่ไม่มีสมาธิ จิตใจมีนิวรณ์ความกังวล ห่วงลูกห่วงหลาน
ห่วงคนโน้นคนนี้ เวลาตายวิญญาณก็ไปเกาะอยู่ที่ลูกที่หลาน
บางคนกลับไปเกิดเป็นลูกของลูกตัวเองก็มี
บางคนที่พ่อแม่ทิ้งมรดกที่สวนไร่นาไว้ให้ ก็เป็นห่วงสมบัติของตน
พอตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในสวนในนาก็มี
บางคนก็ไปเกิดเป็นผีสางนางไม้เฝ้าทุ่งนาป่าเขาก็มี พวกนี้เป็นพวก
สัมภเวสี คือ วิญญาณลอยไปเที่ยวหาที่เกาะ
ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบุญกุศล เราก็จะมีสุคติเป็นที่ไป
ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบาปอกุศล วิญญาณของเราก็จะต้องไปสู่ทุคติ
ไม่ได้ไปเกิดในโลกที่ดี โลกที่ดีนั้น คือ โลกที่ไม่มีภัย เป็นโลกแห่งเทวบุตร
เทวดานางฟ้า ไม่มีความทุกข์ภัยใดๆ ในโลกของเทวดานั้นมีแต่เกิดกับตาย
ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บ โลกมนุษย์มีทั้ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
โลกนิพพานไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย"

"ทุกคนต้องการความสุขไม่ต้องการความทุกข์ แต่อะไรเล่า
เป็นความสุขที่แท้จริงของตัวเรา คิดว่ากินนี่แหละก็พยายามหามาให้มันกิน
พอกินมากก็อึดอัด คิดว่านอน ก็นอนจนหลังแข็งไม่สบายอีก
คิดว่าเงินทองทรัพย์สมบัติก็ไปหามาใช้จนเต็มที่ ก็ยังไม่สุขอีก
แล้วอะไรเล่าที่เป็นความสุขที่แท้จริง ?
ความสุขที่แท้จริงนั้นย่อมเกิดจากบุญกุศล
คือความสงบที่เกิดขึ้นในจิตใจ พ้นทุกข์โทษความดิ้นรน
ไม่มีกระสับกระส่ายเดือดร้อนกระวนกระวาย เพราะฉะนั้น
จงพากันตั้งใจประกอบบุญกุศล เพื่อจะเป็นทางที่พ้นไปจากโลกนี้
นั่นแหละจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง"


หลวงพ่อสด จนฺทสโร
(พระมงคลเทพมุนี)
วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร



รูปภาพ


"ว่าในด้านภาวนา กายนี้มีซ้อนกันเป็นชั้นๆ
มีกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ กายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายทิพย์
กายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหม
กายธรรมซ้อนอยู่ในกายอรูปพรหม คนเราที่ว่าตายนั้น คือ
กายทิพย์กับกายมนุษย์หลุดพรากออกจากกัน
เหมือนมะขามกระเทาะล่อนจากเปลือก
ฉะนั้น กายทิพย์ก็หลุดจากกายมนุษย์ไป"

"สุขในณานอะไรจะไปสู้ในภพนี่ไม่มีสุขเท่าถึงดอก
สุขในณานนะ สุขลืมสมบัตินั่นแหละ สมบัติกษัตริย์ก็ไม่อยากได้
สุขในณานนะ สุขนักหนาทีเดียว เต็มส่วนความสุขก็หนึ่ง
เฉยวิเวกวังเวงเปลี่ยวเปล่า เรามาคนเดียว ไปคนเดียวหมดทั้งสากลโลก
คนทั้งหลายไปคนเดียวทั้งนั้นไม่มีคู่สองเลย จะเห็นว่าลูกสักคนหนึ่งก็ไม่มี
สามีสักคนหนึ่งก็ไม่มี ภรรยาสักคนหนึ่งก็ไม่มี
ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด
เป็นอย่างนี้ ปล่อยหมด ไม่ว่าอะไรไม่ยึดถือทีเดียว
เรือกสวนนาไร่ ตึกร้านบ้านช่อง ก่อนเราเกิดเขาก็มีอยู่อย่างนี้
หญิงชายเขาก็มีกันอยู่อย่างนี้ เราเกิดแล้วก็มีอยู่อย่างนี้
เราตายไปแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้
เห็นดิ่งลงไปทีเดียวเข้าปฐมณานเข้าแล้วเห็นดิ่งลงไปเช่นนี้"

"การปฏิบัติไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ
พระรัตนตรัยเป็นแก้วจริงๆ หรือเปรียบด้วยแก้ว
ถ้าเป็นทางปริยัติเข้าใจตามอักขระแล้ว
เป็นอันเปรียบด้วยแก้ว ถ้าเป็นทางปฏิบัติแล้ว เป็นแก้วจริงๆ
ภาวนํ ภาเวติ ทำให้จริง ให้หยุด ให้นิ่ง ทำให้มี ให้เป็นขึ้น
กี่ร้อย กี่พันคน ก็นอนหลับสบาย กี่คนๆ ก็สงบนิ่ง เมื่อสงบนิ่งแล้ว
มีคนสักเท่าไหร่ ก็ไม่รกหูรกตา ไม่รำคาญไม่เดือดร้อน
เป็นสุขสำราญเบิกบานใจเป็นนิจ นี่เขาเรียกว่า ภาวนา
ทำให้ใจหยุดสงบ ในการบำเพ็ญภาวนาความเพียรเป็นข้อสำคัญยิ่ง
ต้องทำเสมอ ทำเนืองๆในทุกอิริยาบถ ไม่ว่า นั่ง นอน เดิน ยืน
และทำเรื่อยไป อย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป
ผลจะเกิดวันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย ผลเกิดอย่างไรท่านรู้ได้ตัวของท่านเองฯ"


พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ยศเส กรุงเทพมหานคร



รูปภาพ


"ควรพวกเราทั้งหลายคิดดูให้เห็นโทษและคุณแห่งความตายเสียให้ชัด
ผู้มีปัญญาไม่ควรประมาทความตาย ให้เห็นว่าเป็นสมบัติสำหรับตัวเรา
เราจะต้องการในกาลอันสมควร ไม่ควรจะเกลียด ไม่ควรจะกลัว
สังขารทั้งหลายคือ สัตว์ที่เกิดมาในไตรภพจะหลีกพ้นจากความตาย ไม่มีเลย"

"เมื่อมีความเกิดเป็นเบื้องต้นแล้ว ย่อมมีความตายเป็นเบื้องปลายทุกคน
นัยหนึ่ง ให้เอาความเกิดความตายซึ่งมีประจำทุกวันเป็นเครื่องหมาย
เมื่อพิจารณาถึงความตาย ก็ต้องพิจารณาถึงความป่วยไข้
และความแก่ชรา เพราะเป็นเหตุเป็นผลกัน
ให้พิจารณาถึงพยาธิความป่วยไข้ว่า พยาธิ ธมฺโมมหิ พยาธิ อนตีโต
เรามีความป่วยไข้เป็นธรรมดา จะข้ามล่วงพ้นไปจากความป่วยไข้หาได้ไม่
ถ้าแลพิจารณาเป็นความชราอันเป็นปัจจุบันได้ก็ยิ่งประเสริฐ"

"ความระงับสังขารทั้งหลายนั้น ท่านมิได้หมายถึงความตาย"

"ท่านหมายถึงวิปัสสนาญาณและอาสวักขยญาณ คือปัญญารู้เท่าสังขาร
รู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะ เป็นชื่อของพระนิพพานเป็นสุดยอดแห่งความสุข"


หลวงพ่อปาน โสนันโท
(พระครูวิหารกิจจานุการ)
วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา



รูปภาพ

"ในชีวิตฉันไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม
ถ้าฆ่าโดยเจตนาแล้วไม่เคยทำ แม้ยุงก็ไม่เคยตบ"

"ในงานศพ ที่มาไหว้ศพน่ะ เขามาไหว้สัจจธรรมของพระพุทธเจ้านะ
คือ ท่านตรัสว่า ร่างกายของคนน่ะมันเป็นอนิจจัง..ไม่เที่ยง
เวลาอยู่เป็นทุกข์ในที่สุดก็อนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้
เวลากราบทีแรก เขานึกถึงพระพุทธเจ้าว่าทรงเทศน์ไว้ถูก เทศน์ไว้ตรง
ข้าพระพุทธเจ้าขอยอมรับนับถือเป็นมรณานุสสติกรรมฐาน
กราบครั้งที่๒ เขานึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์จากพระโอษฐ์
เหมือนดอกมะลิแก้ว แพรวพราวไปด้วยความจริงอันประเสริฐ
ทำบุคคลทั้งหลายไม่ให้เมามัน และทำให้เข้าถึงความสุข
กราบครั้งที่๓ นึกถึงพระสงฆ์พระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านร้อยกรองพระธรรมวินัย
ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ แล้วไม่ปล่อยให้อันตรธานสูญไปรวบรวมเข้าไว้
นี้กราบความดีของพระ๓ พระนะ เขาไม่ได้กราบผีกราบศพ"

"ถึงแม้ว่าเราจะมีคาถาอาคมของดีอะไรก็ตาม เราก็ต้องตาย
ก่อนตายควรเลือกทางเดินเอา อย่างน้อยที่สุด
เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้
ขอให้ทุกคนนะเวลาก่อนหลับ ให้นึกถึงความดีที่ตนเคยกระทำไว้
ทรัพย์สินที่สละเป็นวิหารทาน ธรรมทานสังฆทานเลี้ยงพระ
นึกถึงศีลที่ตนเคยรักษา เทศน์ที่ตนเคยฟังแล้วหมั่นภาวนาถึง
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ
แล้วจะรู้ว่าฉันหวังดีกับลูกหลานเพียงใด
คนไหนทำดีมากไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างที่ฉันต้องการ
๑.อย่าดื่มสุราเมรัย ๒.อย่าลักขโมย อย่าเป็นโจร"

"เมื่อจะเจริญกรรมฐาน ให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร๔ ให้เป็นณานสมาธิแน่วแน่
ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล แล้วจึงพิจารณาตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนาตามแบบสมถะ
ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน"


หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่


รูปภาพ



"คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง"

"เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ
ปล่อยผ่านไปเสีย ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง
เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่
จาโค ปฏินิสฺสคฺโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย
ตัณหาทั้งหลายก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละวางเสียให้หมด
ให้ตั้งอยู่ในศีล ในทาน ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปเสียให้หมด
ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่ทุจริตละเสียให้หมด
รักษากาย วาจา ใจ ที่สุจริตไว้"

"เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้ว จะเหลือแต่สุจริตธรรมตั้งอยู่ในศีล
กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็นศีล
เป็นธรรมเป็นมรรคเป็นผลขึ้นในจิตใจ
สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้วจิตก็เบาสบาย"

"อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน
รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ตัดตัณหา ตัดกิเลส ตัดมานะ ทิฏฐิ
ตัดความยึดมั่นถือมั่นของตนให้เสร็จลงก็สงบได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร


รูปภาพ

"อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก ไม่มีอำนาจใดอาจทำลายได้
แม้อำนาจของกรรมดีก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมชั่ว
และ อำนาจของกรรมชั่วก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมดี
อย่างมากที่สุดที่มีอยู่คือ อำนาจของกรรมดีแม้ทำให้มากให้สม่ำเสมอ
ในภพภูมินี้ ก็อาจจะทำให้อำนาจของกรรมชั่วที่ได้ทำมาแล้วตามมาถึงยาก

ธรรมสำคัญประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ คือเมตตาธรรม
ใครทั้งหลายก็สรรเสริญบรรดาผู้มีเมตตาธรรม ในขณะเดียวกัน
ก็มีผู้ต้องเป็นทุกข์เพราะมีเมตตา ด้วยหลงเข้าใจว่า
เมื่อมีเมตตามีความสงสารก็ต้องมีใจไม่เป็นสุข ซึ่งที่จริงหาถูกต้องไม่

มีเมตตาต่อเขาผู้เป็นทุกข์นั้นดีนัก แต่ อย่าลืมเมตตาตน
ตนเองปล่อยให้ใจตัวเองเป็นทุกข์เพราะเมตตาเขา
ไม่มีอำนาจใดจะไปสู้กับอำนาจธรรมของใครได้
เมื่อเชื่อในเรื่องอำนาจกรรมเช่นนี้
ใจที่มีเมตตาก็จะเป็นการมีเมตตาอย่างถูกต้องอย่างมีปัญญา
ไม่พาใจตนเองไปสู่ความเร่าร้อนด้วยเมตตาที่ไม่ถูกต้อง"


หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
(พระราชพรหมยาน)
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี



หลวงพ่อสอนลูกทุกๆคน
"จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด
ในเวลานั้นก็ชื่อว่าเรายังไม่เป็นคนดี
เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิท
อย่าให้เกิดขึ้นมา เมื่อกิเลส คือ ความชั่วตายหมด
ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว จงทรงไว้แต่ความดี และก็ว่างจากความทุกข์
จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำไว้"

"ขึ้นชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง
ก่อนที่เราจะตายจงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
และไม่มีการตายต่อไป นั่นคือพระนิพพาน
พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูกว่า
พระนิพพานสมบัติจะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก
และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องทำได้แน่นอน
นี่เป็นความหวังของพ่อ
แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เมื่อไหร่
จิตใจไปพัวพันอยู่ในราคะก็ดี ความหลงก็ดี
เป็นอันว่าลูกกับพ่อต้องแยกทางเดินกัน
ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่ว่าเวลาตายจริงๆ เราตามกันไม่ไหว"

"ในสายตาของคนอื่นเขาอาจจะเห็นว่าลูกเลว แต่ขอลูกทั้งหลายจงคิดว่า
นั่นเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดของบุคคลแต่ละคน
แต่พ่อเองมีความรู้สึกว่า คนจะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับกฏของกรรม
ก่อนที่เราจะเกิดมานี่ เราทำทั้ง กรรมดี และ กรรมชั่ว
ขณะใดถ้ากรรมที่เป็น อกุศล มันให้ผล ขณะนั้นลูกของพ่อ
ก็อาจจะมีความคิดผิด พูดผิดกระทำผิดไปได้เป็นของธรรมดา
แต่ขณะใดกรรมที่เป็น กุศลกรรม ให้ผล บรรดาลูกรักของพ่อก็จะทำถูก
คิดถูก พูดถูกอยู่เสมอ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมามาก
จึงไม่มีความรู้สึกเมื่อลูกรักบางท่าน บางคน คิดพลาด พูดพลาด
กระทำพลาดไป ถือว่านั่นเป็นกฏของกรรม
เดิมที่เราทำมาแล้วไม่ดี ในชาตินี้เราก็มาแก้ตัวใหม่
พยายามทำความดีเสียทุกอย่างเพื่อเป็นการหักล้างความชั่วเดิม
เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไป นั่นก็คือพระนิพพาน"


หลวงปู่ชอบ ฐานฺสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย



รูปภาพ

"อวิชชามันพาให้เกิด เมื่อถึงจะต้องตายก็ขอปลดอวิชชาไว้ข้างหลัง
ให้เข้าป่าเข้าดงไป เราไม่ต้องการอีกต่อไป
ขอให้เชื่อจิตเชื่อธรรมนั้นเถิด เป็นเอกในโลกทั้งสามนี้แน่นอน"

"ให้พิจารณาความตาย นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย"


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
(พระราชวุฒาจารย์)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์



รูปภาพ


"จิตนี้คือพุทโธ จิตนี้คือธรรม เป็นสภาวะพิเศษที่ไม่ไป ไม่มา
เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ จิตนี้เหนือความดีและความชั่วทั้งปวง
ซึ่งไม่อาจจัดเป็นลักษณะรูปหรือนามได้ หลักธรรมที่แท้จริงคือจิต
จิตของเราทุกคนนั้นแหละคือหลักธรรมสูงสุดที่อยู่ในจิตใจเรา
นอกจากนั้นแล้ว มันไม่มีหลักธรรมใดๆเลย"

"จิตนี้แหละคือหลักธรรม ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่ใช่จิต
แต่จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต ดังที่ท่านปรารภว่า
จิตนั้นมิใช่จิตดังนี้ นั่นแหละย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง
ขอให้เลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น
เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่าคลองแห่งคำพูดได้ถูกตัดขาดไปแล้ว
พิษของจิตก็ได้ถูกถอนขึ้นจนหมดสิ้น
จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ซึ่งมีอยู่ประจำอยู่แล้วในทุกคน

คติประจำใจ = "..อย่าส่งจิตออกนอก.."

ปริศนาธรรม = "..หยุดคิด หยุดนึก.."

ธรรมะ = "จงเข้าไปสู่สิ่งสงบเงียบให้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง"

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ(สติ) คือสิ่งๆนั้นในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น
และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้เลย.."


หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
(พระราชสังวราภิมณฑ์)
วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร


รูปภาพ

"ทางไปสู่ความไม่เกิด..เอ้อ แล้วทำไมจึงจะพ้นจากขันธ์๕ เหล่านั้นนะ
ก็พระท่านว่าไม่เกิดแหละดี ไม่เกิดเป็นตัวเหตุ ไม่เกิด..เออ
ไม่เกิดนี่ แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด ทานบ้าง ศีลบ้าง ภาวนาบ้าง
ปัญญาบ้างและอื่นๆ ทานให้แก่ใครไม่ทราบที่เรียกว่าทำทาน"

ท่านทำทานของท่านจบแล้วหรือยัง ?

ท่านรักษาศีลของท่านจบแล้วหรือยัง ?

ท่านเจริญสมาธิของท่านแล้วหรือยัง ?

ปัญญาของท่านเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ?


หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย



รูปภาพ


"อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก ให้ดูอยู่ที่กายให้รื้อค้นร่างกายนี้ให้ชัดแจ้ง
ให้รู้ว่าก็เพราะร่างกายมันมีอยู่ จึงทำให้เกิดทุกข์
ก็ร่างกายนี้แหละที่ทำลายความสงบสุข มันทำให้เกิด
เป็นรังโรคหนอนอย่างใหญ่หลวง และไม่เลือกว่าร่างกายของใคร
ถ้าพิจารณามองให้เห็น ตัดให้ขาดจากร่างกายนี้จริงๆแล้ว
จะพบกับความสงบสุขถาวรตลอดไป การเกิดเป็นคนต้องรู้จักหน้าที่ของตน
เป็นคนมีความคิด หัดภาวนา อย่านอนอย่างวัวอย่างควาย
สัตว์ประเภทนั้นมันนอนอย่างเดียว ไม่ภาวนา เราต้องไม่ประมาท"

"พวกที่เป็นพระสงฆ์องค์สามเณรก็ควรฝึกหัดภาวนา อย่าอยู่โดยเปล่าประโยชน์
กินข้าวปลาของชาวบ้านแล้ว อย่าขี้ทิ้งเปล่า ข้าวเม็ด น้ำหยด
ต้องทดแทนบุญคุณของเขาให้ได้ ทำภาวนาให้ถึงที่สุด
จะได้สงบกาย สงบวาจา สงบใจ ตามสติกำลังของตนๆ"

"ผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ความสมหวังแห่งผู้นั้นไม่มี
ย่อมคลาดแคล้วแห่งสมบัติหลายประการ ทำนาข้าวตายค้าขายขาดทุน
หาคนค้ำจุนไม่ค่อยได้ คนนั้นป่วยไข้ไปหาหมอก็ขัดข้องรักษาไม่ได้
ให้ตกอับทุกหน้าที่ ตกลงคนนั้นต้องกอดเข่าเจ่าจุก
เพราะไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อน ไม่ชวนให้คนอื่นเมตตา"

"ที่พวกเราได้พากันเกิดมาในโลกนี้ ล้วนมีชาติทุกข์
ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ และมรณะทุกข์ประจำชาติที่เกิดมา
เพราะฉะนั้น ขอคณะอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย
จงพากันให้ทาน รักษาศีลบำเพ็ญภาวนา ให้เต็มไม้เต็มมือ
เพื่อความสุขในอนาคตข้างหน้า เป็นอริยทรัพย์ที่ติดตามตนของเราไปได้"


พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ
(พระครูพิศิษฐ์อรรถการ)
วัดพระธาตุน้อย(วัดจันดี) อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช



รูปภาพ


"คนเราเกิดมาย่อมมีดีและมีชั่ว อันเป็นของคู่กัน
สิ่งหนึ่งที่จะต้องกระทำให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง
เพื่อประเทศชาติญาติวงศาคณาญาติร่วมโลก
จะอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข ก็ต้องมีการรู้จักรับผิดชอบชั่วดี
ใครมีหน้าที่อะไรก็ของใครของมัน อีกอย่างหนึ่ง
ทุกคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว ทุกคนก็มีโอกาสทำชั่วได้
ก็ควรหาโอกาสเสริมสร้างความดีเอาไว้บ้าง"

..ท่านพระครูกราย อาจารย์ของอาตมา (ฉัน) เคยพูดไว้อีกว่า..

"พระสงฆ์ทั้งหลายนั้น ถ้าบวชเข้ามาก็เพื่อสร้างความดีมีศีลมีภาวนา
ทำให้เกิดสติปัญญา คนทำความชั่วนั้นก็เพราะไม่มีสติ
ไม่มีปัญญา จึงเป็นเหตุให้ไปก่อทุกข์ภัยมาสู่ตนเอง
พระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานทั้งหลาย และอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณ
ท่านสร้างความดีทั้งสิ้น ดังนั้นเราทั้งหลายก็ควรทำความดีกันได้แล้ว"


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
(พระครูสันติวรญาณ)
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


รูปภาพ


"อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนทำบาปตนก็ได้รับทุกข์เอง
ตนทำบุญก็ให้ความสุขแก่บุคคลผู้นั้น บุญ-บาป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
ใครทำบาป บาปย่อมให้ผล ใครทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมตามให้ผล
แต่ว่าบางอย่าง บางประการนั้น ไม่ทันกับใจกิเลสมนุษย์
ก็เลยเข้าใจว่าทำบุญก็ไม่เห็นผล แต่ว่าบาปนั้นไม่ทำก็เห็นผล"

"ใครจะมาว่าเราก็เป็นเรื่องปากเขา ว่าจิตเรามีหน้าที่ภาวนา
ไม่ต้องไปมัวว่าคนโน้นคนนี้ ติคนโน้นชมคนนี้ ได้ประโยชน์อะไร
ภาวนาในใจดีกว่า สงบกาย สงบวาจา สงบจิต ให้สติอยู่ทุกเวลา
ยืนให้มีสติ เดินให้มีสติ ทำอะไรให้มีสติ พูดอะไรให้มีสติ
อย่าเพียงแต่ว่า พูดอะไรพูดได้ ก็พูดไปขาดสติ จิตใจเลื่อนลอย ฟุ้งซ่าน
ไม่มีเวลาจบไม่มีเวลาสิ้นนั่นแหละชื่อว่าตัณหาดิ้นรนวุ่นวายไปตามกามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา จิตใจไม่สงบระงับ ไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา
เพราะหลงไหลไปตามอาการภายนอก จิตไม่หยุด จิตไม่อยู่ จิตไม่รู้ภายใน
รู้ภายนอก รู้ไปทำไม รู้ภายใน รู้กาย รู้จิตของตัวเองดีกว่า"

หมายเหตุ

- กามตัณหา หมายถึง ความอยากในกาม
- ภวตัณหา หมายถึง ความอยากเป็น อยากมี
- วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากเป็น ไม่อยากมี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อเกษม เขมโก
สำนักสุสารไตรลักษณ์ อ.เมือง จ.ลำปาง



รูปภาพ

"ถ้าต้องพูดกับคนทุกคนแล้ว คงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมแน่"

"ไม่กินก็อยาก ไม่ปากก็ใจ สารพัดยัดเข้าไป
ถ้าเจ็บท้องไม่ร้องหาใคร นอนอยู่ในป่าช้าผู้เดียว"

"การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด การคิดเป็นเหตุแห่งการเห็น
ถ้าคิดดีก็เป็นทางเย็น ถ้าคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย"

"ตายเป็นเหม็นเน่าเราเขาเหมือนกัน อยู่ไปทุกวันใครได้ก็ดีใครมีก็ได้"

พระนิพพาน..ความรู้พิเศษ พระนิพพานเปรียบเหมือนคุณของอากาศ
อธิบายว่า อากาศมีคุณ ๑๐ ประการ
๑.ไม่รู้จักเกิด
๒.ไม่รู้จักแก่
๓.ไม่รู้จักตาย
๔.ไม่กลับเกิดอีก
๕.ไม่จุติ
๖.ใครจะข่มเหงลอบลักเอาไปไม่ได้
๗.เป็นของดำรงสภาพไว้ได้โดยไม่ต้องอาศัยอะไร
๘.สำหรับฝูงนกบินไปมา
๙.ไม่มีอะไรมากางกั้น..แล
๑๐.ที่สุดไม่ปรากฏ

"เอาท่องไปสอบวันอาทิตย์นี้.."


พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
(พระธรรมวิสุทธิมงคล)
วัดป่าบ้านตราด อ.เมือง จ.อุดรธานี



รูปภาพ



"ผู้มีสติปัญญาย่อมรู้ธรรมขั้นละเอียดอ่อนได้ไม่ยากนัก
สามารถรู้เลห์เหลี่ยมกิเลสภายในจิตไม่ว่าซอกไหนมุมใด
ท่านจะจับออกมาสับโขกอย่างไม่ปราณี กิเลสเป็นตัวโรคร้ายและไม่สามารถ
มองมันเห็นด้วยตาเปล่าหรือกล้องส่อง เมื่อใครมีกิเลสส่วนใดชนิดใดและภายใน
ตัวกิเลสมันจะกัดกินใจของบุคคลนั้นอย่างไม่มีวันพอ จนตายนั่นแหละมันจึงปล่อย"

"ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญที่กิเลสหวั่นไหวเกรงกลัว เพราะรู้ทันกลอุบายของมัน
ผู้ปฏิบัติจะมีความอิ่มแห่งธรรมเหมือนอิ่มอาหาร จะเข้าใจกันเองไม่ต้องถาม
เพราะธรรมเป็นของอิ่มของพอ แต่กิเลสมันไม่เคยมีความอิ่ม
มันหิวกระหายอยู่เป็นนิจ คนเราถ้ามีกิเลสเต็มตัวแล้ว มันก็เหมือนหมูเราดีๆนี่เอง
กินแล้วนอนๆจนอ้วนพี เขาก็นำไปขึ้นเขียงสับบั่นเท่านั้น
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมเขาจึงไม่เลี้ยงกิเลส เขาทำลายกิเลสทั้งนั้น

พระอริยเจ้าทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมา ท่านรู้ทันกิเลส
เมื่อกิเลสโผนมา ธรรมะโผนไป กิเลสโหดร้าย ธรรมะโหดดี
อยากทราบต้องออกแนวรบ นักปฏิบัติคือนักรบ เป็นต้องเป็น
ตายต้องตาย จึงจะเอากิเลสอยู่ กิเลสมีเท่าไร ธรรมมะต้องมีเท่านั้น"



หลวงปู่ครูบาชัยยะ วงศาพัฒนา
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน



"อย่าเข้าใจว่า มาทำบุญที่นี่จะตัดบาปตัดกรรมตัดเวรได้นะ ตัดไม่ได้
เว้นแต่กรรมที่เบาหรืออโหสิกรรม ตัดได้ พวกนั้นตัดได้
ก็พระพุทธเจ้ายังตัดไม่ได้ พระมหาโมคคัลลาน์มีฤทธิ์สุดขีด
ไม่มีองค์ไหนจะมาเทียมถึง ก็ตัดไม่ได้ จึงขอฝากไว้"

"อย่าหลับหูหลับตาฟัง แต่คนไม่รู้หาว่าท่านครูบา
หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทจะมาตัดกรรมตัดเวร ตัดไม่ได้หรอก
แต่ถ้าเป็นอโหสิกรรมได้ ทำผิดพูดผิดต่อใครๆเจ้าตัวเองต้องขอตัดเอาเอง

อโหสิกรรมถือว่าตัดได้ ก็ต้องตัดเอง จะต้องขอเอง
ให้คนอื่นไปขอไม่ได้ไม่พ้นจากกรรม เราต้องขอเอง
ต้องอ่อนน้อมกล่าวคำสารภาพกับตัวเขา เขาจึงจะอโหสิ งดโทษให้เรา"


หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู



รูปภาพ


"การศึกษาอบรมธรรมก็จงตั้งใจจริงๆ อย่านำความเหลาะๆ แหละๆ
มาสังหารตนและทำลายเพื่อนฝูงผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรม
ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันไม่ไว้หน้าใคร มันทำลายทั้งสิ้น
ไม่ว่าพระหรือเณร อย่าเข้าใจว่ามันจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิ
หรือให้ความสะดวกในการบำเพ็ญธรรม อย่าเข้าใจว่าเป็นอาจารย์ของมัน
แท้จริงกิเลสมันขึ้นมาบนหัวเราตั้งแต่เป็นฆราวาส
จนมาบวชเป็นพระเป็นเณรแล้ว มันยังไม่ยอมลงจากหัวเราเลย นี่แหละ
พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโตสอนถ่ายทอดกันมาแก่บรรดาศิษย์ให้ใส่เกล้าเอาไว้"

"แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ สติ จงหมั่นทำสติให้แก่กล้า
สติทำอะไรไม่ผิดพลาด กุศลธรรมทั้งหลายคุณงามความดีทั้งหลาย
เกิดขึ้นได้เพราะบุคคลมีสติอย่างเดียว
จะคิด จะพูด จะทำให้มีสติระลึกนึกเสียก่อน มันผิดก็ให้รู้ มันถูกจึงค่อยทำ
ผู้อื่นไม่ได้ทำให้จิตของเราเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว
เราเองเป็นผู้ทำให้จิตของตนเศร้าหมอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้
แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านทรงเป็นผู้บอกทางให้เท่านั้น
ผู้ปรารถนาความเจริญความสุขต้องหมั่นฝึกอบรมตนเอง
ทำเอง-รู้เอง-ได้เอง ใครทำใครได้ ผู้ทำคุณงามความดีมีศีล
ศีลที่บริบูรณ์แล้วย่อมเป็นที่มาแห่งโภคทรัพย์ จิตดี
จิตที่ไม่อิจฉาริษยาพยาบาทเบียดเบียน เป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ทำให้คนบริสุทธิ์ ทำให้คนมีศีล มีโภคทรัพย์"


หลวงพ่ออุตตมะ
(พระครูอุดมสิทธาจารย์)
วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี



รูปภาพ


..น้อมระลึกอยู่เสมอในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ดังนี้ว่า..

"ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งยังมาไม่ถึง
เพราะว่าสิ่งใดล่วงพ้นไปแล้ว สิ่งนั้นเราควรละเสียแล้ว..อนึ่ง
สิ่งใดซึ่งไม่มาถึงเล่า สิ่งนั้นก็ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญา
จึงไม่ควรให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
ก็ผู้มีปัญญา ได้เห็นธรรมเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
แจ้งชัดอยู่ในที่นั้นๆ ใครจะพึงรู้ว่าความตายจักไม่มีในพรุ่งนี้
เพราะว่าสู้ความหน่วงเหนี่ยว ความผูกพันด้วยมฤตยูความตาย
ซึ่งมีเสนาใหญ่นั้น มิได้เลย ฉะนั้น ความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
อันผู้มีปัญญาควรทำเสียในวันนี้เลยทีเดียว ไม่มีความเกียจคร้าน
ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้
ผู้นั้นแลเป็นผู้มีราตรีเดียวเจริญดังนี้"

..ให้เชื่อกฏแห่งกรรม ทำกรรมอย่างใดย่อมส่งผลอย่างนั้น คือ
กรรมชั่วย่อมส่งผลชั่ว และกรรมดีย่อมส่งผลดี ผู้ใดทำกรรม
ผลกรรมนั้นย่อมตกแก่ตัวผู้ทำ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ใครทำกรรมดี ผลกรรมที่ดีต้องตกแก่คนผู้นั้น
ใครทำกรรมชั่ว ผลกรรมชั่วก็ย่อมตกแก่ผู้นั้นเช่นเดียวกัน..


หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต
วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น


รูปภาพ



"เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่ หากสอนตัวเองด้วยก็จะดีมากขึ้น
เราตรวจคะแนนให้คนอื่น ข้อนี้ถูกข้อนั้นผิด
เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า วันเวลาผ่านไป
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คะแนนฝ่ายดีกับคะแนนฝ่ายชั่วนั้น
ข้างไหนมันมากน้อยกว่ากัน กลับไปตรวจตัวเองเด้อ.."

"ศีลมีมากหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อดอก
รักษาแต่ใจของเจ้าให้ดีอย่างเดียว
กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ"


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



รูปภาพ


"ข้าศึกใดๆในโลกนี้ ไม่มีอำนาจลึกลับร้ายกาจแหลมคมเหมือนข้าศึกในใจเรา
ศีลห้า เป็นรากฐานของการกระทำกรรมต่างๆ ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว
กรรมดีต้องเว้นจากโทษห้าข้อนี้ ข้ออื่นๆเป็นเรื่องปลีกย่อยออกไปจากศีลห้าทั้งนั้น
เมื่อไม่มีศีลห้าข้อนี้กำกับอยู่กับใจแล้ว ความชั่วนอกนั้นทั้งหมดจะหลั่งเข้ามาครองใจ
ความดีทั้งปวงไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้นาน ไม่ต้องพูดถึงสมาธิสมาบัติปัญญาหรอก
เครื่องกลั่นกรองธรรมเพื่อให้ใสสะอาดจากโลกนั้น
นอกเหนือไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วไม่มี"

"ศาสนา ตั้งต้นที่กายกับใจ เทวดา อินทร์ พรหม
ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เพราะว่ามันสุขเกินไป
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าดีอักโขแล้ว ขอให้รักษามนุษย์ธรรมไว้ก็แล้วกัน
ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ มันจะเลวลงไปกว่ามนุษย์อีก ไปเกิดเป็นสิงห์สาราสัตว์
แต่ละภพชาติมันนานแสนนาน.."

"ผู้ที่ไม่เข้าใจในเหตุผลของความตาย เมื่อถึงความตายจึงเป็นทุกข์
เพราะอาลัยในความตาย แต่ผู้ตายกลับสบายแฮ
เพราะไม่ต้องตายอีก คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นเป็นผีที่น่าเกลียด
แต่หารู้ไม่ว่า ตัวของเราเป็นผีสดศพหนึ่งดีๆ นี่เอง
นอกจากจะเป็นผีสดแล้ว ยังเป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่างๆ
มีหมู วัว เป็ด ไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุกๆวัน
คนที่ตายแล้ว เขาไม่ได้เป็นป่าช้าของสัตว์อื่นอีกต่อไปแล้ว"


พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
(พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร)
วัดถ้ำอภัยดำรงชัย อ.ส่องดาว จ.สกลนคร



รูปภาพ


"พระเถระองค์หนึ่ง ท่านไปบำเพ็ญใกล้สระแห่งหนึ่ง
มีผู้หญิงเขาลงไปเก็บดอกบัว ขณะเก็บดอกบัวเขาก็ร้องรำทำเพลง
พระท่านก็พิจารณาตามเสียงเพลงนั้น ให้รู้ให้เห็นทุกขสัจจะ สมุทัยสัจจะ
เพราะในขณะที่เขาร้องเพลงเพลิดเพลินนั้น ก็คือ เขาเป็นทุกข์
ทุกข์เพราะกิเลสแผดเผาจิตใจ เขาจึงระบายออกในลักษณะร้องเพลง
นั่นเรียกว่า เป็นความระบายกิเลส ทั้งในขณะนั้น
เขาก็มีความรักใคร่ ยินดีเพลิดเพลินอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส
ซึ่งเป็นสมุทัยสัจจะบอกทุกขสัจจะ ที่กิเลสแผดเผาจิตของเขาด้วย

แล้วพระท่านก็เกิดความสังเวชเกิดความเบื่อหน่าย
จิตของท่านก็หลุดพ้นได้สำเร็จ เป็นพระอรหันต์
เพราะอาศัยเสียงเพลงนั้นเป็นตัวเหตุ ท่านก็น้อมนำมาพิจารณา
นิโรธ ความรู้แจ้งก็เกิดขึ้น กิเลสทั้งหลายก็หมดสิ้นไป"

"นี่แหละ เมื่อจิตเป็นธรรมะแล้ว ก็พิจารณาเป็นธรรมะไปได้
หรือจะเห็นรูปร่างกายที่เขาแต่งให้สวยงาม ก็เช่นเดียวกัน
ข้างในเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ของโสโครกสกปรก แต่เขาแต่งข้างนอก
ก็เหมือนกันกับโลงผีที่เขาแต่งให้สวยงาม แต่ข้างในน่าเกลียดน่ากลัว
คนเราก็เหมือนกัน ใจที่มีกิเลสก็น่ากลัว มันเกิดความโลภก็น่ากลัว
เกิดความโกรธก็น่ากลัว เกิดความหลงก็น่ากลัว"


พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ
วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย



รูปภาพ


"ถ้ารู้ธรรม..ก็ขอให้สักแต่ว่ารู้
เมื่อรู้แล้ว ก็นำธรรมะนั้นมาฟอกซักชำระเสียให้สะอาด
ใจเรามันสกปรกมานาน ต้องล้างเสียที
อวิชชามันเยอะ มันหุ้มไว้จนหมดมิด..

เมื่อจิตใจหมดจดแล้ว (รู้ด้วยสติปัญญานะ)
จิตใจผู้รู้นั่นแหละ มันก็จะปล่อยวางธรรมนั้นไป
จิตใจผู้รู้ก็จะทรงอานุภาพด้วยปัญญาอย่างโดดๆ
ไม่เกาะเกี่ยวข้องแวะกับอะไร เป็นปกติใสสว่าง
เป็นจิตเดิมแท้ ทีนี้แหละ..อะไรที่ไม่รู้มันก็จะรู้
สิ่งไหนไม่อยากรู้มันก็รู้ มันก็ตื่น มันเบิกบานของมันไป"

"ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงต้องสอน เอาความโง่ของพวกเราออก
เอาความดีใส่มาแทนให้ เราก็จงรับไปปฏิบัติ..ซี
เอามาแล้วก็มาวางไว้เฉยๆ มันจะได้ประโยชน์อะไรเล่า.."


หลวงพ่อชา สุภัทโท
(พระโพธิญาณเถร)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


[img]
http://2.bp.blogspot.com/_DRsY_iX-y5U/R ... 0/cha3.jpg[/img]



"ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น
จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น..

พยายามมากเกินไปแต่ขาดปัญญา เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่
ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น เดินทางสายกลางคือ สงบ วางสุข วางทุกข์
หน้าที่ของเรานั้นทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา
ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่ลุมล้อมเรา"

"จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจ เสียใจ
ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง
จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์
ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นบ่วงมาร
การกระทำจิตให้สงบนั้น อย่าพึ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียวหรือสองสามวัน
มันจะสงบได้ ต้องพยายามทำเรื่อยๆไป ให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมา
ต้องพยายามทำให้มาก ทำบ่อยๆ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องมีสติอยู่เสมอ"


หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม
(พระราชสุทธิญาณมงคล)
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี



รูปภาพ



"การที่เราหันจิตใจมารักษาศีลกินธรรมนี้
จงมีความตั้งใจให้จริง เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นทิพย์
ไม่มีความอิ่มฉันใดจะเสมอเหมือน การอิ่มธรรม"

"ความอิ่มในรสชาติอาหารนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบให้แก่ธาตุขันธ์เท่านั้น
เป็นความไม่เที่ยงเสื่อมสลายลงได้ เมื่ออิ่มไปชั่วขณะก็หิวอีกอย่างนี้เป็นต้น
แต่ธรรมะเป็นของสมบูรณ์ อิ่มแล้วจะมีความอิ่มที่คงทนถาวรไม่เสื่อมสลาย
ผู้ใดมีธรรมะเป็นเครื่องอยู่อาศัย บุคคลผู้นั้นจะมีความอิ่มความพอ
แม้ธรรมนั้น จะมิได้เป็นรูปร่างที่มองเห็นกันด้วยตาเนื้อ
แต่ธรรมเป็นธรรมชาติอันละเอียดสุขุม
สุดที่จะนำมาเปรียบกับของสมมุติทั้งหลายได้"

"ใจเป็นความละเอียดฉันใด ธรรมก็เป็นของละเอียดสุขุมฉันนั้น
และใจนี่แหละ เป็นที่สถิตของธรรมทั้งปวง
ผู้ปฏิบัติธรรมจงพยายามศึกษาค้นคว้าวิปัสสนา
ให้เที่ยงแท้ด้วยสติปัญญา จึงจะบังเกิดเห็นผลแก่ท่านด้วยดี
อันวิชาศาสตร์ต่างๆนั้น อาตมาขอศึกษาให้รู้ว่ามีจริงเท่านั้น
เมื่อรู้แล้วก็หยุด ที่หยุดไม่ได้ คือ การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
ต้องดำเนินไปเสมอไม่ขาดตอน จะขาดตอนไม่ได้เป็นอันขาด"


หลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี



รูปภาพ



"ขันธ์๕ ของกิเลสมันเกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว คนไทยนี่อะไรๆ ไม่เสียดายหรอก
ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสน่ะ ..แต่ ..แต่มีข้อแม้ว่า ผัวดิฉันนะ
ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย..ปัดโธ่
เขาไปนิพพานจะเอาผัวเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ"

"คนมันเขียนท้ายรถยนต์ ทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป
ไอ้นั่นนะ มันไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มันเอาข้อวัตรของมันมาเอากิเลสอวด..โอโธ่
พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น.."


หลวงปู่คำมี พุทฺธสาโร
วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.ลพบุรี


[img]
http://img-252.uamulet.com/UAKBKejiImag ... 075002.jpg[/img]


"นอน นั่ง ยืน เดิน ในทุกอิริยาบท ทรงไว้ด้วยสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
สองอย่างนี้เคลื่อนจากกันไม่ได้ ถ้าแยกจากกันในวินาทีใด
ก็หมายความว่า ความรู้แจ้งเห็นจริงพลอยดับหายไปเหมือนกัน
เหมือนเครื่องยนต์ถ้าน้ำมันขาดตอน เครื่องก็จะสะดุดหยุดลงชั่วขณะเหมือนกัน"

"เกิดเป็นคน อย่าทิ้งความดีนะลูกหลานนะ เราเป็นฆราวาส
คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดา บิดานี่
ถ้าทำดีปฏิบัติถูกแล้ว สิ่งที่ไม่ปรากฏ นาม-รูป จะมาอนุโมทนา
จำไว้นะลูกหลานนะ คำพูดนี่สำคัญ ลูกไอ้.. ลูกอี.. ก็อย่าว่า
อย่าทำนะ ถ้าทำถ้าพูด พระจะหนีหมดเลย ไม่ดีนะ.."


หลวงปู่ครูบาพรหมา พรหมจักโก
(พระสุพรหมยานเถร)
วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน



รูปภาพ


"คนเราเกิดมามีร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย
อุปมาเป็นบ้านที่กำลังไฟไหม้ เพราะการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเหตุ
บัดนี้ ไฟกำลังไหม้บ้านเรือนเราอยู่เสมอๆตลอดเวลา ผู้มีสติ ผู้มีปัญญา
นำสมบัติอันมีค่าค่อยๆขนออกจากบ้านที่กำลังไฟไหม้อยู่นี้
สมบัติอันมีค่านั้นก็คือ การกระทำคุณงามความดี สร้างบุญกุศล
ความดีที่ทำลงไปแล้ว อย่างไรๆก็ไม่มีวันสูญหาย
จงจำใส่ใจไว้ ไม่มีสิ่งใดที่ไหนที่จะนำทางชีวิตของเรา
ให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ มีแต่บุญกุศลเท่านั้น"

"พวกเราทุกคนเมื่อจะรักการภาวนาธรรม
ก็ต้องดูเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้านี้ เป็นแนวทางให้น้อมไว้เป็นสรณะ
สมัยการเดินธุดงค์กรรมฐานของอาตมา ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้ชีวิตเลือดเนื้อต้องสละหมดสิ้น ไม่เห็นกังวล
ถ้าจะตายก็ต้องให้ตายไป พวกเราเชื่อในการทำความดี
เมื่อถึงคราวตายก็ถวายหมดสิ้นแล้ว อย่างไม่มีความสงสัยเลย

การปฏิบัติธรรม ต้องอาศัยปัญญาภายใน
เป็นดวงธรรมอันสว่างไสวนี้ จึงจะรู้แจ้งในธรรมนั้นๆ
จงรีบขวนขวายพยายามอย่าประมาททอดทิ้งเป็นอันขาด"


หลวงปู่คำแสน(ทิม) อินทจักโก
(พระครูสุคันธศีล)
วัดสวนดอกเก้าตื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่



รูปภาพ


"ศีลบริสุทธิ์ ถือสัจจะบริสุทธิ์ ถือหลักพรหมวิหาร๔ประการอันบริสุทธิ์
เพื่อเสริมสร้างบารมีธรรม สัจจะบารมีนี้สำคัญ
ถ้ามีสัจจะแล้ว ทำอะไรปฏิบัติอะไรก็จะได้ผลเสมอ
แม้เรากำลังน้อยทำไม่ไหว ก็ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นตัวท่านช่วยประคอง
ให้จนได้พบกับความสำเร็จนะ..เออ เออ..สร้างให้ดี สร้างให้จบ
มันก็จะสิ้นทุกข์ ไม่ยากไม่ลำบากอีกต่อไป ทำดีไปเถิดดีเองแหละ.."

"ศีลเป็นรากแก้วของชีวิต จะทำดีมีชื่อเสียงได้ก็ด้วยศีลธรรมนี้เอง
ใครมีศีลผู้นั้นเป็นเทวดา ผู้ใดรักษาศีลได้มั่นคงผู้นั้นมีสติสัมปชัญญะแล้ว
เพราะศีลนี้ทำให้ กาย วาจา ใจ ของมุษย์สูงขึ้น
ถ้ายังมุ่งหวังอยากได้สมาธิก็ต้องมีศีล อยากได้ปัญญาก็รักษาศีลเสียก่อน
ได้ศีลแล้วธรรมะจะเกิดขึ้นในตัวเราเอง ธรรมะอยู่ที่ไหนล่ะ..อยู่ที่ใจ

อยู่ที่ตัวเรานี้ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว
มีเป็นธรรมดา จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ของใครของมันนะ
ธรรมอยู่ในกายเรานี้แล้วทุกอย่าง สติปัญญาเอามาเป็นเครื่องวัด
วัดมันไปทุกๆวัน เราจะได้รู้ว่าอะไรตกต่ำบ้าง เมื่อตกต่ำ
เราก็รีบสร้างให้เป็นปกติอย่าให้พร่อง บุญกุศลเป็นของดีบริสุทธิ์จำไว้นะ.."


หลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด


รูปภาพ



"เอาชีวิตนี่แหละเป็นเดิมพัน เพื่อแลกกับความดี"

"การนั่งสมาธิภาวนาอย่างขั้นอุกฤษฏ์ คือ นั่งภาวนา๒๔ชั่วโมง
จะเปลี่ยนอิริยาบถเพียง๒ ครั้งเท่านั้น เพื่อดูทุกขเวทนาในตนเอง
โอ..นรก๘ขุม มันเกิดยกกันมาที่นี่ทั้งหมด เออ..มันยกทัพกันมา
ดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งร่างกาย เรานี่แหละสู้กับมันจนทุกขเวทนา
ปรากฏอย่างเด่นชัด และรู้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมาร
ที่มารบเร้าจิตใจจนหมดสิ้น ขอให้มีสติดีเสียอย่างเดียวมันจบได้
คือ ความเจ็บปวดทั้งหลายนั้น มันจะไม่เกิดอีกเลย
นี่นักปฏิบัติต้องเอาชนะให้ได้ ถ้าไม่ได้แพ้มันเด็ดขาด.."

"นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติพร้อมเสมอ ถ้าสติอ่อน
มันจะติดสัญญาภาพเก่าๆ ที่เราได้จดจำมาแล้วทั้งสิ้น แล้วธรรมที่เกิดนั้น
มันก็ยังเป็นของคนอื่น ยังมิใช่ของเราแท้นะ ระวังกิเลส
มันจะหลอกล่อจิตใจเราให้ลุ่มหลง เพ้อพกไปได้
แม้อาตมาเอง มันยังหลอกให้หลงอยู่กับนิมิตเกือบ๖ปี
เพราะนิมิตตัวเดียวแท้ๆ สำหรับบทปฏิบัตินั้น ถ้าสติไปถึงจิตเมื่อไหร่
เมื่อนั้น พวกกิเลสหรือนิวรณ์ทั้งหลายนี่มันจะถอยหนีไปหมดเลย"


แก้ไขล่าสุดโดย wincha เมื่อ 13 ต.ค. 2010, 19:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
(พระสุธรรมคณาจารย์)
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



รูปภาพ



"เอโกปุคคะโล ทำตนเองให้เป็นคนๆเดียว ถือจิตดวงเดียวเท่านั้น
จะสามารถพบธรรมะชั้นสูงสุดได้ ไม่ต้องสงสัย.."

"ธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐ
แม้ธรรมะประดิษฐานอยู่กลางดวงจิตดวงใจของผู้ใดแล้ว
ผู้นั้นจะได้รับความอบอุ่น มีที่พึ่งถาวรสมบูรณ์ทุกประการ
จะไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่จะให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าธรรมะ.."


หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร
วัดเทพสิงหาร อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี



รูปภาพ



"จิตมนุษย์มีพลังมหาสาร จะทำอะไรก็มักสำเร็จ
ก็เพราะมีดวงจิตที่เป็นกำลังสำคัญ จิตดวงเดียวสำคัญที่สุด
จิตมันบอกลักษณะไม่ได้ แต่มันก็มีความรู้สึกอยู่ภายใน
เว้นแต่ว่ามนุษย์เกิดมาแล้ว จะเอาดีหรือชั่วเท่านั้น
มันเป็นขั้นตอนอยู่ตรงนี้ ถ้าเอาดีต้องได้ของดีมาประดับตัวแน่นอน"

"มนุษย์ควรเจริญด้วยธรรม๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติในข้อวัตรปฏิบัติธรรม
คือ ความดีมีศีลธรรมนั้นเองจะช่วยได้"


ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ
(พระธรรมโกศาจารย์)
วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี



รูปภาพ


"การทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองนั้น
หมายความว่า ทำจิตใจให้เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
ถ้าจิตใจยังไม่เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำของสิ่งทั้งปวง
จะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้เลย

คนเรามีแต่ความยึดมั่นถือมั่นกันอยู่
คล้ายกับว่าเป็นมรดกที่ตกทอดมาตั้งแต่ไม่รู้ว่าครั้งไหน เราจะเห็นได้ว่า
พอเกิดมาก็ได้รับการอบรมแวดล้อมโดยเจตนาของตนทั้งนั้น
การอบรมให้รู้โทษของความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ทำกันเลย"

"เมื่อเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นเมื่อใด
จิตก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้น
จิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวตน ว่าของตนเท่านั้น
ที่จะมั่นคงเป็นสมาธิได้อย่างแท้จริงและสมบูรณ์"


หลวงพ่อแพ เขมังกโร
(พระสุนทรธรรมภาณี)
วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี



รูปภาพ

"อาสวะกิเลส เปรียบเหมือนกับความมืดที่เราจมอยู่
มันเป็นการตัดหนทางดีของเราที่สำคัญที่สุด
เราจึงต้องมานั่งภาวนากำจัดมันเสียให้ได้โดยเด็ดขาด
เมื่อนั้นจิตจึงจะผ่องแผ้วสว่างไสว แล้วจะเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง
ดังนั้น..เมื่อเรารู้หนทางบ้างแล้ว ก็ควรระงับกรรมเวร มิให้สืบต่อไปอีกเลย"

หลวงพ่อชม อนํคโณ
วัดเขานันทาพาสุภาพ อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี



รูปภาพ



"ถ้าเรารักตัวกลัวทุกข์ยาก เราต้องหมั่นฝึกฝนปฎิบัติ
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่าทิ้งความดี ความดีนั้นมีอะไร?
ความดีก็มี ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เราจึงจะพ้นทุกข์ภัย
การประพฤติปฏิบัติธรรมของคนเรานี่ ไม่ว่าเป็นภิกษุหรือสามเณร
หรือฆราวาสทุกเพศทุกวัย ทำได้ทุกๆคน..สรุปว่า
ถ้าแม้มีจิตมีสติแล้วทำได้ทั้งนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้ว
จะเกิดความอัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีกำลังใจหรืออำนาจจิต
มีความเชื่อมั่นแล้ว จะบังเกิดสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้คือการอธิษฐาน"

"สมัยที่อาตมาเจ็บป่วยมากและกำลังจะตายอยู่อย่างเห็นชัด
นี่อยู่ในป่านะ ครั้นพอรู้ตัวว่ากำลังจะตายทั้งๆที่ยังไม่ถึงกำหนด
และยังไม่ได้นำธรรมะที่ได้รับออกเผยแพร่แก่ชาวโลกเลย
จึงนึกเสียดาย..ในเวลานั้น จึงได้อธิษฐาน ขออำนาจพระรัตนตรัย
บิดามารดาคุณความดีทั้งปวง ให้ช่วยเพิ่มแรงเพิ่มกำลังใจ
เป็นที่น่าอัศจรรย์ ความเจ็บป่วยกลับหายไป เมื่อได้ลืมตาขึ้นแล้ว
เกิดกำลังวังชาขึ้นมาทันทีทันใด ปีนเขาได้อีก๕-๖ยอด สบายๆ
นี้จึงกล้ารับรองว่า แม้นักปฏิบัติ ทำจริงๆมีสัจจะกันแล้ว
จะต้องบังเกิดผลเป็นที่แน่นอนไม่ต้องสงสัย
หรือเที่ยวถามกับคนอื่น ถามตัวเราได้เองเลย"


หลวงปู่กินรี จนฺทิโย
วัดกัณตศิลาวาส อ.เมือง จ.นครพนม



รูปภาพ


"พุท-โธ อยู่ที่ไหน? ไม่ต้องมองไปที่อื่นอยู่ที่ใจเรานี่เอง"

"พุท-โธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ตื่นรู้เบิกบานในใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้น จิตใจก็งดงาม"

"งาม..แปลว่า ดี ถ้ามันดีแล้ว มันก็เกิดความพอ
ถ้ามันพอแล้วก็ดี ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ในความดีงาม
ให้มันบริสุทธิ์จริงๆ เพราะนั่นเป็นทางมนุษย์สวรรค์ และพระนิพพาน"


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
(พระราชสังวรญาณ)
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา



รูปภาพ


"ใครจะบริกรรมภาวนากรรมฐานบทไหนอย่างไร
เมื่อสภาวะจิตสงบสู่ความเป็นสมาธิ ย่อมมีลักษณะเดียวกันหมด
เพราะฉะนั้น เราอย่าเอาตำรามาค้านกัน
ให้เอาสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติมาเปรียบเทียบกัน
จึงจะลงเอยกันได้"

"การปฏิบัติสำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่
เพราะพื้นฐานแห่งความดีความชั่ว ย่อมเกิดที่จิต
ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติเป็นเครื่องคุ้มครอง หรือประคับประคองเมื่อใด
เมื่อนั้น จิตดวงนี้ก็ต้องมีความเผลอ ไปนึกสร้างบาปกรรมใส่ตัว
เพราะฉะนั้น การอบรมจิตให้มีสติจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลส โลภะ ราคะบ้าง โมหะบ้าง
ถ้าต้องการมีความสุข ต้องกำจัดกิเลสของตน
กิเลสในใจตน ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดกิเลสคนอื่น"


หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร



รูปภาพ


"ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา อะไรสักอย่าง
เพ่งดูสิ มันไม่เป็นแก่นสารอะไรเลย
ถ้าเป็นแก่นสาร ทำไมคนเราต้องล้มหายตายจาก
ถ้าเป็นแก่นสาร ตัวเราทำไมต้องเป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้
ทำไมต้องหนาวร้อน เพราะเหตุนี้ จึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน"

"ตา สำหรับเห็น รูป-ใจ เป็นผู้รู้ว่า รูปดี รูปชั่ว รูปไม่ดี รูปไม่ชั่ว
แท้ที่จริง รูปทั้งหลายเขาไม่ได้ว่ารูปเขาดี
เขาไม่ได้ว่าเขาชั่ว เราเป็นผู้ว่าเอาสมสุติเอา

- พระสติ หมายถึง ลมเข้า
- พระวินัย หมายถึง ลมออก
- พระปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้าลมออก

เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นสิ่งกิ่งก้านสาขาเท่านั้น"


หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม


รูปภาพ


รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร