วันเวลาปัจจุบัน 21 พ.ค. 2025, 22:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


4 หลักธรรมเพื่อการอยู่ดีกินดี มีหลักฐานมั่นคงในทางเศรษฐกิจ

การทำงานด้วยความเพียรนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอรรถ
หรือความหมายขยายความแห่งสัมมาวายามะ ความว่า
“ให้ปลูกฝังความพอใจในการงานนั้น พยายามปรารภความเพียรที่สืบเนื่องไปเรื่อยๆ
ให้รักษาคุณภาพของจิตที่ก้าวไปในจุดนั้นๆ ไว้ให้ดี พร้อมกับพยายามทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”



ท่านบุรพาจารย์โบราณบัณฑิตได้แสดงลักษณะของคนที่ทำงานด้วยความเพียรไว้ว่า
“คนที่ได้ชื่อว่ามีความเพียรหรือขยันนั้นจะต้องทำงานในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
อนิกขิตตธุรตา ทำงานอันอยู่ในความรับผิดชอบให้สำเร็จๆ ไป ไม่ทอดธุระ
อนิพพินทตา ทำงานที่แทรกซ้อน เข้ามาให้สำเร็จ โดยไม่ชักช้า
อสังครตา ทำการงานนั้นๆ ด้วยความยินดี เอาจริงเอาจังในงานนั้นๆ จนสำเร็จ”



นอกจากนี้ หลักพระพุทธศาสนายังแสดงว่า
“ผู้ทำงานจะต้องไม่ปล่อยให้งานที่ทำคั่งค้างอากูลอย่างที่พูดกันว่า ดินพอกหางหมู”
เพราะงานในลักษณะนี้ไม่เป็นมงคลสำหรับผู้กระทำแน่นอน
ในทำนองเดียวกัน หากทำในทางตรงกันข้ามย่อมเป็นมงคลสำหรับบุคคลนั้น
ดังมีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในมงคลสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕) ว่า
“อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การงานที่ไม่คั่งค้างอากูล นี่ก็เป็นอุดมมงคล”


เนื่องจากความเพียรพยายามเป็นได้ทั้งในทางที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม
ดังนั้น การทำความเพียรในทางพระพุทธศาสนาทุกระดับคำสอน
จึงต้องเป็นไปในทางที่ชอบธรรม คือไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน
ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม
หลักการใช้ความเพียรพยายามในการประกอบอาชีพทำธุรกิจการงานต่างๆ

ในทรรศนะทางพระพุทธศาสนาจึงเน้นไปที่ประโยชน์ตนและผู้อื่นเป็นสำคัญ
แม้ว่าบางครั้งประโยชน์สำหรับผู้อื่นจะไม่เด่นชัดนักก็ตาม
แต่กระนั้นต้องไม่เป็นการทำลายผลประโยชน์ของผู้อื่น
หลักคำสอนในลักษณะเช่นนี้มีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เช่น
“บุคคลพึงได้ประโยชน์ในที่ใดด้วยวิธีใดๆ พึงบากบั่นในที่นั้นด้วยวิธีนั้น”
ซึ่งเป็นการเน้นให้บุคคลใช้ความเพียรพยายามเพื่อให้เกิดผลที่ตนต้องการ
หลังจากได้พิจารณาเห็นแล้วว่า การกระทำงานใดด้วยวิธีใดจึงเกิดประโยชน์
ก็ให้ทำการงานเหล่านั้นด้วยความบากบั่นพยายามอย่างจริงจัง
ดังมีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในคัมภีร์ชาดกว่า
“ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นโดยชอบแก่คนที่ทำงานโดยไม่เบื่อหน่าย”
ซึ่งตามปกติแล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนขยันมีความเพียรนั้น
จะต้องเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยกาลเวลาที่จะทำประโยชน์ให้ผ่านพ้นไป
ข้อนี้เป็นการดำเนินตามหลักคำสอนที่แสดงไว้ในคัมภีร์ชาดกว่า
“บุรุษใด เมื่อหนาว ร้อน ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานมีอยู่
ก็ครอบงำความหิวกระหายทั้งหมด ประกอบการงานทั้งหลายมิได้ขาด
ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสียไป”



การใช้ความเพียรพยายามประกอบการงานที่ทางพระพุทธศาสนาสรรเสริญ
คือ ต้องรู้จักกาลและสถานที่ด้วยว่า กาลไหนควรทำอะไร ทำอย่างไร
ควรปฏิบัติต่อสถานที่นั้นๆ อย่างไร คือจะต้องทำงานให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ เป็นต้น
ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบปัญหาที่อาฬวกยักษ์กราบทูลถึงวิธีแสวงหาทรัพย์ ได้ว่า
“คนที่ทำงานได้เหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระ
เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้แน่นอน”



คนที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด ทำงานได้เหมาะเจาะดังกล่าวนั้น
อาจจะเริ่มต้นด้วยการไม่มีอะไรมากนักก็ตาม
แต่อาจสามารถก่อร่างสร้างตัวตั้งตนเป็นเศรษฐีมีหลักฐานมั่นคงได้
ความข้อนี้มีพระพุทธพจน์ตรัสรับรองไว้ในขุททกนิกายชาดก เอกกนิบาต
(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗) ว่า
“คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้แม้ด้วยต้นทุน เพียงเล็กน้อย
ดุจคนก่อไฟกองน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น”

การตั้งตนหรือการตั้งตัวในที่นี้ หมายถึงการก่อร่างสร้างตัว
จากการมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยจนมีทรัพย์สินมาก
หรือจากความยากจนสู่ความมั่งคั่ง เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล
ผู้ที่สามารถตั้งตนได้ในลักษณะนี้ย่อมเป็นที่ยกย่องนับถือของคนทั่วไป


แบบอย่างของการตั้งตัวได้ในลักษณะนี้ ท่านเล่าไว้ในคัมภีร์อรรถกถาชาดก
โดยสรุปความว่า มีชายรับใช้ของเศรษฐีคนหนึ่งได้เก็บเอาหนูตาย
ซึ่งแทบจะไม่มีราคาอะไร นำไปขายเป็นอาหารแมว ได้เงินมาเพียงกากณิกหนึ่ง
ซึ่งเป็นหน่วยเงินที่มีค่าต่ำสุดในสมัยนั้น แต่ด้วยเงินเพียงเท่านั้น
เขาได้นำไปทำทุนประกอบกิจการจนภายหลังได้เป็นพ่อค้าใหญ่อยู่ที่ท่าเรือ
และมีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี นี้เป็นแบบอย่างในครั้งโบราณนานมาแล้ว
คนที่ตั้งตัวได้ในลักษณะนี้ ในปัจจุบันก็มีปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป
เช่น ในประเทศไทย ก็มีคนจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทย
สามารถตั้งตัวเป็นเศรษฐีหลายราย


การตั้งตนก็เหมือนกับการก่อกองไฟ กล่าวคือ ในการก่อไฟนั้น เริ่มจากไฟจุดเล็กๆ
เช่น ไฟจากก้านไม้ขีด ผู้ก่อไฟก็สามารถทำให้เป็นไฟกองใหญ่ที่สว่างโพลงโชติช่วง
และร้อนแรงได้ ผู้จะตั้งตนก็เฉกเช่นเดียวกัน
อาจจะใช้ต้นทุนซึ่งมีอยู่ไม่มากประกอบกิจการ จนมีผลกำไร
เกิดทรัพย์สินมากมายมหาศาลก็ได้ แต่ก็มิใช่ว่าทุกคนจะทำ ได้ดุจเดียวกัน
เพราะผู้ที่จะทำได้จะต้องเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาดและมีวิจารณญาณดีทีเดียว
ซึ่งถ้าหากนำเอาประวัติการทำงานของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการตั้งตน ได้ในลักษณะนี้
ก็จะพบว่า การที่เขาสามารถก่อร่างสร้าง ตัวได้สำเร็จถึงขนาดนั้น
ก็เพราะมีคุณธรรมหลายประการ อย่างน้อยก็ต้องมีหลักธรรมเพื่อการอยู่ดีกินดี
มีหลักฐานมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ
คือ การขยันหาทรัพย์ การรู้จักเก็บรักษาและทำให้งอกเงย
การรู้จักคบหาเพื่อนหรือผู้ร่วมงานที่ดี และการรู้จักใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม



นอกจากนี้ ต้องมีคุณธรรมที่สำคัญ นั่นคือ การมีปัญญาเฉลียวฉลาด
มีวิจารณญาณที่ดี กล่าวคือ ต้องเป็นคนที่มีความรู้อย่างทั่วถึง
โดยเฉพาะคือรู้จักเหตุผล เข้าใจความเกี่ยวเนื่องกันของสิ่งของต่างๆ
เช่น ในการค้าขายก็รู้จักหาทำเลที่ดี รู้ว่าความต้องการของลูกค้าอยู่ที่สินค้าอะไร เป็นต้น
โดยมีวิจารณญาณคือการพิจารณาจนประจักษ์แน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร
รู้จักจังหวะในการดำเนินการ เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงจังหวะ ก็ยับยั้งไว้ก่อน
ต่อเมื่อจังหวะดีจึงดำเนินการ เป็นต้น เปรียบเหมือนการก่อไฟให้ลุกโพลงเป็นกองโต
ขณะที่ไฟเพิ่งเริ่มติดเพียงเล็กน้อย ถ้าโหมกระพือลมมากเกินไป
หรือใส่ไฟฟืนทับถมลงมากเกินไป ไฟอาจดับได้ ต้องค่อยๆ
ใส่ฟืนที่ติดไฟง่ายเข้าไปทีละน้อย กระพือลมแต่พอสมควร
เมื่อไฟติดดีแล้วจึงค่อยเพิ่มฟืนมากขึ้น ไฟก็จะค่อยติดและขยายกองโตมากขึ้นได้
การทำกิจการต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ยังมีทุนน้อยก็ทำกิจการเพียงน้อยๆ ก่อน
ต่อเมื่อมีทุนมากขึ้น แล้วจึงขยายกิจการให้ใหญ่โตขึ้นไปตามลำดับ
กิจการก็จะประสบความสำเร็จได้ดี


คนมีคุณสมบัติดังกล่าวเมื่อ ทำงานได้เงินมาแล้วย่อมมีอุบาย
วิธีในการที่จะรักษาเพิ่มพูนรายได้ของตนให้สูงขึ้นได้โดยดำเนิน
ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต
(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓) ว่า
“ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท
เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิต สมควร ย่อมรักษาทรัพย์ที่หามาไว้ได้”



การที่คนเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างสะดวกสบาย จะต้องมีทรัพย์เก็บสำรองไว้
สำหรับใช้จ่ายตามสมควร เพราะหากไม่มีทรัพย์เก็บสำรองไว้แล้ว
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ก็จะต้องประสบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน
ผู้ที่จะมีทรัพย์เก็บสำรองไว้ได้จะต้องเป็นผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท
เข้าใจจัดการ และเลี้ยงชีวิตพอสมควรแก่ฐานะของตน
ชีวิตคนเราต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ช่วยหล่อเลี้ยงไว้
อย่างน้อยก็ต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐาน ๔ อย่าง คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย
และยารักษาโรคดังกล่าว มาแล้ว การประกอบอาชีพของคนเรา
ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยขั้นพื้นฐานดังกล่าวนั้น
ในสังคมมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายของกินของใช้ระหว่างกัน
โดยได้มีการนำเอาของมีค่าคือเงินทองมาใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
เพราะเงินทองมีลัษณะที่เล็กสะดวกในการนำติด ตัวไปหรือเก็บรักษาไว้ได้นาน
โดยที่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง ซึ่งสมมติเรียกกันว่า ทรัพย์
และวิวัฒนาการเป็นธนบัตรที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ดังนั้น การประกอบอาชีพของคนในสมัยต่อๆ มา หรือในยุคปัจจุบัน
จึงมุ่งที่จะให้ได้ทรัพย์ธนบัตรนี้ไว้ เมื่อต้องการปัจจัยใดๆ มาเลี้ยงชีวิต
จึงใช้ทรัพย์หรือซื้อหาสิ่งนั้นอีกทีหนึ่ง ผู้มีทรัพย์มากย่อมมีความสะดวก
ในการจัดหาสิ่งที่ต้องการ ส่วนผู้ขาดแคลนทรัพย์ก็จะมีความลำบากเดือดร้อนมาก


ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยตนเองก็ดี ที่เป็นมรดกตกทอดก็ดี
ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ย่อมมีสิทธิที่จะจับใช้สอย ได้ตามใจชอบ
สำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้สอยให้เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์เท่านั้น


ทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่บันดาลความสุขแก่เจ้าของ คนมีทรัพย์สมบัติมาก
ก็มีโอกาสแสวงหาความสุขจากทรัพย์ได้มาก
คนมีทรัพย์น้อยก็แสวงหาความสุขจากทรัพย์ได้น้อย
การแสวงหาความสุขจากทรัพย์ที่ว่านี้อาจเป็นการแสวงหาในทางที่ผิดก็ได้
หรือเป็นการแสวงหาในทางที่ถูกก็ได้


ที่ว่าเป็นการแสวงหาในทางที่ผิด คือใช้จ่ายทรัพย์ไปในทางอบายมุข
ได้แก่ การเป็นนักเลงหญิง การเป็นนักเลง สุรา การเป็นนักเที่ยวกลางคืน
หรือนักท่องราตรีมั่วสุมในวงพนัน ชอบคบคนประเภทชักนำในทางเสียทรัพย์ โดยไม่จำเป็น
ส่วนในการแสวงหาความสุขจากทรัพย์ ในทางที่ถูกนั้น
คือการใช้สอยทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะบริโภคใช้สอยด้วยตนเองแล้ว
ควรจะให้ทาน คือการบริจาคทำบุญในพระพุทธศาสนา
หรือทำสาธารณกุศล ต่างๆ ตามสมควร ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขใจจากการใช้จ่ายทรัพย์


การขาดแคลนทรัพย์มักมีสาเหตุมาจากความเกียจคร้านทำการงาน
ความมัวเมาในอบายมุข ไม่รู้จักจัดการทรัพย์ และใช้จ่ายเกินฐานะ



ดังนั้น ผู้ที่จะหาทรัพย์ให้ได้และสามารถมีทรัพย์เก็บสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น
จึงต้องปลูกฝังหลักคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา คือ


(๑) ขยันหาทรัพย์
โดยมีความขยันในหน้าที่การงาน ไม่เกียจคร้าน ไม่ท้อถอย
เห็นความสำคัญของการทำงาน เท่ากับชีวิต


(๒) รู้จักเก็บ เข้าใจจัดการ
โดยมีสติปัญญาในการจัดการใช้ทรัพย์ว่าควรจะใช้เป็นค่าอุปโภคบริโภคเท่าใด
จะทำทุนเท่าใด เก็บไว้สำรองเท่าใด


(๓) ไม่ประมาทมัวเมาลุ่มหลงไปกับสิ่งยั่วยวนต่างๆ

เช่น กามารมณ์ สิ่งมึนเมา การเสี่ยงโชคเล่นการพนัน และการคบคนชั่วเป็นมิตร


(๔) เลี้ยงชีวิตพอสมควร
คือ ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไปและไม่ฝืดเคืองเกินไป
เป็นคนมัธยัสถ์คือใช้จ่ายในขนาดกลางๆ พอเหมาะพอดี


ผู้มีคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ๔ ประการนี้แหละ
พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าจะรักษาทรัพย์ที่หามาแล้วไว้ได้อย่างแน่นอน


ที่มา...(จากส่วนหนึ่งของหนังสือพุทธธรรม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553
โดย แก้ว ชิดตะขบ นักวิชาการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)


http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNew ... 0000124724

ภาพประกอบจาก... http://www.fotosearch.com/bthumb/CSP/CS ... 687605.jpg

:b48: :b8: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร